สวัสดีปีใหม่ครับแฟนๆของบ้าน one22family ทุกคน ขอให้ร่ำขอให้รวยตลอดปี 2019 นี้นะครับ คิดหวังสิ่งใดขอให้สำเร็จทุกประการ
รีวิวแรกของปีขอพาทุกคนไปเที่ยวเมืองใหม่ๆ กันกับ มัตสึดะ Matsuda เมืองอะไรคนน่ารัก พาชมฟูจิซังอยู่กลางขุนเขา
เมืองนี้หลายคนคงไม่คุ้น เอาว่า…แม้แต่ผมเองก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องไปเมืองนี้เลยเหมือนกัน
มะมารู้จักเมืองนี้กันแล้วคุณๆเองอาจจะแปลกใจว่า รู้งี้ชั้นมานานแล้ว มาเที่ยวแบบโลคัลๆ คูลๆ กันครับ
เมืองมัตสึดะหรือจะเรียกให้ถูกควรเรียกว่าตำบลมัตสึดะ เป็นตำบลเล็กๆอยู่ในอำเภออาชิงารากามิ จังหวัดคานากาว่า จังหวัดเดียวกันกับที่มีเมือง โยโกฮามา , ฮาโกเน่ (อันนี้ก็เป็นตำบลนะไม่ใช่เมือง)และเป็นเมืองผ่านไปยังเมืองช้อปปิ้งดังๆอย่าง โกเท็มบะ นั้นละ เอาว่าถ้าจะมาเมืองนี้นั่งรถไฟมามองไม่ดีมีเลยจริงๆ
ผมมีโอกาสไปเที่ยวเมืองนี้เพราะมีพี่ที่รู้จักกันแนะนำมาให้มาที่นี่ดู ถ้าเราอยากจะถ่ายรูป ฟูจิ ในมุมที่ไม่ซ้ำกันกับใครเค้าเลยนะ คำพูดแค่นี้เองที่ทำให้ผมอยากลองมาดู ส่วนตัวบอกก่อนว่าไม่ใช่สายถ่ายภาพสไตล์เข้มข้นนัก หมายถึงไม่ใช่พวกทุ่มเทให้กับการแบกขาตั้งปีนเขาเพื่อไปถ่ายภาพตอนตีสอง ไรงี้นั้นล่ะครับ แต่ถ้ามันไม่ยากที่จะไปและ มีเสน่ห์บางอย่างในการเดินทางเพื่อค้นหา ผมว่ามันก็ไม่เสียหลายที่จะลองไปสักครั้ง และมัตสึดะ ก็เป็นแบบนั้นสำหรับผม ลองมาอ่านกันดูดีกว่า รีวิวนี้จะพาไปรู้จักเมืองนี้แบบ 3 วัน 2 คืนผมเที่ยวแบบโลคัล กินอยู่กับชาวบ้าน และเที่ยวแบบวนอยู่แต่ในเมืองนี้อย่างเดียวเลย ถือเป็นการเที่ยวแบบโลคัลแท้ๆ โดยมีคนญี่ปุ่นแนะนำเองเลยครับ
สำหรับ รีวิวญี่ปุ่นอื่นๆ อ่านกันได้ที่นี่เลยครับ
เดินทางยังไง
จะมาเมืองนี้ใกล้สุดสำหรับคนไทยคือลงนาริตะโตเกียว แล้วนั่งชินคันเซ็นมาลงสถานีชินากาว่า(Shinagawa)จากนั้นจะมีทางเลือกได้ 2 ทางคือ
1.นั่งชินคันเซ็นมาลงสถานี (Odawara) เพื่อต่อขบวน Odakyu มาลงที่สถานี Shin-Matsuda
2. นั่ง JR มาลงสถานี โคซุ (Kozu) จังหวัดคานากาว่านี้เอง แล้วมาลงสถานี Matsuda
ทั้งสองสถานีห่างกันหลักไม่กี่ 100 เมตร เดินถึงกันได้เลย แบบที่สองสำหรับคนที่ซื้อ JR PASS ที่ใช้มาโกเท็มบะได้ จะผ่านเลย แบบแรกสำหรับคนที่ไม่ได้ใช้ JR ก็นั่งมาได้เช่นกัน
ก้าวแรกของเรากับมัตสึดะ
ทริปนี้ผมเดินทางกันมา 2 คนกับพี่จิบ จากเพจ สะพายกล้องท่องเที่ยวกับมาเรียณ ไกลบ้าน (ชื่อยาวมากเพจพี่สาวผม ฮ่า ฮา) เราเดินพ้นสถานีออกมาปั้บ เจอชายหนุ่มสามคนยืนรออยู่ นั้นคือการพบกันครั้งแรกของ เรากับ พี่ดี (ชื่อสมมุตินะครับพี่เค้าไม่อยากเผยชื่อกับตัวเท่าไหร่นะ) ซิมเปซัง คือคนที่ชักชวนเรามา และคนสุดท้ายคือซาโน่ซัง คนสำคัญที่จะอยู่ในเรื่องราวของเราจากนี้ไปละครับ ทั้งสามคนจะอยู่ในเรื่องราวคราวนี้ของเราตลอดทริปเลย และซาโน่ซัง คือคนสำคัญตลอดทริปเราเลยเพราะแกจะเป็นคนพาเราไปนู้นนี่นั้นเกือบตลอด เพราะงั้นบางจุดเราจะปักหมุดไว้ให้นะแต่จะบอกยากว่าจะมายังไง ฮ่า ฮา ทริปนี้จะเป็นแบบนี้ล่ะ ถือว่ามารู้จักเมืองนี้ไปพร้อมๆกันนะ
