ฤดูฝนปีนี้ดูยาวนานเป็นพิเศษ …นานจนแทบลืมแดดกันไปเลย
ไม่ว่าจะไปมุมไหนของประเทศเรา ล้วนแต่เจอพระพิรุณกันทั่วหน้า…
หนนี้ไมไ่ด้พาคุณๆหนีฝนออกไปไหนไกล แวะพามาเที่ยวใกล้ๆบ้านอย่างกรุงเทพฯ กันบ้าง
ถ้าอ่านรีวิวของ one22 มาตลอดจะรู้ว่ายังไม่เคยแนะนำที่พักในกรุงเทพฯกันเลยสักครั้ง
เหตุผลง่ายมากครับ ผมเป็นเด็กเต้บ (เขียนยากๆไปทำไหมเนอะ หมายถึงเด็กกรุงเทพฯ นั้นล่ะ ^ ^ )
จนเมื่อเร็วๆนี้มีโอกาสรับเชิญจากพี่ชายใจดีที่เข้ามาดูแลที่นี่ ” CABOCHON HOTEL ” Unique Boutique Hotel ให้มาชมและถ่ายภาพให้
เลยมีโอกาสได้ลองสัมผัส Boutique Hotel ที่ไม่ธรรมดา เพราะให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในหนังเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ กันเลย ไม่เชื่อ ลองตามมาดูและพักไปพร้อมๆกับเรากันครับ
หนนี้มีรวมภาพทั้งหมดเก็บไว้เป็น Gallery ที่นี้เลยครับ ชมภาพเป็น ออเดริฟ รองท้องกันก่อนได้นะที่นี้เลย
Cabochon Hotel อยู่ในย่านกลางเมืองเลยครับ อยู่สุดซอยสุขุมวิท 45 โรงแรมขนาดกำลังน่ารัก ไปมาไม่ยาก สามารถเดินทางได้ทั้ง รถ รถไฟฟ้าลงสถานี หรือจะรถโดยสารประจำทางทุกสายที่วิ่งผ่านเส้นสุขุมวิทผ่านหมด
เจตนาของที่นี้ต้องการเน้นให้คนเปลี่ยนบรรยากาศมาพักผ่อนสบายๆ เปลี่ยนบรรยากาศการพักในเมือง
บรรยากาศ เหมือนหลุดไปอยู่ในยุคคลาสิกบ้านเรือนในสไตล์ โคโลเนียล (คำอธิบายแบบย่อๆ: บ้านเรือนในสไตล์ฝรั่งในอดีต ที่ได้รับอิทธิพลจากประเทศแม่ ที่เข้ามาในประเทศที่เป็นอาณานิคม และนำมาประยุกต์ให้เข้ากับวัสดุและการตกแต่งของประเทศที่ตกเป็นอาณานิคม หรือจะเรียกว่าสถาปัตยกรรมสไตล์อาณานิคม ก็ว่าได้ :ขอบคุณข้อมูลจาก internet ครับ )
ถ้านึกไม่ออกขอให้นึกถึงหนังเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้อะไรประมาณนั้นครับ เพราะเจ้าของก็บอกไว้ในหน้าเว็บของโรงแรมเองว่าได้เอากลิ่นอายของเซี่ยงไฮ้ ยุค 1920 มาเป็นต้นแบบ
เดิมทีเน้นไปที่ชาวต่างชาติเป็นหลักๆแต่ไปๆมาๆ กับได้คนไทยที่ชอบเปลี่ยนบรรยากาศ และชอบในความเท่ไม่เหมือนใครก็มาพักกัน…
เดี๋ยวนี้ยังเป็นอีกที่ๆสไตล์ลิสต์ ตามนิตยสารแฟชั่นมาขอยืมใช้สถานที่ถ่ายแบบแฟชั่นกันแทบทุกฉบับ
