อ่านชื่อหัวข้อก็น่าจะเดาๆได้ว่า Japan Trip Hokkaido: ประสบการณ์จริงเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันจนเข้าโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่น รอบนี้ไม่ใช่รีวิวพาเที่ยวแบบสุขสันต์สไตล์ของบ้าน one22family เหมือนทุกครั้งนะครับ แต่เป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะต้องหยิบเรื่องราวแบบนี้มาให้ทุกคนได้อ่านกัน แต่เอาล่ะเมื่อตั้งใจแล้วว่าจะเขียนถึงประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้น คิดว่าเป็นประโยชน์ในการระมัดระวังสำหรับการเตรียมพร้อมกับการเดินทางโดยเฉพาะกรณีที่มีผู้ใหญ่หรือเด็กเล็กๆร่วมทริปไปด้วย โดยเฉพาะการทำประกันภัยการเดินทาง ครอบครัวเราจากนี้ไปไม่ว่าจะไปประเทศไหนๆในโลกนี้ มันคือสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่แพ้กระเป๋าเสื้อผ้าของเราเองก็ว่าได้ เอาว่าลองอ่านบทความนี้ดูนะครับ
สำหรับใครที่สงสัยว่าตอนแรกเป็นยังไงสามารถอ่านได้ในทริป Japan : Tohoku 11 คนตะลุยขับรถเที่ยวฤดูใบไม้ผลิ ภาคโทโฮคุครับ
เล่าที่มาของทริปย่อๆก่อนนะครับ
เรื่องมันเริ่มขึ้นช่วงประมาณเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ครอบครัวของเราอยากพาปันและคุณยายไปเที่ยวประเทศที่สวยงามอย่างญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก เราจึงเลือกช่วงเวลาที่น่าจะสวยๆอย่างฤดูใบไม้ผลิ คิดไปมาสุดท้ายพวกเรามาจบที่ตอนบนทั้งหมดของญี่ปุ่นโดยที่แบ่งเส้นทางและเวลาออกมาเป็นดังนี้
9วัน 3 ภูมิภาค 11 คน แห่งการตะลุยช่วงเวลาใบไม้ผลิ
ผมวางแผนแบ่งเส้นทางออกมาเป็น 3 ช่วง 3 เส้นทาง
เส้นทางแรก Tohoku จาก Iwate > Aomori 3 วัน
เส้นทางที่สอง Hokkaido จาก Aomori> Sapporo 3 วัน (นั้นคือรีวิวนี้นั้นเอง)
เส้นทางที่สาม Tokyo จาก Tokyo>Fuji>Tokyo 3 วัน
มาเริ่มกันเลยดีกว่า
วันที่ 4 ของการเดินทาง ช่วงรอยต่อเข้าสู่เส้นทางที่สอง คือ Hokkaido (ฮอกไกโด) เช้านี้พวกเราทุกคนตื่นกันเช้ามาก เพราะต้องเดินทางขึ้นไปเหนือสุดของญี่ปุ่นจะต้องไปให้ทันรถไฟเที่ยวเช้า และยังต้องเอารถเช่าไปคืนที่สถานีรถไฟ Shin-Aomori ซึ่งเกือบจะเป็นสถานีสุดท้ายของจังหวัด Aomori ก่อนจะข้ามไปยังเกาะฮอกไกโด
ระหว่างที่เริ่มขับรถออกมาผมหันไปถามคุณยายว่าสวยไหม ลึกๆยังรู้สึกเสียดายที่เมื่อวานกว่าจะมาถึงที่พักในแถวทะเลสาบก็ปาเข้าไปมืดแล้วทำให้ไม่ได้เก็บบรรยากาศสวยๆตอนเย็นอย่างที่ตั้งใจ คุณยายเองหันมามองและบอกว่า “สวยๆ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ” ความน่ารักของคุณยายก็ตรงนี้ที่แกไม่เคยทำให้เราต้องกังวลเกี่ยวกับตัวแก เพราะตลอด 3 วันที่ผ่านมา คุณยายทำตัวสบายๆมากดูแลตัวเองได้แบบไม่ต้องให้เรากังวลเลย เดินเหินสะดวกและไม่ต้องให้เราคอยพยุงเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆที่อายุตอนนี้ 79 ปีแล้ว ก่อนมาผมมีความกังวลมากมายเรื่องจะดูแลแกได้แค่ไหน แต่สุดท้ายคำติดปากของคุณยายเวลาเราคุยกันคือ “ไม่เป็นไร” ก็เลยช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับตัวแกไปได้มาก จนผมไม่ทันรู้สึกหรือมีลางสังหรณ์ใดๆ บอกเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับแกในเวลาถัดมา
