“เช้านี้โชคดีแล้วววว…. หวันขึ้น โผล่พ้นขอบฟ้ามาให้เห็นแบบนี้” ผมตะโกนเป็นภาษาใต้ที่เพิ่งรู้มาเมื่อเย็นวาน อยู่ในหัวตัวเองดังๆ ขณะที่มือก็กำลังรัวสายลั่นชัตเตอร์ อยู่คนเดียว
………….. ( “หวัน” ในภาษาปักษ์ใต้ หมายถึง ตะวัน หรือ ดวงอาทิตย์ “ หวันขึ้น” จึงหมายถึง ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้านั้นเอง )…………..
5.30 น.
ผมตื่นเช้าๆแบบนี้เข่นเคย ต้องถือเป็นข้อดีที่สุดของการเลือกมาพักที่ หาดหินงาม ก็คือ การได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าแบบง่ายๆเดินกันไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้วนับว่าโชคดีมากๆ
ภาพ หวันขึ้นริมขอบฟ้าดูกี่ครั้งไม่เคยเบื่อเลย ผมรำพึงกับตัวเอง ขณะกำลังปีนป่าย ไปตามโขดหินที่รื่นและเป็นมันด้วยความทุลักทุเล
มือข้างนึงถือข้างตั้งบวกกล้อง อีกข้างจับกระเป๋าสะพายใบใหญ่ ยังนึกบ่นๆตัวเองอยู่ว่าไหมไม่วางมันลงไปซะ
หาดหินงาม ไม่ได้งามแค่หินเท่านั้น…
ทะเลและชายหาด ก็งามไม่แพ้กันเลย ตลอดเวลาที่พักอยู่หาดนี้ โชคดีที่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นแม้จะไม่เต็มใบแต่ก็ยังได้เห็นแสงแรกแว็บฝ่า เมฆออกมาจนได้
หาที่ตั้งหลักเหมาะได้ จับเป็นแบบซะเลย …
พระอาทิตย์ขึ้นเช้านี้ พิเศษกว่าทุกเช้า
ผมมักจะถือเป็นฤกษดี ทริบไหนก็ตามที่อยากได้แดดสวยๆ ฝนไม่มีตลอดการเดินทาง
การได้เริ่มต้นวันใหม่ และได้แสงพระอาทิตย์อาบตัวยามเช้าคิดบวกกันตัวเองได้ง่ายๆว่า.. “ทริบนี้ผมน่าจะได้พบอะไรดีๆแน่ๆเลย”
ผมบอกตัวเองแบบนี้… บอกตัวเอง ในเช้าวันที่ 2 ของการเดินทางลงใต้มายังอำเภอชื่อสั้นแสนเพราะอย่าง “สิชล” กับจังหวัดที่เคยแค่ผ่านๆอย่าง “นครศรีธรรมราช” ในทริบลงใต้เมื่อหลายปีก่อน
และวันนี้ผมจะพาเพื่อนๆ พี่ๆ ลุง ป้า น้า อา อากง อาม่า ฯ ทุกๆท่านไปเที่ยวด้วยกันกับปันปัน และครอบครัว one22 ของเรากันครับ
………………….
ทริบ เมืองคอนหนนี้ นอกจากที่เที่ยวแล้ว มีสิ่งนึงที่ผมพบหลังจากกลับมา จนมานั่งทบทวนว่าเราประทับใจอะไรมากที่สุด คำตอบอยู่ที่ จั่วหัวไว้เลยครับ “รอยยิ้ม” นั้นเอง
ทุกๆที่ที่ผมไป…
ทุกๆครั้ง ที่ผมยกกล้องถ่ายภาพขึ้นมา… พร้อมขอเก็บภาพคนตรงหน้า
ไม่นับรูปถ่ายวิวทิวทัศน์…
ที่เหลือล้วนแต่มีแต่ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส แบบที่เราเอง ก็อดแปลกใจไม่ได้
คุณน่าจะนึกออกเวลาคนใต้เค้าทำหน้านิ่ง หน้าจะดูดุมากๆจริงไหมครับ แต่พอยิ้มเห็นฟันขาวเท่านั้นล่ะ วินาทีก่อนหน้านั้นก็หายไปทันที พร้อมๆกับมิตรภาพก็เข้ามาแทนที่
หนนี้ผมจะพาคุณๆทัวร์แบบยิ้มๆไปด้วยกันกับผมครับ
พร้อมแแล้วหลังบรรทัดนี้ไปขอเชิญไปสัมผัสชีิวิตแสนเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์…
ยิ่งหากเมื่อคุณๆได้มาสัมผัสด้วยตัวคุณเองคุณอาจจะต้องรีบแพ็คกระเป๋าลงใต้กันเลยก็เป็นได้ครับ
ก่อนจะไปเที่ยวกันฟังเพลงกันหน่อย “สิชล” คุ้นๆว่าเคยได้ยินคำนี้มาจากไหน มาถึงบางอ้อเอาตอนค้นๆเพลงนี่เองครับ เสียงอาเศรษฐา Classic ตลอดกาลจริงๆ
จุด Start : สนามบินสุวรรณภูมิ
ขอเริ่ม start กันที่แถวๆที่เช็คอินของสายการบินเจ้าประจำบ้านเราไปแล้วละครับ กับ Airasia
หนนี้เป็นถือเป็นนัดสั่งลาของปันปัน สำหรับที่สนามบินสุวรรณภูมิฯ หนหน้ากับตั๋วสารพัดโปรฯที่จองไว้อีกเพียบ พ่อจ๋าแม่จ๋าจะพาหนูไปบินกันที่ดอนเมืองกันต่อ แล้วล่ะ
ปันปันคึกคักมากกกกกกกก เป็นพิเศษ วิ่งให้ทั่วไปหมดเลย สงสัยรู้ตัวจะได้เที่ยว
ดูจะฟิตเต็มที่ แน๊ะ จะถ่ายแม่ยังแอบโผ่ลมาเข้ากล้องด้วยนะเนี่ย ( ^ o ^ )
รอไม่นานก็ได้ขึ้นเครื่องเป็นรายแรกๆครับหนนี้ Upgrade ที่นั่งเป็น Hot Seat อีกรอบ ติดใจตั้งแต่คราวก่อนแล้วครับ ใครมีลูกเล็กๆเข้าใจได้แน่นอน
แนะนำว่าถ้าคิดจะซื้อที่นั่ง Hot Seat แล้วตอนจองให้เลือกแถวแรกเลย ที่นั่งกว้างดีมาก
ปันปันวิ่งไปวิ่งมาที่ยังเหลือๆ ดูเอาเองว่าเจ้าตัวเค้าหนุกขนาดไหน นานๆพ่อจะใจดีพานั่ง Hot Seat กะเค้าซะที
เสียตัง upgrade แล้วถ้าไม่อยากเสียเพิ่มเติมไปอีก ให้พยายามกล่อมเจ้าตัวเล็กของเราให้หลับก่อนที่น้องแอร์ยิ้มหวานๆจะถือของชำร่วยจากสายการบินมานะครับ
แฮ่มม…ไม่งั้นเสียตังหลายรอบแน่ๆ ดูจากภาพได้เลยอันนี้ ควักกันไปตามอัธยาศัยครับ
หลังเครื่องแตะรันเวย์ สนามบินนครศรีธรรมราชเป็นสนามบินเล็กๆไม่ใหญ่ ดูๆไปคล้ายกับสนามบินสุราษรฯที่เราลงบ่อยๆ จะต่างกันที่ขนาดที่ของนครฯ อาจจะเล็กกว่า
gate เข้าและออกมีอย่างละประตูเท่านั้นละครับ
เข้ามาก็พบว่าที่นี่กำลังปรับปรุงอาคารกันอยู่ สภาพก็เลยเป็นอย่างที่เห็น สายการบินก็มีอยู่อยู่ 2 สาย
ในขณะที่รีวิวนี้ เป็นของภายในประเทศทั้งคู่ คือ Airasia และ Nok Air
แต่ผมสังเกตุเห็นห้องจองพร้อมป้ายชื่อของ Thai Orient Airway ด้วยแต่เหมือนจะยังไม่เปิด ยังไม่แน่ใจหากสนามบินเสร็จเราอาจจะได้เห็นอีกเจ้ามาลงที่นี่เพิ่มเป็นอีกทางเลือกก็เป็นได้ครับ
