ดิชั้นติดต่อจากบริษัท Skyscanner ซึ่งเป็นเสิร์ชเอ็นจิ้นค้นหาตั๋วเครื่องบิน โรงแรม และรถเช่า ทางเราจัดประกวดบล็อกด้านการเดินทางท่องเที่ยวยอดเยี่ยมในชื่อ Bloscars Travel Awards 2014 ซึ่งมีรางวัลสำหรับบล็อกยอดเยี่ยมประเทศไทยและระดับนานาชาติ
มีผู้อ่านบล็อกได้เสนอชื่อบล็อกของคุณชิงรางวัลนี้ และขอแสดงความยินดีด้วยที่บล็อกของคุณได้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย…..
อะแฮ่มข้อความข้างต้นเป็น บางส่วนของเนื้อหา จากทีมงาน Skyscaner ที่ส่งตรงมาแบบเหนือความคาดหมายมาก ทั้งดีใจระคนแปลกใจที่เว็บเล็กๆอย่าง one22.com มีผู้ติดตามชื่นชอบจนส่งเข้าประกวดให้ (Admin ไม่รู้จักรางวัลนี้มาก่อนเลย สาบาน) เอาละเมื่อเค้ากล้าชวนเราก็กล้าชน 55 จนเป็นที่มาของรีวิวนี้ ที่ถึงแม้สุดท้าย ทางผมจะไม่ได้รางวัลใหญ่ใดๆก็ตามแต่ก็ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปรับรางวัลสำคัญครั้งนี้ถึงสิงคโปร์ และนี่คือประสบการณ์ สั้นๆที่แสนประทับใจในเดือนมีนาคมที่ผ่านมากับ ครั้งแรกใน สิงค์โปรกับ Skyscaner ครับ
ขอเล่าถึงตัวเว็บ สกายแสกนเนอร์ นิดนึงนะครับ เว็บนี้คือแหล่งรวมการค้นหาตั๋วเครื่องบินทุกๆระดับราคาจะถูกจะแพง มีหมด สามารถค้นหาสายการบินได้เกือบทั้งโลกกันเลยที่สำคัญมีภาษาไทยรองรับและอีกมากกว่า 20 ภาษาทั่วโลกรองรับหากคุณๆกำลังค้นหาเที่ยวบินที่จะพาเหิรฟ้าไปยังจุดหมายปลายทางใดๆก็ตาม ลองใช้ระบบ Search ของเค้าดูครับ
เริ่ม Start กันที่สุวรรณภูมิช่วงสายๆ ของวัน
หนนี้เราได้รับการสนับสนุนจากสายการบิน Cathy Pacific ให้บินอย่างสะดวกสบายตรงดิ่งจากไทย
วันนี้บินมาพร้อมๆกับบล็อกเกอร์อีกท่านที่เป็นตัวแทนจากประเทศไทย น้ำ ฟ้า ป่า เขา บล็อกเกอร์ชื่อดังอีกท่านจาก Bloggang.com
ผมกับพี่หยีเพิ่งเจอกันครั้งแรกที่นี่ และยังพอมีเวลาได้ทำความรู้จักกันเลยชวนมาหม่ำอะไรรองท้องก่อนจะขึ้นกัน และด้านในมีร้านอาหารในสนามบินมากมายให้เลือกกันสบายๆ โชคดีพกบัตร True Black Card มาด้วยเลยได้กินฟรีเพียบเลยครับ ใครมีใช้อยู่อย่างได้นิ่งนอนใจ เผื่อเวลาสักนิดมาเดินดู ป้าย Standy ร้านอาหารใน สนามบินดูแล้วจะอิ่มสบายไม่เสียตังคร้าบบ
เราใช้เวลา 2 ชั่วโมงเศษๆก็มาถึงสนามบิน Changgi สนามบินแห่งชาติของสิงคโปร์ ก้าวแรกที่แตะหลังกวาดตามองไปมา ก็ได้แต่อุทานถึงความศิวิไลซ์ของเมืองนี้สุดๆเลยครับ
หลังตรวจคนเข้าเมืองของเค้าแล้ว มองหาตู้ information นี้ไว้มีหมดครบทั้งแผนที่เมือง เดินรถไฟฟ้าทุกสาย มีประโยชน์กับพวกเรามาก ไปถึงก็แนะนำว่าแวะดูสักนิด