ด้วยเสน่ห์และการตกแต่ง ย้อนยุคแบบโคโลเนียนสไตล์ ผสมผสานกับของตกแต่งด้านในแบบจีนๆเข้าไปเราจึงได้ Boutique Hotel ดีๆกลางกรุงออกมา
เห็นตกแต่งย้อนยุคแบบนี้อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นของเจ้าขุนมูลนายท่านใด มาเปลี่ยนเป็นโรงแรม
เพราะจริงๆโรงแรมพึ่งสร้างเสร็จเมื่อต้นปีนี่เอง ทุกอย่างใหม่มากๆ กลิ่นไม้ยังใหม่ๆอยู่เลยด้วยซ้ำไป
แต่เพราะเจ้าของเป็นสถาปนิก เลยจงใจออกแบบออกมาแบบนี้ครับ เท่โค๊คๆจริงๆ
วันที่เข้าพักผมพาครอบครัวและชวนเพื่อนสนิทไปด้วยถือเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ และการสังสรรค์กันไปในตัว และก็ตัดสินใจไม่ผิด เพราะเป็นคืนที่ครื้นเครงกันมากๆเลยครับ
ปันปัน ดูจะสนอกสนใจผู้ใหญ่คุยกันตลอดเลย…น่ารักเนอะ ลูกใครเนี่ย 5555
ดูห้องพักก่อนเลยดีกว่าห้องพักที่นี่มีทั้งหมด 3 Type คือ
Studio type เริ่มต้น
Suite ห้องใหญ่และมีห้องรับแขกเพิ่มขึ้นมา
และแบบ 2 Connecting ที่มีห้องรับแขกตรงกลางของ Type Studio + Suite
ห้องที่เราพักจะเป็น Type 2 Connecting Unit SUITE + STUDIO ห้องจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือแยกเป็นห้องพัก 2 ห้องแบบ Suite ที่กว้างและมีห้อง Studio ที่เล็กลงมาหน่อย เป็นห้อง แบบ connecting ติดกันโดยมีห้องรับแขกเชื่อมอยู่ตรงกลาง ขนาดกว้างขวางมากๆ
ที่สำคัญ ผมว่าข้างในมีความเป็น Vintage ผสมกลมกลืนเข้าไปด้วย ดูดีมีชาติตระกูลมากกกก
ส่วนของห้องรับแขกมีโต๊ะขนาดใหญ่ให้แขกสามารถนั่ง ทานข้าวร่วมกัน ,ทำงานก็ได้ หรือจะนั่งสังสรรค์เฮฮากันก็ดูเหมาะดีทั้งนั้น อ่อมี wifi free ทุกจุดนะครับจะนั่งเล่นตรงไหนก็ได้
ยังมีโซฟาขนาดใหญ่ให้อีกชุดนั่งนอนดู LCD TV ได้สบายๆ
มองไปรอบๆห้องทุกอย่างใหม่หมด เตียงน่านอนสุดๆ
มาดูห้องนอนกันบ้างสำหรับฝั่ง Suite เปิดประตูเข้าไปก็เจอเตียง มองดีๆผมว่าดูจะใหญ่กว่า King Size ทั่วๆไป และเดี๋ยวนี้ ดูจะเป็นเรื่องปรกติของบูทีครีสอร์ทไปแล้ว
หมอนมีให้เลือกใช้หลายใบหลายขนาด และแน่นอนเป็นหมอนขนเป็ดที่หลังๆมานี่ผมชอบจริงๆนอนแล้วมันจมลงทั้งหัวดีครับ
ห้องฝั่ง Studio จะมี 2 แบบคือเตียงเดี่ยวกับเตียงคู่ อย่างในภาพจะเป็นเตียงเดี่ยว ห้องจะเล็กกว่านิดหน่อยครับ แต่ก็มีครบถ้วนทุกอย่างเช่นกัน
เตียงนอนแล้วสบายไหม ดูจากปันปันเอาเองได้เลยครับ >_< 555 หลับนานเลยเชียวล่ะ