ขนาดที่รับกระเป๋ายังแสนกันเอ๊ง กันเองเลย น่ารักดีครับ
หลังรับรถเช่า หนนี้ผมเลือกใช้บริการของ Avis อาจจะเป็นเจ้าเดียวที่ไปออกงานไทยเที่ยวไทยและมีรถให้เช่าจากสนามบินเมืองคอนได้เลย อันนี้เป็นข้อดีและก็ไม่มีตัวเลือกอื่นๆด้วย รถเล็กๆเหมาะกับเราดีครับ ตอนรับรถไมไ่ด้ถ่ายไว้
มาถ่ายตอนใช้แล้ว รถเล็กเหมาะกับคนตัวเล็กๆอย่างนักซิ่งตัวน้อยๆคนนี้ ดูซะก่อน ใครจะไปซิ่งกับปันปันบ้างไหมฮับบบ ^ ^
รู้จักกันสักนิด
ก่อนจะเที่ยวมารู้จักอำเภอนี้กันหน่อย ดีไหม ค้นๆกันดูหาข้อมูลอำเภอได้น้อยมากๆ ถ้าเทียบกับตำบลที่ชื่อเดียวกัน
สรุปได้ว่าอำเภอสิชลถูกจัดตั้งกันมานานมากแล้วครับตั้งแต่ตั้งเมืองนครฯก็ว่าได้ แต่ถูกจัดตั้งเป็นอำเภอในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. 116
สิชลมีคำขวัญด้วยนะครับ ตามนี้เลย: สิชลเมืองโบราณ ถ้ำพิสดาร ธารสะอาด หาดหินงาม น้ำตกสวย รวยทรัพยากร
มาถึงตำบลสิชล: เดิมมีคำเล่าขานต่อๆกันมาว่าเป็นชายฝั่งทะเลที่เป็นแหล่งเรือสำเภาหยุดเทียบท่า เพื่อนำสินค้าล่องเข้ามาจำหน่ายและผ่านไปสู่ตัวจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งชาวจีนที่ล่องเรือมาจะเรียกว่า ที่ชล (ชายฝั่ง) ชาวบ้านจึงเรียกต่อ ๆ กันมาว่า “สิชล” ตำบลสิชลมีจำนวนหมู่บ้านทั้งหมด 10 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ 1 บ้านตลาดสิชล หมู่ 2 บ้านนาลึก หมู่ 3 บ้านปากน้ำสิชล หมู่ 4 บ้านนาขอม หมู่ 5 บ้านบางฉาง หมู่ 6 บ้านเขาเปลือกไม้ หมู่ 7 บ้านสระสี่มุม หมู่ 8 บ้านคลองพอ หมู่ 9 บ้านดอนนาม หมู่10 บ้านคลองตาโป
สิชล เป็นอำเภอทางตอนเหนือของจังหวัดอยู่ติดกับอ.ขนอม เป็น อ.ที่น่าเที่ยวไม่แพ้ที่ไหนๆของภาคใต้เพราะมีชายหาดยาวเป็นโค้งเว้าติดต่อกันนับหลายกิโลเมตร แบ่งเป็นชายหาดชื่อต่างๆกันยาวต่อกันเป็นช่วงๆ อย่างหาดอันเป็นที่พักของเรา “หาดหินงาม” ที่งามสมชื่อจริงๆ ผมถ่ายหินสวยๆได้ก็เพราะหาดนี้นั้นเอง
ตลอดทริบนี้เราพักกันที่นี่ครับ ” สิชลคาบาน่าบีช รีสอร์ท “ ที่พักราคาไม่แพงเลยถ้าเทียบกับวิวที่ได้ นับเป็นที่พักแรกๆของหาดนี้ก็ว่าได้ จากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก จากบ้านสไตล์ไทยๆทรงประยุกต์ ประมาณ ยกหัวหินสมัย คุณแม่ยังสาว
เห็นแบบนี้บ้านนี้มีตำนานเก๋ๆเชียวละ ว่ากันว่าแต่ก่อน “บ้านคิดถึง” หลังนี้ไม่ได้ตั้งอยู่ที่นี่นะครับ ยกมาจากที่ดินอีกที่ เอามาตั้งที่นี่
หรือที่เมื่อก่อนเราเรียกกันว่า ยกบ้าน นั้นล่ะ แต่นี่เป็นการยกกันจริงๆเลยคร้บ ยกมาตั้งทั้งหลังแบบที่เห็นอยู่
บ้านแบบนี้มีอยู่ 2 หลังที่ยังคงเก็บไว้แต่ Renovate ภายในใหม่ หมด มีทั้งแอร์ น้ำอุ่น ทีวี LCD ซ่อนอยู่ให้นักท่องเที่ยวได้แปลกใจเวลาเข้าไปชมด้านใน
ใครจะคิดละจริงไหมข้างนอกออกจะดูแบบไทย ขนาดนี้…
มาถึงบ้านในสไตล์ร่วมสมัยแบบรุ่นลูกอย่าง “คุณปาล์ม” จนได้บ้านพักเท่ๆแบบนี้กัน ไว้จะรีวิวแยกต่างหากออกมาอีกทีดีกว่าไม่งั้นรีวิวนี้ยาวแน่ๆ
วันแรกของครอบครัวเราไม่ได้ออกไปไหนเลยมาถึงก็เย็นมากๆแล้วเลยได้แต่เก็บภาพดาวสวยๆ ในคืนแรกที่ชายหาดมาฝากกัน
จะว่าไปเป็นอีกที่ๆเหมาะจะมาชมดาวในวันฟ้าเปิดมากๆ
ขอรวมภาพท้องฟ้ากับดวงดาวตลอดสองคืน ที่หาดหินงามมาให้ชมกัน ได้ชมดาวเต็มฟ้าขนาดนี้ ถือว่าคุ้มค่ากับการเดินทางมาแล้วละครับ
และในมื้อค่ำคืนนั้น ปันปันเองก็พบเพื่อนในวัยใกล้ๆกัน ที่มาพักกับครอบครัว ดูจะสนุกสนานกันดีทีเดียววิ่งกันให้ทั่วรีสอร์ทเลย ^ ^ ”
🙂 รอยยิ้มแรกแย้ม: ตลาด เช้า หรือ ตลาดสิชล(เสาร์-อาทิตย์)
ผมเก็บภาพพอหอมปากหอมคอ ก่อนจะขับรถออกไปชมตลาดเช้าของที่นี่กัน ว่ากันว่าหากเราอยากจะรู้จัก ที่กิน ที่เที่ยว ที่ไหนให้ถึงที่แล้ว ให้ไปเริ่มต้นกันที่ตลาด และผมก็เชื่อตามนั้น…
ตลาดเช้าของชาวบ้านย่านนี้มีสองแห่งเปิดปิดไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นวันธรรมดาก็ห่างจากรีสอร์ทมาไม่ถึงกิโลดี อยู่บริเวณ สามแยกก่อนเข้าหาดหินงาม
แต่ถ้าเป็นเสาร์-อาทิตย์แล้ว ตลาดเช้าจะย้ายออกไปเปิดกันด้านหน้าตรงทางสามแยกก่อนเข้าอ.สิชลนู้นนนเลย เปิดกันตั้งแต่ตี 5 ก็ตั้งร้านกันแล้ว
ว่าแล้วก็ไปดูกันครับ…
รอยยิ้มแรกๆในตลาดเช้านี้ผมได้จากพี่ที่ขาย “เคย” หรือกรุงเทพฯ รู้จักกันดีว่า กะปิ นั้นละครับ ตอนแรกหน้าแกนิ่งมากๆ จนผมลังเลที่จะเข้าไปถามและคุยด้วย แต่เพียงแค่เราเอ่ยปากเท่านั้น
อะไรดีๆก็เปิดออกหมด เลยได้ทราบว่าพี่เค้าขายมานานมากแล้วขายตั้งแต่ยังสาวๆเป็นสิบๆปี พอๆกับที่ตลาดเช้าแห่งนี้เปิดกันมานานมากกว่า 20 ปีได้
และมาที่เมืองคอนฯ อย่าพลาดชิมขนมประจำเมืองอย่าง “ขนมลา” กัน หากินได้ง่ายมากๆ ทั้งในสิชล และแทบจะทุกอำเภอ
ถ้ารู้วิธีการทำคุณอาจจะต้องชมในความอดทนกว่าจะได้มาเป็นขนมลาเป็นแผ่นๆแบบที่เห็น