ระหว่างที่ผมขับรถจนพ้นจากทะเลสาบเข้าสู่ถนนสายหลัก อยู่ๆคุณยายก็คว้าถุงพลาสติกออกมาแล้วก็อ้วก เราทั้งสองคนจึงหันไปถามว่า เป็นไงบ้าง เมารถเหรอ แกก็บอกไม่เป็นไรๆ สงสัยจะเมารถ เราเลยเปิดหน้าต่างเอาลมจากข้างนอกเข้ามา เพราะก็เป็นไปได้มากว่า ด้วยเส้นทางที่วกวน และคุณยายนั่งหลังอาจจะทำให้เมาได้ ผมจึงเริ่มชลอรถลง และถือเป็นการดีที่ให้แกได้ชมวิวไปพร้อมกันด้วย
สุดท้ายพวกเรามาถึงสถานี Shin-Aomori และพาทุกคนลงไปนั่งรอ คุณยายเองมีอาการซึมๆลงจนแม่ปันและปันต้องไปพยุงพาแกเดินเข้าไปในสถานี ทุกคนเดาว่าแกอาจจะมึนๆที่นั่งรถและเพลียอย่างที่บอก ส่วนผมเองก็ต้องขับเอารถไปคืนพร้อมๆกันกับเพื่อนร่วมทริปอีกสองคันอย่างไม่สงสัยใดๆเลย จนกระทั้งผมกลับมายังสถานี เพื่อนๆที่มาด้วยกันเริ่มปรึกษาว่าจะเปลี่ยนเส้นทางเที่ยวจากเดิมพวกเราวางแผนไว้จะแวะเที่ยวที่ฮาโกะดาเตะก่อนแล้วค่อยนั่งรถไฟต่อไปพักที่ Sapporo (ซับโปโร) อันเป็นเมืองใหญ่สุดของภูมิภาคนี้ เพราะทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีอาการเพลียจากการเดินทางเมื่อวานระดับนึง ทำให้อยากจะตรงเข้า Sapporo ผมตอบทันทีว่าไม่เป็นไร แผนทุกอย่างเราปรับเปลี่ยนได้ตามส่วนรวม แม้ลึกๆจะเสียดายเพราะความตั้งใจจะอยากเก็บภาพซากุระที่ฮาโกะดาเตะก่อน แต่สุดท้ายความสุขส่วนรวมของทีมเราสำคัญกว่า ทริปนี้มีผู้ร่วมเดินทางตั้งแต่ 4 ขวบยัน 79 ปียังไงเด็กและคนแก่สำคัญที่สุด
ขออธิบายตามแผนที่ด้านล่างให้เห็นภาพว่าเราอยู่กันตรงไหน ระยะทางเท่าไหร่ เส้นทางจาก aomori ไปถึง sapporo จะนานถึง 4 ชั่วโมงกว่า และจาก Shin Aomori Station จะต้องมาเปลี่ยนขบวนกันที่ shin-hakodate-hokuto Station ก่อนเพราะความคดเคี้ยวของหุบเขาทำให้ทางการรถไฟของญี่ปุ่น(JR)ไม่สามารถใช้รถไฟความเร็วสูงวิ่งได้ ด้วยเส้นทางที่ลัดเลาะทะลุภูเขาหลายสิบลูกแบบนี้ แต่ในอนาคตได้ยินว่าอีกไม่เกิน 5 ปีจะสามารถทำเส้นทางรถไฟสายใหม่ทะลุตรงสู่งซับโปโรได้โดยใช้เวลาเหลือแค่ 1.30ชม. อันนี้ขอชมจริงๆว่าประเทศเค้ามุ่งมั่นจริงๆ
ผมหันมาสังเกตคุณยายเริ่มมีอาการซึมลง และเริ่มเดินช้าลง แต่ด้วยความเข้มแข็งของแก คำว่าไม่เป็นไร ก็ยังติดปากแกเสมอ พร้อมกับที่แกกวักมือไล่เราให้เดินไปก่อน
ลางบอกเหตุเล็กๆ ก็มาเยือนพวกเราทันที หลังจากขึ้นรถไฟกันมาแล้ว จากสถานีที่ตั้งใจจะมาลงคือ Shin- Hakodate เพื่อต่อขบวนไปยัง Sapporo แต่ด้วยความเบลอดันลงก่อนถึง 2 สถานี!! โอ้วววบระเจ้าพลาดดดด
