สวัสดีครับ
บทความนี้เกิดขึ้นจากการที่ รีวิวแรกที่ผ่านมากับทริป พาลูกเที่ยว: ญี่ปุ่นครั้งเดียวไม่พอ(จริงๆ) ครั้งแรกกับโอซาก้า 4 วัน 3 คืน
หลังจากรีวิวนี้ออกไปมีคนสอบถามเข้ามามากมายเลยทีเดียวว่า จากสนามบินเข้าเมืองยังไง ตอนพาเด็กไปตอนนี้ควรจะเตรียมเสื้อกันหนาวไหม หรือเลยไปถึงควรเตรียมเงินซักเท่าไหร่ดีถ้าพักที่นี่…นู้น…นั้น ฯลฯและอีกหลายๆคำถาม วันนี้ผมเลยขอดึงส่วนของที่เขียนไปแล้วในรีวิวนั้นออกมาขยายความให้ตอบทุกๆคนที่อาจจะอยากทราบ และupdate เนื้อหาเพิ่มเติมที่ได้จากทริปที่สองที่ผ่านมาเติมเข้าไปอีกหน่อยให้สมบูรณ์จะได้ช่วยตอบคำถามกันได้ครับ
เอาละมาลองอ่านกันดูเผื่อจะมีประโยชน์สำหรับใครที่กำลังจะไปโอซาก้าในช่วง เดือนแห่งใบไม้แดงนี้นะครับ
การเตรียมตัวพาลูกเที่ยวญี่ปุ่น (ช่วงฤดูใบไม้ร่วง กันยายน-พฤศจิกายน )
ตรวจสอบอากาศก่อนเดินทาง
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีถึง 4 ฤดู คือฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ช่วงที่เราไปคือเดือนกันยายน อยู่ในช่วงปลายฤดูร้อนเข้าฤดูใบไม้ร่วง อากาศจึงไม่ร้อนไม่หนาวเกินไปอุณหภูมิวันที่เราไปถึงอยู่ที 20-27 องศาถือว่าอากาศกำลังดีเลยใส่เสื้อยืดธรรมดาๆเที่ยวได้เลย แต่กับเด็กๆควรเอาเสื้อแขนยาวติดกันไปด้วยนะครับกันไว้ก่อนเวลานอนจะได้ อุ่นๆ
เว็บที่เช็คสภาพอากาศที่ญี่ปุ่นมีเยอะนะครับแต่เป็นภาษาญี่ปุ่นซะมากส่วนที่ เป็นภาษาอังกฤษก็อาจจะแม่นบ้างไม่แม่นบ้าง ต้องลองเปรียบเทียบกันดู ผมใช้ตัวแรกเท่านั้นครับแม่นดีอ่านง่ายด้วย
http://www.jnto.go.jp/weather/tha/ อันนี้เป็นภาษาไทยครับของการท่องเที่ยวญีปุ่นทำขึ้นมา ตอนไปผมก็ดูอันนี้ละ
http://weather.jal.co.jp/en/ ของสายการบิน jAPAN AIRLINE มีภาษาอังกฤษให้เลือกได้ ก็แม่นอยู่นะครับ
http://www.jma.go.jp/en/week/#explain อันนี้ของกรมอุตุประเทศญี่ปุ่นเลย แม่นสุดๆ มีภาษาอังกฤษให้อ่านด้วย
ยาสามัญประจำตัว (เด็กๆ)
การจะพา เด็กๆที่อายุยังไม่เกิน 4 ขวบ อย่างปันปัน ต้องมีหลายสิ่งที่ต้องคำนึงอยู่พอควรทีเดียวครับ
อย่างแรกที่ควรต้องเตรียมเลยคือ ยาต่างๆ ก่อนเดินทาง 2-3 วันเราพาปันปันไปให้หมอตรวจก่อนทุกครั้งว่าเค้าจะมีปัญหาใดๆหรือไม่ เพื่อความสบายใจของพ่อแม่ หลังจากนั้นก็แวะซื้อยากสามัญที่สำคัญทั้งของเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งยาแก้ไข้ แก้ไอ ท้องเสีย(สำหรับเด็กควรให้หมอเป็นคนสั่งนะครับ)และยาทาภายนอกทั้งแผลสด ฟกช้ำ พลาสเตอร์ยา พกพาไปกันพลาดถึงเที่ยวไม่กี่วันแต่ของแบบนี้ไม่แน่อะไรๆก็เกิดได้
รถเข็น
