สวัสดีครับ มาถึงรีวิวล่าสุดที่เป็นทริปยาวที่สุดของปีนี้ของพวกเรา และเป็นทริปที่อยากจะเล่ากันฟังมากที่สุดเช่นกันสำหรับ ทริปสวิสเซอร์แลนด์-อิตาลี 11 วัน 8 ชีวิตในฤดูแห่งสีสันของใบไม้ ตอนแรก นี่ละครับ
ทริปนี้เราวางแผนกันข้ามปี เหตุผลเพราะในช่วงสงกรานต์ปีก่อน เรามีโอกาสไป ฝรั่งเศส-อิตาลี ซึ่งเป็นทริปยุโรปครั้งแรกของพวกเราทำให้ติดใจมาก กับ 12 วันที่หนีลูกเที่ยวกันไป เหตุผลที่เราไม่เอาปันไปด้วยในตอนนั้นก็เพราะว่าเราอยากลองเดินทางกันเองดูก่อนว่ามันยากง่ายสำหรับการพาเด็กเล็กๆ ไปกันเองได้ไหม เพราะเราเป็น ครอบครัวเที่ยวเองกันมาตลอด และหลังจากลองไปกันเอง หลงกันเอง ฮ่า ฮ่า จนมั่นใจว่าจะพาเที่ยวได้แน่ๆ ทำให้หลังจากกลับมาจากยุโรปรอบนั้นเราจึงตัดสินใจจะพาปันเที่ยวกันจริงๆ จึงเป็นทีมาของทริป สวิสเซอร์แลนด์-อิตาลี 11 วัน นี้ขึ้นมา
สำหรับตอนแรกนี้ตามธรรมเนียมบ้านเรา จะขอพูดถึงการเตรียมตัวกันก่อนนะครับ เผื่อให้สำหรับบ้านอื่นๆ ที่อยากจะลองเที่ยวด้วยตัวเองทั้งครอบครัวแบบเราบ้างจะได้รู้ว่าเราทำกันยังไงล่ะนะครับ เอาละตามมาเลยแล้วกันนะ
ก่อนเดินทางต้องเตรียมอะไรกันบ้างยิ่งมีเด็กๆไปด้วยแล้ว
ทริปนี้มีเด็กมากกว่าปันไปด้วยทำให้การทำแผนต่างๆ ต้องรอบคอบขึ้นมาโชคดีที่เรามี Blogger เซียนยุโรปอย่าง นายมด ไปด้วย ก็ทำให้การทำเส้นทางต่างๆ เหมือนจะรอดไปครึ่งนึงแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าบ้านเราจะไม่ต้องเตรียมตัวอะไรเลย และนี่คือทั้งหมดที่ต้องทำการบ้านก่อนไป มาไล่ดูกันเป็นข้อๆไปเลยนะ
ขอย้ำว่าทุกๆอันเราใช้จริง ลองจริงด้วยตัวเองเพราะฉะนั้นเป็นประสบการณ์ตรงของครอบครัวเรา อาจจะต่างกับคนอื่นๆ เพราะช่วงเวลาเดินทาง จำนวนอาจจะต่างกันเพราะงั้นหากสงสัยสอบถามได้เลยครับยินดีตอบครับ
พร้อมแล้วกับการเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์-อิตาลี 11 วันก็ไปด้วยกันต่อเลยครับ
ตั๋วเครื่องบินคืออันดับหนึ่งที่ต้องหาให้ได้ก่อน
หลังจากที่เรารู้แน่ๆว่าจะพาปันเที่ยวยุโรปครั้งแรก แผนการมันก็เริ่มต้นตั้งแต่จะหาตั๋วยังไงก่อนเลย เราโชคดีมากที่ปีก่อนมีประสบการณ์การจองตั๋วแบบ Multicity ของสายการบินตะวันออกกลางอย่าง Qatar สำเร็จ ข้อดีเลยคือมันถูกมากๆ เลยครับ ปีก่อนเราจองตั๋วกันได้ในระดับราคา 14,xxx บาท โดยเริ่มต้น จาก กัวลาลัมเปอร์-โดฮา-ปารีส-มิลาน-โดฮา-กรุงเทพฯ (ขาออกจากกรุงเทพฯเราสอยตั๋วโปรกรุงเทพฯ-กัวลาฯ ได้ในราคาเที่ยวเดียวสองคน 1,500 บาทเท่านั้นทำให้ทริปนี้จบที่ราคา 15,xxx บาทต่อคนในราคาไปกลับ) จึงเป็นที่มาให้เราติดใจบริการของ Qatar เป็นอย่างมาก หากใครเคยบินคงทราบนี้ถึงการจัดเต็มทั้งอาหาร อุปกรณ์ที่หลับที่นอน และความปลอดภัยโดยจำเป็นต้องบินลงที่โดฮาก่อน อาจจะดูเสียเวลาไปบ้างแต่ด้วยราคาระดับนี้เราเลยไม่ลังเล เพราะเดิมทริปนั้นก็ตั้งใจไปกันแค่สองคนอยู่แล้ว
และสุดท้ายราวๆต้นเดือนกย.ปี 2016 โปรแบบเดียวกันก็ออกมาให้เราจับจ่ายอีกรอบ และรอบนี้ดีกว่ารอบก่อนตรงที่ตั๋วโปรฯ ที่เราได้ เริ่มบินจาก กรุงเทพฯ ด้วยในเส้นทาง กรุงเทพฯ-โดฮา-มิลาน-โดฮา-กรุงเทพฯ แถมราคารวมภาษีที่ได้คือ 13,xxx บาทอีกต่างหาก โอ้ววมันสุดยอดจริงๆ ครับ เคล็ดลับการหาตั๋วโปร เราเคยแนะนำไปแล้วว่าให้ทุกคน follow เพจเหล่านี้ไว้นะครับ คือ เพื่อนบอกโปร ,ติดโปร,ar-pae.com,Changtrixget 4 เพจนี้คือเพจโปรที่ควรดูหากต้องการตั๋วโปรทั้งหลายครับ บางทีคุณๆอาจจะทราบข้อมูลโปรตั๋วราคาทั้งในและต่างประเทศถูกมากๆ จากทั้งสี่นี่แน่นอนครับ
การขอวีซ่าเช้งเก้น สวิสฯยากไหม
หลังจากที่เราจองตั๋วโปรถูกระดับนี้ได้แล้ว ก็มาถึงขั้นตอนต่อมาเรื่องการทำวีซ่า อย่างที่ทราบกันดีว่ากลุ่มประเทศยุโรปนั้นจะไปเที่ยวบ้านเค้าได้ ต้องผ่านการขอวีซ่าเท่านั้น เพราะการจะเดินทางประเทศไหนก็ตามในกลุ่มยุโรปนี้เราสามารถใช้วีซ่านั้นๆเข้าออกทุกประเทศในกลุ่มได้ทั้งหมด (เว้นอังกฤษนะครับที่ต้องขอแยกต่างหากจากเช้งเก้น) และทริปสวิสฯ-อิตาลีของเราก็เช่นกัน หลักการขอ กรณีที่คุณเข้าออกมากกว่า 1 ประเทศแบบเรานั้นไม่ยากเลย มักมีคำถามแรกๆ เกิดขึ้นเสมอว่าให้ขอประเทศไหนดี ระหว่างประเทศที่เราขึ้นลง หรือว่าเป็นประเทศที่เราเที่ยวเยอะสุด ตอบตรงนี้ว่าควรจะขอ ประเทศที่เราใช้เวลาเที่ยวเยอะสุดก่อนเป็นลำดับแรกครับ เพราะฉะนั้นทริปนี้จึงเป็นการขอวีซ่าสวิสเซอร์แลนด์ครั้งแรก เพราะตลอดทริป 11 วัน(ตัดวันเดินทางจากไทยและกลับจากอิตาลีก็เหลือ 9 วัน) เราใช้เวลาเที่ยวในสวิสฯ นานสุดถึง 6 วัน
สำหรับการขอวีซ่าเช้งเก้นเราเคยเจอประสบการณ์แบบโหดๆ มาจากอิตาลีมาก่อนทำให้เราค่อนข้างเตรียมพร้อมกันได้ดีระดับนึง ครั้งนั้นเราใช้เวลาตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 16.00 นเลยเรียกว่านั่งรอกันเมื่อย เพราะอิตาลีใช้เอกสารเยอะมาก และต้องการการแปลทุกอย่าง