คนเมืองคอนถือว่า “ขนมลา”เป็นขนมที่แสดงถึงศิลปะการผลิตที่ประณีตบรรจงอย่างยิ่ง ส่วนผสมทำจากแป้งข้าวเจ้า ผสม น้ำผึ้ง แล้วค่อย ๆ ละเลงลงบนกระทะน้ำมันที่ร้อนระอุ กลายเป็นแผ่นขนมลาที่มีเส้นเล็กบางราว ใยไหม และสอดสานกันเป็นร่างแห ดูเหลืองน่ากินจริงๆครับ พี่เค้าใจดีให้ชิม ชิมดูแล้วก็อร่อยดี และที่นี่ ผมก็ได้เก็บ “รอยยิ้ม” พี่เค้ามาอีกครั้ง ^ ^
เดินตลาดรู้จักผู้คน อยากรู้อะไร มีร้านอร่อยที่ไหน หรือ ที่เที่ยวที่ไหนน่าไป ที่นี่ละครับแหล่งความรู้แบบยอดเยี่ยมที่สุดที่นึงเชียวละ
อย่างพี่คนนี้ให้ข้อมูลการเดินทางตลอดจนแนะนำจุดแวะต่างๆจนผมต้องจดกันเลย น้ำใจคนไทยไม่มีแห้งแล้งจริงๆ
รอยยิ้มถัดมาเป็นของพี่สาวขายขนม พี่เค้าเป็นคนกรุงเทพฯที่ย้ายมาอยู่นครแต่กลับเป็นอีกที่ใจดีให้ข้อมูล ที่เที่ยวต่างๆกับผมเยอะมากๆ
ขอบคุณจากใจจริงๆครับ ^ ^
ผมค่อยๆเดินสำรวจไปเรื่อย จนเจอพี่คู่นี่ ที่ขายเครื่องแกงดูน่ากินดี แม้จะไม่ซื้อของพี่เค้า
พอขอถ่ายภาพ พี่ผู้ชายตอนแรกดูเหมือนหน้าจะดุๆ แต่พอยิ้มเท่านั้นล่ะ ก็อย่างที่เห็นเลย คนใต้ยิ้มเห็นฟันขาวๆทีไรผมละชอบจริงๆขอบคุณพี่ๆมากเลยครับ
เดินถัดมาเจอคุณป้าขายของหากินยากอีกอย่างแล้ว คนที่นี่เค้าเรียกว่า “ยาร่วง” เห็นชื่อแบบนี้ ไม่ใช่ยาที่ไหน
เป็นขนมทำจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ราดด้วยน้ำตาลเคี่ยวเหนียวๆรองด้วยใบมะม่วงเอง
รองเพื่อไม่ให้มันติดกัน ชิมแล้วอร่อยแบบติดฟัน ดูคล้ายๆเมี่ยงคำหรือจะเรียกว่าเป็นเมี่ยงคำแบบคนเมืองคอนก็ว่าได้
เดินเรื่อยๆมาจนพี่ร้านขายขนมร้านนี้ ทั้งถูกแล้วยังแถมอีก น่ารักมากๆขนมแกก็อร่อย ขนมในห่อสีเทาๆนั้นเป็นขนมพื้นถิ่นของที่นี่ ผมจำชื่อไม่ได้รู้แต่ว่าถ้าเจอที่ไหนจะต้องซื้ออีกแน่ๆ
เพราะอร่อยมากๆ และถูกจริง ขนมหวานแม่ค้าก็ยังยิ้มหวานด้วยนะ 🙂
อันนี้ตะโก้ร้านพี่เค้า อร่อยไม่แพ้ในกรุงเทพฯทีเดียวแต่ราคานี่มั่นใจว่า 5 บาทในยุคนี้ในเมืองกรุงคงหาได้ยากเต็มที
ขนมบางอย่างเรียกเหมือนกันบ้าง ไม่เหมือนกันบ้างแต่ก็มีที่มาจากวัตถุดิบแบบเดียวกัน อย่างในถาดนี้เห็นแพ็คเก็จแล้วสะดุดตา
ถามไปถามมาก็คือข้าวต้มมัดแบบคนใต้ ทีแรกว่าจะซื้อกลับมาซักหน่อย สุดท้ายเดินเพลินจนลืมจนได้ ใครไปใต้ชิมแล้วมาบอกกันมั่งนะครับ
รอยยิ้ม ถัดมา ได้จาก ร้านน้ำปั่นรถเข็นแสนน่ารัก เห็นกระปุกจอดเรียงๆกันแล้วชอบครับ หลากสีสันเห็นแล้วนึกถึงสมัยเด็กๆ ชอบมากร้านน้ำปั่นประมาณนี้เลยแก้วนึง กำเงิน 10 บาทได้แก้วใหญ่ดูดกันเย็นขึ้นจมูก
เข้าคิวต่อกับเจ้าหนูคนนี้เลย ขอหนึ่งยิ้มนะจ๊ะ ยิ้มยากแต่ก็ไม่วิ่งหนี โตขึ้นอาจจะได้เป็นดารา ก็ได้พี่ขอเก็บภาพเผื่อไว้ก่อนเลยนะ ^ _^
มาใต้ไม่เจอ “สะตอ” ก็คงจะแปลกๆ มองไปทางไหนก็เจอแขวนอยู่เรียงรายเต็มไปหมดหากินได้ง่ายๆ มาก
อันนี้เป็นหยวกกล้วยครับทำม้วนห่อสวยเชียวละเค้าเอาไปใส่แกงกัน คุณป้าคนนี้แกถามผมด้วยสำเนียงคนใต้ว่า “ถ่ายไปทำม่ายยเนี่ยยย “ (โปรดอ่านแบบสำเนียงใต้หน่อยๆนะจะน่ารักมากๆเลย) ผมตอบแบบใจคิดเลยถ่ายไปให้คนมาเที่ยวสิชลเยอะๆไงครับ และก็ขอถ่ายคุณป้าด้วยเลย เท่านั้นละ แกยิ้มยิงฟันแฉ่งแบบนี้ละครับ น่ารักมากๆเลย
อาหารทะเลก็เยอะครับ โดยเฉพาะประเภทปลา เยอะและถูกมากๆ เสียดายยังพึ่งวันแรกๆไม่เหมาะจะพกพาไปด้วยเลย พี่สาวคนนี้ทีแรกหันหลังให้แต่พอแนะนำตัวเราเท่านั้น แกยิ้มให้แบบนี้ละครับถึงเขินแต่ก็สู้นะจะบอกให้ 🙂
ดูของกินกันเยอะแล้วมาดูฝั่งของใช้กันบ้างตลาดเช้ามีทุกอย่างจริงๆ ของใช้ก็เป็นประเภท ของขายเบ็ดเตร็ด ของเล่นเด็กๆ เสื้อผ้าก็มี
อย่างร้านพี่คนนี้ แกก็ขายมานานนับสิบปีแล้วเช่นกัน เห็นแบบนี้แกรู้จักกรุงเทพฯดีมากเลยนะครับ เพราะลูกชายแกทำงานกรุงเทพฯ บอกชื่อที่ไหนไปแกรู็จักหมด
น่ารักจริงๆเลย และก็ไม่ลืม ขอเก็บรอยยิ้มจากทั้งพี่เค้าและพี่ลูกค้ามาด้วย คุ้มค่าจริงๆ ขอบคุณพี่ทั้งคู่มากครับ
7-11 ประจำตลาด ของถูกดีนะ
มาถึงที่สุดของรอยยิ้มประจำตลาดนี้ที่ผมต้องยกให้ เลย ได้แก่หนูน้อยคนนี้ แกยิ้มได้น่ารักน่าชังเหลือหลาย
ยิ้มทั้งหน้า ทั้งตากันเลย ทีแรกก็เขินจนม้วนหน้าม้วนหลัง อาจจะเพราะผมก็กวนเวลาหม่ำข้าวของแกอยู่ ก็เป็นได้ น้าขอโทษนะจ๊ะ
จริงๆของกินของขายมีมากมายมากๆ พื้นที่รีวิวนี้อาจจะยาวมากจนไม่ได้เที่ยวที่อื่นๆแน่ บอกกันตรงนี้เลยว่าสำหรับคนต่างถิ่นแล้วหากอยากมาเที่ยวสิชลแล้ว สมควรมาเดินตลาดเช้า เสาร์-อาทิตย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่ว่าจะซื้อของฝากก็ดีหรือจะซื้อของกินพื้นถิ่น ที่ตลาดนี้มีทุกอย่าง และเปิดกันตั้งแต่เช้าตรู่ไปจนถึง เที่ยงกันเลย โดยเฉพาะวันอาทิตย์ของและคนจะเยอะเป็นพิเศษ ครับ
กลับมาจากตลาดเจอปันปัน กำลังหม่ำข้าวเช้าอยู่พอดี เลย แม่เค้าเตรียมตัวรอเรียบร้อย วันนี้เราจะพาตะลุยสิชลกันต่อ
แฮ่ม… ยิ้มสุดท้ายแบบส่วนตัวสุดๆ ของเช้านี้ผมยกให้เค้าแล้วกันนะ 🙂