ขอบอกเลยว่าสำคัญมากถึงมากที่สุด เราได้ยินจากเพื่อนๆทุกคนที่พาเด็กเล็กไปญี่ปุ่นมา ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวว่า รถเข็นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเดินทาง เพราะเที่ยวญี่ปุ่นเน้นเดินกันทั้งนั้นแทบทุกเมือง แม้ญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่มีการคมมนาคมที่หลากหลาย ทั้งรถไฟ รถไฟใต้ดิน รถไฟฟ้า รถบัส Taxi แต่การเดินหรือปั่นจักรยานเป็นการเที่ยวที่เหมาะมากๆระหว่างที่เราอยู่ที่ นั้น เราจะเห็นทั้งนักท่องเที่ยวและคนญี่ปุ่นใช้การเดินกับปั่นจักรยานเยอะมาก ที่สุดเลย ข้อดีอีกอย่างคือรถเข็นเวลาที่ปันเดินอยู่ใช้วางของพ่อแม่ได้
ที่ สำคัญเค้าให้ความสำคัญกับเด็กๆมากเวลาเอาขึ้นรถไฟใต้ดินหรือบนดินก็ตามจะมี มุมนึงที่ให้จอดรถเข็นไว้ได้เลย เห็นไหมคนญี่ปุ่นเค้าให้ความสำคัญกับเด็กๆขนาดไหน
การแลกเงิน
ค่า เงินเยนกับไทยนับถึงตอนนี้ กันยายน 2557 จะอยู่ที่ 100 เยน = 30 บาทเศษๆ ของกินบ้านเค้าต่ำๆสุดอย่างข้าวปั้นใน Family Mart จะอยู่ราวๆ 150-500 เยน หรือตก 50 บาท+ เพราะฉะนั้นคุณๆควรเตรียมเงินไปพอสมควรกับจำนวนคน จำนวนวันที่คุณๆไปกันนะครับ ตรงนี้ตอบยากขึ้นอยู่กับสไตล์การเดินทางของแต่ละคน แต่อยากแนะนำให้คิดแยกเป็นส่วนๆคือ ค่ากิน เท่าไหร่ (ประมาณ) ที่พัก ค่าเดินทาง(อันนี้ต้องระวังเพราะคนไปแรกๆจะหลงอย่างเราเป็นต้น 555) ประมาณไหน และสุดท้าย หากจะซื้อของฝาก โดยปรกติตามแหล่งท่องเที่ยวซื้อของฝากจะรับบัตรเครดิตได้ หากมีก็ควรใช้และเก็บเงินสดไว้ใช้ในการเดินทางจะดีที่สุด เพราะหากเงินสดหมดการแลกเงินที่นั้นคุณอาจจะได้เรทที่ต่ำหรือมากกว่าแลกจาก บ้านเราไป ให้ชัวร์แลกไปเลยจะดีที่สุดครับ
Internet ดีที่สุดต้อง Pocket Wifi
เน็ต ที่ญี่ปุ่นดีมากๆ มีทั้ง Wifi ตามจุดต่างๆให้ใช้ฟรี และตัว Internet on Mobile ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เพราะเค้าเป็น 4G มานานมากแล้ว ในช่วงปีหลังๆมานี่ มีบริการ pocket Wifi ให้ชาวต่างชาติที่ต้องเดินทางไปเที่ยว หรือพำนักในประเทศญี่ปุ่นทั้งแบบสั้นๆ ไม่กี่วัน และแบบนานเป็นเดือนให้ใช้ได้ อย่างหนนี้เราใช้บริการของ iwifi เป็น Pocket Wifi ที่ข้างในก็คือใส่ซิมการ์ดของญี่ปุ่นได้นะครับ แต่ไม่สามารถใช้โทรออกได้นะ (นอกจากผ่านเน็ตด้วยโปรแกรมอย่าง Skype, Lineหรือ Facebook Messenger ) สนนราคาก็ถือว่าถูกมาก เฉลี่ยยิ่งเราไปหลายวันก็ยิ่งถูกลง(เท่าที่อ่านมาที่ญี่ปุ่นจะมีค่ายมือถือ ต่างๆเช่นเดียวกับบ้านเรา เพราะงั้นราคาจะขึ้นอยู่กับเครือค่ายที่หยิบมาใช้ใน pocket ด้วย ก่อนจะเลือก pocket ควรแจ้งเมืองและความประสงค์ในการใช้ให้กับเค้าด้วย เพื่อจะได้เลือกรุ่นและ packet ที่เหมาะกับการเดินทางสำหรับเราครับ)
