Journey of Western Europe
Episode 2 Spain Part 1 Toledo Segovia
ความเดิมตอนที่แล้ว…
–> http://blog.one22.com/archives/13085
–> http://blog.one22.com/archives/13151
สวัสดีครับ หลังจากรีวิวคราวก่อนผมจบไว้ที่ประเทศโปรตุเกส
วันนี้เรามาต่อกันที่ประเทศสเปนกันครับ ซึ่งในทริปนี้จุดทเที่ยวส่วนมากของผมจะอยู่ที่สเปนนี่แหละครับ
ปล. แม้จำนวนวันจะน้อยกว่าที่ฝรั่งเศส แต่ที่ฝรั่งเศสจัดโปรแกรมพักผ่อนชิวๆครับ
ซึ่งที่สเปนหลังจากที่ผมได้มาแล้วถือว่าเป็นประเทศที่ผมชอบมากที่สุดประเทศหนึ่งในยุโรปเลยครับ
ชอบมากกว่าฝรั่งเศสเสียอีกครับ เพราะที่เที่ยวแต่ละที่ล้วนสวยงามและคงความขลังของประวัติศาสตร์และอารยธรรมไว้อย่างมากๆๆๆๆ เลยครับ
สำหรับตอนแรกผมจะพาไปเมืองที่อยู่ใกล้ๆ มาดริด ที่เป็นเมืองหลวงของประเทศสเปนครับ
นั่นก็คือเมืองโตเลโด และ เมืองเซโกเบีย ครับทั้งสองเมืองเป็นเมืองเก่าที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานเลยครับ
เอาหล่ะครับ ถ้าพร้อมแล้วไปรับชมพร้อมๆกันเลยคร้าบบบบ
มุ่งหน้าสู่สเปน
เมื่อตอนที่แล้วผมจบที่การนั่งรถไฟจากเมืองลิสบอนเข้ามาที่สเปนครับ…
ซึ่งตอนจองผมโชคดีได้ตั๋วโปรโมชั่นราคาถูกค่ารถไฟนั่ง ราคาเพียง 1200 บาทเท่านั้นเองครับ
โดยรถไฟที่ผมนั่งมานั้นจะมาจอดที่สถานี Chamartin ครับ ซึ่งสถานีจะอยู่ทางเหนือของกรุงมาดริดครับ (เปรียบได้กับบางซื่อ หรือรังสิตของกรุงเทพฯครับ)
ซึ่งที่สถานีลงไปทางทิศใต้ประมาณ 8 กม. จะถึงย่านกลางเมือง (SOL) ครับ
และถ้าไปทางตะวันออกประมาณ 12 กม. ก็จะเป็นสนามบินครับ
โดยแพลนผมจะเป็นการไปเอารถที่สนามบินแล้วขับออกไปเที่ยวทางใต้ของประเทศก่อนแล้วค่อยวนมาเที่ยวมาดริดช่วงกลางๆ
ก่อนจะขับขึ้นเหนือไปบาเซโลน่าแล้วเข้าฝรั่งเศสครับ แต่ต้องบอกว่าคิดผิดไปหน่อยครับ
เพราะจริงๆแล้ว ควรเที่ยวมาดริดให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงค่อยไปเอารถครับ เนื่องจากค่าจอดรถในมาดริดแพงมากครับ
ผมพักอยู่กลางเมืองเป็น Hostel ที่ไม่มีที่จอดรถ ต้องไปจอดรถในที่จอดรถสาธารณะ เจอค่าจอดไปวันละ 31 EUR เกือบๆจะเท่าค่าโรงแรมที่มาดริดผมเลยครับ
แต่ทำอย่างไรได้ดันแพลนแบบนั้นมาเองครับ ดังนั้นก็เตือนเพื่อนๆนะครับ ว่ามาที่มาดริดควรเที่ยวในเมืองให้เรียบร้อยค่อยไปเอารถขับไปนอกเมืองครับ
กลับมาที่แผนของผมต่อหลังจากรถไฟมาลงที่สถานี Chamartin ผมก็จะต้องหารถไฟไปที่สนามบินครับ
ตอนแรกผมได้ข้อมูลมาจากเว็บนึงว่าถ้าเราจองรถไฟมามันจะออกตั๋วฟรีที่เชื่อมสนามบินกับสถานีรถไฟได้
http://www.accesrail.com/pdf/MAD-airport.pdf
แต่ผมลองทำแล้วมันไม่ได้ครับ เลยไม่แน่ใจว่ามันได้เฉพาะขามาจากสนามบินหรือเปล่าครับ
ซึ่งพอไม่ได้ตั๋วฟรี ก็เลยมีทางเลือกอยู่ 2 ทางในการไปยังสนามบินนั่นก็คือไปด้วยรถไฟ หรือรถไฟใต้ดินครับ
ซึ่งการไปด้วยรถไฟจะแพงกว่า 1-2 EUR ครับแต่สะดวกกว่าครับ เพราะคนไม่แน่นเท่าไหร่ ซึ่งผมไปถึงสเปนช่วง 9 โมงเช้าเลยเลือกที่จะใช้บริการรถไฟครับ