เมืองที่มีคนเล่นแฮงค์ไกลเดอร์เพื่อดูฟูจิจากมุมสูงเยอะที่สุด
ที่แรกเป็นจุดชมวิวของเมือง ที่นี่ทำให้เราเห็นสิ่งแรก ที่แปลกตาเราออกไปคือ แฮงค์ไกลเดอร์ ใช่แล้ว ที่นี่เป็นที่ๆ ผู้คนเค้ามาเล่นกีฬาชนิดนี้กันเยอะมาก อาจจะเยอะสุดในญี่ปุ่นก็ยังได้ เพราะคนส่วนใหญ่มาเล่นเพื่อจะได้เห็นฟูจิจากบนท้องฟ้าที่ใกล้มากๆ และมันก็น่าตื่นตาจริงๆ ด้วย เสียดายเราไม่ได้ขึ้นไปตรงลานที่เค้าเล่นกัน ต้องสวยแน่ๆ เลย (จินตนาการล้วนๆ) ทำให้เราเก็บภาพนี้จากบนท้องฟ้าที่คนเล่นกันเยอะจริงๆ หนหน้าถ้ามาอยากลองเล่นสักครั้งมันคงรู้สึกดีแน่ๆ เห็นฟูจิจากวิวสูงกว่าบนพื้นที่เราคุ้นตา
เมืองที่มีส้มอร่อยๆ จากชาวสวนแท้ๆ
สวนส้มที่นี่ไอเดีย ซาโน่ซัง เค้าอยากทำให้ครบวงจรโดยการเป็นสวนส้มที่ให้นักท่องเที่ยวแวะมาเด็ดเองได้เหมือนกับเมืองอื่นๆ จริงๆ จะว่าไปสวนของแกเอง ไม่ได้คิดทำแค่ส้มหรอกครับ จริงๆ แกอยากทำเปลี่ยนไปตามผลไม้ในหลากฤดูของญี่ปุ่นด้วยนั้นเอง ทั้งลูกพลับ แพร สตอเบอร์รี่ ฯ รวมๆ ผมว่าแกคงมีไอเดียอะไรอีกเยอะเลย ไว้เราจะกลับมาสวนส้มแกอีก เพราะทีเด็ดจริงๆ คือ แกเป็นสวนส้มที่วิวเทพมากกก มองเห็นฟูจิจากในสวนได้เลย แบบในภาพเลย คือถ้าทำที่พักไว้ด้วยนะ ผมว่าที่นี่จะเป็นที่แรกที่ผมรู้จักว่ามีการทำกิจกรรมเก็บผลไม้บวกกับพักได้ด้วย อันนี้ดีเลิศเลย จริงไหมครับ
อ่อ ท้ายสุดซาโน่ซัง พาเราไปเจอคุณแม่ของแกที่ทำไร่สตอเบอร์รี่ด้วยนะ โอ้ยยยจะบอกเลยว่า สตอเบอร์รี่ที่นี่อร่อยมาก แม้จะเพิ่งเริ่มเก็บผลผลิตกันเอง อร่อยจริงๆนะ อยากให้มาลองกันเองจ๊ะ เดี๋ยวตอนท้ายจะใส่วิธีการติดต่อแกไว้ให้นะครับ
ราเม็งชามใหญ่และเกี๊ยวชั้นยอด ที่สุดที่เคยกินมา ร้าน โอนิชิ
เรามีโอกาสแวะมาร้านราเม็งในตำนาน คือเพราะร้านนี้ เปิดมาเกิน 20 ปีแล้ว เป็นร้านของคนในเมืองที่ปรกติมากินกัน คล้ายๆ ร้านก๋วยเตี๋ยวปากซอยบ้านเราอะไรประมาณนี้ เพียงแต่ว่าร้านนี้เป็นร้านที่คนเมืองอื่น เขต ตำบล อื่นเค้าก็นั่งรถ ขับรถมากินด้วยไง
ความเด็ดมันอยู่ตรง ปริมาณและเกี๊ยวครับ เกี๊ยวตัวใหญ่มาก รสชาติเด็ด คลุกเคล้ากับน้ำชุป จัดว่าเด็ดสุดร้านนึงที่เคยกินมาที่ญี่ปุ่น หมูชาชูไม่เล็กไม่ใหญ่แต่ความหนาต่างหากที่มาเต็ม รวมกับขนาดของชามที่คือ นี่มันกินกัน 3 คนยังไม่รู้จะหมดไหมเลย
เอาว่าผมแนะนำจริงๆครับร้านนี้ ใครมาที่นี่ไม่มาทานร้านนี้ถือว่าคุณพลาดแล้ว วันที่เราไปเป็นวันธรรมดาคนยังแน่นเลยนะ ที่ถ่ายมานี้รอหลังกินเสร็จคนออกไปกันเยอะแล้วละ
ซุปเปอร์มาเก็ตที่มัตซึดะ ซูชิถูกมากกก ถึงมากที่สุด