ที่เที่ยวสิชลที่เลื่องชื่อเลยจะเป็นอะไรไปไม่ได้ก็คือชายหาดครับ อย่างที่เกริ่นไปตอนต้น ชายหาดที่ได้ลักษณะเฉพาะเจาะจงจากธรรมชาติ เป็นแนวโค้งยาว
บางหาดอาจจะมีสันทราย บางหาดก็เป็นทางลาดยาวไกล จากทิศเหนือจรดใต้ โดยหันหน้าออกทางทิศตะวันออก ทุกหาดจึงเหมาะจะชมพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าได้อย่างดี
ไม่แปลกที่วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่ จึงเกี่ยวพันกับทะเลไม่ทางใดก็ทางนึง ไม่ว่าจะเป็น ขายอาหารแปรรูป โอท็อบ ผลไม้ ตามฤดูกาล
หรือที่เด่นๆอย่างประมงก็มีเป็นระดับขนาดกลางขึ้นอยู่กับระดับของเรือลากอวนไปจนระดับเล็กๆอย่าง เรือตกหมึก แบบวิถีพอเพียงแบบเรือหาปลาหางยาว
ในระดับชาวบ้านที่ยังคงรักษาสืบทอดการหาเลี้ยงชีพแบบดังเดิมจากรุ่นสุ่รุ่นมาจนถึงปัจจุบัน เดี๋ยวหลังๆจะมาเล่าให้ฟังกัน
เอาว่าเราไปเริ่มจากจุดที่ไกลสุดกันเลยจากที่เราพักอยู่คือทิศเหนือสุดของอำเภอคือ “เขาพลาดดำ” แล้วค่อยๆไล่กลับมาจนถึง หาดที่เราพักคือหาดหินงาม อันเป็นทิศใต้ของสิชล
เขาพลายดำ :อยู่เหนือสุดของอำเภอ เป็นภูเขาที่ติดทะเลเป็นรอยต่ออำเภอขนอมและอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช
ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสถานที่พัฒนาและอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าเขาพลายดำ ตั้งอยู่ในตำบลทุ่งใส มีหาดที่สวยงามคือ
บริเวณหาดท้องยาง สามารถลงเล่นน้ำได้ เขาพลายดำมีสัตว์ป่าประเภทกินพืชอาศัยอยู่จำนวนหนึ่ง เช่น กวาง กระจง และนกนานาชนิด
การเดินทาง : แยกจากตัวเมืองสิชลไปทางเหนือ ตำบลทุ่งใสประมาณ 14 กม ถึงสี่แยกทุ่งใสอล่วเลี้ยวซ้ายไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร
หรือจะใช้บริการรถตู้โดยสารสาย นครศรีธรรมราช-สุราษร์ธานี ลงตรงทางแยกตลาดเช้าเสาร์-อาทิตย์และใช้บริการรถรับจ้างเข้าสู่เขาพลายดำก็ได้เช่นกัน
ที่เขาพลายดำมีชายหาดสวยอยู่คือ “หาดท้องยาง” นับเป็นที่เที่ยวแหล่งใหม่ที่ชาวสิชลรวมถึงนักท่องเที่ยวให้ความสนใจมาก
แทบจะทุกๆคนที่ผมสอบถามมาต่างก็พากันแนะนำที่นี่ กันทั้งนั้น ชายหาดในวันอากาศดี ๆแบบนี้ก็เหมาะมากหากไม่กลัวแดดแรงๆ เล่นน้ำกันสนุกแน่นอน
ที่นี่มีรีสอร์ทอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น คือเขาพลาดดำรีสอร์ท ใครอยากมาพักก็แวะมาได้เลย
เท่าที่ดูจากสายใต้ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นรถใหญ่ๆมาทั้งนั้นโดยเแพาะข้าราชการ ที่มาสัมนากัน
วันที่ผมไปเจอกับกลุ่มเกษตรพอเพียงจาก อำเภอใกล้เคียงกัน อย่าง อ.ลานสะกา หมู่บ้านบ่อน้ำทรัพย์ ที่พา อาจารย์และนักศึกษาชาว เชคโกสโลวาเกีย มาเยี่ยมชมพอดี
คุณลุงสมบูรณ์ (คนเสื้อเขียว)เป็นปราชญ์ชาวบ้านที่มองเห็นคุณค่าวิถีชีวิตแบบท้องถิ่น และนำคำสอนของพ่อมาปรับใช้ จนได้เป็นวิทยากรมาหลายงาน
แกยังเชิญผมให้ไปเยี่ยมชมหมู่บ้านของแกไปดูวิถีชีวิตพอเพียง
ที่กลุ่มหมู่บ้านของแกได้เริ่มต้นไว้ตามพระดำรัสของในหลวงของเราจนถึงขนาด ชาวต่างชาติยังต้องส่งคนมาดูงานและเรียนรู้ ถึงที่นับเป็นเกียรติ์ที่ได้รู้จักคุณลุงนะครับผม 🙂
กลุ่มนักศึกษาชาวเชค เค้าแวะมากินข้าวเล่นน้ำกัน เลยได้เก็บภาพทะเลแบบไม่ตั้งใจเล้ยย จริงๆ นะ
อะแฮ่ม…
เขาพลายดำ ถ้าขับรถขึ้นเขาไปจนสุดทางก็จะเจอกับ “สถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่านครศรีธรรมราช “
ที่นี่นอกจากจะเป็นสถานที่ราชการดังกล่าวยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ มีจุดชมวิวอยู่ด้านใน และเป็นทางเดินเข้าไปยังจุดท่องเที่ยวทางธรรมชาติอย่าง น้ำตกหนานเตย น้ำตกหนานไผ่
หากอยากพักยังมีบ้านพักไว้รองรับ ถ้าสนใจอยากพักก็สามารถโทรเข้าไปติดต่อกันได้ตามเบอร์ 075 354560
เราวกกลับลงมาจากบนเขาแล้วขับย้อนเส้นทางขามากัน ที่นี่เดินทางง่าย เพราะเป็นถนนตัดเป็นเส้นขนานไปกับชายหาดตลอดแนวผ่านชายหาดทั้งหมดของสิชล อ่อลืมบอกไป
เห็นหาดยาวๆแบบนี้ไม่ใช่ทุกๆหาดนะครับ ที่จะพร้อมรองรองนักท่องเที่ยวแบบเต็มรูปแบบ เกินครึ่งยังคงเป็นชายหาดตามธรรมชาติที่ไม่มีทั้ง ร้านอาหารและ ที่พัก
หาดที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกแล้วก็มีอยู่ดังนี้ 1.หาดสิชล 2.หาดหินงาม 3.หาดปิติ 4. เขาพลายดำ (หาดท้องยาง)ซึ่งก็สวยงามใกล้เคียงกันหมด
ขากลับหากมาแล้วอยากไหว้สักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนเขาพลายดำนับถือกัน ก็แวะไหว้ “ศาลตาผ้าขาว” อยู่ตรงทางขึ้นเขาก่อนจะมาถึงเขาพลายดำสังเกตุซ้ายมือ ไม่ยากเลย
ขึ้นเขาเมื่อไหร่มองซ้ายไว้เจอแน่ๆ เราแวะขอพรกราบลาท่านเพื่อให้ตลอดการเดินทางปลอดภัย