กรณีไปน้อยวันเช่นเคสเรา 5 วัน ราคาก็ตกวันละ 200บาทนิดๆ อย่างไป สัก 8-10วัน แบบนี้ ราคาตกวันละ 125 บาท และคุณสามารถเลือก Packet การใช้งานตามพฤติกรรมการใช้ของเราได้ อ่อที่สำคัญมันใช้ได้มากกว่า 3-5 คนต่อหนึ่งเครื่อง ลองเข้าไปอ่านรายละเอียดและราคาได้ที่นี่เลยครับ http://iwifi.jp/ เห็น url แบบนี้เป็นเว็บภาษาไทยนะครับ ไม่ต้องกังวล (ภาพนี้ผมยืมมาจากเว็บไซต์เค้านะครับตอนไปลืมถ่ายซะงั้น)
การเลือกที่พัก
มา ถึงส่วนสำคัญและคิดว่าหลายๆคนอยากรู้กันแล้ว การเลือกที่พักในญี่ปุ่นจริงๆหากเป็นแบบปรกติก็คือ เราเข้าเว็บจองจองโรงแรมทั้งหลายแล้วก็เลือกราคา เลือกเกรดโรงแรมที่ถูกใจจากนั้นก็จองกันไป แล้วแต่โรงแรมที่เราเลือก แต่…เดี๋ยวก่อน สำหรับทริปนี้เราไม่ได้ใช้เว็บแบบนั้นเลย
เราเลือกใช้การพักอีกทางเลือกหนึ่งนั้นก็คือ การใช้ที่พักจากเว็บไซต์ www.airbnb.com หรือ v. ภาษาไทยคือ https://th.airbnb.com/ เว็บไซต์ที่รวบรวมที่พัก เก๋ๆ แนวๆที่เจ้าของเค้าเอามาแชร์ ให้เราได้เข้าไปพักกัน พูดง่ายๆคือหากคุณมีบ้านพัก ห้องว่าง อพาร์ทเมนท์ คอนโด หรือเป็นเจ้าของโรงแรมบูทีคขนาดเล็กๆ เก๋ๆ หรือจะเลยไปจนถึง ถ้าอยากนอนแบบแปลกๆ อย่างบ้านบนต้นไม้ หรือหรูๆไปเลยอย่าง บนเรือยอร์ชราคาหลายสิบล้าน หากมีเจ้าของใจดียินดีมาแชร์ ให้เราเข้าไปนอนกันได้ก็สามารถนะครับ สำหรับที่พักญี่ปุ่นเราคิดว่าการพักบ้านแบบนี้มันช่วยทำให้เราได้อยู่ใน บรรยากาศแบบญี่ปุ่นกันจริงๆ เรียกว่าถึงญี่ปุ่นทั้งเที่ยว กินอยู่กันเลย
เหมาะกับใครบ้าง
ส่วนตัวคิดว่าเหมาะกับทุกคน เพราะที่พักมีทุกแบบตามแต่ Lifestyle การเดินทางของคนๆนั้น
วิธีการจองก็ง่ายๆเลย ครับ
1.เข้าเว็บไซต์ Airbnb.com หรือ ผ่านlink ของเรา https://th.airbnb.com/c/nonetwentytwo?af=3330312&c=one22_kol หากเราใช้facebook อยู่แล้วก็สมัครผ่าน facebook ได้แค่คลิ๊กเดียว ไม่ต้องกรอกให้ยุ่งยาก จากนั้นเราจะได้ ลิงค์ แบบผมข้างบนมา ข้อดีสุดๆเลยแค่สมัครสมาชิกคุณก็ได้ส่วนลด รวมๆ 800 บาทเศษเพื่อใช้จองต่อเลย แล้วหากแชร์ลิงค์แบบนี้ให้เพื่อน เราจะได้เงินเพื่อเอาไปลดราคาที่พักเราได้ต่อไปอีก อันหลังนี้เยี่ยมเลย
2.จาก นั้นก็พิมพ์เมืองที่คุณจะพักเข้าไปที่ช่อง หากรู้วันที่เข้าพักแน่นอนยิ่งดีเพราะจะเว็บก็จะได้เช็คห้องว่างให้แบบเดียว กับจองโรงแรมเลย
3.ที่พัก ที่ตรงกับเงื่อนไขของเราก็ขึ้นมาเพียบเลย หลังเลือกที่ถูกใจได้ก็เช็ควันที่เข้าพักอีกนิด แล้วก็ติดต่อกับ Host (เจ้าของที่พักที่เราจะไปใช้นั้นละ) อย่างกรณีเราเลือก โอซาก้าที่พัก ของ Airbnb เยอะและดีมาก เลือกดูจากภาพถ่ายได้เลย
