สำหรับ เชนใน ตอนนี้ผมยังคงอยู่ที่เมือง kanchipuram หรือ กัญจีปุรัมนั้นเอง ที่เมืองนี้ นอกจากจะมีวัดสวยๆแล้ว ยังมีผ้าส่าหรีที่ขึ้นชื่อติดอันดับโลก อีกด้วย เช้านี้จุดหมายของเรา คือ ตลาดใหญ่ใจกลางเมืองกัญจีปุรัม ตลาดนี้จะอยู่ไม่ห่างจากที่พักเรามาก สามารถเดินทางโดยเท้าได้ ใช้เวลาประมาณ ไม่เกิน10 นาทีก็ถึง สำหรับ ตลาดที่ใหญ่ที่นี่ คนจะค่อนข้างเยอะมากครับ ให้ระวังกระเป๋าตัง หรือของมีค่าให้ดี อาจจะโดนขโมยได้ง่ายๆ นะครับ
ระหว่างการเดินทาง ผม เห็นภาพวาดที่หน้าบ้านในตอนเช้าพอดี สำหรับการวาดภาพนี้ จะเป็นความเชื่อ ของคนอินเดียครับ และจะทำทุกวันในตอนเช้า สำหรับผมแอบทึ่งในการวาดครับ เพราะเค้าวาดเร็วและสวยมากๆ
ช้าในตลาด ที่นี่ คงไม่ต่างอะไรกับบ้านเราที่มีผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากมาย และเครื่องดื่มตอนเช้าของคนอินเดีย คงหนีไม่พ้นกาแฟ โดยส่วนตัวเคยได้ยินมาว่ากาแฟที่ประเทศอินเดีย มีรส กลิ่น ที่หอม และอร่อยอันดับต้นๆของโลก เมื่อมาถึงร้านกาแฟร้านนึงในตลาด ผมจึงไม่พลาดที่จะลองชิมกาแฟซักถ้วย เวลาผ่านไปไม่ถึง 5นาที กาแฟร้อนๆแก้วเล็กๆ ก็มาอยู่ในมือผม แม้กาแฟแก้วนี้จะไม่ได้สะอาดอะไรมากมายนัก แต่รสชาติของมัน อร่อยจนติดลิ้นเลยครับ
หลังจากที่เรามาชิมกาแฟเบาๆตอนเช้าแล้ว ผมก็ไม่รอช้า เดินชมภายในตลาดกันต่อ ตลาดของเมืองนี้ ส่วนใหญ่เท่าที่ผมเดินผ่านของที่ขายหลักๆจะเป็นผักและผลไม้ ซึ่งผักและผลไม้ต่างๆ ซึ่งก็เหมือนกับที่วางขายทั่วๆไปที่บ้านเรา
การเดินเที่ยวในตลาดไม่ว่าประเทศไหนก็ตาม ผมชอบตรงที่ มีผู้คนยิ้มแย้ม ทักทายเราตลอดเวลา แม้แต่ในประเทศอินเดียนี้ก็ตาม เวลาผมเดินไปไหน มักจะมีคนเข้ามาทักทายและขอให้ผมถ่ายรูปให้ เป็นจำนวนมาก คนส่วนใหญ่จะเข้ามาทักทายดีและเป็นกันเองเสมอ รอยยิ้มเล็กๆ ทำให้ผมรู้สึกชอบประเทศนี้เข้าแล้ว การเดินเล่นรอบๆตลาดครั้งนี้ทำให้ผม กลับไปพร้อมความประทับใจ พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆในความทรงจำ ตลอดไป
กลับจากตลาด ผมก็เก็บข้าวของเพื่อไปเมืองที่มีหินแกะสลักที่สวยมากๆแห่งหนึ่ง คือเมือง มหาบาลีปุรัม นั้นเอง ถ้่าเราเดินทางจากเมืองเชนไน จะใช้เวลา ราวๆ 1ชั่วโมงกว่าๆครับระยะทางประมาณ 60กิโลเมตร เมืองมหาบาหลีปุรัม แต่ก่อนเคยเป็นเมืองท่าที่เจริญรุ่งเรืองในช่วงศตวรรษที่ 7-10 ของราชวงศ์ปัลลวะ ซึ่งมีชื่อเดิมคือ มามัลละปุรัม ต่อมาถูกเปลี่ยนชื่อภายหลัง