มื้อกลางวันเรามาฝากท้องกันที่ร้านดังกลางเมือง สิชลกัน ร้าน “โกโตน” หรือ จะเรียก “โก้โตน” ก็ได้ความหมายเดียวกันเพราะคำว่าโกหรือโก้ หมายถึงพี่ชายนั้นเองเรียกยังไงก็ไม่ผิดแต่อย่างใด ร้านนี้เปิดมานาน เรียกว่าถามใครที่นี่ต่างก็แนะนำร้านนี้กันทั้งนั้น ก็ต้องมาลองกันหน่อย
ประเดิมกันที่ เมนูแนะนำที่ขึ้นชื่อของที่นี่ ขาหมูหั่น ครับจานใหญ่เหลือเกินขนาดสั่งไปว่าขอแบบทาน 2 คนนะเนี่ย
ตามด้วยแฮกกึ้นครับ กรอบมาก อร่อยดี
และเมนูสำหรับปันปัน เลยราดหน้าหมูไม่ปรุง ไม่ชูรส อร่อยดีทีเดียว
ตบท้ายสำหรับเมนูสองคนทานด้วยแกงส้มปลากระพงยอดมะพร้าวอ่อน เมนูนี้ผมยกให้เป็นที่สุดที่สั่งมา รสชาติสมกับเป็นแกงใต้จริงๆ แซ่บเว่อร์
ปันปัน ชอบมุมนี้เป็นพิเศษครับ เพราะมีรถเด็กเล่นให้ขับกันหลายคันเลย ดูสิมันเค้าล่ะ อิ่มแล้วน้ำไม่สนกันเลย
รวมๆรสชาติถือว่าอร่อยดีครับ สมกับที่แนะนำกันมาโดยเฉพาะแกงส้มฯ แต่จะว่ากันจริงๆขาหมูผมชอบแบบกรุงเทพฯมากกว่า อันนี้จะนิ่มมากไปนิด น้ำจิ้มจะอมหวานไปหน่อย
ร้านโกโตนมีอยู่ด้วยกัน 2 สาขานะครับ สาขาแรก ก็อยู่ในตัวอำเภอทีเรามากัน ส่วนอีกสาขานึง อยู่ติดถนนใหญ่ (ถนน 401)
สอบถามกันได้ตามเบอร์นี้เลย 075-536259
อิ่มกันดีล้อหมุนกันต่อ บ่ายๆแบบนี้ฟ้าฝนเริ่มตั้งเค้ามาแต่ไกลแล้ว สงสัยต้องเร่งกันนิดนึงไม่งั้นจะเที่ยวไหนลำบาก ปันปันเองอิ่มก็หลับปุ๋ยเรียบร้อย
ที่ต่อไปที่จะพาไปกันเป็นอีกที่ๆชาวบ้านในอำเภอสิชลหรือจะเรียกว่าลูกทะเลแทบทุกคนให้ความเคารพรักยิ่ง
ที่นั้นก็คือ “อนุสรณ์สถาน กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์” ตั้งหันหน้าออกทะเล อยู่ตรงบริเวณปากแม่น้ำสิชลพอดิบพอดี
เวลาจะมาให้ขับรถย้อนขึ้นไปทางหาดต้นสนทางเข้าจะอยู่ทางไปหาด พอจะถึงสุดหาดให้เลี้ยวขวาไปตามป้ายก็จะมาสุดทางที่นี่พอดี
ดูเหมือนจะยังจัดสร้างกันไม่เสร็จดี ทั้งฐานโดยรอบและตัวรูปปั้นขององค์ท่าน ปันปันตื่นปุ๊บผมก็พาลงไปกราบเสด็จท่าน กราบเสร็จวิ่งเล่นซะงั้น ^ ^”
นับเป็นจุดชมวิวอีกที่ วิวดีทีเดียว ฝั่งตรงข้ามก็คือฝั่งที่เราขับรถมามองจากมุมนี้ก็มองเห็นท่าขึ้นปลาและบ้านชาวเรือที่อยู่อาศัยริมน้ำ เดี๋ยวเราก็จะกลับกันไปทางนั้นละครับ
มองจากมุมตรงข้ามกันเห็นอนุสรณ์สถานพอดีอยู่มุมขวา ตรงนี้เป็นมุมโค้งของปากแม่น้ำพอดิบพอดีครับ
ผมแวะมาเก็บภาพทั้งช่วงเช้าและตอนเย็นๆ บรรยากาศดีทีเดียวละครับตำแหน่งที่ผมอยู่เป็นร้านอาหารที่กำลังก่อสร้าง พอดี ต่อไปพยากรณ์ไว้ได้เลยว่าฮิตแต่ๆ ก็วิวดีขนาดนี้นะครับ
ภาพเรือหาปลายามเย็นได้เวลากลับฝั่ง เห็นเขาพลายดำตั้งเด่นอยู่ไกลๆ สวยดีทีเดียว
วันที่สองของทริบนี้ผมขอปิดท้ายแนะนำที่ ๆลูกทะเลมักจะมากราบไหว้สัาการะบูชากัน “ศาลจ้าวพ่อตาปะขาว ” ปากน้ำสิชล
อยู่ตรงแถวๆสะพานปลาเลยครับ ด้านหลังของโค้งของปากแม่น้ำสิชลพอดี ถามจากชาวบ้านตรงหาดหินงามน่าจะรู้จักกันทั้งนั้น ทางขึ้นเป็นเนินเขา มองเห็นวิวปากแม่น้ำสิชลได้ เสียดายผมมาช้าไปศาลปิดพอดี เลยได้แต่เก็บภาพมาฝากกัน
แถมคืนนั้นเป็นคืนเดือนเพ็ญ พระจันทร์เผยโฉมงามออกมาให้เราได้เก็บภาพพอดี เลย ใครมีโอกาสไปเที่ยวสิชลอย่าลืมแวะขึ้นไปชมวิวและไหว้สิ่งศักดื์กันนะครับ
คืนที่สองผ่านไปด้วยดีครับไม่เหนื่อยเกินไปนักอย่างน้อยเราก็ใช้เวลาเที่ยวอย่างสบายๆไม่เร่งหรือล๊กเกินไป พรุ่งนี้ผมมีภารกิจเก็บตะวันและรอยยิ้มมาฝากทุกคนอีกครั้ง
หวันขึ้น: บ้านปลายทอน วิถีประมงแบบพอเพียง
เช้าวันสุดท้ายของการมาเยือน สิชล ของเราแล้วครับ เช้านี้ผมมีนัดกับดวงตะวันเช่นเคย
แต่นัดกันหนนี้ไกลจากหน้าหาดหินงามสักหน่อย ไกลออกไปราวๆ 5 กิโลเมตรเศษได้ ไปยังชุมชนชาวเลที่ยังคงอนุรักษ์ การทำประมงเลี้ยงชีพแบบดังเดิมที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายกัน
หมู่บ้านประมงที่ผมอยากแนะนำให้รู้จักนี้ชื่อ “บ้านปลายทอน”
บ้านปลายทอนอยู่ห่างจากต.สิชลที่เราอยู่ออกไปราวๆ 5-6 กิโลเมตร เป็นชุมชมมุสลิมเล็กๆอยู่ในตำบลทุ่งปรัง อำเภอสิชลเช่นกัน
ชาวปลายทอนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านแบบสืบทอดกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่รุ่นปูย่าตายายแล้ว ผมมาถึงหน้าหาดตั้งแต่ยังไม่ 6.00 น. ดี มีเวลานั่งลุ้นพระอาทิตย์อีกเช้าแล้วละครับ
เช้าแบบนี้บริเวณชายหาดบ้านปลายทอนยังไม่มีเรือแล่นกลับมาจากหาปลาที่ออกไปตั้งแต่กลางดึก แถมยังมีบางลำที่พึ่งออกหาปลาก็ยังมี
เกร็ดเล็กๆของชุมชมชาวหมู่บ้านนี้ก็คือ การทำประมงแบบเคารพธรรมชาติ ใช้สภาพแวดล้อมของทะเล ศึกษาจากฤดูกาลที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปในแต่ละปีเป็นตัวกำหนดการออกหาปลา
ไม่เร่งรัดและเร่งรีบ โดยหวังจะแต่จะตักตวงเอาจากทะเลเพียงอย่างเดียว
และเพราะการเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตกับทะเล ชาวบ้านและคนในครอบครัวต่างก็รู้หน้าที่กันดีว่าจะปรับตัว ปรับชีวิต กันเช่นไรให้เหมาะกับฤดูกาลที่เปลี่ยนไปไม่แน่นอนในทุกๆช่วงเวลาของปี