เพราะสะดวกและปลอดภัยกว่าการใช้รถไฟใต้ดินครับ
รับรถที่สนามบินมาดริด
สำหรับรถที่ผมจองรอบนี้ผมจองรถกับ Expedia ครับ
ซึ่งตอนจองมันจะขึ้นราคาพร้อมทั้ง Brand ของรถให้เราเลือกครับ ซึ่งแน่นอนผมเลือกถูกที่สุด ได้ของ Hertz มาครับ
ค่าเช่ารถ 19 วันราคาที่ 211 EUR แต่เจอค่า One Way Fee เนื่องจากเอารถไปคืนต่างประเทศที่ฝรั่เศส สูงถึง 360 EUR
เรียกว่าแพงกว่าค่ารถเสียอีก แต่จากการคำนวณหลายๆอย่างแล้ว ก็คุ้มกว่าที่จะต้องขับรถย้อนมาคืนที่ มาดริดครับ
อ้ออีกอย่างที่ราคาเช่ารถถูกเพราะผมเช่นรถเกียร์กระปุกด้วยนะครับ ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติจะแพงกว่านะราว 1xx EUR ครับ
สำหรับรถที่เช่าจาก Hertz ผมซื้อประกันจาก Expedia มาเลยครับ แต่เป็นประกันแบบมี Deduct นั่นคือถ้าเกิดอุบัติเหตุเราจะต้องจ่ายส่วนแรก
ซึ่งแบบที่ผมซื้อคือต้องจ่ายส่วนแรก $250 ครับโดยประกันจะคุ้มครองสูงสุดที่ $35,000 หรือประมาณ 1 ล้านบาทครับ
โดยค่าประกันอยู่ที่ประมาณ 7000 บาทใน 19 วันหรือตกวันละ 350 บาทโดยประมาณครับ
รถที่ได้มาตอนแรกเป็น Citron C4 Picasso คันใหญ่เลยครับ
ซึ่งสาเหตุการได้คันใหญ่ไม่ใช่ว่า Hertz ใจดีให้ upgrade อะไรแต่รถคันนี้เป็นรถทะเบียนฝรั่งเศสที่คนขับมาทิ้งไว้ที่นี่
เค้าเลยให้ผมขับไปคืนที่ฝรั่งเศสซะ… เอ๊ะ… แบบนี้จริงๆผมน่าจะต้องคิเค่าขับรถไปฝรั่งเศสให้เค้าใช่ม่ะ 5555
หลังจากรับรถเสร็จผมก็ขับรถมาที่โรงแรมเพื่อที่จะ Check in ครับ
โดยวันนี้ผมจองโรงแรมที่อยู่นอกเมืองมาไกลเลยครับ เพราะว่า 2 วันนี้ ผมจะเที่ยวเมืองที่อยู่ใกล้ๆ มาดริด
เพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องรถติดก็เลยจองนอกเมืองนิดนึงครับ
ซึ่งผมจองที่ H2 Fuenlabrada อยู่ที่พิกัด 40.273752, -3.755315
ประมาณ 35 กิโลเมตรจากสนามบิน หรือประมาณ 20 กม. จากใจกลางเมือง SOL ครับ
แต่ปรากฎว่าตอนไปถึงผมยัง check in ไม่ได้ครับเนื่องจากเช้าเกินก็เลยใช้ห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปลงฟันเล้กน้อย
ก่อนจะขับยาวไปที่ Toledo เลยครับ
มุ่งหน้าสู่ Toledo
หลังจากจัดการภารกิจเสร็จแล้วผมก็เซต GPS ให้พาไปที่เมืองโตเลโดครับ ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรม H2 ไปประมาณ 60 กม.ครับ
ขับรถชิวๆประมาณ 1 ชม.ก็ถึงครับ
ตอนแรกผมยังไม่ได้ขับรถไปที่จุดเที่ยวครับ แต่ไปที่ส่วนของเขตธุรกิจก่อน เพราะจะแว๊บไปหาซิมมือถือครับ
แต่วันที่ผมไปเป็นวันอาทิตย์ร้านรวงต่างๆปิดหมดเลยครับ… วันแรกผมเลยยังต้องอยู่แบบไม่มีเนตให้ใช้ไปก่อนครับ
แต่ก็ไม่ได้เสียเที่ยวซะทีเดียวเพราะผมไปเจอร้านอาหารจีนครับ อยู่ตรงหัวมุมถนนนึงพิกัดอยู่ที่ 39.867053, -4.032783
เรียกว่าเหมือนสวรรค์มาโปรดครับเพราะ ตอนอยู่โปรตุเกสกินอาหารยุโรปจนเริ่มเบื่อแล้ว 5555
ปล. ผมมีเริ่มมีเทคนิคในการหาร้านอาหารจีนทีหลัง โดยการ search คำว่า Chinese Restaurant ใน google map ครับ