คือจริงๆ เราก็ไม่ได้อยากแนะนำแต่มาคิดๆดูผมว่า คนไทยหลายๆคนอาจจะเป็นแบบเรา คือ ถ้าอยากเที่ยวแบบโลคัลให้ถึงใจ มันก็ต้องมาดูการใช้ชีวิตของเค้าด้วย การซื้อของกินของใช้ในซุปเปอร์ฯ ดูๆมันอาจจะธรรมดา
แต่พอเรามาดูราคาของในซุปเปอร์ฯ ของเมืองมัตสึดะนี่เราเองต้องอุทาน มันถูกมากก นี่คือราคาของซูชิแพ็คในนี่เลยครับ แถมยังไม่ใช่ช่วงเวลาลดราคาตอนเย็นๆ ด้วย หลายๆคนที่มาเที่ยวญี่ปุ่นอาจจะทั้งทราบและไม่ทราบมาก่อนว่า ในซุปเปอร์มาร์เก็ตหลัง 6 โมงมันคือช่วงเวลาเซลของอาหารแพ็คทั้งนั้นครับ ราคาจะถูกลง 30-80% กันเลย เพราะงั้นหลายๆทริป ที่ผมมาประเทศนี้หลัง 6 โมงไปผมมักจะแวะมาช้อปฯเอาอาหารในซุปเปอร์ฯ นี่ละทั้งถูกและดีจริงครับ รอดมาหลายมื้อแล้วเพราะแบบนี้เลย ลองดูนะครับสำหรับคนที่ยังไม่เคย ลองเดินกันดูจะพบสวรรค์อาหารค่ำดีๆเลย ไม่ต่างจากในซุปเปอร์ฯของไทยเลย
คาเฟ่นักคิดนักเขียนของ ซิมเปซัง
ระหว่างทางจะไปที่พักทางซิมเปซังแกพาเรามาแวะที่บ้านของแก ทำให้เราได้รู้ว่าแกมีร้านคาเฟ่เก๋ๆ สไตล์ญี่ปุ่นด้วย ร้านให้อารมณ์บ้านศิลปินอยู่นะ มีความน่ารัก เท่ เก๋ๆ เสียดายอยู่อย่างคือแกไม่ได้เปิดทุกวัน จะเปิดเฉพาะวันหยุด เลยไม่ได้ชิมชาฝีมือแกเลย แต่เราว่าเอาแค่บรรยากาศก็เต็มสิบนะ น่ารักเรียบ มีกลิ่นอายของนักขีดนักเขียนกระจายตัวไปทั้งร้านเลย มีโอกาสมาอีกจะแวะมานะ
Illuminationบนยอดเขาแห่งเดียวของญี่ปุ่น Matsuda Kirakira Festa
พอค่ำๆมาถึง ทางซิมเปซัง ขับพาพวกเรามายังไฮไลท์ของเมืองอีกอย่างคือ การแสดงแสงไฟซึ่งทุกปีเค้าจะจัดตั้งแต่ช่วง ปลายเดือนตุลาคมไปจนถึง กลางเดือน มค. ปีถัดไปทุกปีครับ
เราว่าที่นี่สวยงามดีเลยนะ แม้จะไม่ได้ใหญ่โตแบบงานระดับจังหวัดแต่ด้วยวิวที่เห็นเมืองทั้งเมืองหมด ทำให้ที่นี่จึงกลายเป็นงานแสงสีที่สูงสุดของญี่ปุ่นได้เลย ตั้งแต่เราเคยไปมา
ส่วนตัวเราเดินเที่ยววนไปมาบนนี้ พื้นที่กำลังดีเลย คนไม่เยอะเกินไปอาจจะเพราะพึ่งเปิดวันแรกตอนเรามาเลย
รวมๆเราว่าที่นี่วิวดีมาก เป็นอีกจุดที่เหมาะจะขึ้นมาชมวิวเมืองทั้งเมืองได้เลย อ่อ และบนนี้ละที่มีซากุระแรกของญี่ปุ่นด้วย เราเคยไปเจอมาแล้วกับที่ คาวาซุ เมืองนี้ก็เวลาเดียวกันเลย กุมภาพันธ์นี้ก็มาแล้วละ ไวมาก เป็นพันธ์เดียวกันเลย
ระยะเวลาการจัดงาน: จะจัดทุกปีตั้งแต่ กลางเดือน พย ปีที่จัดถึง กลางเดือน มค ปีถัดไป ทุกปีจ๊ะ
ข้อมูลเพิ่มเติม : https://town.matsuda.kanagawa.jp/site/kankou-sub/kirakirafes.html
การเดินทาง : Nishihirahatake Park สามารถนั่งรถไฟจากโตเกียวได้ 2 สายดังนี้
1. ใช้ JR TOKYO WIDE PASS Gotemba Line มาลงที่สถานี Matsuda ถ้าจะเดินก็ราวๆ 20 นาทีนานอยู่
2. สาย ODAKYU ODAWARA LINE จาก Tokyo นั่งมาลงสถานี Shin Matsuda เดินจะใกล้กว่านิดหน่อย ราวๆ 15 นาที
TAXI :สามารถใช้ Taxi จากสถานีก็จะดีกว่าครับราวๆ 820 yen