ศึกษาจากประสบการณ์ ส่งต่อความรู้จากรุ่นต่อรุ่นกันมาจนถึงปัจจุบัน
แม้จะเป็นในช่วงปิดอ่าวหน้ามรสุมของฝั่งอ่าวไทย แต่เพราะการทำประมงในแบบที่เป็น ทำให้ชาวประมงบ้านปลายทอนยังคงจับปลาได้โดยไม่ขาดแคลน
อาจจะเพราะยังเป็นเรื่อหาปลาลำเล็กๆและยังไม่มากมายขนาดที่กวนระบบนิเวศน์ของสัตว์น้ำได้
ในช่วงฤดูนั้น จึงเป็นช่วงขาขึ้นของชาวประมงชุมชนนี้ได้อย่างดี เพราะสัตว์น้ำจะราคาแพงมากๆในหน้ามรสุม และผู้คนก็จะมุ่งหน้ามายังตลาดหน้าหาดปลายทอนแห่งนี้ในทุกๆเช้า
ผมรอไม่นานเรือประมงลำกลางๆก็ทยอยแล่นเข้ามาเทียบฝั่ง ชาวเรือด้วยกันโดยเฉพาะสาวน้อยใหญ่ชาวมุสลิม ต่างก็กุลีกุจอ ลงไปช่วยกันนำเรือเข้าฝั่งกันทุกลำ
วิธีการนำเรือขึ้นฝั่งของขาวบ้านก็เป็นไปในแบบง่ายๆ มีรอกที่ดังกระหิ่มเป็นตัวชักลากเรือ หรือที่ชาวบ้านเรียกให้ผมฟังว่า “ลูกหมา” ใช่ครับ ผมได้ยินแบบนี้จริงๆนะเออ 55
เป็นเครื่องยนต์ตัวเดียวกันกับที่ใช้ในรถไถ รถดำนานั้นล่ะครับ วิธีการก็คือ ใช้เชือกขนาดใหญ่ผูกติดกับตัวเรือด้านหน้า
และที่หาดก็วางบันไดไม้ มาเรียงต่อๆกันแนบลงไปบนพื้นทรายเพื่อให้เรือที่ถูกชักลากขื้นมาได้เร็วขึ้น เปรียบไปก็คล้ายๆทางด่วนนั้นละครับ
ภาพสาวชาวเลช่วยกันชักลากเรือขึ้นบันไดเป็นภาพที่น่าประทับใจผมมากๆ ทุกๆคนทำงานได้ไม่แพ้ผู้ชายแต่อย่างใด ทะมัดทะแม่งแข็งขันมาก
เรือลำแล้วลำเล่าทยอยเข้าฝั่งมา ทุกๆลำจะมีชาวเรือกุลีกุจอกรูกันลงไปช่วยวางบันไดบ้าง และหากลำไหนเกยฝั่งเกินไป ก็ต้องออกแรงกันหน่อยเพื่อดันลงน้ำ แล้วค่อยนำบันไดไปวางใหม่อีกครั้ง
บางลำผิดจังหวะก็เหนื่อยหน่อย ใช้คนมากหน่อย ออกแรงเยอะหน่อย แต่พี่ๆเค้าก็วิ่งกันลงมาช่วยแบบที่ไม่ต้องเรียกกันเลย รักและช่วยเหลือเกื้อกูลกันมากครับ
เมื่อลงแรง ร่วมใจกันย่อมได้ชัยชนะแม้จะเป็นชัยชนะเล็กๆ เมื่อทุกอย่างลงล็อค เรือก็จะถูกลากขึ้นฝั่งสำเร็จ อย่างพี่เค้าเลยนั่งรอลากได้เลย ^ ^
สามีออกหาปลาภรรยามีหน้าที่ขาย หน้าที่ของชาวประมงที่สืบทอดกันมานาน ตลาดปลายทอนก็เปิดกันง่ายๆ ตรงหน้าหาดนี้เลย
ปลาสดๆจากทะเล ยกจากเรือมาก็มาแล่ขายกันตรงนี้เลย ลำไหนยกมาก่อน ก็ได้ขายก่อนถือเป็นวินาทีสำคัญในการดึงลูกค้าของแต่ละลำ
ลำไหนปลามาเยอะโอกาสการขายก็เกิดขึ้นมากตามไปด้วย
ปลาที่นี่จึงสดใหม่เสมอ ถือเป็นท่าขึ้นปลาสำคัญของสิชล ทีเดียว เพราะ ปลาที่เห็นในตลาดเช้า เสาร์-อาทิตย์ ส่วนนึงก็มาจากที่นี่นั้นเอง
รวมถึงตามร้านอาหารในรีสอร์ททั้งหลายที่ตอนเช้าหากต้องการปลาสดจริงๆ ก็ไม่พลาดจะมากันที่บ้านปลายทอนแห่งนี้เช่นกัน
ชีวิตที่ดูเรียบง่ายแบบนี้ละมั้งครับที่ผมว่ามันมีเสน่ห์มากๆจนสะกดคนเมืองกรุงอย่างผมได้อยู่หมัดทีเดียว
เก็บตะวัน..เก็บรอยยิ้มที่ยากจะลืม:บ้านปลายทอน
พาไปดูการหาปลาแล้ว อย่างที่บอกครับ รอยยิ้มเป็นสิ่งที่ผมพบและประทับใจที่สุดของทริบนี้ ที่บ้านปลายทอนนี้ก็เช่นกัน
ที่เหลือจะขอพาเพื่อนๆไปดูของกินอื่นๆ เดินชมรอบๆตลาด และตามเก็บรอยยิ้มต่างๆตลอดเช้านี้กันต่อครับ
อย่างที่บอกบ้านปลายทอนเป็นชุมชมชาวมุสลิม เมื่อสามีหรือผู้ชายออกทะเลหาปลา กิจกรรมยามว่างของสาวๆหรือ ภรรยาก็คือการเตรียมแผงขายของ กินอาหารเช้าและรอเวลาเรือเข้า
อย่างคุณยายคนนี้เป็นยิ้มแรกของผมในเช้านี้เลย ยิ้มสว่างสดใสมากๆ 🙂
ยิ้มต่อมาได้จากพี่ชาวประมง ตอนแรกเกือบไม่กล้าจะเดินเข้าไปคุยด้วยแล้วครับหน้าพี่เค้าดุมากแต่พอ ได้เอ่ยปากทักทายแบบไทยๆเราทุกอย่างก็ออกมาอย่างที่เห็นเนี่ยละ น่ารักดีครับ
ในตลาดนอกจากขายของทะเลสดแล้วผมยังมีโอกาสได้ชิมโรตีอร่อยๆจากริมหาดอีกด้วย
ระหว่างรอเข้าคิวต่อจากน้องเค้าเลยขอเก็บอีกรอยยิ้มเล็กๆไว้อีกใบ 🙂
ของกินอีกอย่างที่ขายมานานคู่ตลาดนี้ เป็น “ขนมครก” ครับ ทำคนเดียวหมด ชอบเตาขนมครกแกมากๆเลยเตาใหญ่แบบโบราณกอรปกับใช้ฟืนเป็นท่อน รวมเข้ากับลีลาและความเร็วไม่เป็นสองรองใครเลย
ขนมครกของคุณยายก็แปลกดีนะครับคือจะไม่เหมือนที่ผมเคยกินมา จะไม่ผสมน้ำตาลเข้าไปในเนื้อแป้งตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นรสชาติจะมันๆกรอบๆ แต่ไม่เลี่ยนนะครับ และอยากได้ความหวานก็เพิ่มได้โดยจิ้มกับน้ำตาลที่ใส่ถุงมาให้ แปลกดีครับรสชาติอร่อยดีด้วย ถือเป็นขนมครกโบราณได้ไหมครับแบบนี้ เก๋ซะ 🙂
มีโรตี มีขนมครก แล้วจะขาดปาตั้งโก๋ได้ยังไง ร้านนี้ก็เปิดรับลูกค้าแต่เช้าเช่นกัน ผมเห็นมีสังขยาด้วยเลยถามพี่เค้าไปว่าถุงเท่าไหร่ครับ คำตอบที่ได้คือ ฟรีครับ โอ้ว หากรุงเทพฯคงไม่มีแน่ๆ
วันอาทิตย์นอกจากเป็นวันครอบครัวอย่างที่เรารู้กันแล้ว ที่ชุมชนชาวมุสลิมนี้ยังถือเป็นวันที่ให้เด็กๆได้เข้าเรียนโรงเรียนสอนศาสนากันด้วย
ผมจึงเห็นเด็กๆใส่ชุดขาววิ่งไปมาหาของกินก่อนไปโรงเรียนกัน เด็กๆน่ารักมากๆเลย เลยได้เก็บยิ้มหนูๆมาฝากกันเพียบ 🙂
หิวๆกันคงต้องพึ่งข้าวเหนียวไก่ทอด กลิ่นหอมๆโขยมาแตะจมูก ร้านเล็กๆริมหาดแบบนี้จึงมีลูกค้าตัวน้อยๆเข้าคิวกันไม่น้อย : )