ส่วนใหญ่ร้านที่ขึ้นมาค่อนข้างตรงครับ แต่ให้ดูชื่อดีๆนะครับ ให้ชื่นแนวจีนๆนิดนึง เพราะบางครั้งอาจจะมีพลาดบ้างครับ แต่โดยทั่วไปแม่นอยู่ครับ
หลังจากทานข้าวเสร็จช่วงบ่ายก็เริ่มไปเดินเที่ยวในส่วนของเมืองเก่ากันครับ จากแผนที่นี้
จุดแรกที่ผม Point ไว้คือเขตเมืองใหม่ที่เป็นเขตครับจะเป็นร้านรวงต่างๆ
และส่วนที่เลย Avenue de la Cava มานั้นจะเป็นส่วนของเมืองเก่าทั้งหมดครับซึ่งจุดท่องเที่ยวส่วนมากก็จะอยู่ในโซนนี้หล่ะครับ
แต่บริเวณในนี้จะหาที่จอดรถยากหน่อยนะครับ ผมจะจอดรถแถว Puerta de Bisagra แล้วก็เดินเที่ยวเอาครับ
อ้อแล้วก็จุดสุดท้ายที่อยู่เลยออกไปอีกฝั่งแม่น้ำจะเป็นจุดชมวิวของเมืองครับ ซึ่งมีรถสาธารณะบริการครับ
แต่ผมขับรถไปซึ่งแถวนั้นก็จะมีที่จอดรถเช่นกันครับ
นครแห่งประวัติศาสตร์โตเลโด
โตเลโดนั้นถือเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อย่างมากมายครับ
ซึ่งเมืองนี้ปัจจุบันได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 1986 ครับ
เมืองโตเลโดนั้นเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดีจากรูปจะเห็นว่าพระราชวังอยู่บนเขาสูงที่มีแม่น้ำล้อมรอบเขานั้นครับ
นั่นแปลว่าในสมัยก่อนการที่ข้าศึกจะบุกเมืองแห่งนี้ก็เป็นไปด้วยความยากลำบากมากครับ ครั้งหนึ่งเมืองแห่งนี้เคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิสเปนครับ
โตเลโดเป็นเมืองหลวงสเปนโบราณมานานจนกระทั่งชาวมัวร์ (ชาวมุสลิมจากแอฟริกาเหนือ) ได้เข้ามายึดครองคาบสมุทรไอบีเรียเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 8
ทำให้โตเลโดเองนั้นเป็นเมืองที่มีอารยาธรรมผสมผสานจาก 3 เชื้อชาติคือ คริสต์ มัวร์ และ ยิวครับ
ซึ่งด้วยความที่โตเลโดเองนั้นมีการทำสงครามในการแย่งชิงแผ่นดินบ่อย ที่นี่จึงมีความเชี่ยวชาญในด้านการทำอาวุธ
ซึ่งปัจจุบันเหล่าอาวุธพวกนี้ก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ในการทำของฝากของเมืองครับ
จากภาพข้างล่างจะเห็นว่าพระราชวังอยู่ที่จุดสูงสุดของภูเขา
ดังนั้นคนที่อยู่ในพระราชวังแห่งนี้จะสามารถมองเห็นข้าศึกได้แต่ไกล ทีเดียวครับ
ปัจจุบันที่โตเลโดในส่วนของเมืองเก่าก็ยังคงมีการอนุรักษ์เอาไว้ และได้แปลสภาพเป็นแห่งท่องเที่ยวไปแล้วครับ
ณ ปี 2012 เมืองโตเลโดมีประชากรอยู่ราว 84000 คนครับ ด้วยความที่ว่าโตเลโดเป็นเมืองเก่าที่อยู่กันมานานจึงไม่มีการสร้างผังเมืองในส่วนของเมืองเก่าที่ดี
การเดินเที่ยวในเมืองจึงหลงทางได้ง่ายมากครับ จนมีบางเว็บไซต์แนะนำว่าการเที่ยวในโตเลโดคือการ Get Lost หรือให้เดินหลงทางซะ 555
ปล. ภาพทั้งสองภาพถ่ายมาจากจุดชมวิวของเมืองโตเลโดครับ พิกัดอยู่ที่ N39°51.02958 W004°1.3476
ประตูเมืองโตเลโด Puerta de Bisagra
ด้วยความที่ว่าโตเลโดเป็นเมืองเก่าที่เคยเป็นป้อมปราการมาก่อน ดังนั้นจึงยังมีเหลือซากของกำแพงเมืองอยู่
ซึ่งประตูเมืองนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของซากอารยธรรมนั้นครับ