หนนี้เลยกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเลยเตรียมทุกอย่าง แต่เมื่อถึงวันจริงๆ มันง่ายกว่าตอนเราไปขอของอิตาลีประมาณ 10 เท่า จาก เวลา 7 ชั่วโมง เหลือแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้นเองครับหากเอกสารต่างๆของคุณครบแล้ว การทำวีซ่าสวิสฯง่ายมาก ระบบระเบียบต่างๆ ดีมากเจ้าหน้าที่อัธยาศัยดี ยิ้มแย้มและให้คำแนะนำทุกอย่างดี แต่มีสิ่งนึงที่อยากย้ำก่อนไปคือ เอกสารที่ต้องใช้สำเนาอยากให้เตรียมไปให้ครบหรือเผื่อไว้ยิ่งดี (เคสเราเอาไปเหมือนๆ กันสองชุดเลยกันพลาด) เพื่อไม่ให้ต้องมีปัญหาต้องเวียนคิวกลับมาใหม่ หากต้องไปถ่ายเอกสารเพิ่ม อย่าลงไปถ่ายเอกสารที่ชั้นใต้ดินของตึกสาทรซิตี้เป็นอันขาด ไม่งั้นคุณๆ จะเจอราคาแสนโหดอย่างเราที่เจอ เนื่องจากเอกสารเกี่ยวกับตัวของปันขาดไป 1 ใบ ทำให้เราต้องลงไปหาที่ถ่ายเอกสารด้านล่างตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ตึก เราเจอราคาที่ ถ่ายเอกสารขาว-ดำ แผ่นละ 30 บาท!!! ใช่ 30 บาทครับ คือเราถึงกับอุทานมาเลย ก่อนที่จะไม่มีทางเลือกยอมจ่ายไปแบบเจ็บใจตัวเองสุดๆ และสุดท้ายก็มาตกม้าตายที่เจ้าหน้าที่สวิสฯ นั้นเอง เค้ามีบริการถ่ายเอกสารให้ แค่แผ่นละ 8 บาทเอง(จริงๆก็เหมือนจะแพงแต่ถ้าเทียบกับที่ร้านชั้นใต้ตึกนี่อย่างโหดเลย) โอ้ยเจ็บใจตัวเองสุดๆ เลยเพราะงั้นหากใครไม่อยากพลาดเหมือนผม เตรียมตรวจเอกสารต่างๆให้ดีนะครับและสำลองไปอีกอย่างละชุดให้ครบดีที่สุด
สำหรับรายละเอียดการขอเอกสารต่างๆ หาอ่านโดยตรงที่เว็บไซต์ตัวแทนสถานฑูตสวิสเซอร์แลนด์ ที่
ศูนย์รับยื่นวีซ่า TLScontact ประเทศไทย
ตึกสาทรซิตี้ทาวเวอร์ ชั้นที่ 12 ถนนสาทรใต้ 175
แขวง ทุ่งมหาเมฆ เขต สาทร กรุงเทพ 10120
เข้าไปดูรายละเอียดของการเตรียมตัวและเอกสารต่างๆได้ที่นี่เลยครับ
ทำข้อมูลไว้ละเอียดและดีมากเลย https://ch.tlscontact.com/th/bkk/index.php
อ่อเอกสารที่ผมคิดว่าเราควรต้องทำ และทางสวิสฯก็ให้ยื่นประกอปคือแผนการเดินทาง
นี่คือแผนที่เราทำไปครับ อาจจะทำละเอียดกว่านี้หรือประมาณนี้ก็ได้นะครับแค่นี้ก็ผ่านแล้ว
ระยะเวลาการอนุมัติใช้ 10 วันทำการแต่เอาจริงๆ ไม่ถึงสัปดาห์ก็ทราบผลแล้วครับ เร็วตั้งแต่ขั้นตอนยื่นจนถึงรับเอกสารเลย กรณีเราใช้วิธีรับเอกสารด้วยตัวเองก็เร็วมากๆเลยครับ ถ้าส่งเป็นจดหมายก็น่าจะ 10 วันพอดีนั้นเอง