เอ้าๆๆ หลังได้สติกันทั้งหมด ผมและเพื่อนก็จัดการสอบถามเที่ยวรถไฟถัดไป นั้นคืออีก 2.30 ชม. เด็กๆก็ยังสนุกสนานวิ่งเล่นกันไปแต่พ่อแม่มองหน้ากัน แล้วเราทำไรกันละทีนี้ กองทัพเดินด้วยท้องก็ต้องกินสินะ หลังจากที่พ่อๆทุกคนออกไปหาของกินนอกสถานีกลับมา ผมเดินปรี่ไปหาคุณยายเพื่อเอาขนมปังและนมให้ อาการคุณยายไม่ดีขึ้นเลย แกรับไปกินไม่มากก็นั่งพักต่อ หลังรออีกพักใหญ่พวกเราใช้เวลาอีกไม่ถึง 10 นาที ก็มาถึงสถานี Shin-Hakodate และพักรอขบวนที่มาเปลี่ยนอีกราวๆ 45 ชม.ก็ได้ขึ้นขบวนรถไฟที่จะพาเรามุ่งหน้าไปยัง Sapporo มีอย่างนึงทีผมชอบมากคือระหว่างทางจากที่นี่ไปยังปลายทาง ช่างสวยงามจริงๆ เพราะเราจะได้เห็นทะเลจากฝั่งขวาสลับกับการหันมาทางซ้ายแล้วเจอขุนเขาสวยงาม ช่างเป็นเส้นทางในฝันโดยแท้ ใครที่เดินทางอย่างเราให้เลือกจับจองที่นั่งด้านขวาไว้นะ มันสวยมาก
ใช้เวลา 3.50 ชม. ขบวนรถไฟก็พาคณะของเรามาถึง Sapporo จากนี้ 3 วันเราพักกันที่ Sapporo Prince Hotel เป็นอีกครั้งที่เลือกเครือนี้ ประทับใจมากจาก 2 ทริปล่าสุด เดี๋ยวผมจะทำรีวิวที่นี่แยกเป็นอีกรีวิวให้อ่านกันนะ อันนี้เป็นภาพบางส่วนที่ถ่ายช่วงที่มาถึง ที่สำคัญโรงแรมนี้มีส่วนมากในการช่วยเหลือครอบครัวเราให้ผ่านเหตุการณ์ที่กำลังจะมาถึงได้ดีเหลือใจ
หลังเข้าพักคุณยายสีหน้าดีขึ้นบ้างเพราะได้นั่งรถไฟพักมาตลอดหลายชั่วโมง แต่การเดินยังช้าลงเรื่อยๆ ผมกับเย่นเลยคุยกันว่าให้คุณยายนอนอีกสักพักตื่นแล้วจะพาไปหาหมอดีกว่า หลังโทรลงมาปรึกษากับทางโรงแรม เราเลยได้ชื่อโรงพยาบาลมาหนึ่งที่ ทางโรงแรมก็ดีใจหาย จัดแจงหาเบอร์ติดต่อมาให้ พร้อมแนะนำแผนที่การเดินทาง รวมถึงหลังจากคุณยายตื่นแล้วทางโรงแรมยังให้พนักงานกุลีกุจอเอารถเข็นมารับพาคุณยายส่งถึงรถแท๊กซี่ให้เสร็จสรรพถือว่าเป็นอีกความประทับใจของเราทั้งคู่มากครับ
ผมไม่ได้ไปด้วยกับคุณยายแต่เป็นแม่ปันพาไป เพราะต้องเริ่มติดต่อกับบริษัทประกันการเดินทางที่เราซื้อมา โชคดีจริงๆที่ตัดสินใจซื้อประกันของครอบครัวเราให้คุณยายด้วย อันนี้คิดถูกมาก และตลอดเวลาที่แยกกัน แม่ปันก็จะส่งmessenger บอกความเคลื่อนไหวเรื่อยๆ
ขอพูดถึงประกันเล็กน้อยก่อนครับ ส่วนตัวตั้งแต่ผมไปต่างประเทศมาหลังๆจะทำประกันการเดินทางไว้เสมอเพราะเราเคยมีปัญหากับปันสมัยหลายปีก่อนตอนพึ่งมาเที่ยวญี่ปุ่นแบบนี้แล้วไม่สบาย ดีว่าหนนั้น แค่เอายาที่เตรียมมาให้ทานแล้วหาย ตั้งแต่นั้นมาผมจึงซื้อประกันเดินทางไว้ตลอดและหนนี้ก็เช่นกัน และเหมือนซื้อหวยแล้วถูก เพราะประกันที่เราเลือกให้คุณยายมันใช่มากๆเลย ทุกครั้งผมจะดูที่ราคารักษาพยาบาลและหากมีกรณีกระเป๋าตกหล่นสูญหายก็ขอให้ครอบคลุมทั้งหมด เป็นสองอย่างที่ทำให้เราเลือกแต่แรก เดี๋ยวตอนท้ายผมจะมาบอกรายละเอียดอีกทีครับซึ่งเป็นสิ่งที่คิดถูกทีสุดของทริปนี้เลย
เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์โรงพยาบาลที่ประเทศนี้จะทำงานเหมือนราชการทั่วไปหมอที่มาอยู่จึงเป็นหมอเวรมากกว่า การรักษาจึงเป็นการตรวจเบื้องต้นเพียงการสอบถามพูดคุยถามอาการกันธรรมดา หมอวินิจฉัยเบื้องต้นว่าเป็นน้ำในหูไม่เท่ากัน ทำให้มีผลกับการเดินที่ช้าลง และปวดหัวเวียนหัวอยู่ตลอด หมอเพียงกำชับว่าให้พักผ่อนเยอะๆ พอผมทราบเรื่องแล้ว เราจึงปรึกษาลูกทริปกันทั้งหมดถึงทริปที่เหลืออยู่ซึงมันก็ไม่เป็นไปตามแผนแล้วละ ผมได้ข้อสรุปเบื้องต้นก่อนแยกย้ายกันพักผ่อน
คืนนั้นบ้านเราสวดมนต์ขอพรให้คุณยายหายเร็วๆแม้จะทำใจว่าที่ฮอกไกโดนี้คุณยายอาจจะไม่ได้เที่ยวไหนแล้วก็ตาม แต่ก็ขอให้หายทันบินกลับโตเกียวในอีก 2 วันทีเถิด
เช้าวันรุ่งขึ้นทุกคนจัดแจงทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย แม่ปันเมื่อคืนไปนอนเฝ้าคุณยายทั้งคืน ที่ห้องของแกปล่อยเราสองพ่อลูกนอน ก่อนที่รุ่งเช้าจะมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของเรา เช้านี้คุณยายอาการดีขึ้นเล็กน้อย แต่เราตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าเราจะพาท่านไปหาหมอช่วงบ่าย ซึ่งเราก็ได้รับคำแนะนำดีๆอีกครั้งจากโรงแรม ให้ไปคลินิกที่น่าเชื่อถือ และที่สำคัญ พูดภาษาอังกฤษได้
ตัวคลีนิกแรกในวันที่สองที่ทางโรงแรมแนะนำมา เราพาคุณยายไปตรวจก่อนเค้าจะแจ้งให้เรารีบพาไปโรงพยาบาลทันที
เมื่อคุณหมอวินิจฉัยเบื้องต้น ก็ทำให้แม่ปันอึ้งเล็กน้อย คือ “มีอาการเกี่ยวกับสมอง ขอให้เราไปรักษาที่โรงพยาบาลโดยตรงให้เร็วที่สุด”
หลังจากคุยรายละเอียดแล้ว เราก็นำจดหมายส่งตัวจากคลินิก เดินทางไป รพ. อย่างรวดเร็วและ รพ.นั้นคือ รพ. นากามูระ (Nakamura hospital จำชื่อไว้แม่นๆนะครับดีเยี่ยมมาก) นั้นเป็น รพ. เฉพาะทางด้านประสาท อยู่ห่างจากโรงแรม Sapporo Prince Hotel แค่เดิน 7 นาทีเท่านั้น
เมื่อเข้าไปถึง เจ้าหน้าที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้เลย แต่ความตั้งใจเค้าเต็มที่ พยายามหาพนักงานที่พูดอังกฤษประจำโรงพยาบาลมาคุยกับเรา เพื่อกรอกประวัติต่าง ๆ หลังจากนั้น ก็ต้องไปรอตรวจเหมือนโรงพยาบาลรัฐของประเทศไทย ประมาณ 30 นาทีได้ หลังตรวจอาการเบื้องต้นคุณหมอสั่งตรวจสมองทันที โดยใช้เครื่อง MRI Scan เราฟังปุ๊บก็ตกใจแต่จริงๆในใจก็คิดว่าเป็นขั้นตอนของทางนี้ เนื่องจากคุณยายมีอาการครึ่งซ้ายเคลื่อนไหวได้ช้าลงและเหมือนแขนไม่มีแรง ดูคล้ายๆกันกล้ามเนื้ออ่อนแรง แต่เพื่อความแน่ใจคุณหมอจึงขอตรวจสมองให้ชัดเจน เพื่อจะได้วินิจฉัยได้ถูกต้อง ซึ่งเค้าจะแจ้งค่าใช้จ่ายเบื้องต้นไว้ก่อนเลยว่าเท่าไหร่ และให้เรายอมรับก่อน จึงจะดำเนินการ
หลังจากทำตรวจไม่ถึงชั่วโมง คุณหมอเรียกพวกเราเข้าไปฟังผลตรวจและแล้วสิ่งที่เกินคาดคิดก็บังเกิด …
หมอบอกว่าคุณยายมีอาการ เส้นเลือดตีบในสมอง และอยู่ๆมันเกิดอาการขึ้นมา และไม่สามารถรู้ได้ว่ามันจะเกิดขึ้นได้เมื่อไหร่ ตอนไหน สาเหตุมีมากมายที่จะทำให้อาการกำเริบขึ้นมาได้แต่มันแจ๊คพอทที่จะมาเกิดกับแกที่ทริปนี้!
หลังจากผลตรวจคุณหมอชี้และวิเคราะห์ให้เราฟังว่าไม่สามารถบอกได้ชัดว่าอาการจะดีขึ้นหรือแย่ลง แต่ยังไงก็ต้องพักดูอาการและทำการรักษา ที่สำคัญห้ามเคลื่อนที่ไปไหน ยิ่งเรื่องนั่งเครื่องบินด้วยแล้วไม่ต้องพูดถึงหากเดินทางต่อตอนนี้ หมอไม่รับประกันว่าจะทำให้กลายเป็นอัมพาธ ครึ่งซ้ายได้เลย อย่าเสี่ยงเป็นอันขาด!!!