แค้มป์ปิ้งริมลำธาร ความสุขเล็กๆของคนรักธรรมชาติและการตกปลา
คือจะบอกว่าตั้งแต่มาเที่ยวญี่ปุ่น นี่เป็นครั้งแรกทีมีโอกาสนอนกลางป่า แบบป่าเลย แถมริมน้ำด้วย (แม้จะติดถนนก็ตามเพื่อความสะดวก) ที่พักที่นี่มีดีตรงจะเป็นบ้านริมลำธาร และมีอุปกรณ์ ปิ้งย่าง ให้ครบ น้ำ ไฟ เน็ต ฮีตเตอร์หรือแอร์พร้อม ส่วนใหญ่จะเป็นคนญี่ปุ่นเค้ามาเที่ยวกัน แบบ แค้มป์ปิ้ง กัน เพราะเตาปิ้งย่างเค้าก็มีไว้ให้พร้อมอุปกรณ์
วันที่เราเข้าพักจะมีบ้านอีกหลังเค้าจองมาเป็นครอบครัวคนญี่ปุ่นที่อยากมาแค้มป์ฯกัน มองเค้ากุลีกุจอช่วยกันทำอาหาร ปิ้งย่างแล้วนึกถึงครอบครัวขึ้นมาเลยครับ คงสนุกได้แบบเดียวกันนี่ละถ้ามาพร้อมกัน
รวมๆ ที่นี่จะหนาวลงเยอะมากเวลาที่แสงหมดวัน เรียกว่าอากาศต่างกันระดับ 4-8 องศาเลยยิ่งดึกยิ่งหนาวอาจจะเพราะอยู่ในป่าด้วยก็ได้ รวมๆ ที่พักเราถือว่าดีเลย จะมีน่าเสียดายไปนิดตรง เค้ามีที่นอนให้แต่ขาดพวกผ้าห่มไป ซึ่งจุดนี้ผมมีโอกาสคุยกับทางบ้านพัก เค้าก็น่าจะเอาไปปรับปรุง สงสัยเองเฉยๆว่า ถ้าเราไม่เอาถุงนอนมาด้วยนี่อาจจะนอนกันไม่ไหวแน่ๆ แม้จะมีฮีตเตอร์แล้วอุ่นขึ้นเยอะก็ตาม
ทานอาหารแบบโลคัลขนานแท้ก็ต้องกินกับชาวบ้านสิ
หลังจากพาเที่ยววนไปมาในเมืองได้ที่ทางซิมเปซัง กับ ซาโน่ซัง ก็พาเรามายังบ้านของคนในหมู่บ้านเราแนะนำเรากับครอบครัวที่คุณพ่อเป็นไกด์ปีนเขาที่เนปาล ขณะที่คุณแม่จริงๆก็เป็นเหมือนกันเป็นครอบครัวนักผจญภัยกันทั้งบ้านเลยไปถึงลูกทั้งสองคนก็เช่นกัน
บรรยากาศบ้านชนบทแท้ๆ มีเตาไฟกลางบ้าน ที่ทุกคนในบ้านจะต้องมานั่งล้อมวงข้างเตาไฟเพื่อกินอาหารกัน เข้ามาเจอการต้อนรับของชาวบ้านอบอุ่นมาก ทางซาโน่ซัง แนะนำพวกเรากับชาวบ้านที่มาเจอกับเรา หลังผ่านคำพูดรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ทั้งเรื่องภาษาของเราและของเค้า ภาษามือไม้กันยุ่งพัลวัน โชคดีที่พี่ที่พาเรามาเที่ยวครั้งนี้ พูดญี่ปุ่นได้ดีมาก ไม่งั้นเราก็คงจะฮากันไปคุณกันไปอีกพักใหญ่ๆ
หลังทานอาหารกันมีจิบเหล้าสาเกกันบ้าง จนดึกดื่นค่ำมืด ท่ามกลางบรรยากาศอากาศที่หนาวลงเรื่อยๆ แต่บทสนทนากับออกรสออกชาติ สนุกสนาน พร้อมกับยิ่งดึกสมาชิกที่มาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งศิลปิน ที่อยากมาเจอเรา มาคุยกัน เสียงหัวเราะดังสนั่นบ้าน บรรยากาศครืนเครงกัน เป็นบรรยากาศที่เราไม่เคยเจอเวลามาญี่ปุ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่สำคัญเด็กๆ บ้านนี้แข็งแรงมาก มีการเล่นจริงจังผาดโผนโจนทะยานกันโดยเฉพาะเจ้าหนุ่มน้อย ที่แข็งแรงมาก ไม่ใส่เสื้อกันหนาวใดๆเลย ในขณะที่ผู้ใหญ่นี่นั่งสั่นกันและพยายามจะอยู่ใกล้เตาผิงกันทุกคน
ตอนกลับ เจ้าหนูน้อย จากคึกๆ อยู่ๆวิ่งหายไปไหนไม่รู้