ตั๋วพาสต่างๆ
หลังจากวีซ่าผ่านแล้ว เราก็มาถึงการหาช่องทางพาสต่างๆ ครับ ทริปนี้เหมือนเป็นทริปเน้นขับรถก็จริง แต่ด้วยเพราะอารมณ์มาสวิสฯ ครั้งแรกต้องขึ้นรถไฟด้วย เลยจัดตั๋ว Swiss Travel Pass แบบ Flex มาด้วย ข้อดีของตั๋วชนิดนี้คือมีให้เราเลือกหลายวัน และไม่ต้องเที่ยวติดต่อกันได้ เราซื้อมาจากเว็บประจำเวลาเดินทางไปต่างประเทศแล้วต้องการบัตร pass ต่างๆ ที่นี่เลยครับ http://www.lostripthailand.com/tours/swiss-travel-pass/
บัตรสวิสทราเวลพาสแบบต่างๆ มีส่วนลดกับการขึ้นเขาของเราด้วย และทั้งสองยอดเขาที่เราจะขึ้นก็ลด 50% ดีงามมากคะ
หนก่อนที่ยกครอบครัวใหญ่ไปญี่ปุ่นก็ซื้อเจ้านี้ ราคาไม่แพงและมักมีส่วนลดอื่นๆประกอปไว้ด้วยกัน สำหรับคนที่จะซื้อสวิสพาสผมขอเอาตัวอย่างส่วนลดต่างๆมาให้ดูกันนะครับ ขอเว็บ Lostrip ก็ค่อนข้างจะอธิบายให้เราเข้าใจง่ายๆ แล้วเหมือนกันนะครับ
เป้าหมายนอกจากการนั่งรถไฟจากแต่ละสถานีแล้ว การใช้เป็นส่วนลดในการนั่งรถไฟ หรือ รถรางขึ้นยอดเขาทั้งหลายมากมายของสวิสฯ ก็มีส่วนลด เลยไปจนถึงขนาดว่าฟรีก็มี เพราะฉะนั้นการซื้อสวิสพาสมีข้อดีมากมายทีเดียว จะนั่งรถไฟ รถบัส เรือ ทั้งหมดฟรีเกือบหมดครับ อย่างในแผนของเรารอบนี้ มียอดเขาที่ใช้สวิสพาสลดได้ 50% เลยก็คือ ขบวนนี้ Gornergrat Matterhornที่ใช้ขึ้นไปเพื่อชมยอดเขา Matherhorn ในมุมสวยสุดๆ อีกที ลองดูภาพเหล่านี้เป็นน้ำจิ้มก่อนนะครับ ผมจะเอามารีวิวแบบละเอียดๆในตอนถัดไปครับ
วิวระหว่างทางขึ้นเขา Gornergrat หิมมะที่พึ่งตกลงมา ช่างสวยได้ใจเรามากเลย
และอีกยอดเขานึงที่สวยมากไม่แพ้กัน แต่เสน่ห์ของมันจริงๆ กลับอยู่ที่ขบวนรถไฟที่พาเราฉึกฉักขึ้นไปอย่างรู้สึกได้คือ รถไฟโบราณ Brienz Rothorn Bahn ด้วยตัวขบวนรถในแบบสไตล์โบราณทำให้การขึ้นเขา Rothorn bahn สวยและเพลิดเพลินขึ้นไปอีกเยอะเลย
ด้วยวิวประมาณนี้จึงทำให้การนั่งรถไฟขึ้นมามันฟินสุดๆ เลย ดูเอาเองครับวิว เดี๋ยวรีวิวทริปเต็มๆ จะตามมานะครับ
สิ่งที่ต้องเตรียมพกพาไปด้วยกันพลาด สำหรับเด็กๆและครอบครัว
แน่นอนเมื่อครั้งนี้ผมพาปันไปด้วยอะไรๆก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เราสองคนปรึกษากันเยอะเลยว่าจะต้องเตรียมอะไรกันบ้าง โชคดีที่ปันเคยไปเจออากาศหนาวๆระดับเลขเดี่ยวมาแล้วจากทริปเจแปนที่ผ่านมา ทำให้เสื้อผ้าทั้งหลายมีอยู่แล้วเป็นส่วนมาก ถุงมือ เสื้อ ฮีทเทคสำหรับเด็ก หมวก เรียกว่าเสื้อผ้าค่อนข้างครบหมด แต่ที่ต้องหาใหม่เสมอๆ เพราะไม่สามารถนำมาใช้ซ้ำได้หากทิ้งช่วงไปแล้วก็คือ ยูกยาทั้งหลายนั้นเอง