เจ้าหนูคนนี้น่ารักจริงๆ ขวบกว่าๆเท่าปันปันเลย เห็นแล้วคิดถึงขึ้นมาแล้วสิเนี่ย 🙂
ผมสังเกตุดูตลาดนี้แม่ค้าและลูกค้าล้วนแล้วแต่เป็นคนคุ้นเคยกันแทบทั้งนั้น ซื้อของไปทักทาย ถามสารทุกข์สุกดิบกันไป ถ้อยทีถ้อยอาศัย
ซื้อหรือต่อรองกันซื่อๆตรงไปตรงมา มีน้ำใจต่อกันคนซื้อได้ของถูกใจคนขายเองขายของได้ก็มีรอยยิ้มปรากฎบนใบหน้า 🙂
แม้แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ก็ยังมีรอยยิ้มดีๆให้กับคนแปลกหน้าอย่างผม ขอบคุณคุณตามากๆครับ 🙂
สายมากแล้ว ผมลาด้วยรอยยิ้มสุดท้ายแสนบริสุทธิ์จากหนูน้อยคนนี้ ก่อนกลับเราบ๊ายบายกันจน ผมขึ้นรถกลับเลยทีเดียว เช้าวันนี้ผมเต็มไปด้วยความอิ่มเอิมใจมากมาย
ดีใจที่การตื่นเช้าๆวันสุดท้ายนี้ได้อะไรมากมายมหาศาลนัก กับการมาเยือนสิชลหนนี้ 🙂
หลังจากกลับมาถึงก็ได้เวลาหม่ำข้าวเช้าร่วมกันพร้อมหน้า เช้านี้แดดดีขนาดไหนดูจากรูปได้เลย …
ต้องบอกลาสิชลกันแล้วละครับ หลังจากนี้เราก็เก็บของร่ำลาคุณปาล์มเจ้าของรีสอร์ทและล้ิอหมุนกันต่อ จริงๆผมมีโอกาสไปแวะพักผ่อนกันที่ขนอมกันต่อแต่คิดว่าจะขอแยกไปไว้อีกตอนหน้าจะดีกว่า
ก่อนกลับเราแวะไปทำบุญก่อนเข้าเมืองกันที่สิชลพอเอ่ยปากถามใครๆว่าไปทำบุญที่วัดไหนดี ทุกคนบอกให้ไปที่ “วัดเจดีย์ (ไอ้ไข่)” ประวัติวัดนี้ไม่ธรรมดาเหมือนกันครับ หาข้อมูลมาได้ตามนี้เลย : ประวัติความเป็นมาของ “ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์” เดิมวัดไอ้ไข่ เป็นวัดร้างมาหลายร้อยปี ต่อมา ชาวบ้านเห็นเด็กแก้ผ้าปรากฏกายให้เห็นวิ่งเล่นอยู่บ่อยๆ ชาวบ้านจึงเข้าไปดูบริเวณที่เห็นเด็กวิ่งเล่น แต่ไม่พบอะไรเลย เหตุการณ์เช่นนี้ปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยๆ ชาวบ้านจึงเรียกเด็กที่ปรากฏร่างนั้นว่า “เด็กวัด”
ต่อมา ชาวบ้านละแวกนั้นก็จะมากราบไว้บูชา และกล่าวถึง “พ่อท่าน และเด็กวัด” คำว่า “พ่อท่าน” ก็คือ พระพุธรูปเก่าแก่ที่หลงเหลืออยู่ที่วัดร้าง ส่วน “เด็กวัด” วิญญานเด็กที่ปรากฏกาย และแสดงอภินิหารให้เห็นอยู่บ่อยๆ “พ่อท่านและเด็กวัด” เป็นที่เคารพสักการะบูชาของคนละแวกนั้นมาแต่โบราณ ประวัติความเป็นมาก็ไม่มีใครทราบว่าเด็กวัดที่เห็นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ไม่มีใครยืนยันได้ จะเกี่ยวข้องกับหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดหรือไม่ก็ไม่มีใครกล้ายืนยัน ต่อมา ปี พ.ศ.2500 มีการบูรณะวัดดังกล่าว มีพระสงฆ์มาจำวัด และมีทหารมาพักบ้าง ก็เห็นเด็กแก้ผ้า มาปรากฏกายให้เห็นอยู่บ่อยๆ เที่ยวมาหยอกล้อบ้าง ยกมือจะเขกหัวบ้าง ดึงเท้าเล่นบ้าง และบอกว่า วัดนี้ไม่มีพระ ปรากฏอภินิหารต่างๆ ให้เห็นบ่อยๆ ข่าวนี้เป็นที่รู้กันทั่วในหมู่ชาวบ้านละแวกนี้และพื้นที่ใกล้เคียง จนเป็นที่นับถือ เจ้าไข่ หรือ “ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์” สืบมาจนถึงทุกวันนี้
ขลังไม่ขลัง ดูได้จากกองประทัดครับ กองโตทีเดียวกองนี้จะเวลามีการแก้บนกันนั้นเอง
ทุกครั้งที่ไปเที่ยวหนึ่งในกิจกรรมที่ครอบครัวเราพึงทำเสมอก็คือการแวะไหว้พระทำบุญ เราก็พยายามสอนให้เค้าได้รู้ตั้งแต่เล็กๆ
เวลาพาเค้าไปตักบาตร ปันปันในวัยขวบครึ่ง เริ่มพอจะเข้าใจได้บ้างแล้วว่าไหว้พระต้องทำยังไง ทำไมพ่อแม่ต้องก้มกราบ และเริ่มทำตาม เป็นพัฒนาการเล็กๆที่ผมดีใจมากๆ
ออกจากวัดมาผมมุ่งหน้าไปอีกที่ๆอยากแวะสะดุดตากับชื่อตั้งแต่ขับรถผ่านมาวันแรกๆแล้ว เราจะไปแวะดูน้ำตกกัน ที่ “น้ำตกสี่ขีด”
ที่ “น้ำตกสี่ขีด” ตัวชั้นน้ำตกไม่สูง มีไม่กี่ระดับแต่น้ำนั้นใสมากๆ สงสัยไหมเอ่ยว่าทำไหมสี่ขีด ไปดูกันข้อมูลจากอุทยานแห่งชาตินะครับ
ในอดีตผืนป่าบริเวณนี้หนาทึบและมีสัตว์ ป่าชุกชุม ชาวบ้านจึงเรียกด้วยชื่อน่าสะพรึงกลัวว่า “ผีขีด” ภายหลังจึงเพี้ยนมาเป็น สีขีด พื้นที่ส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติน้ำตกสี่ขีด ซึ่งเป็นเขาหินปูน จึงก่อให้เกิดน้ำตกหินปูนที่สวยงาม และยังมีถ้ำที่น่าพิศวงหลายแห่ง อุทยานแห่งชาติน้ำตกสี่ขีดมีพื้นที่ประมาณ 90,625 ไร่ หรือ 145 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ในแนวทิวเขานครศรีธรรมราชที่สูงชันสลับซับซ้อน มีสันปันน้ำเป็นแนวแบ่งเขตจังหวัดนครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี
เป็นอีกที่ๆผมสังเกตุเห็นเด็กๆและวัยรุ่น ของสิชลมาเล่นน้ำกันเยอะทีเดียว โดยเฉพาะเป็นวันหยุดแบบนี้ด้วย ได้ยินเสียงเฮฮาดังแว่วมาตลอด
หากใครอยากแวะไปเที่ยวสามารถไปกันได้ตามนี้เลย : จากจังหวัดนครศรีธรรมราชเดินทางไปตามเส้นทางสายเอเชีย นครศรีธรรมราช-สุราษฎร์ธานี ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 401 ประมาณ 69 กิโลเมตรจะถึงสี่แยกต้นพยอม ทางแยกขวาไปอำเภอสิชล 1 กิโลเมตร ทางแยกซ้ายเข้าสู่ที่ตั้งที่ทำการอุทยานแห่งชาติน้ำตกสี่ขีด ประมาณ 15 กิโลเมตร เบอร์ติดต่ออุทยานครับ 0 7547 0708 ที่นี่มีบ้านพักไว้รองรับด้วยสามารถโทรจองกันได้ล่วงหน้าที่เว็บไซต์อุทยานแห่งชาติเลย http://www.dnp.go.th/parkreserve/reservation.asp
