สวัสดีครับ วันนี้ผมจะพาไปชิมของอร่อย ที่ผมบังเอิญได้ไปลองมา ที่สยามสแควร์ ด้วยความอนุเคราะห์ของพี่ชายใจดี ขอไม่ประสงค์ออกนามนะครับ ถือเป็นความบังเอิญสุด ๆ เพราะไม่ได้ตั้งใจจะไปถ่ายอาหารเลย กะว่าจะไปถ่ายรูปในเมืองซะหน่อย เพราะต้องไปคุยงานแท้ ๆ แล้วก็กะจะถ่ายรูปท้องฟ้าเวลา Twilight ของแยก MBK ซะหน่อย (เห็นใคร ๆ ที่ไปถ่ายมาแล้วสวยดี อยากมีกับเค้าบ้างหน่ะครับ) ถ้าพร้อมแล้วก็ตามมาเลยครับ
เรื่อง ๆ ของเรื่องก็มีอยู่ว่า ผมได้นัดกับรุ่นพี่ เพื่อมาคุยงานกันที่สยาม ช่วงบ่าย ๆ ก็ดูตามเวลาแล้ว ก็น่าจะมีโอกาสได้ไปถ่าย ท้องฟ้ายาม Twilight ที่ตรงแยก MBK ก็เลยติดกล้องไปด้วย ก็นัดกันที่ Food Replublic ที่สยามนี่แหล่ะครับ (ตุ๊กตา Propaganda แอคชั่นมันกวนดีจริง ๆ )
สิ่งแรกที่จะพาไปชิมกันก่อนก็คือเจ้า Osaka Milk Tea ครับ แฟนผมเค้า Request เลยว่าขอมาซื้อกิน เพราะมันเรียกได้ว่า “นัว” มาก ร้านจะตั้งอยู่ใกล้ Food Replubic แหล่ะครับ อยู่ตรงหน้าร้านอาหารญี่ปุ่น Zen สโลแกนของ ชานมไข่มุกของเจ้านี้คือ “Japanese Premium Milk Tea” นะครับ มาดูกันว่า มันจะ “พรีเมี่ยม” ขนาดไหน
ดูจากปริมาณคนที่มาสั่งก็น่าจะ การันตีได้ระดับนึงนะครับว่า น่าจะโอเคอยู่ (ขอเบลอหน้าหน่อยครับ มันเห็นชัดไปหน่อย)
สั่งมา 2 แก้วนะครับ แก้วแรกที่เห็นนี่เป็น นม+ชาเชียว กับไข่มุก (ชานม “มัทฉะ”) รสชาติดีครับ สมกับสโลแกนเค้า “นัว” จริงอย่างเค้าว่า
อีกแก้วคือ Hokkaido Milk หรือก็คือ “นมฮอกไกโด กับไข่มุกโอซาก้า” ครับ มันคือนมเลยแหล่ะ ไม่ได้มีชาผสมแต่อย่างใด สำหรับคนชอบนม ขอให้มาโดนครับ แล้วจะติดใจ แต่ยอมรับเลยนครับว่า สำหรับราคาแล้วนับว่าสูงเลยทีเดียว แต่มันก็สมราคาแหล่ะครับ ของอร่อยก็ต้องมีราคาเป็นธรรมดา
ระหว่างที่แฟนผมเค้าเพลิดเพลินกับนมฮอกไกโด ไป ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ผมนั่งคุยงานกับรุ่นพี่ ตรงนั้่นแหล่ะ ก็คุยกันสักพักใหญ่ ๆ พอคุยเสร็จ พี่เค้าก็ถามผมว่า “หิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันมั้ย เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง” ผมก็นึกว่ากินกันตรงนี้แหล่ะ ผมก็เลยตอบตกลง เพราะว่าก็ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย กิน ชานมซะอิ่มไปแล้ว แต่เปล่าครับ พี่เค้าบอกว่าไปกินกันข้างนอก มีร้านนึงอยากให้ไปลองกิน พี่เค้ามากินแล้วประทับใจ ร้านน่านั่ง ก็ดีซิครับ ผมก็นึกเลยว่า ดีเหมือนกัน จะได้มีต้นเรื่องไว้ทำรีวิว