รอบนี้นอกจากยาประจำตัวทั้งหลายที่ใช้บ่อยๆอย่าง ยาแก้ไข้ ยาแก้แพ้ ยาฆ่าเชื้อ และยาทำแผลสดทั้งหลายกรณีหกล้มหรืออะไรก็ตามประมาณตามภาพนี้เลย เซ็ทก็จะคล้ายๆกันครับภาพนี้ผมถ่ายตั้งแต่ปัน 4 ขวบตัวยามีเปลี่ยนไปบ้างตามวัยแต่โดยรวมไม่ต่าง พ่อแม่ทุกคนคงรู้จักลูกตัวเองอยู่แล้วเรื่องนี้คงต้องพกกันไปแน่ๆ กันสารพัดโลกของเด็กๆ
ที่ผมเพิ่มเติมมาเพราะปันเองมีจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ป่วยง่ายๆ เลยคือคอ และต่อมทอมซิน เลยมีตัวสเปรย์แก้ไอ แก้เจ็บคอสำหรับเด็กเพิ่มขึ้นมา ใครสนใจไปอ่านรีวิวที่ผมเขียนแยกมาถือเป็น Rare Item สำหรับทริปนี้ได้ที่นี่เลยครับ
ที่พักแนวครอบครัวและมีครัวทำอาหารกินกันเองที่สำคัญลดราคาได้อีกถึง 1,000 บาท
สำหรับที่พักแล้วโจทย์ของพวกเราคือต้องพักได้มีห้องพักอย่างน้อย 3 ห้อง มีห้องน้ำในตัวด้วยยิ่งดี และที่สำคัญต้องมีห้องครัวไว้ทำอาหารด้วย เพราะทริปนี้เน้นกินประหยัดและทำเอง ไม่เน้นกินข้างนอกเพราะมันแพงงง นั้นเอง เรียกว่าครัวที่พักทุกทีของเราใช้เต็มที่มากๆ โจทย์นี้เป็นโจทย์ยากมากสำหรับคนหา (โชคดีที่ไม่ใช่เรา ฮา) ผลลัพธ์คือเราได้ที่พักเก๋ๆ สำหรับทริปสวิสฯถึง 3 ที่ด้วยกัน และมันก็ตอบโจทย์ทุกข้อที่บอกไปด้วย
ที่แรก ที่เมือง Zermatt กับ Residence Patricia ที่พักไม่ไกลจากจุดขึ้นรถไฟและลงรถไฟ เดินกันพอประมาณ แต่ข้อดีที่สุดเมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องพักคือ ห้องพักแบบห้องน้ำในตัว 3 ห้อง มีห้องรับแขกดีมาก กว้างขวาง มีส่วนของครัวและอุปกรณ์ครบทุกอย่าง เรียกว่าซื้อแค่เครื่องปรุง และผัก เนื้อ ก็จัดการได้เลย เรียกว่าเริ่ดทั้งห้องพักและบรรยากาศเลย ดูภาพเอาเลยครับ
ที่ๆสองชื่อ Ferienwohnung Vis a Vis อยู่ที่เมืองKandersteg เมืองที่เหมาะมากสำหรับการเที่ยวละแวกใกล้เคียงอีก 3 เมืองตัวบ้านพักอยู่ในเมือง Kandersteg ซึ่งเฉพาะเมืองนี้ก็มีที่เที่ยวอยู่ 2 แห่งด้วยกันคือ Oeschinensee ที่อยู่บนเขาต้องนั่ง Ropeway ขึ้นไปเป็นสไลด์เดอร์ที่น่าจะสูงสุดแห่งนึงในโลกแล้วล่ะ และตัวบึงมรกตแสนสวยอย่าง Blausee ทั้งสองที่ห้ามพลาดนะครับ