การมาเที่ยวที่นี่ผมแนะนำให้มาช่วง เช้านะครับ เพราะจะได้ภาพตามแสงที่สวยงามครับครับ
ปัจจุบันบริเวณโดยรอบประตูเมืองกลายเป็นถนนไปหมดหล่ะครับ
เลยจากส่วนประตูมาจะเป็นทางขึ้นเขาครับ ซึ่งก็จะมีร้านรวงเต็มไปหมดครับ
ขึ้นมาไม่ไกลก็จะเจอกับ Mosque of Cristo de la luz ซึ่งเป็น Mosque
หรือมัสยิดที่สร้างขึ้นในสมัยที่ชาวมัวร์ยังคงเรืองอำนาจ
ปัจจุบันเป็นมัสยิดที่เหลืออยู่หนึ่งในสิบแห่งของเมืองแห่งนี้ครับ และได้ใีการแปลงมาเป็นโบสถ์คริสต์ครับ
แต่ผมไม่ได้เข้าไปชมข้างในนะครับ
จากทางเข้า Mosque of Cristo de la luz ใกล้ๆกันจะเป็นริมเขาที่มองลงไปเห็นวิวเมือง Toledo ครับผมเลยไปถ่ายรูปมานิดหน่อยครับ
มหาวิหารโตเลโด Toledo Cathedral
มหาวิหารโตเลโดนั้นเป็นวิหารสไตล์โรมันคาทอลิค สร้างมาตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 13 ครับ
ในยุคการปกครองของฟอร์ดินานด์ที่สาม โดยสร้างมาเสร็จในช่วงปี 1493 ครับ
มหาวิหารที่โจเลโดนั้นเป็นมหาวิหารที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสเปน รองจากวิหารเมืองเซบีญ่าครับ
ถ้ามีเวลาแนะนำให้เข้าไปชมภายในด้วยนะครับ เค้าว่ากันว่าสวยงามมากครับ แต่ตอนผมไปผมเหนื่อยมากครับ
เพราะเที่ยวตะลอนๆที่โปรตุเกสมาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ และคืนก่อนหน้าก็น่งรถไฟข้ามประเทศมาทั้งคืนครับ (เอาจริงๆไม่ได้ทำการบ้านมาด้วยว่าที่นี่สวย 555)
ผมเลยนั่ง(หลับ)เล่นอยู่ที่หน้าโบสถ์ครับ 55
แต่อย่างที่ผมบอกข้างต้นนะครับว่าเมืองนี้เป็นเมืองเก่าครับ ซึ่งผังเมืองไม่ดี
ดังนั้นโบสถ์ที่นี่จะตั้งอยู่กลางเมือง และมีตึกรามบ้านช่องล้อมอยู่เต็มไปหมดครับ ซึ่งจะหามุมถ่ายโบสถ์แบบเต็มๆได้ยากหน่อยครับ
แถมวันที่ผมไปมีตั้งเวทีอะไรซักอย่างเลยยิ่งไม่มีพื้นที่ถ่ายรูปเข้าไปใหมญ่เลยครับ
The Alcázar of Toledo
Alcazar of Toledo หรืออดีตพระราชวังของโทเลโด อยู่บนจุดสูงสุดของเมือง
ปัจจุบันมันที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ด้านการสงคราม การทหาร และประวัติศาสตร์ของชาติสเปนครับ
โดยใช้ชื่อว่า Museo Del Ejercito ค่าตั๋ว 5 ยูโร เปิดทุกวันยกเว้นวันพุธ โดยเปิด 10.00-17.00 ครับ
ตอนที่ผมไปถึงเลย 5 โมงเย็นไปแล้วเลยไม่ได้เข้าไปชมข้างในครับ ที่นี่ถ้ามีเวลาควรเพื่อเวลาไว้ซัก 1-2 ชม. ในการเดินชมนะครับ
เนื่องจากมันปิดไปแล้วผมเลยไปเดินเล่นที่สวนแถวนั้นแทนครับ
จากจุดนี้เห็นวิวไปไกลเลยครับ เพราะว่าเป็นที่สูงครับ
ฝั่งตรงข้ามที่มองไปเป็นโรงเรียนทหารของโตเลโดครับ
จากนั้นผมเดินวนลงมาทาง Museo De Santa Cruz
ซึ่งผมไม่ได้อีเช่นกันครับ แต่ตรงนี้มีมุมให้ถ่ายรูปเมืองเล่นได้ครับ
Toledo View Point
หลังจากเดินเล่นที่ในส่วนของเมืองเก่าเสร็จแล้วผมก็เตรียมที่จะไปถ่ายภาพที่จุดชมวิวหล่ะครับ
แต่ช่วงที่ผมไปกว่าฟ้าจะมืดก็ประมาณ 3 ทุ่มครับ พวกผมเลยขับรถไปในส่วนเขตเมืองใหม่พ่หาอะไรทานกันก่อนครับ
ตอนแรกว่าจะไปทานอาหารจีนที่ร้านเดิม แต่ปรากฎว่าร้านปิดจ้า….