ร้านอยู่ไม่ไกลครับ อยู่ในสยามสแควร์ แหล่ะครับ อยู่ สยามสแควร์ 11 ถ้านึกไม่ออก ก็ง่าย ๆ นะครับ อยู่ข้าง ๆ Hardrock นั่นแหล่ะ ป้ายใหญ่มองเห็นแต่ไกลเชียว (ขอเปิดด้วยรูปนี้นะครับ ดูโมเดิร์นดี)
ร้านนี้ตกแต่งร้านดูโมเดิร์นดีครับ เห็นตอนแรกผมนึกว่าร้านกาแฟ แต่จริง ๆ เป็นร้านอาหาร แล้วก็ไม่ใช่ร้านอาหารธรรมดา เป็น “ร้านอาหารไทย” ดูแล้วทำให้รู้สึกว่าจริงๆ ก็สามารถทำความเป็นไทยให้ร่วมสมัยกันได้เหมือนกันนะ
ระหว่างที่พี่เค้าสั่งอาหารไป ผมก็ขอพนักงานเดินเก็บภาพภายในร้าน การตกแต่งของร้านนี้ ผมเรียกว่าสไตล์ Minimalist (ใช่มั้ยหว่า) ดูเรียบง่ายแต่ มีสไตล์ เห็นแล้วอยากแต่งบ้านแนวนี้เลยทีเดียว ใช้ของตกแต่งเรียบง่ายแต่ดูดี มาตกแต่งให้เข้ากับบรรยากาศของร้าน อ่อลืมบอกไปนิดนะครับ ในช่วงนั้น มีลูกค้านั่งรับประทานอาหารอยู่ 2 – 3 โต๊ะ ก็พยายามไม่รบกวนลูกค้าท่านอื่นนะครับ ถ่ายก็อย่าไปติดเค้ามากนัก ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงไม่ให้ติดในภาพ เมืองไทยไม่รู้เป็นยังไงนะครับ แต่เท่าที่รู้มาในเมืองนอกนี่ เรื่องสิทธิส่วนบุคคลเค้าซีเรียสพอควร แล้วมันก็ถือเป็นมารยาทที่ดีสำหรับช่างภาพด้วยนะครับ
เดินถ่ายอยู่พักนึง เครื่องดื่มที่สั่งไว้ก็มาแล้วหล่ะครับ แก้วนี้ เป็น Mocktail นะครับ ชื่อว่า “Virgin Mojito” ส่วนผสมหลัก ๆ ก็น่าจะมีน้ำมะนาว แล้วก็น่าจะมี syrup แล้วก็ใบสะระแหน่ ตอนแรกไม่ทันมองว่ามันแยกส่วนกันอยู่ ดูดเข้าไปครั้งแรก จี๊ดขึ้นหัวเลย แต่พอเห็นว่ามันแยกชั้นกันอยู่พอคนให้เข้ากันแล้ว รสชาติดีเลยครับ ร้อน ๆ มาดับกระหายได้ดีทีเดียว ชอบเลยครับแก้วนี้
อีกแก้วนึง เป็น Mocktail เหมือนกัน ชื่อว่า “Lychee Margarita” หรือก็คือ มาการีต้าลิ้นจี่ เป็นเครื่องดื่มแบบปั่น รสชาติก็ออกเปรี้ยวนิด ๆ หวาน หน่อย ๆ รสชาติคล้าย ๆ กับแก้วแรก แต่ความจัดจ้านไม่เท่ากัน แก้วนี้อ่อนกว่าหน่อย ก็เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเครื่องดื่มเพื่อดับกระหาย แก้วนี้ช่วยได้เยอะนะครับ ไม่เปรี้ยวจนเกินไป
รอไม่นานอาหารจานแรกก็มาถึงครับ เป็นออเดิร์ฟเบา ๆ ก่อนจะเจอจานหลักนะครับ เป็นขนมจีบ เค้าว่าเป็นขนมจีบตำรับดั้งเดิม สูตรชาววัง ก็ต้องบอกว่าตำรับวังจริงๆ กัดเข้าไปคำแรกนี่ถึงเครื่องจริง ๆ เรียกน้ำย่อยได้ดีจริง ๆ ครับ
ข้อดีของอาหารร้านนี้คือ รอไม่นานครับ สั่งไปพักเดียว ก็ทยอยเสิร์ฟมาเรื่อย ๆ จานต่อไป เป็นเมนูที่เรียกว่า “ไก่ซูสี” ดูภายนอกก็เหมือนปีกไก่ทอดปรกตินะครับ แต่จริง ๆ แล้ว เค้าจะใช้ปีกไก่ ที่เรียกว่า ปีกไก่บน ยัดไส้ข้าว ซึ่งน่าจะเป็นข้าวเหนียว เข้าไปในเนื้อไก่ เวลากัดจะเหมือนได้กิน บะจ่าง แปลกแต่อร่อยดีครับ (มานึกเสียดายว่า ไม่ได้จัดให้สวยก่อนถ่าย กลิ่นมันหอมจนลืมจัดไปเลย)