หลังจากออกมาจากสนามบิน First Impression แรกเลยคือรถไฟฟ้า SMRT ของเค้า ของเรียกแบบบ้านเราจะได้เข้าใจง่ายขึ้นว่า MRT นะครับ ที่แสนจะรวดเร็วทันใจคล้ายๆ กับตรงสุวรรณภูมิเหมือนกันครับ แต่เค้ามีการต่อจาก Gate ต่างๆมากกว่า เหตุผลก็เพราะสนามบินมีการแยก Terminal ออกถึง 3 แห่ง และแต่ละแห่งก็กว้างขวางมาก ทำให้วิธีการเดินทางจากแต่ละ Terminal ต้องใช้บริการ Sky train แต่มันก็ไมไ่ด้ยุ่งยากอะไรเลยแถมเผลอๆง่ายกว่าที่เราคิดไว้
วิธีเข้าเมืองผ่าน MRT
เริ่มที่เครื่องเราลงที่ Terminal 2 หลังจากผ่าน ตม.ให้มองหาป้ายบอกทางไป Terminal 3 หรือคำว่า Skytrain คือรถไฟฟ้า Monorail ที่เปิดให้บริการฟรีระหว่าง Terminal 1-3
รอไม่นานรถไฟฟ้าก็มา สาเหตุที่ต้องไปที่ Terminal 3 ก็เพื่อขึ้น MRT ต่อเข้าไปในเมือง
ใครบินมาลงที่ Terminal 2 แนะนำเดินออกมานิดเดียวจาก Terminal 2 มีป้ายกำกับบอกตลอดทางว่าจะเข้าเมืองได้ยังไง
วิธีการซื้อบัตรโดยสาร
ที่สิงคโปร์คือเมืองแห่งรถไฟฟ้าโดยแท้ มีความคล้ายกันกับ ทั้งของไทยเราและมาเลเซีย ที่ผมเคยไปมา ทุกๆจุดที่สำคัญในเมืองล้วนเดินทางได้ด้วย MRT ทั้งหมด เราสามารถซื้อตั๋วได้ทั้งจากตู้ขายอัตโนมัติแบบนี้ หรือจะซื้อจากช่องขายตั๋วที่มีพนักงานนั่งอยู่ก้ได้เหมือนกัน
สิ่งนึงที่ผมชอบคือตั๋วทุกใบมีมูลค่าหมด เราสามารถใช้เติมเงินได้ผ่านตู้นี่และมันก็ง่ายดีมาก แค่วางบัตรลงไปกดตรงหน้าตู้ว่าจะเติมเท่าไหร่ก็ใส่แบ็งค์เข้าไปเท่านี้ก็จบแล้ว
และยิ่งเติมก็ทำให้บัตรมีมูลค่ามากขึ้นเราจะได้ส่วนลดในการโดยสารจากระยะทางที่เรานั่งไป อย่างผมกำลังจะไปที่สถานี Bugis ก็เลือกสถานีนี้แล้วก็จ่ายเงินมันจะมีส่วนลดให้นิดหน่อยและหากหมดก็เติมได้เรื่อยๆครับ
เอาแผนที่ MRT ของสิงคโปร์มาฝาก เส้นของเราคือเส้นสีเขียว จะเห็นว่าสถานี Bugis ไม่ไกลเลย นั่ง 15 นาทีก็ถึงแล้วครับ (กดที่ภาพจะดูแบบขยายได้ครับ)
ขึ้นมาจากรถไฟฟ้าก็จะเจอ Bugis Junction อยู่ด้วยเป็นทั้งแหล่งช้อปปิ้งและ คลังเสบียงอาหารของย่านนี้เลยก็ว่าได้ ผมเล็งๆอาหารไว้เยอะมากตั้งใจว่าตลอดทริบนีเราเจอกันแน่นอน
และเดินทะลุผ่าน ห้างใหญ่ๆออกมาเจอสี่แยกพอดี
เดินข้ามถนนมาก็เจอแหล่งช้อปปิ้งของย่านนี้ใหญ่ดีทีเดียว Bugis Street
ของขายเยอะแยะคล้ายๆย่านช้อปปิ้งบ้านเราแถวๆอนุเสาวรีย์ประมาณนั้นได้
ที่สำคัญมีร้านอาหารไทยรสชาติแบบไทยแท้ๆ เลยขายอยู่ชื่อร้านสุโขทัย
รสชาติถึงบ้านเราเลยดูหน้าตายังไงรสชาติประมาณนั้นเลย อร่อยดีครับ วันแรกก็มาฝากท้องกันที่นี่เพราะยังไม่คุ้นกันนักกับบริเวณนี้นัก