ห้องน้ำเองพยายามคงความคลาสิกสุดๆขนาดปลั๊กไฟ เปิดปิดยังเลือกใช้แบบโบราณมาทำ สวิทช์แบบนี้ผมเองจำได้ว่าเด็กๆเคยเห็นบ้านญาติเคยใช้เดี๋ยวนี้คงหายากแล้วละมั้ง
กระเบื้อง,ที่จับประตู,อุปกรณ์ภายในทั้งหมดเป๊ะสุดๆเพราะพยายามใช้ของ ที่หวลทำให้เราคิดถึงอดีตได้หมดเลย ชอบในความใส่ใจของที่นี่มากครับ
ที่ผมมองแล้วชอบเพราะง่ายแต่คง concept การตกแต่งไม่หลุดเลย แม้จะเป็นเล็กๆน้อยก็ตามเช่น ห้องน้ำรวมชั้นล่างยังเก๋ ใช้หมวกกับ ผ้าคลุมหัวสื่อเป็นห้องน้ำหญิงชาย ดูได้บรรยากาศย้อนยุคไปหมดเลย
ออกจากห้องมาดูระเบียงทางเดินกันต่อ ทุกๆจุดเนี๊ยบและมีรายละเอียด ให้น่าเก็บภาพ ที่เห็นเป็นโต๊ะโชว์ของตกแต่ง แปลกและน่าสนใจมากครับ
ผมขอพามาชมห้องที่ผมถือว่าเก๋สุดๆของที่นี่ต่อ “Club Lounge” ที่ชื่อว่า ” Joy Luck Club” เข้ามาก็ต้องอุทานอะไรจะเยอะขนาดนี้…. เฟอร์นิเจอร์ครับ
วางเหมือนจะไม่ตั้งใจ ไม่เป็นระเบียบแต่ทำไมไม่รู้ แม้จะเหมือนไม่ตั้งใจแต่ก็แฝงการใช้งาน และการตกแต่งสุดแนว เหมือนเราเข้ามาเดินอยู่ในนิยายยุคเจ้าพ่อยังไงยังงั้นเลย เท่โค๊ดๆจริงๆ
หมุนไปมุมไหนก็เจอมุมเก๋ๆให้น่าถ่ายรูป ทั้งของตกแต่งเองก็ไม่ธรรมดานะครับ อย่างในภาพที่เห็นเป็นหีบใบใหญ่ๆนั้นเค้าเอาของ Louis vuitton ของแท้ใบเป็นแสนมาใช้แทนโต๊ะได้ ^ o ^
หุหุ ไม่ใจขนาดนี้ไม่แก้ทำนะครับเนี่ย
โซฟาและเก้าอี้หนังเก๋ๆย้อนยุคสีสันสะดุดตาดีครับ…
แต่ที่สะดุดตาสุดๆก็น่าจะเป็นหัวม้าลายที่แขวนอยู่ผมเคยเห็นแต่ในหนังมาเจอของจริงก็มองอยู่นานเหมือนๆมันจะกระโดดออกมาได้งั้นล่ะ …คิดไปเรื่อยครับ ^ ^ ”
ของตกแต่งหลากหลายดูเหมือนมีเรื่องราวด้วยตัวมันเองทั้งนั้น ที่ผมชอบมากๆก็เครื่องบินจำลอง ที่แขวนลอยอยู่ด้านบนเหมือนมันกำลังบินอยู่นั้นละครับ เท่มากๆ ชอบจริงๆนะเนี่ย 5555
เอาละไปชมห้องอาหาร “Thai Lao Yeh” กันต่อครับ เห็นห้องอาหารที่นี่ตกแต่งสไตล์ผสมไทย-จีนๆแบบนี้ แต่อย่าเข้าใจผิดว่าเค้าเสริฟอาหารไทย-จีนกันแค่นั้น
เพราะที่นี่จะเสริฟอาหารอีสานและจากคำแนะนำของเชพแล้ว เค้าบอกว่าอาหารอีสานที่นี่รสแซ่บอย่าบอกใคร…
อ่อที่ชอบอีกอย่างของห้องนี้คือไอเดียการใช้กรงนกเปล่าหลากหลายมาตกแต่งบนเพดาน …เก๋และมันกว่านี้มีอีกไหมเนี่ย
ด้านใน..