4.เลือกได้ ตรงใจแล้ว ก็กดจองไปเลยตรงปุ่มสีชมพูข้างๆเลยครับ
5.จะ พามาจ่ายผ่านบัตรเครดิต ตรงนี้ละที่เราหากได้รับส่วนลดมาจากการจองผ่าน link ของเพื่อน จะเอามาใช้ได้ด้วยนะครับ และก็ดูตรงการจ่ายเงินได้เลยจะมีบวกค่าบริการและภาษีอีกนิดหน่อย จากนั้นกดจ่ายเงิน
6.สุดท้าย เราก็จะได้เมล์ตอบกลับจาก Airbnb และรอไม่นาน จะมี Message ส่งตรงจาก host อธิบายการเข้าพัก วิธีการเดินทางมาที่พัก แบบละเอียดมากๆ เราก็ Print ติดตัวไว้อธิบายกับ Taxi ตอนเราไปถึงได้ เลย จบแล้วง่ายมาก
มา ดูที่พักเราหน่อยเนื่องจากเราไปแบบครอบครัว เราเลยเลือกแบบ อพาร์ทเม้นท์ 2 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่นพร้อมครัว ย่านที่เราเลือกอยู่ใกล้ โดทนโบริ ระดับ เดินได้เลยไม่ถึง 10-15 นาที เพราะเราตั้งใจอยู่แล้วว่าจะมาเที่ยวย่านนี้ ข้อดีคือใกล้รถไฟฟ้าหลายสายเดินได้สบายๆ เห็นราคาอาจจะว่าแรงแต่ถ้าหารกันแล้วถือว่าคุ้มนะครับ ราคาระดับนี้ได้ทำเลนี้ด้วย
เข้า มาก็ประทับใจมากห้องมันเหมือนภาพที่เราเห็นใน เว็บเลย อะไรจะเป๊ะงั้น หลายๆคนคงเคยมีประสพการณ์เพ้อตามรูปที่พักที่มา พอมาถึงไม่เห็นจะตรงกันเลย ของเราโชคดีมาก Host เจ้านี้เค้ามีห้องพักเยอะมาก และเอามาปล่อยให้เช่าเลยมีการบริการทุกอย่างดีมาก เรียกว่ามีมาตรฐานเลย
ห้องนอนใหญ่มีแอร์ให้ใช้ 1 ห้อง แต่เอาจริงๆเลยนะเปิดแอร์ก็ห่มผ้าอยู่ดี เพราะตอนกลางคืนอากาศจะเย็นมาก
ห้องนอนเล็กครับ
กลับมาที่ครัวมีอุปกรณ์การทำอาหารให้ครบมาก วันที่เราอยู่มีการไปซื้อ ของสดมาทำกินกันในบ้าน คุ้มมากๆ
ห้องน้ำ และห้องอาบน้ำจะแยกกันและห้องน้ำสไตล์ญี่ปุ่นคือ จะเล็กและ Compact หน่อย อันนี้เพราะพื้นที่เค้าแพงครับทุกอย่างต้องบริหารจัดการ
แถมท้ายมีเครื่องซักผ้าให้เราใช้ได้ด้วย พร้อมกับผงซักฟอก ต่างๆมีเตรียมให้พร้อมสรรพเลย
สรุปสำหรับประสพการณ์การพักกับ Airbnb ครั้งแรกประทับใจมาก และคิดว่ามีโอกาสไปต่างประเทศก็จะใช้อีกแน่ๆครับ
การเดินทาง
สำหรับการเดินทางในเขตคันไซ นั้นที่สะดวกและปลอดภัยไร้กังวลกับเด็กๆและครอบครัวที่พาเด็กเล็กไปเที่ยวที่สุดก็ต้องยกให้ รถไฟครับ(จริงๆรถบัสก็ปลอดภัยเช่นกันครับ และบางบริษัทรถไฟก็จะมีรถบัสประกอปเข้าไปเชื่อมเส้นทางได้ด้วย) ทั้งรถไฟบนดิน ใต้ดิน รถไฟความเร็วสูง ในภูมิภาคคันไซหรือทั่วประเทศญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ดีและประหยัด รวดเร็วที่สุดแล้วละครับ
สำหรับใครที่ท่องเที่ยวอยู่ในเขตคันไซทั้ง 7 จังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดเด่นๆอย่าง โอซาก้า เกียวโต โกเบ นารา วากายาม่า การรู้จัก บัตรโดยสารรถไฟต่างๆไว้จะได้มีประโยชน์เวลาต้องเดินทางจริงๆจะได้ไม่งงครับ เอาจากที่ผมใช้ก่อน