ผมฟังแล้วมือเย็นเฉียบลงทันที ในหัวเวลานั้นคิดวนไปวนมาว่าแล้วเราจะรักษาคุณยายยังไง จะกลับเมืองไทยได้ไหม แผนการเที่ยวที่เหลือจะทำยังไง บ้านเพื่อนๆที่มาด้วยจะเดินทางต่อไหม ฯลฯ
คุณหมอก็บอกให้ใจเย็นๆ แต่วันนี้คงต้อง admit ก่อนและดูผลกันวันต่อวัน
สำหรับห้องพักรักษาที่นี่ก็จะคล้ายๆ รพ.บ้านเรามีทั้งห้องรวม ห้องแยก และห้องพิเศษ เราตัดสินใจเลือกห้องพิเศษ เพราะมีห้องน้ำในตัว (ถึงแม้จะไม่มีห้องอาบน้ำก็ตาม) แต่ห้องจะค่อนข้างเล็กนิดหนึ่งคล้ายห้องพักส่วนใหญ่ในประเทศนี้ที่อะไรๆก็ดูจะเล็กไปหมด และเฝ้าค่อนข้างลำบาก
เมื่อเคลียร์ห้องเรียบร้อยแล้ว ผมขอกลับมาที่ โรงแรมก่อนปล่อยให้แม่ปันอยู่ดูแลคุณยาย ระหว่างเดินกลับมาผมคิดไปต่างๆนาๆ ว่าเราจะทำยังไงดี แผนการเดินทางที่วางไว้ไม่ต้องพูดถึงมันล้มไม่เป็นท่าแล้ว แต่การจะอยู่ต่อแล้วปล่อยเพื่อนๆที่เพิ่งเคยมาญี่ปุ่นกับครอบครัวครั้งแรกก็ไม่ใช่ความคิดที่ดี เดินฝ่าลมหนาวระดับต่ำกว่า 10 องศาไม่นานก็ถึงโรงแรม เจอหน้าปันที่ยังไม่รู้เรื่องดีแต่ด้วยสายตาด้วยความเป็นห่วงจากเพื่อนๆที่รอฟังข่าวคุณยายด้วยใจจดจ่อ ผมจึงต้องทบทวนทุกอย่างและรอปรึกษากันกับแม่ปันเค้า
คืนนั้นผมเจอกับแม่ปันแล้วถามไถ่ว่าคุณยายเป็นไงบ้างเมื่อทราบว่าหมอยืนยันว่าต้องอยู่ยาวๆ แน่นอนเพื่อรอดูอาการอย่างที่บอกไป เราทั้งคู่มองตากันแล้วสิ่งที่ผมคิดและไม่อยากจะทำเลย แต่ด้วยสถานการณ์ทุกอย่างมันเหมือนจะชี้ว่าทางนี้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
เป็นข้อสรุปที่เสียดแทงใจพวกเราทั้งสองคนมากว่า “บ้านเราต้องแยกกันชั่วคราวแล้ว”
คือผมกับปันคงต้องไปต่อตาม Plan ที่วางไว้นั้นคือกลับลงมาโตเกียวตามแผนเดิมโดยพาเพื่อนๆและครอบครัวพวกเราที่เหลือเดินตามทริปต่อ ส่วนแม่ปันต้องอยู่ดูแลคุณยายที่ Sapporo ต่อไป ช่างเป็นตัวเลือกที่บีบใจเราทั้งสองคนมากแต่ทำไงได้เมื่อเหตุทั้งหมดมันเกิดขึ้นก็ต้องแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าให้ได้
เช้าวันสุดท้ายที่ซับโปโรหลังอาหารเช้า ก่อนที่พวกเราจะแยกจากกัน ช่างน่าเศร้า เห็นลูกกับแม่แยกกัน น้ำตามันก็คลอๆที่ดวงตาทั้งของแม่และลูก
ตั้งแต่เราเที่ยวด้วยกันมานี่เป็นครั้งแรกที่ครอบครัวต้องแยกกันระหว่างทริป แถมมันมาเกิดที่ต่างประเทศอีกต่างหาก จะโทษดวงชะตา โทษฟ้าโทษอากาศ โทษตัวเองหรือทุกสิ่งมันก็ไม่มีอะไรแก้ไขได้ นอกจากเราต้องเดินหน้าต่อไป
ปันเองก็พูดคิดถึงแม่ตั้งแต่รถแท๊กซี่เคลื่อนตัวออกจากหน้าโรงแรมแล้ว เอาล่ะจะเป็นยังไงต่อไปน้อทริปนี้ อยู่ๆเมื่อสมาชิกในบ้านหายไป 2 คนระหว่างที่ทริปเพิ่งมาได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น!
ประกันการเดินทางคือสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กระเป๋าเดินทางนั้นแล โปรดทำเถิด
ผมขอตัดข้ามผ่านเข้าสู่วันท้ายๆที่โตเกียวก่อนกลับไทย ข่าวดีตามสายไลน์ก็มาถึงในตอนเช้า หลังคุณยายพักรักษาตัวมา 2 วันคุณหมอบอกว่าคุณยายอาการดีขึ้นตามลำดับอาจจะได้กลับไทยในอีก 2-3 วันเพราะยาที่ให้ทางผ่านท่อน้ำเกลือทำหน้าที่ได้อย่างที่หวัง ใจที่กังวลดีขึ้นทั้งพ่อทั้งลูกความหวังที่เดิมไม่รู้ว่าวันไหนจะได้เจอหน้าแม่ปันและคุณยายก็ชัดเจนขึ้นว่าอีกไม่นานเราจะได้เจอกันอีกแน่ๆ ไม่ต้องรอแบบไม่มีความหวังชัดเจน และต้องขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจไม่ผิดที่ทำกับประกันเจ้านี้ แม้ทีแรกแอบลังเลเพราะราคาต่อคนไม่ได้ถูกนัก หากเทียบกับคู่แข่งที่โหมโปรโมทกันอยู่มากมายในเวลานี้ ไม่ตัดสินใจเลือกที่ราคาถูกสุดอย่างเดียวเหมือนที่เคยคิดว่าแค่มีประกันไว้ก่อนก็พอแล้ว พิจารณาลงไปที่รายละเอียดความคุ้มครองผมรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจถูกที่เลือกของ AGA Insurrance หรือชื่อเต็มคือ Allianz Global Assistance ขอบใจตัวเองที่ไม่งกเห็นแก่ถูกเกินไป(ไม่ใช่ว่าเจ้าที่ถูกกว่าไม่ดีนะ แต่ผมพบว่าสถานะการณ์ที่ผมเจอนั้น AGA ช่วยได้มากๆ ใครเลยจะคาดคิดจริงไหมครับ)
ที่เราสนใจเจ้านี้เพราะเราเห็นเพื่อนๆด้วยกันมีแนะนำ Package พ่อแม่ลูกชื่อ Oasis Leisure คือซื้อประกันเดินทางให้พ่อแม่จะคุ้มครองลูกด้วยทั้งแบบ 3 และ 4 คน(พ่อแม่ ลูก 2 คน หรือ พ่อแม่ ลูก 1 คน) หลังเข้าไปอ่านเปรียบเทียบไปมา ดูผลประโยชน์ต่างๆ เราเลยตัดสินใจทำให้กับครอบครัวของเราเอง แต่เดิมจะซื้อของอีกเจ้าให้กับคุณยาย เพราะดูแล้วถูกกว่า แต่เห็นเรื่องวงเงินด้านความคุ้มครองมันต่างกันครึ่งๆ ผมเลยเปลี่ยนใจ
ตั้งแต่วันแรกที่ผมเจอเรื่องนี้ ผมโทรกลับมาที่เมืองไทย ทางนั้นแนะนำให้ผมติดต่อกับทีม AGA MEDICAL TEAM ผ่าน Line@ ทีมนี้จะเหมือนเป็นทีมที่ปรึกษาให้กับผู้ทำประกันการเดินทางไว้ ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์เจ็บป่วย อุบัติเหตุที่ต้องการคำปรึกษาทางการแพทย์เบื้องต้นจะมีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์อยู่ในทีม หรือตอนผมโทรคุยก็จะมีพยาบาลวิชาชีพให้คำปรึกษาด้วย คืออันนี้ดีมาก (ผมcapture บทสนทนาเอาไว้ด้วยลองดูด้านล่างกัน) เพราะในตอนนั้นเป็นช่วงวันหยุดยาวของญี่ปุ่นพอดี หลังคุยกันเราเริ่มสบายใจเรื่องค่าใช้จ่ายว่าทางประกันก็พยายามประสานมาที่โรงพยาบาลที่เราพามารักษาเพื่อจะหาทางดำเนินการให้เราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเข้ารับการรักษา แต่สุดท้ายเพราะวันที่คุณยายเข้ารับการรักษาเป็นช่วงโกลเด้นวีค(วันหยุดยาวของญี่ปุ่น)พอดี ฝั่งไทยประสานงานมาที่ตัวแทนที่ญี่ปุ่น แม้สุดท้ายมันจะไม่ทัน เราจึงต้องชำระค่าใช้จ่ายไปก่อนแล้วให้นำเอกสารต่างๆมาทำเบิกที่เมืองไทยในภายหลัง และให้ประสานกับแม่ปันต่อจากที่ผมติดต่อไว้ตั้งแต่ทีแรกเรื่องการขอเอกสารต่างๆ ให้เราเองกับทางโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่นเพื่อดำเนินการเข้าสู่การตรวจสอบในการทำเคลมประกันต่อไป แม้มันจะเป็นขั้นตอนที่ช้ากว่าที่คิดไว้เพราะจนถึงตอนนี้(มิย.)เอกสารที่ขอกันไปมาระหว่างประเทศก็เพิ่งเสร็จสิ้นแล้วเข้าสู่ช่วงเวลาพิจารณาแล้ว