ของปันปันก็มีของกินน่ะแต่กินไรกับเค้าไม่ได้ทั้งนั้น รออีกหน่อยนะฮับ
โตแล้วอาจจะหลงรักรสชาติอีสานบ้านเฮาเหมือนพ่อกับแม่นะครับ ^o^
เห็นไหมครับว่าเก๋ขนาดไหน กินข้าวในบรรยากาศเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้แต่สั่งอาหารอีสานรสแซ่บๆมา 555
มะมาดูกันดีกว่า อย่างในภาพเป็นรวมอาหารอีสานเสริฟมาทั้ง ส้มตำไทย รสจัดดีมากๆ และ…
มี ต้มแซ่บกระดูกหมู ,ปากเป็ดทอดกรอบที่เค้าทอดมากรอบมากๆ ลาบเนื้อ,ไส้กรอกอีสาน,ลาบเป็ด
ใครมาอยากบอกว่าให้สั่งมาชิมกันดูรสชาติแซ่บสุดๆอร่อยแบบร้านอีสานแท้ๆเลย
ที่ชอบสุดชิมแล้วอยากบอกต่อก็เป็น ไส้อั่วกับปากเป็ดทอดนะครับใครมาอย่าลืมสั่งมาชิมกันดู
เบื้องหลังเชพท่านนี้คืออาหารที่อร่อยๆทั้งหลาย ที่เสริฟเรานั้นเอง อร่อยจริงๆครับ ขอบคุณเชพมากๆเลย
มองไปมุมไหนก็เจออะไรเก๋ๆตลอดอย่างห้องอาหารนี่ยังเอาเครื่องทำน้ำแข็งยุคโบราณมาตกแต่งอีก ชอบครับช่างคิดดี
เห็นแล้วอยากกินน้ำแข็งใสขึ้นมาเลย ^ ^
มาดูฝั่งตรงข้ามบ้างเป็นโซนผสมเครื่องดื่มครับ
ชอบมากๆกับการ mix อุปกรณ์การตกแต่งอย่างไฟที่เห็นเป็นไฟจากร้านหมอฟัน(คุ้นไหมครับ) แต่นำมาใช้ตกแต่งแทนสปอร์ตไลท์ได้เท่สุดๆ
ป่ะ..ผมพาไปเที่ยวต่อครับ ต่อไปจะพาไปดูอีกที่ๆชอบมากของที่นี่ สระว่ายน้ำบนดาดฟ้ากัน “Rooftop Pool” เป็นสระว่ายน้ำที่อยู่ลอยฟ้ากลางเมืองกัน
วิวกรุงเทพ ณ.ยามเช้าตรู่ที่ ชีวิตมนุษย์เมืองกรุงทั้งหลายกำลังเริ่มต้น ฟ้าสวยดีนะครับ มองดีๆจะเห็นรถไฟฟ้าด้วย
ผมขึ้นมาถ่ายภาพนี้ตอนเช้าตรู่ ไร้ผู้คนทั้งนั้นใจจริงคืออยากเก็บวิวยามเช้ากลางเมืองแบบนี้ละครับ
และพอช่วงสายๆก็ได้เวลายึดสระเป็นของเรา 555 เราว่ายน้ำกันกลางเมืองได้อารมณ์แปลกๆดีครับ แต่ใช่ว่า ปันปัน จะสนใจ ดูจากภาพเอาเองเลยครับมันอยู่คนเดียวเลย
มันจริงอะไรจริง >O<
มีแม่จ๋าคอยพาตะกุยน้ำ ไปแบบนี้ยิ่งสบายเค้าล่ะ
ดูเอาเองเลยผมเองก็ถ่ายไปแป๊บๆก็ลงไปมันกับเค้าด้วยแล้ว Family Time ครับ ( ^ U ^ )
ผมพากลับลงมาจากสระน้ำมาดูห้องหนังสือของที่นี่กันต่อครับ ห้องหนังสือขนาดย่อมๆอยู่ชั้นแรก ไม่ใหญ่แต่ก็นั่งได้สบายๆ มีหนังสือดีๆที่คัดสรรมาใช้ได้ผมเจอหนังสือรวมภาพถ่ายของศิลปินต่างประเทศที่คุ้นเคยก็จากห้องนี้ด้วย ใช้ได้เลย
และช่วงสุดท้ายแล้วครับจะพาไปชมรอบๆกันดีกว่า ตรงนี้เป็นด้านหน้าชั้นหนึ่งเหมาะจะมานั่งจิบอะไรเย็นๆดีครับ
และด้านบนของที่จอดรถด้านหน้าเค้าแต่งเป็นสวนลอย ขนาดกำลังดี เช้าๆมานั่งจิบชากาแฟตรงนี้ก็ไม่เลวเลยครับ