บอกก่อนเลยว่ารถไฟต่างๆของประเทศนี้เยอะมาก และแบ่งแยกสายกันบางทีก็ไขว่เส้นทางไปมาชวนงงสุดๆครับ ผมขอไม่พูดถึงทั้งหมดเพราะไม่มีความรู้ขนาดนั้นแต่ขอพูดถึงที่เด่นๆและใช้เองจริงๆเท่านั้นครับ
กลุ่มสายของ JR เด่นๆ
1. JR Kansai Area Pass
2. JR Kansai WIDE Area Pass
กลุ่มสายรถไฟเอกชน ที่วิ่งเส้นทางทั้งแบบข้ามจังหวัดและแบบเฉพาะพื้นที่เท่านั้น
1. Kansai Thru pass
2. Osaka Unlimited Pass
ขอพูดถึงการซื้อตั๋วรถไฟก่อน จริงๆแล้วก่อนจะเดินทางไปผมหาข้อมูลว่าส่วนใหญ่จะแนะนำให้เราซื้อจากประเทศไปก่อนแทบทั้งนั้น บางคนให้เหตุผลว่าที่นู้นไม่มีขาย ไม่ขายคนในประเทศ ขายเฉพาะคนต่างชาติเท่านั้นบ้าง ไม่มีขายเลยบ้าง แต่จริงๆไม่ถูกนะครับ
ผมซื้อจากเมืองไทยก่อนไป เป็นแบบ 3 วันก่อน เป็น JR-West Rail Pass
เส้น JR Kansai Area Pass จริงๆราคามีตั้งแต่แบบ 1day ไปจนถึง 4 day แบบที่ผมใช้คือ 3 Day 5000 เยน พอไปถึงที่นู่น บัตร JR Pass ของเรายังใช้ไม่ได้ต้องไปติดต่อที่ Counter JR Central Center ที่สถานี Osaka Station ก่อนเพื่อให้เจ้าหน้าที่ออกตั๋วให้เราอีกที
หน้าตาจากแบบแรกก็จะเปลี่ยนเป็นแบบนี้ ที่ระบุวันเดินทาง ไว้ชัดเจน อ่อ ตัว JR จะใช้แบบติดต่อกันได้เท่านั้นนะครับ ข้ามวันไม่ได้นะ
สำหรับตั๋วแบบนี้ จะใช้เดินทางได้ในย่านเขตคันไซทั้งหมด ตามชื่อเค้าเลย ไปได้หมด 7 จังหวัด และที่สำคัญสามารถใช้ขึ้นรถไฟความเร็วสูงอย่างชินคันเซ็นได้ด้วย (กรณีที่ต้องการใช้ไปสุดทางในเขต West นะครับ หากไปต่อต้องซื้อตั๋ว แบบที่จะแนะนำต่อไป เช่น จะไป ฟูกุโอกะหรือ ฮิโรชิม่าแบบนี้)
อ่อตัวแบบนี้ยังสามารถใช้ JR bus (สังเกตุที่ข้างรถจะมีตัวหนังสือ JR คาดไว้เห็นแล้วขึ้นได้เลย)ได้ด้วยกรณีแวะไปเที่ยวย่านที่รถไฟไปไม่ถึงและต้องต่อบัสหากเป็นบัสของ JR เราสามารถใช้ตั๋วเดียวกันนี้ขึ้นได้ฟรีครับ
แบบต่อมาคือ JR Kansai Wide Area Pass อันนี้ละครับถือเป็น Pass ที่คุ้มมากเช่นกัน เพราะหากคุณๆต้องการเดินทางข้ามภูมิภาคเช่นต้องการไปเที่ยวคันไซ+ ฮิโรชิม่า แบบนี้ละใช่เลยเพราะมีคุณสมบัติเดียวกันกับ ตัว JR Kansai Area Pass แต่สามารถเพิ่มเมืองเด่นๆเข้าไปได้ให้สามารถนั่งไปนั่งกลับได้ น่าเสียดายแบบนี้ผมไม่ได้ซื้อใช้เพราะไม่รู็ว่ามีจนกระทั้งไปเห็นที่นู้น พูดแล้วก็เสียดายครับที่ไม่ซื้อแบบนี้ไว้ แต่ก็ใช่ว่าจะคุ้มไปซะหมดหากคุณวางแผนเที่ยวฮิโรชิม่าน้อยวัน มันก็จะดูไม่คุ้มเท่าไหร่นะครับเพราะเค้าขายแบบเดียวเท่านั้นคือแบบ 4 วัน 7,000 เยนครับ
แบบต่อมาเป็นของเอกชนนะครับ จะมีออกมาในแต่ละภูมิภาค คุณสมบัติคล้ายๆกันกับของ JR แต่ก็มีจุดแวะจุดลงต่างกันออกไปบ้าง เริ่มกันที่…