จนรถเราเคลื่อนตัวออกมาจากหน้าบ้าน ทุกคนโบกมือลาจนรถเราเลี้ยวโค้งจากมา เรายังแอบเสียดายไม่เจอเจ้าหนู แต่หลังเพ่งสายตามองตรงไปใต้เสาไฟที่ไฟสุกสว่างมีเงาเล็กๆ ที่โบกมือให้กับพวกเรา ท่ามกลางความหนาวเย็นระดับเลขเดี่ยว เจ้าหนูโบกมือใส่เราแล้วยังวิ่งตาม (ลืมเล่าไปเจ้าหนูวิ่งเท้าเปล่านะ) รถเราจะลับสายตาไปเลย
โอ้ยย บอกเลยมันคือความประทับใจในผู้คนเมืองมัตสึดะที่สุดที่เราเคยมาญี่ปุ่นเลย เราจะจำเจ้าหนูที่เสียงดัง แข็งแรง ไม่กลัวความหนาว ไว้เสมอนะ
งามย้อม งานครามญี่ปุ่นแบบแท้ๆ สวยไม่แพ้เมืองไทยเลย
เช้าวันใหม่เรามีภารกิจเล็กน้อย คุณซิมเปซัง กับพี่ดี จะพาเราไปทำผ้าย้อมกับกลุ่มแม่บ้าน จะพาเราไปทำผ้าครามแบบญี่ปุ่นกัน บอกเลย เราเคยมีโอกาสทำแบบเดียวกันนี่มาครั้งนึงนะ ในต่างประเทศที่ไต้หวัน หนนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว มะ มาดูกันดีกว่า
มาถึงบ้านของตัวแทนกลุ่มแม่บ้าน หลังลงจากรถมา สิ่งแรกที่ประทับใจเรามากๆ คือวิวครับ มันเป็นวิวที่อลังการมากจริงๆ เพราะบ้านจะอยู่บนเขา ในจุดที่มองเห็นทุ่งนา ไปจนสุดสายตาลิบๆเป็นหุบเขา สวยมาก
อาหารเช้าเราก็เลยมาทานกันกับวิวนี้เลย ทางเจ้าบ้านก็อุตส่าห์เตรียมจานช้อนส้อมมาวางให้เรานั่งทานในสวนชมวิวแบบนี้เลย
อิ่มกันดีก็มาเริ่มทำกันแล้ว เราขอเล่าแบบรวมๆนะ เพราะวิธีการค่อนข้างเป็นลำดับขั้นตอนทีเดียว (จริงๆคือจำไม่ได้นั้นล่ะ) เราพบว่างานฝีมือของแม่บ้านแม้จะดูโลคัลแต่ผลงานที่ออกมานี่ระดับประเทศได้เลย ทั้งลวดลายที่หลากหลาย จนระดับมีการรวมผลงานของกลุ่มเป็นลวดลายมากมายถึงกับเป็นหนังสือเลย แต่ละแบบแต่ละลายสวยงาม แปลกตา จนเราไม่เชื่อเลยว่าเป็นผลงานของกลุ่มแม่บ้านกลุ่มนี้ น่าภูมิใจแทนจริงๆ ครับ
ทุกขั้นทุกตอนปราณีต เราใช้เวลาร่วมๆ 2 ชั่วโมง ทำไปชิมผลไม้ไป ลูกพลับอร่อยสุดๆไปเลย จนท้ายสุดเราได้ผ้าลวดลายตามแต่ใจกันมาคนละ 1 ผืน ภูมิใจจังเลย คุณป้าทุกคนช่วยเหลือพวกเราดีมากจริงๆ เป็นอีกความประทับใจมากมายที่เมืองนี้ส่งต่อถึงเราจริงๆจ๊ะ ตอนท้ายเก็บภาพกับป้าๆที่แสนน่ารักทุกคน และเป็นกันเองมาก
การมาทำผ้ามัดย้อม แบบนี้สามารถจองกันมาได้นะ มีราคา Package ชัดเจน ติดตามกันที่link นี้ได้เลย
ร้านคาเฟ่คนรักหมา #พาหมามาวิ่งในลู่กันได้
หลังจากทำงานฝีมือกันซะดีแล้ว มาแวะร้านคาเฟ่เก๋ๆกันบ้าง จะว่าไปจุดขายร้านนี้เค้าอยู่ตรงที่เป็นคาเฟ่หมาจ๊ะ คือเค้าจะมีสนามวิ่งที่ให้คนกับหมาออกแรงมาวิ่งเป็นลู่ได้ อ่านตรงนี้อาจจะงงสำหรับชาวไทยเรา ทำไมเค้าต้องทำสนามวิ่งให้หมาด้วย หมามันวิ่งกันแบบบ้านเราไม่ได้เหรอ คำตอบคือ “ไม่ได้จ้า”