ที่สเปนร้านอาหารส่วนมากจะเปิดเป็นช่วงเวลาครับ
คือเปิดมื้อกลางวันราวๆ 12:00 – 15:00 จากนั้นจะปิดร้านครับ ปิดแบบจริงจังดึงเหล็กดัดมาปิดเลยครับ
แล้วจะมาเปิดอีกทีประมาณ 19:00 หรือบางร้านอาจจะเปิด 20:00 ครับซึ่งผมไม่ทราบ ก็ไปเข้าใจว่าวันนี้วันอาทิตย์
เลยเปิดแค่ครึ่งวันอะไรอย่างนั้น สรุปวันนั้นผมไปกิน Kebab แทนครับ
พอกอนเสร็จเดินมาถึง ร้านเปิดจ้า… หึหึ
เอาหล่ะครับ ไม่บ่นแระ… กลับไปจุดชมวิวกันดีกว่า
ที่จุดชมวิวตอนแรกก่อนไปผมเห็นว่าเป็นภนนริมหน้าผาก็นึกว่าจะเงียบและเปลี่ยวครับ แต่ที่ไหนได้
ตรงจุดชมวิวเค้าทำเป็นจุดชมวิวแบบจริงจัง คือมีร้านค้ามีป้าย ครบเลยสบายใจโลด อิอิ
สำหรับพิกัดจุดชมวิวก็ตามนี้เลยครับ N39°51.02958 W004°1.3476
วันที่ไปผมถือว่าโชคดีมากเลยครับ ตอนเย็นท้องฟ้ามีเมฆนิดๆ แล้วตอนพระอาทิตย์ตกก็ฟ้าระเบิดอย่างสวยงามเลยครับ
เรียกว่าถ่ายรูปกันมันส์มือเลยครับ
พระอาทิตย์กำลังจะตกหล่ะครับ ซึ่งก็สวนกับย้านเรือนและพระราชวังที่เริ่มเปิดไฟขึ้นมาครับ
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมฟินกับบรรยากาศมากเลยครับ
ภาพอาจจะมุมใกล้ๆเดิมครับ เนื่องจากผมตั้งกล้องอีกตัวหนึ่งเพื่อถ่าย Day to Night Timelpase ไปด้วยครับ
เลยต้องเฝ้ากล้องครับไปไหนไกลไม่ได้ครับ แต่ Clip ที่ได้มาก็คุ้มเหลือหลายครับ
ปล. ผมไม่สามารถโพสคลิปนี้ได้ด้วยเหตุผลด้านสัญญาบางอย่างครับ ผมขอเอารูปมาให้ดูแทนนะครับ
ภาพนี้เป็นภาพสุดท้ายที่ผมถ่ายมาครับ ตอนแรกอยากรอจนฟ้ามืดครับ แต่น่าเสียดายที่รอไม่ทันครับ
เพราะกว่าฟ้าจะมืดสนิทจริงๆก็ราวๆ 5 ทุ่มกว่าครับ ซึ่งดึกเกินไปหน่อยเนื่องจากผมต้องขับรถย้อนกลับมาที่มาดริดอีกกว่า 1 ชม.ครับ เลยต้องทำใจครับ
มุ้งหน้าสู่เมืองเซโกเบีย (Segovia)
วันต่อมาผมมีโรปแกรมไปเที่ยวที่เมืองเซโกเบียครับ โดยจะแวะไปที่ปราสาทเมนโดซ่าก่อนครับ
แต่วันนี้ผมต้องแวะไปเปลี่ยนรถที่สนามบินก่อน เนื่องจากเจ้า C4-Picasso ที่ผมได้มาเมื่อวานดันมีปัญหาครับ
คือถ้าผมจอดรถเกินกว่า ครึ่งชม. รีโมทกุญแจ และระบบไฟฟ้าทั้งหมดของรถจะใช้งานไม่ได้ครับ
ต้องไขรถด้วยกุญแจ สตาร์ทรถ ซักพักระบบไฟฟ้าจึงกลับมาใช้ได้ ซึ่งเดาว่าคงมีปัญหาเกี่ยวกับแบต (มั๊ง) ครับ
ซึ่งผมก็กลัวจะไปมีปัญหาตอนอยู่นอดเมืองไกลๆ เลยยอมขับย้อนไปที่สนามบินเพื่อเปลี่ยนรถครับ ซึ่งที่ Hertz ก็ให้บริการอย่างดีครับ
เปลี่ยนรถคันใหม่ให้อย่างไม่มีอิดออดเลยครับ
แต่รถคันใหม่ที่ได้มาเลยกลับมาเป็นรถคันเล็ก Size Compact ตามที่ผมจองไปครับ
เป็นรถยี่ห้อ Renault ซึ่งเป็นยี่ห้อฝรั่งเศสครับ เป็นรถดีเซลประหยัดน้ำมันมากครับ ผมวิ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 25-30 กม./ลิตร ครับ
รถที่ผมได้มานั้นเป็นรถที่ถูกขับมาจากเยอรมันครับ ซึ่งฝรั่งเศสก็อยู่ตรงกลางระหว่าง สเปน และเยอรมัน
นั่นก็คือเหมือนผมขับรถไปคืนให้เค้าครึ่งทางนั่นหล่ะครับ 555
สำหรับเมืองเซโกเบียจะอยู่ห่างจากกรุงมาดริดไปประมาณ 80 กม.ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือครับ
ถนนที่ไปนั้นเป็น Highway ตลอดทางครับซึ่งแน่นอนค่าทางด่วนอ๊วกครับ
แต่ตอนไปผมใช้อีกเส้นทางนึง คือแวะไปที่เมือง…… ก่อนเพื่อแวะไปเยี่ยมชม ปราสาทเมนโดซ่าครับ
แล้วค่อยไปที่เซโกเบีย แต่ถ้าไปทางนี้ ทางที่ GPS นำไปจะต้องขับทะลุเขาในช่วง เมนโดซ่า – เซโกเบียครับ