เอกสารที่โรงพยาบาลที่ญ๊่ปุ่นออกให้วันที่คุณยายออกมาแล้ว เป็นเอกสารที่จำเป็นที่สุดในการเอากลับมาเคลมประกันนะครับ อย่าลืมกันนะ (ขอเซ็นเซอรชื่อคุณยายนะครับ)
ก่อนเล่าต่อขอสรุปเรื่องการทำประกันไว้หน่อยให้พวกเราเมื่อถึงเวลาจะต้องเลือกประกันอย่าดูแค่เรื่องเงินคุ้มครองหรือซื้อแบบขั้นต่ำอย่างเดียว และอยากขอย้ำอีกครั้งที่คุณๆควรทำประกันไว้เถิด เมื่อมันเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นมาจะนึกขอบใจตัวเองมากๆ สิ่งที่เราได้จากเจ้านี้ที่เป็นข้อดีคือ
– มีบริการ Call center 24 ชม.ผมใช้โทรผ่านบริการ wifi calling เข้ามาดีมากเจอพยาบาลรับสายสามารถให้คำแนะนำเบื้องต้นได้ดีมาก
– มีที่ปรึกษาผ่าน Line@ ให้เราพูดคุยได้ และคุยดีมาก
– มีบริษัทลูกในญี่ปุ่นที่ช่วยประสานเรื่องการนำส่งข้อมูลต่างๆได้รวดเร็วดีมาก (เว้นแต่มาเจอวันหยุดยาวแบบเราอันนี้เข้าใจได้สุดวิสัย)
– มีพยาบาลและเจ้าหน้าที่การแพทย์ให้คำปรึกษาได้จริง อันนี้ขอปรบมือให้ และพูดจากับเราอย่างเข้าใจดีมาก(ดูจากที่ Capture ด้านล่างนะขอเซ็นเซอร์ชื่อคุณยายและเจ้าหน้าที่เล็กน้อยครับ)
ตัวบทสนทนาที่เราคุยกับทางเจ้าหน้าที่ของ AGA Medical ครับ ขอเซ็นเซอร์ชื่อนะครับ
สิ่งที่ต้องรับรู้กรณีคุณต้องการเคลมประกัน และเอกสารที่คุณต้องขอเพื่อใช้ในการเรียกร้องสินไหมทดแทนค่ารักษาพยาบาลมีดังนี้
– ใบรับรองแพทย์ / ใบรายงานแพทย์ ฉบับจริง (ฉบับภาษาอังกฤษถ้ามี) (Medical report)
– ใบแจ้งหนี้ / ใบเสร็จรับเงินต้นฉบับ/ใบสรุปค่ารักษาพยาบาลโดยละเอียด (ฉบับจริงเท่านั้น))
– แบบฟอร์มเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนที่กรอกแล้ว (ส่งมาให้เราทางอีเมล์) (Claim form as attached)
– สำเนาหนังสือเดินทาง (Passport) หน้าที่มีรูปถ่าย และประวัติผู้เดินทาง พร้อมทั้งหน้าที่ประทับตราอนุมัติการเข้าประเทศจุดหมายปลายทาง (visa) พร้อมทั้งเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง
– ตั๋วเครื่องบินฉบับจริง หรือสำเนาบัตรผ่านประตูเครื่องบิน (Boarding Pass) สำเนาที่เซ็นรับรอง (ถ้ามี)
– สำเนาหน้าแรกของสมุดบัญชีธนาคาร (กรณีเลือกการจ่ายคืนสินไหมผ่านธนาคาร)
– แบบฟอร์มยินยอมการเปิดเผยข้อมูลการรักษาพยาบาล (เอกสารที่ประกันจะส่งมาให้เราทางอีเมล์)
***จนถึงปัจจุบันเอกสารต่างๆส่งครบหมดแล้ว และก็อนุมัติการเคลมประกันครบทุกบาททุกสตางค์ที่เราจ่ายไป ในส่วนขั้นตอนพิจารณา จะเป็นขั้นตอนที่เราต้องรอนานมากแต่ทำอะไรไม่ได้นะครับ เพราะฉะนั้นทำใจร่มๆ ไว้หากเรามั่นใจว่า คนของเราไม่ได้ป่วยด้วยโรคที่เข้ารับการรักษามาก่อนจะมาทำประกัน ก็จะไม่มีปัญหาใดๆ ในการทำเคลม อย่าหงุดหงิด อย่าโมโหไป เพราะมันก็ช่วยอะไรไม่ได้นอกจากการรอ ประกันทุกเจ้าก็จะขอเอกสารและรายละเอียดแบบนี้ละ เยอะมาก ให้ตั้งสติให้ดีค่อยๆ จัดการเอกสารให้ดีแล้วมันจะไม่มีปัญหาครับ
สำหรับรายละเอียดของเอกสารและประกันของ AGA สามารถเข้าไปดูและอ่านได้ ที่นี่นะครับ ผมทำ LINK ไปให้แล้ว