ที่ญี่ปุ่น การพาหมาออกมาเดินนอกบ้านต้องมีสายจูง ต้องมีคนจูงพาเดินเท่านั้นวิ่งเองไม่ได้ ผิดกฎหมายเค้า แม้…ถึงตรงนี้ละ อยากให้มาเจอประเทศเราจัง มันวิ่งไล่กัดเด็ก กัดผู้ใหญ่จนเป็นข่าวมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ที่นี่เลยทำสนามวิ่งให้หมามันได้วิ่งกันอิสระไม่ไปรบกวนชาวบ้านเค้านั้นเอง ดูสิ คนญี่ปุ่นกับความเจ้าระเบียบ คิดถึงคนอื่นเสมอ เค้าทำกันถึงระดับสัตว์เลี้ยงกันเลย มิน่ามาญี่ปุ่นกี่รอบเราไม่เคยเจอหมาจรจัด หมาออกมาถ่ายเรี่ยราด ข้างทาง เหมือนบ้านเราเลย นี่ไง
อ่อ เกือบไม่ได้เล่าเรื่องอาหาร ที่นี่เค้าเน้นพาหมามาเที่ยวอาหารจะเป็นอาหารกล่องที่สามารถเก็บทิ้งง่าย ในกล่องรีไซเคิล แต่ไม่ใช่ว่าไม่ปรุงใหม่นะเพียงแค่ Packaging เป็นแนวรักษ์โลกซักหน่อยนั้นเอง กล่องเป็นกระดาษรีไซเคิลครับ
ไฮไลท์สักทีคือ การหาจุดชม ฟูจิท่ามกลางขุนเขาแห่งมัตสึดะ
หลังอิ่มกันดีภารกิจหนึ่งที่ทำให้เราอยากมาที่นี่คือ การหามุมถ่ายภาพฟูจิในมุมใหม่ๆ ที่เราก็ยังไม่รู้ ฮ่า ฮา ๆ จริงๆ คือเราได้ยินคำบอกเล่าจากพี่ดี บอกไว้ว่าซิมเปซังเคยบอกไว้อีกที
และวันนี้ ซาโน่ซัง ก็มารับพวกเราแต่เช้า อาสาพาเราตระเวณเที่ยวกัน โอ้ยจะน่ารักไปไหนน้อ
ต้นเหตุอีกอย่างคือวันที่เราไปนอนแค้มป์ปิ้งกลางป่านั้น เราเหลือบไปเจอภาพฟูจิท่ามกลางดอกไม้บนเขาที่ช่างภาพชาวญี่ปุ่นเค้าถ่ายไว้ มันช่างแปลกตาจนสร้างแรงบันดาลใจให้เราอยากตามหามุมๆนี้กัน
ที่แรกไปมันคล้ายๆ แต่ก็ยังไม่ใช่ เราขับรถออกจากมัตสึดะออกมาไม่ไกลนัก จนเจอที่นี่ ได้มุมแรกสวยอยู่นะ แต่ยังไม่ใช่
คุณซาโน่ หลังจากรู้แล้วว่าไอ้นี่มันเอาจริงนะ แกเลยตัดสินใจพาเราออกตามหากันต่อจนสุดท้ายมาจอดรถกันกลางสวนชาวบ้านแห่งนึง
และก็เจอจนได้ แม้ช่วงเวลาอาจจะไม่ตรงนักเพราะดอกไม้ไม่ได้บานในฤดูนี้แต่ก็ทำให้เราเก็บภาพฟูจิในมุมไม่คุ้นตานี้มาสำเร็จจนได้
ซาโน่ขับรถพาเราไปตามจุดนั้น จุดนี้ต่อ นั้นเกือบหมดวัน เหมือนแกนึกได้ว่า จริงๆที่มัตสึดะมีอยู่ที่นึงที่ถ่ายรูปยามเย็นเห็นฟูจิเต็มๆตาได้สวยไม่แพ้ที่ไหน
จนสุดท้าย มาเจอที่พีคสุดๆ คือบนจุดชมวิวของเมืองนี้เองครับ ภาพเซ็ทนี้คงเล่าได้ดีกว่าตัวหนังสือแน่นอน
มาไม่ยากเลยนะ แต่ต้องมีรถไม่งั้นก็ขึ้นมาบนเขาแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ และเราก็วนมาอีกครั้งในตอนเช้าวันถัดมาเพื่อเก็บภาพยามเช้าของที่นี่อีกครั้ง
บอกเลยครับ ประทับใจมาก มันสวยสมกับที่มาตามหาจริงๆ ฟินสุดๆบอกเลย
จุดนัดพบของจักรวาลและพื้นโลกอยู่ที่ มัตสึดะ จ้า
จั่วหัวแบบนี้อาจจะงงๆ เอางี้เล่าง่ายๆก่อน เคยอยากรู้ไหมว่าโลกเรากับจักรวาล อวกาศนั้นมีระยะห่างสักเท่าไหร่
อยากรู้ว่าระหว่างพื้นโลกจนถึงสุดขอบบรรยากาศโลกมันมีความสูงเท่าไหร่
บอกเลย เราก็ไม่รู้หรอก ฮ่าฮา
แต่ๆมันมีคำตอบใน wikipedia หาดูในอากู่ ก็รู้ได้ไม่ถึงสิบวินาทีเลย พิมพ์ไปรู้แน่ แต่ๆ รู้ไหมว่าเค้ามาวัดกันจากที่ไหน
ถูกแล้ว เค้ามีจุดวัดอยู่ไม่กี่แห่งในโลกนี้ มันมีอยู่กระจายไปตามจุดต่างๆทั่วโลก และหนึ่งในนั้นที่ นาซ่าส่งคนมาวัดก็คือที่เมืองมัตสึดะแห่งนี้ด้วย