แต่ถ้าดูจาก google map มันจะพามาทาง highway ครับ
Castle of los Mendoza
พิกัด GPS N40°43.61922 W003°51.73302
ปราสาทเมนโดซ่า เป็นป้อมปราการที่สร้างมาตั้งแต่สมัยปี 1475
ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในปราสาทที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ดีที่สุดในสเปนครับ
ปัจจุบันปราสาทได้กลายเป็นพิพทธภัณฑ์เกี่ยวกับปราสาทต่างๆในสเปน
และเป็นที่เก็บพรมแบบแขวนที่ใช้ประดับตามฝาผนังครับ
แต่วันที่ผมไปเป็นวันจันทร์ครับ ซึ่งพิพิทธภัณฑ์จะปิดครับ แต่ก็ไม่คิดมากครับ เพราะผมกะไปถ่ายภาพจากภายนอกเป็นหลักอยู่แล้วครับ ถ้าใครมีโอกาสไปอย่าลืมเอารูปมาฝากกันบ้างนะครับ
เนื่องด้วยมีเวลาเหลือเยอะเนื่องจากปราสาทปิดผมเลยได้เดินเล่นสำรวจบ้านเมืองเค้าครับ ถือว่าค่อนข้างเงียบๆครับ
สภาพบ้านเมืองที่นี่ยังเป็นสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมของสเปนครับ
Segovia
หลังจากเดินเล่นรอบๆปราสาทเมนโดซ่าเสร็จผมก็ขับรถไปที่เมืองเซโกเบียครับ
อย่างแรกที่ทำก่อนเลยคือ กินครับ 5555 ซึ่งตอนขับรถในเมืองก็เจอร้านอาหารจีนพอดีครับ
เลยแวะซะเลย พิกัดอยู่ที่ 40.939604, -4.115704 ครับสามารถหาที่จอดรถแถวๆนี้ได้ครับ
หลังจากทานข้าวเสร็จตอนแรกผมขับเข้าเมืองไปเพื่อจะซื้อซิมมือถือครับ
แต่ว่าร้านปิดจ้า…..
ที่สเปนมีวัฒนธรรมอย่างหนึ่งคือการ นอนกลางวันครับ
ร้านรวงหลายๆร้าน จะปิดช่วง 14:00 – 17:00 ครับ ดังนั้นจะหาซื้ออะไรในสเปนเลี่ยงช่วงนี้ด้วยนะครับ
ปล. ตอนผมอยู่สเปนผมก็ดูจะซึมซับวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดีครับ เพราะบ่าย 2 ทีไรง่วงนอนทุกทีซินะ 5555
เซโกเบียปัจจุบันมีประชากรในเขตเทศบาลราวๆเกือบๆ 60,000 คนครับ
เซโกเบียถือเป็นจุดยุทะศาสตร์ในทางทหารจุดหนึ่งครับ
มีการสร้างป้อมปราการ และพระราชวัง ในจุดบรรจบของแม่น้ำสองสายคือ
แม่น้ำเอเรสมา (Eresma) กับแม่น้ำกลาโมเรส (Clamores)
พระราชวังหรือ Alcazar ที่นี่ถือเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีทรวดทรงที่สวยงามคล้ายเรือ
และว่ากันว่าเป็นต้นแบบของปราสาทดิสนีย์ครับ
Vera Cruz Church
จากนั้นผมเลยวนไปที่ Vera Cruz Church ก่อนครับ
พิกัด N40°57.33852 W004°7.94472
โบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์เก่ามากครับ สร้างตั้งแต่ปี 1208 โดยอัศวินเทมพลาร์
คุ้นๆชื่อมั๊ยครับ ผมเคยพูดถึงอัศวินเทมพลาร์ตอนพาเที่ยวโทมาร์ที่โปรตุเกสในตอนที่แล้วครับ
ลักษณธของโบสถ์นี้เป็นอาคาร 12 เหลี่ยมโดยมีหอคอยอยู่ทางด้านทิศใต้ครับ
ซึ่งมีต้นแบบมาจาก Church of the Holy Sepulchre ในเมืองเยรูซาเลมนั่นเองครับ
แต่จริงๆแล้วผมมาที่นี่ไม่ได้กะจะมาเยี่ยมชมดบสถ์หรอกครับ แต่ต้องการมาเพื่อถ่ายภาพ Alcazar ครับ
จุดนี้เป็นจุดชมวิว Alcazar ที่สวยจุดหนึ่งเลยครับ แต่ๆๆๆๆ ควรมาช่วงเช้านะครับ
ผมมาช่วงบ่ายย้อนแสงไปเรียบร้อยครับ
Alcazar of Segovia
พิกัด GPS N40°57.15456 W004°7.95354
จากนั้นผมก็เลยไปเดินเล่นภายในพระราชวังเซโกเบียหรือ Alcazar of Segovia ครับ
ซึ่งที่นี่ก็จะเหมือนกับที่โตเลโดคือตัวพระราชวังจะอยู่ในจุดสูงสุดของเมืองครับ ซึ่งบริเวณพระราชวังจะมีที่จอดรถไม่มากนะครับ ผมต้องจอดกลางๆเมืองแล้วเดินขึ้นมาครับ