Kansai Thru Pass แบบนี้ชื่อก็บอกโต้งๆเลยเช่นกันว่าใช้ได้ในเขตคันไซเช่นเดียวกันกับ JR Kansai Area Pass สามารถใช้ต่อรถบัสของบริษัทเดียวกันได้ (สังเกตุด้านข้างรถไว้ครับจะใช้ชื่อเดียวกันกรณีไปจุดท่องเที่ยวที่รถไฟเข้าไม่ถึง) มีออกมาแค่ 2 แบบ เท่านั้นคือ 2 Day 4000 เยน 3 Day 5200 เยน ข้อดีแบบนี้คือ ไม่จำเป็นต้องวันติดกันครับสามารถใช้ข้ามวันได้ แต่ก็ยังต้องระบุวันใช้งานตามจำนวนวันที่ซื้ออยู่ดีนะครับ
Osaka Unlimited Pass อันนี้เน้นๆเลยครับใช้เฉพาะในเมืองโอซาก้าเท่านั้นและเน้นที่การใช้ Subway+ Bus ซึ่งเป็นข้อดีมากๆที่อยากแนะนำหากจะใช้เฉพาะในโอซาก้า มีข้อควรรู้ก่อน 2 ข้อเลยคือ
1.เป็นแบบที่ใช้เดินทางจากสนามบินคันไซ เข้าเมืองโอซาก้าได้ด้วย(สาย Nankai Railway) จึงเป็นแบบที่น่าสนใจทันที เสียดายที่แบบจะเป็นแบบที่ออกมาทีหลัง (Extended Version) จะมีออกมาแบบ 1 Day เท่านั้นที่ราคา 2300 เยน เพราะการนั่งรถไฟเข้าเมืองยังไงก็สะดวกและรวดเร็ว ประหยัดที่สุดแล้ว จึงเหมาะกับคนที่ใช้เที่ยวใน 1 และลงที่สนามบินคันไซ จึงดูคุ้มมากๆครับ
2. แบบปรกติโดยตัว Pass นี้มีออกมา 2ราคา คือแบบที่ 1 day 2,000 เยน ,2 day 2700 เยน ใช้เดินทางโดย รถไฟใต้ดิน (Subway) + Bus แต่จะใช้สาย Nankai Railway ที่วิ่งออกจากสนามบินจะไม่ได้ครับ แบบนี้เหมาะกับคนที่อยากเที่ยวอยู่ในเมืองโอซาก้าเป็นหลักไม่ได้ไปไหน จะเหมาะที่สุด นอกจากนี้ยังมีแบบ เมืองอื่นๆเฉพาะแบบเดียวกันเช่น Hanshin, Hankyu, Kintetsu etc.
หมดแล้วครับทีผมอยากแนะนำจริงๆ pass ของคันไซยังมีอีกมากนักใครอยากรู้ทั้งหมดแนะนำเข้าที่เว็บนี้นะครับ
สำหรับ JR Pass ทุกแบบ http://www.westjr.co.jp/global/en/
สำหรับสาย Kansai Thru Pass http://www.surutto.com/tickets/kansai_thru_english.html
สำหรับสาย Osaka Unlimited http://www.osaka-info.jp/osp/en/index.html
ตั๋วเครื่องบิน
ตั้งแต่ Thai AirAsia X เปิดเส้นทางบินตรงไปกลับ จากกรุงเทพฯ – โตเกียว(DMK-NRT) และ กรุงเทพฯ- โอซาก้า (DMK-KIX) ในราคาเอื้อมถึงคือไม่ถึงหมื่นบาทก็บินได้แล้ว (ช่วงเปิดตัวครั้งแรกราคาแรงมากไปกลับรวมทุกอย่างแล้วไม่ถึง 6 พันเลย โอ้ววแม่เจ้ากันทีเดียว ) บอกเลยว่าคนไทยน่าจะมีความสุขขึ้นมาก นับตั้งแต่เริ่มบินตั้งแต่1 กย 2557 เป็นต้นมา
เพราะในเวลาแค่เพียง 5 ชั่วโมงเศษ เราก็มายืนยิ้มกันได้ที่สนามบินคันไซ สนามบินกลางทะเลของ เขตภูมิภาคนี้