ก่อนไปยังเป้าหมายสุดท้าย ขอแวะหม่ำมื้อสั่งลาซักหน่อย กับร้านดังสุดๆร้านนึงในตัวเมือง ที่ใครมาเมืองคอนฯแล้วไม่แวะเหมือนจะมาไม่ถึงยังไงยังงั้นเลย “ร้านโกปี๊” ถือเป็นร้านกาแฟในตำนานของ ที่นี่ก็ว่าได้เปิดมามากว่า 70 ปีแล้วมีอยู่ 2 สาขาอย่างสาขาที่เราเป็นสาขาแรกอยู่ตรงด้านหลังห้างโรบินสัน หาไม่ยากครับเอารถมาจอดด้านหลังเดินไปทางซ้ายเจอป้ายร้านทันที เด่นมากๆ
การตกแต่งร้านยึดแนวโบราณ ได้บรรยากาศเหมือนอยู่แถวๆถนนถลางที่ภูเก็ตก็ว่าได้ตกแต่งคล้ายๆกันออกแนวชื โนโปรตุกีส คือเป็นจีนผสม ยุโรบนั้นเอง
เรามาถึงบ่ายแก่ๆแล้ว ไม่มีปัญหาเรื่องโต๊ะเก้าอี้อย่างที่เคยอ่านๆมา คนน้อย เลยได้มีโอกาสชิมอาหารและกาแฟว่าจะเลิศจริงสมคำร่ำลือรึเปล่าผมสั่งชาดำเย็นมาชิม เยี่ยมมากๆ
เริ่มกันที่ ของกินเล่นซาลาเปาไส้หมู สั่งมาปั๊บ มือน้อยๆของเด็กซนบางคนจะจับทั้งๆที่ยังร้อนอยู่ คว้าไว้แทบไม่ทันเลย
เมนูเด็ดมาแล้ว บักกุ๊ดเต๋ สูตรเฉพาะของร้าน อร่อย! ชิมแล้วได้รสชาติทำให้คิดถึงความอร่อยที่ผมชอบกินที่กรุงเทพฯกับที่มาเลเซียเลย
ต่อด้วยขาหมูจานกำลังดีแบบสองคนทาน ผมยกให้เลยอร่อยรสชาติดีมากๆ
และเมนูสำหรับปันปันที่ฟันยังไม่แข็งแรง ข้าวซี่โครงหมูอบ เนื้อหมูนิ่มเพราะหมักมาดี เนื้อนิ่มดีครับปันปันกินง่ายมาก
รวมๆรสชาติบวกบรรยากาศผมยกนิ้วให้เลย ใครมาสมควรแวะชิมชากาแฟ หรืออาหารก็ยังได้ครับ อร่อยติดใจจนผมยังซื้อซาลาเปาหิ้วติดตัวกลับมาด้วยอีกกล่องใหญ่
จากนี้เราก็เร่งรีบบึ่งเข้าตัวจังหวัดกันแล้วละครับ เป้าหมายสุดท้ายที่อยู่ในใจมาตลอด
ตั้งแต่มาถึงนครศรีธรรมราชแล้วก็คือ การพาปันปันมากราบพระธาตุ ที่ “วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร”
แม้ว่าโชคไม่เข้าข้างเท่าไหร่นักก็ว่าได้ เพราะมาถึงเอาตอนใกล้ๆฝนตกหลวงพ่อเลยปิดประตูขึ้นด้านบน อดขึ้นไปชมด้านบน น่าเสียดาย..
เราเลยได้แต่สำรวจและกราบองค์พระธาตุจากด้านหน้า เท่านั้น แต่แค่ไหนก็คือแค่นั้นครับ มีโอกาสมาเมืองคอนอีกครั้ง ก็จะแวะมากราบใหม่
องค์พระธาตุ เท่าทีทราบมาว่าได้มีการบูรณะปฎิสังขรณ์กันใหม่ ทาสีขาวสะอาดตาดูน่าเลื่อมใสยิ่งนัก
ผมกราบลาและขอพรให้เดินทางกลับกรุงเทพฯด้วยความปลอดภัย ทริบนี้ครบรสแล้วสำหรับผม
ก่อนจาก…จะเก็บเธอไว้ในใจเสมอ
ระหว่างนั่งทบทวนการเดินทางอยู่บนเครื่อง ผมนั่งคิดย้อนไปใน 3-4 วันที่ผ่านมา เราได้ประสบการณ์ดีๆอะไรจากทริบนี้บ้าง
ตลอดการเดินทาง หลายวันมานี่้ ผู้คนคือสิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุด รอยยิ้มสดใสของเด็กๆทุกคน ที่ยิ้มให้คือความสุขเล็กๆน้อยๆที่แสนยินดี
มาเที่ยวเมืองนครศรีธรรมราชอย่าลืมแวะไปเยือนสิชลกันนะครับ หากปันปันมาได้ ครอบครัวเรามาได้ ใครๆก็มาได้ จังหวัดนครศรีธรรมราชยังมีของดีอีกมากที่ยังรอให้คุณมาสัมผัสกัน
มาถึง” สิชล ” อาจจะเปรียบได้ก็เหมือนเพชรน้ำงามที่ยังรอการเจียรไน หรือจะเปรียบเป็นหญิงสาวก็เป็นหญิงสาวที่ยังคงสดใสไร้ริ้วรอย แสงสีมาทำให้เธอมัวหมองได้
หากใครชอบทะเลที่ยังมีความเป็นธรรมชาติไร้แสงสีเสียง ไม่วุ่นวาย คนไม่พลุกพล่าน ลองแวะมาที่นี่บางทีคุณอาจจะถูกใจก็เป็นได้ครับ ^ ^
ก่อนจากกันต้องขอขอบคุณพี่หมอ “ฝนแสนห่า” ที่มีโอกาสได้คุยกันทั้งๆที่ไม่เคยเจอหน้าในฐานะเจ้าบ้านที่ดี แม้จะมีธุระไม่สามารถมาเจอกันได้ก็ยังอุตส่าห์ให้คำแนะนำดีๆกับทริบนี้กับเรา
ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ติดตามอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้แสดงว่า คุณๆเป็นแฟนกันตัวจริง เลยนะเนี่ย รูปเยอะ text แยะ ยังอุตส่าห์อ่านกันมา รีวิวนี้ถือเป็นรีวิวที่ยาวที่สุดของปีนี้ก็ว่าได้
ไม่ได้เขียนยาวๆแบบนี้นานแล้ว ไม่มีเพื่อนๆคงไม่มีเราให้ได้มีโอกาสมาแบ่งปันกัน หวังว่าเรื่องราว ทริบนี้ของเราครั้งนี้คงมีประโยชน์ ไม่ทางใดก็ทางนึงกับทุกๆคนบ้างนะครับ แล้วพบกันทริบต่อไป
และขอลาทุกๆคนด้วย ถือเป็นรอยยิ้มท้ายสุดจากครอบครัวเราที่ฝากไว้ก่อนลาเป็นยิ้มที่คุ้นเคยมาได้ขวบกว่าๆแล้วละครับ
ขอบคุณมากๆครับ ^ ^
4 Comments
พิชชา
ดีมากเลยค่ะ ดิฉันคนสิชลแท้ๆ ยังไม่เคยรู้จักบ้านตัวเองขนาดนี้ บ้านอยู่ตลาดต้นพยอมค่ะ ขอบคุณนะคะสำหรับการรีวิว สุดยอดดด
one22
ยินดีมากๆครับดีใจที่ชอบนะครับ ^__________^
กษิดิ์เดช
ผมคนสิชลเหมือนกัน พี่ถ่ายภาพคนดึงเสน่คนคนได้สุดๆ ชอบมากครับ มีโอกาสมาเที่ยวนครศรีธรรมราชอีกนะครับ
projectone
ถือเป็นคำชมและเป็นเกียรติ์จากคนเมืองนี้จริงๆครับ ดีใจที่มีโอกาสได้เที่ยวและทำความรู้จักเมืองนี้จริงๆนะครับ ^ ^