ที่พระราชวังเปิดให้เข้าชมเวลา 10:00-19:00 นะครับ
พระราชวังแห่งนี้คล้ายกับพระราชวังหลายๆแห่งในสเปนครับ คือแรกเดิมทีถูกสร้างขึ้นมาในช่วงชาวมัวร์ครอบครองพื้นที่ครับ
และถูกปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในช่วงที่ชาวคริสเตียนเข้ามาครอบครองในราวปี 11xx ครับ
ภาพนี้เป็นภาพจากบริเวณหน้าพระราชวังครับ มองไปเห็น มหาวิหารเซโกเบียครับ
และนี่เป็นอนุเสาวรีย์อะไรซักอย่างที่อยู่หน้าพระราชวังครับ
ภายในพระราชวังนั้นก็จะเป็นห้องต่างๆ ของพระราชวังให้เดินชมครับ รวมไปึงพวกที่เกี่ยวกับการสงครามครับ
เพราะคาบสมุทรแห่งนี้ในอดีตถือเป็นดินแดนที่มีการแย่งชิงอำนาจและมีการเปลี่ยนมือมาหลายครั้งครับ
ลักษณะสถาปัตยกรรมยังคงกลิ่นอายจากทางอาหรับหรือจากชาวแขกมัวร์ครับ
ห้องนี้ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นห้องประทับของพระราชาครับ
ภาพจากหน้าต่างภายในพระราชวังครับมองไปเห็นโบสถ์ Vera Cruz ด้วยครับ
ในปราสาทสามารถเดินออกมาภายนอกได้ด้วยครับ
หลังจากเดินเล่นในพระราชวังเสร็จผมก็ขับรถชิวๆริมแม่น้ำหาจุดถ่ายรูปครับพอได้มา 2-3 จุดครับ
อันนี้ถ่ายจากพิกัด 40.952865, -4.134145
ส่วนอีกจุดหนึ่งเป็นสวนสาธารณะครับ
พิกัดอยู่ที่ 40.954123, -4.134258
การจอดรถในยุโรปและ Ticket
หลังจากผมถ่ายรูป Alcazar จนจุใจแล้วผมขับรถเข้าไปที่ตัวเมือง เพื่อไปหาซิมครับ
จากนั้นผมก็จอดรถที่นึง ซึ่งตอนที่ผมลงไปผมพยายามมองหาตู้หยอดเงิน แต่หาไม่เจอครับ
ก็เลยพลอยเข้าใจไปว่าตรงนั้นจอดได้ฟรีครับ (ที่โปรตุเกสที่จอดรถจะมีตู้หยอดเงินค่าจอดถี่มากครับ)
จากนั้นผมก็เข้าไปซื้อซิม ซึ่งใช้เวลาไปประมาณ ชม.นึงครับ
ปรากฏว่าได้เรื่องเลยครับ ออกมาเจอ Ticket เป็นที่เรียบร้อยครับค่าปรับเจอไป 80 EUR ครับ
แบบว่าแอบอึ๊งครับ แต่ก็ต้องทำใจเพราะผมไม่ได้ไปหยอดตู้จริงๆ ซึ่งผมไปเจอว่า
ตู้หยอดมันไปอยู่หัวถนนซึ่งไกลไปจากจุดที่ผมจอดรถราวๆ 150 เมตรนู่นหล่ะครับ
เรียกว่าโดนไปทีทำเอาเซ็งไม่อยากเที่ยวต่อเลยทีเดียวครับ
ตอนนั้นก็พยายามหาข้อมูลนะครับ.. ว่าจะต้องไปจ่ายค่าปรับอย่างไร
เท่าที่หาข้อมูลได้ยิ่งไปจ่ายเร็วจะได้รับส่วนลดซึ่งอาจจะมากถึง 30% เลย
ซึ่งมันมีเว็บที่มีคนให้ข้อมูลมา แต่ทุกอย่างเป็นภาษาสเปนครับเลยไม่สามารถไปจ่ายได้ครับ
ตอนนั้นก็เลยพยายามไปหาตำรวจครับ ซึ่งตำรวจหลายคนก็พูดอังกฤษไม่ได้ซะด้วยครับ
แต่หลังจากเจอคนที่พอพูดได้ เค้าก็บอกว่า
1. ตำรวจไม่ได้เป็นคนออกใบสั่ง แต่เป็นประมาณเทศกิจ (ที่ยุโรปเค้าให้เอกชนเป็นผู้ออกใบสั่งนะครับ ประมาณว่ากระจายงานไม่สำคัญออกไป)
2. ตำรวจคนแรกบอกว่า ถ้าเป็นเค้าได้ใบสั่ง เค้าจะไม่สนใจและขยำททิ้งไปเลย พร้อมกับบอกว่าคนประเทศเค้าไม่สนใจหรอก
คือได้ฟังแบบนี้ผมก็อึ้งครับ… ว่าเฮ้ย ประเทศนี้มันทำอย่างนี้กันเลยเหรอ… ซึ่งผมก็ไม่สบายใจอยู่ดี
ตอนนั้นผมลองหาข้อมูลเพิ่มก็พอทราบว่าถ้าสุดท้ายเราไม่จ่าย และทางเทศกิจเรียกเก็บไปที่บริษัทรถเช่าเค้จะชาร์จผ่านบัตรเครดิตเรามาอีกทีครับ
แต่ประเด็นคือบริษัทรถเช่าเค้าจะชาร์จค่าดำเนินการเพิ่มด้วย เคสนึงเคยเจอไป 150 EUR ครับซึ่งผมก็ไม่อยากเจอแบบนั้น
เลยพยายามหาทางจ่าย โดยลองขับรถไปที่ สถานีตำรวตดูครับ ปรากฎว่าทุกคนบอกเหมือนตำรวจนายแรกที่บอกผมครับว่า
..Don’t Care, Let’s fun with your trip.