ตอน ขาไปเนื่องจากเราเลือกไปลงฟูกุโอกะก่อน กับ Jet Star ทำให้พลาดได้ลองนั่งขาไป แต่ขากลับผมก็พบว่า ระหว่างเครื่อง Airbus 320 ของสายการบิน JetStar ที่บินไปลงฟูกุโอกะมันต่างกันจริงๆ(แน่ละนะเพราะมันคนละรุ่นกันเลย) ตอนขาไปผมค่อนข้างทรมานพอสมควร เนื่องจากผมสูง 180 cm. เวลานั่งนานๆระดับเกิน 6 ชั่วโมงโหดทีเดียว แถมมีปันไปด้วยโชคดีว่าปันหลับตลอดทางไม่ส่งเสียงรบกวนใครเท่าไหร่
แต่ สำหรับขากลับ เรากลับกับ Thai AirAsia X เป็นเครื่องรุ่นเดียวกันกับ ที่ไปเกาหลีใต้ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้แล้ว คือ Airbus A330-300 ขนาด 377 ที่นั่ง จัดที่นั่ง Economy ปรกติเป็นแบบ 3-3-3 (แถวหลังๆท้ายลำจะเป็น 2-3-2) ตอนขากลับจาก โอซาก้าของ Thai Airasia X ช่างต่างกันมาก เพราะทั้งขนาดเครื่อง ขนาดที่นั่ง การเว้นช่วงขา ปรับเอนหลัง มันต่างกันมากจริงๆ ขากลับ หากคุณเจอเครื่องว่างๆโล่งๆ สามารถพับ ที่วางแขน เหยียดขานอนยาวๆ น้องแอร์เค้าก็ไม่ว่าแต่อย่างใดนะครับ
ที่ สำคัญหากคุณจอง ตรง Quiet Zone ก็จะได้รับการพักผ่อนที่ดีขึ้นไปอีกเพราะ การเปิดปิดไฟก็ดีเค้าจะใช้แสงสีฟ้าช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น แต่โซนนี้ไม่เหมาะกับครอบครัวที่พาเด็กเล็กๆไปด้วยเพราะเค้าห้ามเด็กเล็กๆ นั่ง (เหตุผลก็น่าจะรู้มีเด็กมีความเสี่ยงที่จะเสียงดังได้ไม่งั้นก็ไม่สามารถจะ เป็น Quiet Zone แน่ๆ)เพราะงั้น หากเอาเหมือนบ้านเรา คือเราเลือกตรงช่วงหลังๆเลยครับ คนจะน้อยมาก ที่สำคัญหากคุณเลือกกลับในช่วงเวลาที่ไม่เต็มแล้วสวรรค์ดีๆนี่เอง นอนหลับเหยียดขาได้เลย
ขาก ลับผมสั่งอาหารกินบนเครื่องด้วยตั้งแต่ตอนจอง ส่วนนึงคืออยากรู้ว่า อาหารจะต่างกันไหมกับ เวลาบินปรกติกับ Thai AirAsia ธรรมดา สรุปว่าก็ไม่ต่างนะครับแต่เมนูอาจจะไม่เหมือนกันเป๊ะๆ เท่านั้นเอง ให้ดีสั่งก่อนทางออนไลน์ประหยัดกว่าเยอะนะครับ
การเดินทางเข้าเมืองจากสนามบินโอซาก้า
อย่างที่ทราบกัน เครื่องบินตรงจาก ดอนเมืองไปลง สนามบินคันไซ เวลาไม่ดีนัก (16.25-23.50 น.) และ ขากลับจาก คันไซ-กรุงเทพฯ (01.00-05.00) หลายๆคนจะกังวลว่าแล้วชั้นจะเข้าเมืองได้ไหม กรณีนี้มีคำตอบแล้ว หลังจากที่เปิดไฟลท์ลง สนามบินคันไซ ทางสนามบินได้เพิ่ม รถเพื่อรองรับการเดินทางเข้าเมือง ที่เรียกว่า Limousine Bus จากสนามบิน วิ่งเข้าเมืองหลักๆอย่างโอซาก้า ได้
โดยเมืองคุณผ่านตม.ออกมา ที่ Terminal 1 แล้วอาจจะต้องออกแรงวิ่งกันสักนิดนึงไปที่ Gate ในบริเวณ ชั้น 1 จะมีรถบัสออกตอน 00.45 น. และรอบสุดท้าย ตอน 01.45น. พาเราไปยังสถานที่หลักๆในเมืองลงที่สถานีรถไฟ Osaka Station (Umeda) ราคาตั๋วเที่ยวเดียวอยู่ที่ 1550 เยน แม้ Couter จะปิด ตอน 5ทุ่มแต่เราก็ยังใช้ตู้อัตโนมัติตรงบริเวณ Gate ซื้อตั๋วได้อยู่ครับ