นี่เป็นเมนูอีกเมนูนึงของทางร้านที่เรียกได้ว่าเป็น Signature ก็ว่าได้ครับ “ข้าวคลุกแจ่งบอง” แต่พิเศษเพิ่มปลาสลิดกับหมูเค็ม คือการทำเมนูนี้สนุกดีนะ เค้าจะมีรายการให้เราติ๊กเลือกว่าจะเอาอะไรบ้าง คล้าย ๆ กับเวลาไปเรากิน Subway เลย อยากได้อะไรก็เลือกเอา โดยจะแบ่งเป็น เลือกข้าว ตามด้วยน้ำพริก แล้วก็ผัก แล้วก็เลือก Topping ได้ 1 อย่าง แต่อย่างที่บอกครับ เราสามารถเพิ่มเองได้ หรือจะเลือกเป็นเมนูข้าวที่เค้าทำสำเร็จไว้แล้ว เช่น ข้าวขยำปู, ข้าวคลุกมันกุ้ง หรือข้าวคลุกน้ำพริกลงเรือ เป็นต้น เมนูนี้แฟนผมเค้าเป็นคนเลือก สำหรับคนที่ชอบอาหารไทยรสชาติดี เมนูนี้เหมาะเลยครับ
เกือบลืมแนะนำเครื่องดื่มอีกแก้วที่สั่งมา “สตอเบอรี่ ลามเนด” หรือก็คือ น้ำสตอเบอรี่กับน้ำมะนาว เป็น Mocktails เหมือนกันรสชาติดีเหมือนกัน มีเนื้อสตอเบอรี่ด้วย (ขอโทษที่ถ่ายช้าไปนิด ละลายไปหน่อยเลย)
เมนูนี้ เรืยกว่า กุ้งสิงคโปร์ – ขนมปังฝรั่งเศส เป็นกุ้งตัวใหญ่ผัดซอส ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเป็นซอสมะขามหรือเปล่านะ แต่มันมีกลิ่นที่ยังเดาไม่ออกว่าเป็นเหล้าจีนหรือเปล่า มันหอมแปลก ๆ แล้วก็มีขนมปังปิ้งด้วย ดูแค่หน้าตาก็ดูดีมากแล้ว รสชาติยิ่งดีใหญ่เลยครับ เมนูนี้ผมให้เป็นเมนูตัวชูของวันนี้เลย
ส่วนจานนี้ ผมสั่งเองครับ ผมเป็นคนชอบอาหารประเภทเนื้อ พอสมควร เห็นเมนูนี้อยู่เป็นอันแรก ไม่คิดมากครับ สั่งเลย จานนี้ชื่อว่า ยำเนื้อย่างเสด็จ ในเมนูเขาเขียนไว้ว่า “น้ำตกฉบับพื้นบานในสมัยก่อน เมื่อเข้าสู่วังเปลี่ยนวิธีรับประทานจากการคลุกส่วนผสมเป็นจานสำเร็จ” คือจริง ๆ ถ้าบ้าน ๆ เราก็คือเนื้อย่างเตาปรกติแหล่ะครับ แต่เข้าวัง มันจะมาวางธรรมดามันไม่ได้ ต้องมีการจัดแต่งหน่อย ซึ่งก็ยอมรับว่า ตกแต่งได้ดี ทำให้รู้สึกอร่อยก่อนจะกินเสียอีก แต่แนะนำว่าถ้าไม่ชอบรสจัดมาก ก็ไม่ต้องคลุกน้ำยำ นะครับ ผมเผลอคลุกไปเต็มที่เลย น้ำยำเลยเข้าเนื้อมากไปหน่อย ออกเค็มไปนิด
จานสุดท้ายแล้วครับสำหรับมื้อนี้ (แอบเกรงใจนิด ๆ แต่พี่เค้าก็ว่าอยากให้ลองเพราะมันอร่อยจริง ๆ ) เมนูนี้คือ แกงกะหรี่ไก่ – อาจาด กับโรตี จานนี้บอกเลยครับ ความรู้สึกแรกคือ “อื้อหือ มันขนาดนี้ ท่าจะเลี่ยนน่าดู” แต่ผิดคาดนะครับ รสชาติจัดจ้านถึงรสถึงเครื่องมาก ไม่เลี่ยนเลย อร่อยมาก ๆ ผมซัดซะ น้ำแกงกะหรี่ไม่เหลือเลยครับ