ต่อรถไฟฟ้าบวกเดินอีกนิดหน่อย ผมกับทีมก็มาถึงที่พักตลอดทริบ 3 วัน 2 คืน ก็คือ Ibis Hotel Singapore Bencoolen แถมก็อยู่ใกล้ๆสถานี Bugis ครับ
หลังจากเข้าห้องพัก Ibis Bencoolen ที่นี่มีข้อแตกต่างจากที่อื่นหลายอย่าง สำหรับห้องพักที่นี่มีบริการพิเศษๆ ซ่อนอยู่ในความเรียบง่าย ตัวดีไซน์อาจจะดูคุ้นเคยกันดีถ้าคุณเคยพักที่เมืองไทย Layout ไม่ต่างกันเท่าไหร่ครับ แต่…
สำหรับแขกทุกคนที่มาร่วมงาน ทาง IBIS ให้ความสำคัญทุกคนที่พักที่นี่เป็น VIP เลยจัด มือถือพร้อม Sim 3G มาให้ สำหรับตัวแทนแต่ละประเทศที่เข้าพักที่นี่โดยเฉพาะ ที่สำคัญ โทรกลับเมืองไทยได้ด้วย ถือเป็น Complementary ที่เด็ดสุดๆในการดูแลของ Ibis Boocolean เลย
ไหนๆแล้วมาดูห้องพักกันอีกนิด ห้องพักที่นี่ขนาดไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากครับ การวางผังคล้ายกับที่ IBIS เมืองไทยที่ผมเคยพักมาก่อน แต่เห็นแบบนี้ ก็มีทุกอย่างที่เราต้องการครบถ้วน
ที่รีดผ้าก็มี หากใครมาประชุมงานก็จัดการชุดออกงานตัวเองได้เลย
น้ำดืม ตู้เซพก็มีให้ปรกติ โต๊ะทำงานวิวเห็นเขตนี้ได้ไกลทีเดียว
มีขนมวางให้เราทานเล่นด้วย
รวมๆผมว่าที่นี่ดูแลทุกอย่างได้ดี มีมาตรฐาน และดูจะมีอะไรให้มากกว่า Ibis แห่งอื่น เพราะเท่าที่สอบถามจาก Blogger ท่านอื่นๆ ไม่ใช่ว่าทุกที่จะมีให้เช่นที่ Boocolean ครับรวมๆ เค้าจัดพื้นที่ต่างๆได้ดีทีเดียวเพราะหากยังไม่ทราบ ปัจจุบันนี้ สิงคโปร์ขึ้นเป็นแชมป์จัดเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพต่อคน ต่อตารางเมตร แพงที่สุดในโลกไปเรียบร้อยแล้วนะครับ การจัดวางผังพื้นที่อยู่อาศัยจึงต้องได้รับการใส่ใจใน Function ต่างๆให้ดีทีเดียว ใครสนใจโรงแรมนี้หรือทั้งหมดที่เค้ามีที่สิงคโปร์ ลองเข้าไปดู Promotion และราคาได้ใน เว็บของ Accorhotels กดตาม link ไปเลยครับ
หลังจากเก็บของกันเรียบร้อย ตอนนี้เวลาเกือบ 1 ทุ่มแล้ว เป้าหมายของเราวันแรก จะเป็นที่ไหนเป็นไม่ได้ ให้คุณๆเดาก็คงไม่ยากว่าเป็น “มารีน่าเบย์” เรานั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี Marina Bay เลยแต่เพราะความที่ไม่เคยมา เข้าใจว่าชื่อสถานีนี้ คือโผ่ลมาก็เจอเลย แต่เอาเข้าจริงๆ ต้องเดินกันอีกเกือบ กิโลเลยเชียวกว่าจะได้เห็นอ่าวกัน
มีเรื่องนึงที่ผมพบได้ทันทีตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาในเมืองเค้าก็คือ “ความรู้สึกปลอดภัยครับ” ขนาดเราเดินบนถนนเปลี่ยวๆ บริเวณทางขึ้นสถานี Marina Bay เราก็ไม่รู้สึกกังวลแต่อย่างใด อาจจะเพราะกฎหมายที่เข้มงวดสุดๆของบ้านเค้า ปรับเป็นปรับ คุกเป็นคุกกันเลย ทำให้อัตราการก่อเหตุอาชญากรรมต่ำมากๆ