และก็บอกมาอีกว่าที่สเปนการดำเนินการคือจะมีการรวบรวมข้อมูลส่งไปที่ส่วนกลางที่มาดริดใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน
จากนั้นจึงหาข้อมูลเราส่งไปรษณีย์แจ้ง ซึ่งปานนั้นคุณก็กลับประทศไปแล้ว ดังนั้นอย่างได้ใส่ใจ ขย้ำทิ้งแล้วไปเที่ยวต่อได้เลย
(ตรงนี้ผมเข้าใจว่าส่วนหนึ่งเพราะรถที่ผมขับเป็นทะเบียนจากเยอรมันด้วยครับ)
สุดท้ายเมื่อหาที่จ่ายเงินไม่ได้ผมจึงทำใจสบายๆแบบที่คุณตำรวจว่าครับแล้วไปเที่ยวต่อ
โดยตอนที่ผมไปคืนรถผมได้แจ้งทางบริษัทไว้ เค้าก็บอกว่าถ้ามันมีการส่ง ticket มาจริงเค้าจะเรียกเก็บเงินไปเอง
ซึ่งปัจจุบันนี้ผมกลับมาแล้วครึ่งปีก็ยังไม่มีการเรียกเก็บใบสั่งใบนี้มาแต่อย่างใดครับ
อ้อเพื่อเป็นการให้เพื่อนๆไม่ต้องว้าวุ่นในเรื่องจะโดนใบสั่งนะครับ เท่าที่ผมหาข้อมูลมา
ปกติจุดที่จอดรถจะมีการตีกรอบให้จอดรถได้ครับ ซึ่งถ้ากรอบเป็นสีฟ้า (หมายถึงจุดนั้นจะต้องจ่ายค่าจอดครับ)
แต่ถ้ากรอบเป็นสีขาว หรือไม่มีกรอบ แปลว่าตรงนั้นจอดฟรีครับ
ลองดูข้อมูลคร่าวๆจากเว็บนี้ได้ครับเป็นกฎของที่อิตาลี แต่โดยรวมก็ใกล้เคียงกันครับ
http://www.slowtrav.com/italy/driving/parking.htm
ท่อส่งน้ำโบราณ (ancient aqueduct)
หลังจากเคีลยร์เรื่อง ticket เป็นที่เรียบร้อยผมก็พาร่างตัวเองไปเที่ยวที่สะพานส่งน้ำโบราณของเมืองเซโกเบียครับ
ซึ่งท่อส่งน้ำแห่งนี้มีการสร้างมาตั้งแต่สมัยโนมันแล้วครับ โดยสะพานแห่งนี้สร้างเพื่อการลำเลียงน้ำจากแม่น้ำฟรีโอที่อยู่ไกลจากตัวเมืองไปถึง 18 กม.
โดยจุดที่จะเข้าตัวเมืองนั้นจะเป็นจุดที่ยกตัวสูงจากพื้นดินดังที่เห็นในรูปครับ
ภาพอาจจะมีไม่มากนะครับ เพราะตอนนั้นจิตใจไม่ค่อยอยู่กะร่องกะรอยเท่าไหร่จากการโดน Ticket มาครับ 5555
หลังจากเที่ยวที่นี่เสร็จผมก็กลับไปทานข้าวที่ร้านเดิมเมื่อตอนกลางวันครับ
ซึ่งวันนี้ผมไม่ได้อยู่ถ่ายภาพช่วงค่ำเนื่องจากวันรุ่งขึ้นผมต้องขับรถไปที่เมือง เซบีย่า ซึ่งต้องขับจากมาดริดไปราวๆ 600 กม.ครับ
กลังจะไม่ไหวครับ ก็เลยขับรถกลับไปที่ที่พักไปพักผ่อนดีกว่าครับ..
to be continue
สำหรับตอนแรกของการท่องเที่ยวในสเปนก็คงจงลงเพียงเท่านี้ครับ
เป็นยังไงกันบ้างครับ หวังว่าคงถูกใจเพื่อนๆกันนะครับ
สำหรับตอนหน้าผมจะพาเพื่อนๆลงไปเที่ยวทางใต้ครับ
ซึ่งทางใต้นั้นเป็นส่วนที่ใกล้กับทางทวีปแอฟริกา
จึงเป็นส่วนที่ได้รับอิทธิพลจากทางแขกมัวร์มาค่อนข้างมากเลยครับ
สถาปัตยกรรมต่างๆจะแปลกตาไปจากเดิมมากทีเดียวครับ
แล้วรอติดตามชมกันนะครับ สำหรับวันนี้ผมขอลาไปเพียงเท่านี้ครับ
ขอบคุณที่ติดตามชมและสวัสดีครับ 🙂