กรณีเจอเหตุฉุกเฉินในญี่ปุ่นต้องแจ้งอะไรที่ไหนบ้าง
เมื่อมีเหตุการณ์ต่างๆที่ประเทศนี้จะมีเบอร์ติดต่ออยู่คล้ายๆบ้านเราเช่นกันที่เค้ามีไว้บริการ
สามารถโทรและขอเจ้าหน้าที่รับสายพูดภาษาอังกฤษได้นะครับ อาจจะต้องรอก็ขอให้ใจเย็นให้ทางเจ้าหน้าที่เค้าประสานงานต่างๆให้เรา
- โทร 119 สำหรับเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ และ เหตุดับเพลิงต่างๆ
- โทร 110 สำหรับตำรวจและความช่วยเหลือฉุกเฉินเหมือน 191 บ้านเรา
- สถานฑูตไทยในประเทศญี่ปุ่น Tel.03-3441-1386 Fax.03-3441-2597
- ศูนย์รับเรื่องและขอความช่วยเหลือ (เป็นภาษาอังกฤษ) Tel.03-3586-0110
- แจ้งเรื่องทรัพย์สินหายหรือติดต่อรับคืน Tel.03-3814-4151
*** หมายเหตุนะครับ ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินสามารถใช้บริการโทรศัพท์ที่ตู้สาธารณะได้โดยไม่ต้องหยอดเหรียญ โดยเพียงแค่ให้เรากดปุ่มสีแดงที่เครื่องก่อน หรือหากเครื่องไม่มีปุ่นแดง แต่จะมีปุ่นฉุกเฉินก็ให้กดแล้วก็กดเบอร์ต่อได้เลย
เลือกที่พักดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
โชคดีของผมในเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คงการเลือกที่พัก ผมติดใจกับเครือ Prince Hotel ตั้งแต่ได้มีโอกาสเข้าพักเมื่อปีก่อน ปีนี้จึงเป็นอีกรอบที่ได้พักทั้งสองที่ในทริป คือที่ Shizukuishi Prince Hotel อยู่ที่ Tohoku และ มาถึงที่ Sapporo Prince Hotel โดยเฉพาะที่นี่ ตั้งแต่พนักงานต้อนรับยันเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือประสานงานเราดีมากๆ
ทั้งการดูแลคุณยาย ทั้งการติดต่อประสานโรงพยาบาลทั้งสองที่ โดยเฉพาะที่สอง ทางเจ้าหน้าที่ช่วยดำเนินการแจ้งเบื้องต้นกับทางโรงพยาบาลให้จึงทำให้ทางโรงพยาบาลรับทราบเบื้องต้นก่อนแล้ว ที่สำคัญ ระหว่างที่แม่ปันต้องเฝ้าคุณยายต่ออีกหลายๆคืน ทางโรงแรมก็ลดราคาให้เป็นกรณีพิเศษอันนี้ผมถือว่ามีความมนุษยธรรมช่วยเหลือกันในยามที่ลำบาก เพราะหากต้องหาที่พักอื่นๆมันก็คงไม่สะดวกขนาดนี้
จบด้วยดี
ปัจจุบันนี้คุณยายกลับมาเมืองไทยแล้วเรียบร้อยได้รับการดูแลอย่างดีครับ ทันทีที่มาถึงลูกๆทุกคนก็พาคุณยายไปตรวจรักษายังโรงพยาบาลที่เราประสานรอไว้แล้ว
หลังพักรักษาตัวอีกร่วมสัปดาห์ก็กลับมาพักต่อที่บ้านได้จนถึงวันนี้ และอาการก็ค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ เรื่องราวต่างๆอาจจะเหมือนจบด้วยดี แต่อุทาหรณ์ครั้งนี้สอนใจเรามากๆ ว่าอุบัติเหตุนั้นมันไม่มีวันรู้ได้เลยว่าเราจะพบเจอเมื่อไร แต่ขอให้เราตั้งสติให้มั่นทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี และก่อนเดินทางมีเด็กหรือผู้สูงวัยร่วมทริปไปด้วยนั้นนอกจากจะต้องช่วยกันดูแลแล้วยังต้องทำทุกอย่างเพื่อการป้องกันไว้ หนนี้หากเราไม่ทำประกันไว้ เงินค่ารักษา 6หลักนี้คงทำเราเจ็บทั้งกายและใจแน่ๆ สำหรับใครที่สงสัยสอบถามเรามาได้เลย ยินดีช่วยตอบถ้ารู้นะครับ
จนกว่าจะพบกันทริปหน้า สวัสดีครับ