พอทานอาหารได้สักพัก ผมเห็นว่าโต๊ะอื่นเริ่มจะทานเสร็จกันแล้ว ก็เลยเดินไปขอพนักงานเก็บภาพบรรยากาศในร้านครับ
ผมชอบการตกแต่งของร้านนี้นะครับ ดูแล้วสบายตา หรือเพราะผมชอบงานไม้ก็ไม่รู้นะ แต่เห็นแล้วอยากเอาไปหามาแต่งที่บ้านบ้าง
สำหรับผู้ที่มาเป็นหมู่คณะ ก็มีโต๊ะใหญ่ให้นั่งจะครับ ถามที่ร้านเห็นว่า บางทีก็จะมี นิสิตจุฬา มานั่งกินกันเหมือนกัน
ของตกแต่งร้านนี้เป็นกระต่าย ตามชื่อของร้านนะครับ หันไปทางไหนก็มีแต่กระต่าย…
ตรงนี้จะเป็นอีกโซนนึงของที่นั่งครับ ที่ร้านนี้โต๊ะนั่งมีเยอะ ดูไม่อึดอัด เหมาะสำหรับมานั่งคุยกัน กินข้าวกันไป
มาดูของหวานกันบ้างครับ ถ้วยนี้เรียกว่า “Rabbit Mess” จะเรียกว่าอะไรดีหล่ะ คือมันเหมือนผลไม้รวม+เมอแรงค์+วิปปิ้งครีม น่าจะประมาณนี้นะครับ คือถ้วยนี้ผมไม่ได้สั่งหรอก แต่แฟนผมเค้าชอบแนว ๆ นี้ ก็ฟินเค้าหล่ะ
นี่เป็นของหวานอีกถ้วยนะครับที่หาทานได้ยากแล้วตอนนี้ เค้าเรียกว่า “ส้มฉุน” คือมันเป็นผลไม้รวมนำมาลอยแก้ว โดยผลไม้หลักที่ขาดไม่ได้คือ ลิ้นจี่ อยู่ในน้ำเชื่อมที่ทำมาจากส้มซ่า จากที่ผมชิม (ชิมแบบหมดถ้วย) มีกลิ่นของขิงด้วย ทำให้รู้สึกไม่เลี่ยนเวลาทาน รสชาติดี ทานแล้วชื่นใจ เป็นของหวานตบท้ายที่ดีมากเลยนะ อยากให้ลองกัน
หลังจากผมอิ่มท้องกันแล้ว ก็ถึงเวลาแยกย้ายกันครับ ผมถามราคาจากพี่เค้า เค้าไม่ยอมบอก บอกมาคร่าว ๆ ว่า ถ้าหารก็ตก 200 – 300 กว่าบาทเอง ซึ่งอาหารขนาดนี้ นับว่าไม่แพงนะครับ อาหารอร่อย แล้วบางเมนูก็หากินยากด้วย โชคดีที่ได้มา ธรรมดาผมมากับแฟนก็คงไม่เกิน 3 อย่าง ก็อิ่มมากแล้วครับ คราวนี้มีเจ้ามือเลี้ยง แถมได้ลองกินตั้งเยอะ ถ้าวันไหนผมมา ก็คงจะมาอีกแหล่ะครับ ไม่พลาด อ่อ..จากบอกว่าตอนนี้ถ้ามากินที่ร้านนี้อย่าลืม Check-In กันนะครับได้ส่วนลด 10% ด้วย ถึงวันที่ 31 พ.ค. นี้
ออกมาจากร้านก็เกือบเย็นแล้วหล่ะครับ ก็ลองเดินมาดูว่ามีมุมพอถ่ายบ้างมั้ย ก็รออยู่พักใหญ่ ๆ เลยครับกว่าจะได้ ซึ่งก็ยังไม่น่าประทับใจเท่าไหร่่ หรือผมไม่รู้เวลาก็ไม่รู้นะ แต่รู้สึกได้ว่า ฟ้ามันไม่ค่อยใสเลย
ขอจบด้วยภาพ Landscape ของมาบุญครอง จากทางเดินรถไฟฟ้า นะครับ หวังว่าวันหลังมาใหม่ฟ้าจะใสกว่านี้ ต้องขอขอบคุณพี่ชายที่แสนดี ที่เลี้ยงข้าว กับพนักงานที่ร้าน Rabbit in the kitchen นะครับ น่ารักทุกคนเลย ถามอะไรก็ให้คำตอบได้ดี หวังว่าโพสต์นี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะครับ แล้วเดี๋ยวเจอกันครั้งหน้านะครับ ขอบคุณมากครับ