ในสมัยพระเจ้านรสิงหวรมันที่ 1ซึ่ง ณ ปัจจุบัน มีโบราณสถานหลายที่ ที่ได้รับการยกย่องโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) สำหรับทีี่เมืองนี้ ถ้าใครจะไปชมสถานที่สำคัญ สำคัญรอบเมือง เค้าจะมีตั๋วสำหรับชม Five Rathas ในราคา250 รูปปีเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องไปจ่ายแพงในแต่ละที่ และสถานที่ ที่แรกที่เราไป คือ Shore Temple หรือเทวาลัยชอร์
เทวาลัยชอร์ที่อยู่ติดชายหาดนี้ เป็นเทวาลัยที่คนนิยม มาชมมากที่สุดอันดับต้นๆของเมืองเลยก็ว่าได้ เทวาลัยนี้ยังติดทะเลทำให้เรามองเห็นวิวทะเลไปได้อีกด้วย เท่าที่ผมเดินรอบๆเทวาลัย ผมพบว่าเทวาลัยค่อนข้างเก่า และพุพังไปเยอะมากแล้ว บางจุดกร่อนแทบไม่เหลือเค้าโครงใดๆให้เห็นเลย
หลังจากที่ผม เดินออกมาจากเทวาลัยแล้ว ก็ แวะมาเดินซื้อของแถวๆริมทะเลก่อน ระหว่างพักคลายร้อน ก็ได้เห็น การสักสดๆ ตามทางเท้า ซึ่งผมไม่เคยเห็นการสัก กันสดๆ เลย เท่าที่ยืนมองอยู่พักใหญ่ ก็ทำให้รู้ว่า คนที่นี่มักจะมาสักกันตามทางเท้านี่แหละ การสักจะต่อคิว เพื่อเลือกลายก่อน พอได้ลายแล้ว ก็จะเอาหมึก มาปั้มลายลงที่แขนก่อน ว่าตำแหน่งถูกต้องไหม หลังจากนั้น ก็ ถึงคิวสัก จะใช้เครื่องสักตามรอยไปเรื่อยๆจนเสร็จ
การมาเที่ยวที่อินเดีย เรามักพบเด็กๆ มากมาย แต่เด็กๆที่นี่แทบไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นใดๆ ส่วนใหญ่มักจะยุ่งการทำงานครับ เห็นเด็กๆตัวเท่านี้ แต่แทบทุกคนจะมีหน้าที่คอย เข้าไปขอเงินจากนักท่องเที่ยวครับ ไม่ว่าจะทางตรง หรือ เสนอขายของ ต่างๆแก่นักท่องเที่ยว ส่วนรายได้ทั้งหมดจะถูก ผู้ใหญ่ เอาไปหมดทุกบาทครับ
จาก shore temple แล้ว เรามาต่อยังสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง นั้นคือ Pancha Pandava Rathas สำหรับที่นี่ถ้าเพื่อนๆคนไหน ได้เข้ามาชม จะพบว่ามีหลายๆจุดเหมือนยังสร้างไม่เสร็จ โดยเค้าอธิบายเหตุผลไว้หลายอย่าง เช่น หินที่เอามาแกะสลัก แกะได้ยาก เลย หยุดสร้าง และเหตุผลบางอย่างคือหาหิน กับช่างที่จะมาแกะสลักไม่มี โดยค่าเข้าชมที่นี่ ถ้าเราได้จ่ายไปที่ shore temple แล้ว เราสามารถ เอาใบที่จ่ายมาผ่าน ด่านตรวจที่นี่ได้เลย ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม การเดินทางมาที่นี่ไม่ยาก ให้หารถสามล้อเหมามาเป็น ทัวร์เล็กๆ แบบครึ่งวันหรือเต็มวันก็ได้ ส่วนราคาก็แล้วแต่ตกลงกันครับ