สรุปกันหน่อยดีกว่า
ข้อดี
ใกล้ใจกลางเมืองเดินทางสะดวกสุดๆครับ แต่ที่แนะนำจริงๆควรเป็นรถไฟฟ้าดีที่สุดยิ่งเวลารถติดคุณจะไม่ชอบแน่ๆ
ที่พักใหม่มากๆเพราะพึ่งเปิดเมื่อตอนต้นปีนี่เลย
การตกแต่งสวยงามในสไตล์บ้านโบราณ โคโลเนียลสไตล์ ทุกอย่างเป๊ะมากๆครับ เดินเข้ามาเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในยุคเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ยังไงยังงั้นเลย ใครชอบถ่ายภาพสถาปัตย์กรรมสวยๆ
ที่นี่ใช่เลย และที่สำคัญแม้เป็นการสร้างใหม่ทั้งหมดแต่ก็ยังเก็บรายละเอียดต่างๆได้ดีมาก
ห้องพักครบครัน โดยเฉพาะ Type Suite กว้างขวางดีครับมี Facility ทุกอย่างครบครันไม่ขาด เตียงนอนนอนแล้วไม่อยากลุกไปไหนเลย
อาหารอร่อยมากๆ พ่อครัวเป็นคนไทยครับเพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะไม่รู้รสปากคนไทย โดยเฉพาะอาหารอีสานเราสั่งได้หมดตามสไตล์ไทยๆจะเผ็ดเค็มเปรี้ยวหวานจัดได้แน่นอน
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
ไม่รู้จะแนะนำอะไรแล้วครับ เพราะความใส่ใจในรายละเอียดขนาดนี้ อ่อ…นึกออกอย่างแล้วครับ อาจจะถือเป็นอย่างเดียวก็ได้คือห้องพักน้อยนะครับไม่ถึง10ห้องเลย หากไม่จองล่วงหน้าคุณอาจจะพลาดได้ เพราะ Boutique Hotel เล็กๆน่ารักและแนวๆขนาดนี้ ทั้งนิตยสารแฟชั่นทั้งหลายก็ดี คนกรุงขี้เบื่อบ้าน อาจจะแวะเวียนมาไม่ขาดทั้งร้านอาหารก็ด้วยเช่นกันโดยเฉพาะช่วงสุดสัปดาห์ ยังไงลองโทรสอบถามก่อนมา ก็ดูจะเหมาะสมครับ
เบอร์ติดต่อจองที่พัก ตามนี้เลย Tel : +66 2259 2871-3
และหากใครยังไม่จุใจเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมกันได้ที่นี่ครับ
FB:facebook.com/cabochonhotel
*ท้ายนี้ต้องขอขอบคุณพี่ชายใจดี คุณ mac GM ของที่นี่ครับ ที่ต้อนรับขับสู้เราและครอบครัวตลอดเวลาที่เราอยู่ที่นี่
ขอบคุณเชพ สำหรับอาหารอร่อยๆที่ตั้งใจทำมาเสริพเราจนพุงกางกันทั่วหน้า
น้องๆพนักงานทุกคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใสสอบถามความต้องการเราตลอด น่ารักจริงๆ
และสุดท้ายนี้สุดๆที่จะขาดไม่ได้กับการขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามอ่านกันมาถึงบรรทัดนี้ ไม่ใช่เพราะเพื่อนๆ พี่ๆ ลุง ป้า น้า อา อาม่า อาก๋ง ฯลฯ คงไม่สามารถทำให้ one22 เติบโตมาได้ขนาดนี้ ขอบคุณจากใจจริงๆแทนปันปันและครอบครัว รักนะจุ๊บจุ๊บ 55 แล้วพบกันใหม่ไม่ว่าเราจะไปที่ไหนเราจะมีคุณๆเสมอครับ