เราเลยออกมาตามหาจนเจอ ทีแรกคิดว่าเค้าจะสร้างเป็นอนุเสาวรีย์ เลยนะ แต่เอาจริงๆมันเป็นแค่จุดสีเหลืองตามในภาพเลยครับ วงสีเหลืองธรรมดานี้เองล่ะ ดูๆ ก็แอบอยากให้เค้าเน้นสักหน่อยแต่คิดไปคิดมา นาซ่าเค้าก็คงแค่อยากมาวัดจุดเฉยๆ แต่นักท่องเที่ยวอย่างเราอยากถ่ายรูปด้วยนั้นละ ฮ่า ฮา อ่อ จุดนี้จะอยู่ตรงหน้า เรียวกังแห่งเดียวของเมืองครับ หาไม่ยากเลย
บ้านศิลปินนักปั้น ท่ามกลางขุนเขาและแน่นอน ฟูจิซัง อยู่ตรงหน้าเลย
เช้าวันสุดท้ายของเรา ซิมเปซังพาพวกเรามาแวะยังบ้านหลังนึง ที่เต็มไปด้วยงานปูนปั้นและเซรามิก บ้านหลังนี้เป็นบ้านของศิลปินชื่อดังของเมืองก็ว่าได้ มาถึงเรานี่ถึงกับอุทานเลยว่าไหมวิวมันสวยแบบนี้ สักพักรถคันเล็กๆ สไตล์ญี่ปุ่นก็ขับมาจอด คุณลุงแต่งตัวเหมือนช่างคนนึงเดินลงมาพร้อมกับรอยยิ้ม นี่คือศิลปินที่เรารอมาเจอ เออแหะ ไม่เหมือนศิลปินบ้านเราเลย ที่เคยเจอมา ไม่มีมาด ไม่มีเสื้อผ้าเก๋ๆ มาพร้อมกับความนอบน้อมโค้งให้พวกเราก่อนด้วย แกพาพวกเราเดินเข้าไปในบ้านของแก บ้านทั้งหลังนี้แกสร้างด้วยมือแกเองหมดเลย
เอ้ยเก๋มากมีเตาไฟอยู่กลางบ้าน ที่นี่คือบ้านที่แกไว้มาทำงานอย่างเดียว และผลงานของแกก็ได้แรงบันดาลใจมาจากเทพเจ้าโบราณ มาคลีคลายฟอร์มจนกลายเป็นแบบนี้ได้
ที่ฟินสุดก็ขอยกให้วิวฟูจิต้นไม้ที่เห็นเหลือแต่กิ่งนี่ถ้าเป็นใบไม้ผลิ มันคือซากุระนะจ๊ะ โอ้ยแค่คิดก็รู้เลยว่าต้องกลับมาจุดนี้อีกวิวเทพสุดๆเลย อิจฉาแกมากๆ ทำงานในวิวงดงามแบบนี้ได้ทุกวัน มิน่าผลงานของแกจึงขายดี คนทำสบายใจ อยู่ในบรรยากาศดีๆแบบนี้ได้
ก่อนกลับแกยังให้ของที่ระลึกกับพวกเรามาเป็นตุ๊กตาปั้นดินเหนียวเคลือบแล้ว น่ารักมาก ไม่รู้มูลค่าเท่าไหร่แต่กับจิตใจมันก็ประเมินกันไม่ได้เลย
ก่อนจากเรายังเก็บภาพกันสนุกสนาน แอ็คชั่นท่าของเรากับรูปปั้น ขำๆกันไป
ตลาดพืชผักผลไม้ ถนนคนเดินประจำปีที่ของมัตสึดะ
ก่อนเราจะกลับกันวันนี้ทางซิมเปซังพาเรามาแวะเดินเที่ยวถนนคนเดินที่ปีนึงจัดกันแค่ครั้งเดียว!! จริงๆ จะบอกว่าเราโชคดีที่มาช่วงนี้พอดีก็ว่าได้ เป็นถนนคนเดินที่ชาวบ้านของมัตสึดะ พากันขนอาหาร พืชผักการเกษตร มาวางขายกัน รวมถึงออกร้านรวงต่างๆ
บรรยากาศคึกคักที่สุดในตำบลเล็กๆแบบนี้ มันช่างน่าตื่นตา แต่บอกก่อนนะ อย่าเอาไปเทียบกับถนนช้อปปิ้งในเมืองใหญ่อย่างโอซาก้า โตเกียว มันไม่ใช่นะ ที่นี่เหมือนเพื่อนบ้านต่างขนข้าวของออกมาอวดกัน เปิดบ้านขายของกันมากกว่า ใครมีอะไรก็เอาออกมาวางกัน มีอาหารที่ทำกันสดๆ ตั้งเรียงรายไปตลอดเส้นทาง ดูสนุกสนานและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ที่ผมแปลกใจที่สุดคือ “การเล่น” ครับ การเล่นของเด็กต่างจังหวัดกับเด็กในเมืองต่างกันมาก ในงานเค้าจัดให้มีมุมเล่นของเด็กกับของเล่นตามธรรมชาติ เช่นกะบะใบไม้ ที่เอามาให้เด็กๆ โยน กระโดดโลดเต้น ไปมา ดูมันไม่น่าจะสนุก แต่จากรอยยิ้มบนหน้าของเด็กๆ มันช่างสนุกสนานเหลือเกิน อย่างที่ผมบอกไปความสุขของเด็กในเมืองกันต่างจังหวัดต่างกันจริงๆ