หลังจากเราเที่ยวชมจนทั่ว ผมก็ได้เดินทางมาถึงที่สุดท้ายของวันนี้ครับ Arjuna’s Penance หรือภาพแกะสลักอรชุนบำเพ็ญตบะ ภาพเกาะสลักนี้ ได้แกะสลักตรงเนินเขา ซึ่งได้กล่าวกันว่า ภาพแกะสลักนี้มี สองนัย คือ เป็นภาพ พระแม่คงคาเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ หรือ ก็เรียกว่า ภาพแกะสลักอรชุนบำเพ็ญตบะ เท่าที่ผมได้ดู พบว่าภาพการแกะสลักทำได้สวยมากครับ แอบทึ่งกับคนสมัยก่อนมาก
ทีใกล้ๆ สามารถเดินขึ้นไป ชม ก้อนเนยของพระกฤษณะ Krishna’s Butterball จะมีลักษณะ เป็นก้อนหินกลมๆ ขนาดใหญ่อยู่บนเนินเขา เหมือนกำลังจะกลิ้งตกลงมาแต่ไม่ตกหรือหล่น จะค้างอยู่แบบนั้น
วิวด้านหลัง ก้องเนยของพระกฤษณะ
ถ้าเราเดินไปใกล้ๆ จะเจอประภาคาร ที่ประคารนี้สามารถขึ้นไปชมวิวได้ ครับ แต่จะมีระยะเวลาเปิด ปิดอยู่ ห้ามไปหลัง 5โมงครับ ไม่งั้นจะขึ้นไปชมวิวไม่ได้ ส่วนตอนที่ผมไป ดันไปไม่ทัน ทำให้ เราต้องปีนขึ้นมาฝั่งตรงข้ามแทน ซึ่งวิวฝั่งตรงข้าม ก็ สวยไม่แพ้กันเลยทีเดียว
แม้ การเดินทางมาที่ อินเดียของผมจะเป็นครั้ง แรก แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมประทับใจมากเลยทีเดียว ระหว่างนี้ ก็ขอเก็บภาพประทับใจในทริป ไปเรื่อยๆ
หลังจากเดินทาง มาเหนื่อยๆทั้งวัน ก็ มาเติมพลังกันในตอนเย็น เย็นนี้ ผมได้มาทานอาหารริมทะเล โดยมีจานหลักคือ กุ้งมังกร ครับ กุ้งมังกรที่นี่ ผมแนะนำเลยครับ ว่าอร่อยมากๆ เนื้อหวานอร่อยเลย
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเดินทางของผม ครับ เช้านี้เลย ตื่นเข้าหน่อย เพื่อไปเก็บภาพ ที่ชายหาดของเมืองครับ สำหรับใครที่พัก ริมทะเล ก็จะสบายหน่อย แต่สำหรับผม ทะเลนั้นห่างจากที่พักพอสมควร ผมใช้เวลา ประมาณ 20นาที โดยประมาณ ถึงจะเดินถึงทะเล
เมื่อแสงแรง เริ่มร้อน ผมจึงเดินทางกลับโรงแรม เพื่อจัดกระเป๋า เตรียมกลับ กรุงเทพ ในตอนเย็น สำหรับ
การเดินทางครั้งนี้ ต้องขอ ขอบคุณ สายการบินแอร์เอเชียอีกครั้ง และขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่แวะเข้ามาชมรีวิว นี้นะครับ ^^
ค่าใช้จ่ายในครั้ง นี้ ค่า เดินทาง เหมารถ 3วัน 3คืน ราคา 8000 แต่หาร 3 ตกคนละ 2800 บาท
ค่าอาหาร ตก 2000 บาท
ค่าซื้อของฝาก 1500 บาท
ค่าที่พัก 3คืน หาร3 ตกคนละ 1800 บาท
รวมๆ ค่าใช้จ่ายในทริปเชนไน 8100 บาท ครับ ไม่รวมค่าตั๋วและวีซ่า นะครับ
ใครต้องการรับชมภาพเพิ่มเติม แนะนำ ที่ www.facebook.com/yhibklong