อันนี้เป็นตัวอย่างสองสถานีหลักๆเข้าโอซาก้านะครับ
<To Umeda > Terminal 1 Gate 5
เที่ยวแรกหลังเที่ยงคืน ออกตอน 00:45 Dep → Umeda(จอดหน้าโรงแรม Hotel Hankyu Annex)
เที่ยวสุดท้าย ออกตอน 01:45 Dep → Umeda(จอดหน้าโรงแรม Hotel Hankyu Annex)02:43 Arrives
เที่ยวสุดท้าย ออกตอน 01:45 Arrives → Umeda(จอดหน้าโรงแรม Harbis Osaka)02:52 Arrives
<To Namba> Terminal 1 Gate 5
เที่ยวสุดท้าย หลังเที่ยงคืน ออกตอน 00:30 Dep → Namba station 01:24 Arrives
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดการเดินรถบัสเข้าเมืองได้จากเว็บนี้เลย http://www.kate.co.jp/pc/e_time_table/e_time.html
เลือกสถานีที่จะไปลงก็จิ้มที่ชื่อสถานีนั้นเลยอธิบายไว้หมดแล้ว
ตอน วันกลับ ผมลองเดินสำรวจมาแล้วแต่เนื่องจากเราต้องเข้า Gate ก่อนรถที่มารอรับยังไม่มา (00.10น.) ก็ดูตำแหน่งจากประตูทางออกหลังผ่าน ตม.มา ไม่ไกลนะครับน่าจะทันแน่ๆ ให้ดีหากของไม่เยอะ ก็อย่าโหลดของใต้เครื่องครับ หากจะให้ทัน กันจริงๆ
*** ตอนวันเดินทางรอบหลัง มีโอกาสได้ใช้จริงๆแล้วครับ รถหลังเที่ยงคืนเข้าโอซาก้าทั้งหมดจะมารวมที่ Gate 5 ผ่านตม.+ กระเป๋ายังสามารถออกมาทันรถเที่ยว 00.30 น.ได้สบายๆครับ และรถก็ไมไ่ด้มีคันเดียวด้วยกรณีที่คนเยอะ เค้าจะมีรถสำลองวิ่งออกมารับต่อเลยจากคันแรกเพราะงั้นไม่ต้องกังวลใดๆในการ ลงเครื่องเวลานี้ครับ
ภาพจาก Princess of Napier ถ่ายไว้ขอบคุณมากครับ
ขอขอบคุณจากใจ
ทริ ปนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้เลยหาก ผมไม่ได้ไปร่วมในงาน AirAsia Party Blogger และในงานมีการจับรางวัลสำหรับผู้เข้าร่วมในงาน และสายลมแห่งความหวังดี ก็พัดตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-ญี่ปุ่นมาให้ เชื่อไหมครับตั้งแต่เกิดมา ซื้อล็อตเตอร์รี่ไม่เคยถูก จับฉลากอะไรได้รางวัลโหล่ๆมาตลอด หนนี้เป็นครั้งแรกที่โชคดีเข้าข้างตัวเองจริงๆซักที หากไม่ได้ตั๋ในวันนั้น ทริปนี้ก็คงไม่มีวันเกิดขึ้นได้แน่ๆครับ ขอบคุณ Thai AirAsia X สำหรับของรางวัลนี้จริงๆครับ
ท้ายนี้ก่อนจบ
ทริปนี้เป็นอีกทริปที่เราตั้งใจตั้งแต่ก่อนเดินทางว่าจะกลับมารีวิวให้ อ่านกันโดยเฉพาะกับคุณพ่อคุณแม่ลูกเล็กทั้งหลาย หวังว่าตอนนี้จะช่วยให้ทุกๆคนสามารถเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางแบบครอบครัว พาลูกเที่ยว แบบเราบ้าง หากอ่านมาถึงตรงนี้ได้ พวกเราไม่หวังสิ่งใดมากนักนอกจากคำทักทาย รีวิวหน้าจะเป็นตอนจบมีที่เที่ยวอีกหลายแห่งที่อยากหยิบมาเล่ากัน รีวิวหน้าจะไปที่ไหนบ้าง โปรดติดตามนะครับ
1 Comments
Pingback: Let's Sketch Go JAPAN:XL SIZE #1