อ่อ งานนี้จะมีการแสดงมาอวดกันด้วย เราลืมเล่าเรื่องคนอีกสองคนให้ฟัง ซึ่งก็คือ โยชิดะซังกับ ลูกสาว คุณโยชิดะ เป็นเพื่อนอีกคนที่เราเจอเค้าที่บ้านวันแรกที่เลี้ยงอาหารเราและลูกสาวหน้าตาน่ารัก เจื่อรอยยิ้มสดใสตลอดเวลาคนนี้ก็เช่นกัน วันนี้ทั้งสองคนอาสาพาเรามาเที่ยวกันต่อ เพราะทั้ง ซิมเปซัง และ ซาโน่ซังต่างก็ติดธุระกับงานนี้นั้นเอง
มาเดินกันในงานนี้ถึงได้รู้ว่าทั้งแม่ทั้งลูกมีโชว์ที่ต้องขึ้นแสดงวันนี้ พอดี เราเลยอาสาเก็บภาพทั้งหมดให้ หน้าตาของทั้งคู่แลดูมีความสุขและสนุกสนานมากมาย หนูน้อยก็สนุกสนานกับการพาเราตระเวณเที่ยวตั้งแต่เช้าเลย หลังเดินเที่ยวจนทั่วเรามารอชมการแสดงของพวกเขา บรรยากาศบ้านๆ กันเอง โชว์ที่ตระเตรียมมาอย่างดี หนูน้อยก็ดูสนุกมาก เป็นอีกความประทับใจของเราอีกแล้ว และงานนี้ก็เหมือนกับการจบทริปของเราพอดี
ลาแล้วนะ มัตสึดะ(Matsuda ซาโยนาระ)
หลังจบโชว์ คณะเราทั้งพี่ดี ทั้งเรา ทั้งพี่จิบ ร่ำลาซิมเปซัง ซาโน่ซัง มาอย่างเศร้าๆนิดๆ เรารู้สึกว่าเมืองเล็กๆ ตำบลเล็กๆแห่งนี้มีเสน่ห์มากมายให้เราคิดถึงเหลือเกินจริงๆ
เราเดินกลับมาขึ้นรถ โยชิดะซัง และลูกสาวที่ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ แกบอกเราว่าอยากพาเราไปส่งที่สถานีรถไฟ และเลี้ยงกาแฟพวกเราสักนิด ก่อนลา
ตลอดเวลาที่นั่งมาในรถ ผมแอบสอนภาษาไทยกับหนูน้อย แลกกันไปมา ระหว่างภาษาไทยกับภาษาญี่ปุ่น แม้เราทั้งคู่จะคุยกันได้น้อยแต่เพราะรอยยิ้ม และการเปิดใจก็ทำให้กำแพงภาษาสลายลงได้ไม่ยาก จนถึงสถานีนั่งกันในร้านกาแฟ บทสนทนาสุดท้าย ที่พี่ดีช่วยเราแปลกลับไปกลับมา ทำให้การสื่อสารง่ายดาย จนท้ายของท้ายสุด เวลาร่ำลามาถึง โยชิดะ เข้ามากอดเรากับพี่จิบ น้ำตาก็ไหลออกมากันเอง ส่วนผมกอดหนูน้อย และผมบอกว่าจะหาโอกาสมาเที่ยวที่เมืองนี้อีกนะ หรือหากทั้งสองคนจะมาเจอเราที่เมืองไทยเมื่อไหร่อย่าลืมให้บอกเราด้วยนะ จะพาเที่ยวให้ทั่วเลย
ตั้งแต่มาญี่ปุ่นนี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่การจากลาชวนให้ถวินหามากมายนัก ก่อนที่ประเพณีแห่งการร่ำลาที่โบกมือกันไปมาจนกว่าจะลับสายตาจากกันไปอีกครั้ง เรื่องราวของมัตสึดะ ตำบลเล็กๆ ระหว่างเมืองดัง เป็นไม่ได้แม้กระทั่งจุดแวะฮิตๆด้วยซ้ำไป กลับทำให้เราประทับใจยากจะลืมได้ง่าย หวังว่าเรื่องราวประสบการณ์ครั้งนี้จะสะกิดให้เพื่อนๆที่กำลังอ่านจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้อยากลองมาสัมผัสวิถีชีวิตแบบโลคัล แท้ๆ ที่ร่วมสมัยกับเราพอและง่ายกว่าที่เราคิดไว้ กันนะครับ
จนกว่าจะพบกันใหม่ใต้โลกสีฟ้าแห่งนี้ครับ
one22family