สำหรับสวิสเราขอพูดถึงสองที่นี่ก่อน รีวิวรวมที่พักแบบเต็มๆ จะตามมาในอีกไม่นานครับ สำหรับคนที่สนใจอยากจองทั้งสองห้อง ผมมีวิธีใช้ส่วนลด 1,000 บาทจากเว็บไซต์ booking.com เมื่อจองที่พัก เกิน 2,000 บาทขึ้นไปซึ่งไม่จำเป็นต้องจองแค่คืนเดียวสามารถจองพร้อมๆ กันหลายคืนซึ่งก็ทำให้ราคาเกิน 2,000 แน่นอนแบบนี้ก็คือได้รับส่วนลดเกิน 50%นั้นเอง
ใช้ link นี้เพื่อรับส่วนลดนะครับ https://booki.ng/2wOUBSC เข้าไปถ้าเจอหน้าตาแบบนี้คือสามารถรับส่วนลดได้แล้วนั้นเอง
และสำหรับการใช้สิทธิ์แบบละเอียด เราทำรีวิวให้ไว้แล้วสามารถอ่านและทำตามได้เลยครับ กดที่นี่เลย
เอ่ยถึงการทำอาหารแล้วจะไม่เล่าสักหน่อยก็กระไรอยู่ รอบนี้ผมเอาผงปรุงอาหารสำเร็จรูปพร้อมทำอาหารที่ช่วยประหยัด และลดขั้นตอนการทำลงมาได้เยอะเลย เราซื้อของ Lobo นั้นเอง
ปรกติบ้านเราไปเที่ยวเอง 3 คนจะมีพกอาหารสำเร็จรูปแบบซองไปด้วยแทบทุกครั้ง แต่ครั้งนี้เราไปกันเยอะ 8 คนเลยคิดว่าจะหาซื้อผัก ผลไม้ หรือเนื้อสัตว์เองจากซุปเปอร์ฯ น่าจะทำให้เราทำอาหารกันเองกันได้ไม่ยาก และก็คิดถูกจริงๆ เพราะมันไม่ยากเลย อย่างในภาพนี้เป็นข้าวมันไก่ ตัวข้าวมัน ในซองของโลโบจะมีมาให้ครบ ทั้งผงข้าวมัน+ผงน้ำซุป+น้ำจิ้ม มาครบเซ็ทเลยแบบ 4
โฉมหน้าสมาชิกทั้งหมดของทริปนี้กำลังจัดการข้าวมันไก่แสนอร่อยตรงหน้าเลย
มีคลิปที่เราอัดกันสดๆ ไว้เพื่อจะได้รู้ว่าทำจริงๆมันก็ไม่ยากเลย ถ้าหากจะพกพาไปต่างประเทศ บ้านเราเองก็เน้นเที่ยวไม่แพงประหยัด เพื่อให้ไม่ลำบากเกินไป การทำอาหาร หุงข้าว กินกันเองจึงไม่ยากอย่างที่คิด ลองดูภาพและบรรยากาศกันได้เลยครับ
แถมท้ายด้วยผงสังขยาใบเตย ที่ทำง่ายดายมาก รสชาติออกมานี่ถ้าไม่บอกว่ามาจากโลโบ เราจะคิดว่าซื้อร้านขนมปังสังขยาปากซอยกันเลย อร่อยมาก เด็กๆชอบกันมาก
โดยรวมคือประทับใจมากครับสำหรับใครที่สนใจอยากเอา Lobo ไปลองทำกันเองดูเข้าไปที่เพจเค้าเลยครับที่นี่เลย
จบแล้วสำหรับตอนแรกนะครับสำหรับการเตรียมพร้อมการเดินทาง ตอนหน้าจะพาเที่ยวจริงจังแล้วละนะเส้นทางใบไม้เปลี่ยนสีในอุณหภูมิเลขเดี่ยวจาก อิตาลี-สวิสฯ-อิตาลี วนเป็นวงกลมจะเป็นแบบไหนโปรดติดตามนะครับ
#แค่อยากพารู้จักโลกกว้าง #one22family
รีวิว Rare Item ที่ถือเป็นเคล็ดลับพาปันรอดจากการเจ็บคอในอากาศหนาวๆ ได้เชิญไปเสพกันต่อได้หากสนใจนะครับ กดที่นี่หรือที่ภาพได้เลย