ผมเดินมาเรื่อยๆสุดท้ายก็มาถึงริมอ่าวด้านข้างของ Marina Bay มองเห็น Marina Bay Sands Hotel ด้วยตาตัวเองซักที แม้จะเป็นแบบห่างๆ แต่อย่างที่บอกว่าสถานีนี้ไม่ใช่สถานีที่ขึ้นมาเจอมุมสวยๆ หากใครอยากเห็นโชว์แสงสีสุดอลังการของ Marina Bay Sands แบบใกล้ชิด ต้องไปลงที่สถานี Esplanade เดินไม่ถึง 200 เมตรก็ถึง
หรืออยากจะอยู่ฝั่งตรงข้ามของ Marina Bay Sands พอดีก็ต้อง ไปลง Raffles Place หรือ City Hall จะได้ชม โชว์ แสงสีประกอปเครื่องดนตรี Wonder Full Light and Water Show แล้วเดินมาทางซ้ายอีกประมาณ 500 เมตรก็จะเจอ Merlion พอดีอยู่ตรงข้าม Sands เป๊ะๆเลย
ใครตั้งใจจะมาถ่ายภาพ ต้องเผื่อเวลาให้ทันนะครับ อ่อ ลืมบอกไปโชว์แสงสีของ Bay Sands จะมีสองรอบต่อวันนะครับคือ 20.00 กับ 21.30 แต่ถ้ามาชมศุกร์-อาทิตย์จะมี 3 รอบ นั้นคือเพิ่ม รอบ สุดท้ายประมาณ 5 ทุ่มเศษ
เดินจาก มุมซ้ายมาเรื่อยๆ แข่งกับเวลาของแสงสีที่กำลังเริ่มพอดี ผมก็เลยต้องปักหมุดกันตรงมุมนี้ล่ะ ได้เก็บภาพแสงสีมาระดับนึงเชียว ต้องบอกตรงๆว่าประทับใจครับ
เดี๋ยวคืนพรุ่งนี้เอาใหม่จะได้มุมอย่างที่อยากได้จริงๆซักที
ประเทศนี้สามารถจัดแสดงโชว์สุดอลังการ Wonder Full Light and Water Show นี่ไม่ธรรมดา ผมมองมาที่มุมด้านหลังเห็นเป็น ป่าตึกตั้งตระง่าน ซ้อนกันเป็นชั้นๆดูสวยและน่าประทับใจในการขยันสร้างของสิงคโปร์ ตึกสวยๆจึงโผ่ลงอกมาให้เห็นกันเรื่อยๆ
รอบๆมีงานแสดงแสงสีในสวนที่น่าสนใจมาก มีเด็กๆและผู้ใหญ่ยืนชมกันมากมาย
ถัดมาเรื่อยๆผมเดินต่อมาจนถึงใกล้ๆสถานี Raffles Place จนเจอสองหนุ่มนักร้องและเล่น แบบบ้านๆเอากีต้าร์ตัวนึงมาเล่นอยู่ใน ริมอ่าว
บอกตรงๆผมชอบมากบ่งบอกความเป็นคนสิงคโปร์เด่นชัดขึ้น สองหนุ่มนั่งรองเพลงท่ามกลางแสงสีสุดอลังการของ Marina Bay เป็นภาพที่ผมชอบมากที่สุดในวันแรกนี้ เรียกว่าลงรักกันเลยดูมัน Contrast กันสุดๆ แต่ก็เป็นภาพที่เหมาะจะปิดท้ายวันแรกกันอย่างดี
หลังเก็บภาพจนหน่ำใจแล้ว พวกเราก็เดินกลับมาขึ้น MRT กลับโรงแรม Ibis Bencoolen กันครับ ภารกิจวันแรกที่ตั้งใจมาครบถ้วนแล้ว ยังเหลือเวลาหาที่เที่ยว กิน และตะลุยเมืองสิงคโปร์อีก 2 วัน 2 คืนกับทีม one22.com ที่กำลังจะตามมาตะลุยแดนสิงค์กันอีก
ทิ้งท้ายด้วยภาพอ่าว Marina Bay กัน ก่อนตอนหน้าจะพาเที่ยวกันให้ทั่วเมืองเลยและพาชมงานรับรางวัลของ Bloscars Travel Awards 2014 กันด้วย จะเป็นยังไงกันต่อโปรดติดตามกันตอนถัดไปครับ
1 Comments
Pingback: 3 วัน 2 คืน ฮ่องกง ครั้งแรก! เที่ยวสไตล์ ครอบครัว กับ one22