Green Krabi… เที่ยวกระบี่แบบกรีนๆ
สวัสดีเพื่อนๆทุกคนอีกครั้งหนึ่งครับ
ด้วยความที่ว่าตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป ผมจะเดินทางยาวหลายทริป รวมเกือบ 3 เดือน
โดยที่คุณภรรยาของผม แทบจะไปร่วมทริปไม่ได้ เพราะวันลาหมดแล้ว
ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ก่อนที่ผมจะออกทริปยาวนั้น
ผมเลยครับคุณภรรยาไปหวีตกันที่จังหวัดกระบี่นะครับ
ทริปนี้เน้นเที่ยวแบบสบายๆ ชิวๆ กับช่วงระยะเวลา 4 วัน 3 คืน
โดยที่เที่ยวหลักๆผมไปมาทั้งหมด 3 ที่ครับคือ
- นั่งเรือชมวิวบริเวณอ่าวนาง
- ชมวิถีชีวิตและธรรมชาติที่เกาะลันตา
- สปาที่น้ำตกร้อนคลองท่อม
ซึ่ง concept ในการเที่ยวในครั้งนี้ ผมพยามจะเที่ยวแบบกรีนครับ
ส่วนตัวผมเอง ผมเป็นคนหากินกับธรรมชาติ นั่นคือถ่ายรูปธรรมชาติมขาย
ซึ่งทางธรรมชาติ เสียไปแล้วผมเองไม่มีที่ทำมาหากิน เช่นกัน
วันนี้ ผมเลย เอาตัวอย่างวิธีการเที่ยวแบบกรีนๆ
ซึ่งก็ไม่ลำบากในการเดินทางของผมเองจนมากเกินไป มาแบ่งปันเพื่อนๆกันครับ
เอาละครับ พร้อมแล้วเราไปเดินทางไปเที่ยวกระบี่พร้อมๆกันเลยดีกว่าครับ
มุ่งหน้าสู่กระบี่ด้วยสายการบินนกแอร์
สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ผมไปบินสายการบินนกแอร์ครับ
ซึ่งปัจจุบันนกแอร์ถือเป็นสายการบิน ที่มีเส้นทางบินในประเทศมากที่สุด
ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีเลยละครับในการเดินทาง เพราะราคาส่วนใหญ่นั้น
จะเป็นราคาที่รวมการโหลดกระเป๋า 15kg ไว้เรียบร้อยแล้ว
เพราะส่วนตัวผมเอง เวลาเดินทางผมจะมีกระเป๋ากล้อง
ที่เป็นกระเป๋านำขึ้นเครื่องอยู่แล้ว ดังนั้นกระเป๋าเสื้อผ้า
ไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่ส่วนมากผมจะใช้วิธีโหลดใต้ท้องเครื่องตลอดครับ
สำหรับสายการบินนกแอร์นั้น มีอีกบริการหนึ่งซึ่งผมยังไม่เคยใช้คือ Free Wifi On board ครับ
ซึ่งเท่าที่ทราบมา ในปัจจุบันมีเครื่องบินอยู่ 2 ลำที่มีบริการนี้ โดยจะสลับการบินไปไหนหลากหลายเส้นทาง
แต่ส่วนมากจะเป็นการบินในเส้นทางกระบี่ครับ ซึ่งตอนแรกผมก็คาดหวังว่าจะมีโอกาสลองใช้สักครั้ง
แต่สรุปบินไปบินกลับ 2 รอบก็ไม่เจอเครื่องที่มีบรอการนี้ครับ คงต้องรอกันต่อไป 555
เช่ารถสำหรับเดินทางภายในกระบี่กับ Thai Rent a Car
หลังจากใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ก็มาถึงสนามบินกระบี่ครับ
ซึ่งปัจจุบันที่สนามบินกระบี่จะมีอาคารผู้โดยสารทั้งหมด 2 อาคาร สำหรับนกแอร์จะมาลงที่อาคารที่ 2
แต่เคาน์เตอร์รถเช่าจะอยู่ที่อาคารที่ 1 แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรพอมีทางเดินเชื่อม อยู่ไม่ไกลครับ
ส่วนคนที่เครื่องลงที่อาคารที่ 1 พอออกจากส่วนรับกระเป๋าปุ๊บ
เดินมาก็จะเห็น เคาน์เตอร์ Thai Rent a Car อยู่ด้านหน้าเลยครับ
สำหรับทริปนี้ ผมเดินทางกันทั้งสองคน แล้วก็เป็นทริปแบบชิวๆไม่ได้ขับไป เส้นทางอะไรโหดๆมากมาย
ผมเลยเลือกใช้รถอีโคคาร์ครับ โดยรถที่ผมได้ใช้เป็นรถ Mitsubishi Mirage ครับ
โดยช่วงนี้ทาง Thai Rent a Car มีการปรับฟรีทรถใหม่ โดยเอารถ Toyota Yaris เข้ามาเป็นฟรีทของอีโคคาร์ครับ
ซึ่งจากที่ผมเคยลองนั่งรถของเพื่อน ผมว่า Toyota Yaris นั่งสบายกว่า Mitsubishi Mirage ครับ
แต่วันที่ผมไปToyota Yaris หมดพอดี เลยอดครับ
แต่ Mitsubishi Mirage คันนี้ก็ถือว่าใหม่โอเคเลยครับ
เพราะว่าไมล์แค่ประมาณ 19000 เท่านั้นเองครับ
ส่วนสนนราคาตอนนี้ เช่าอยู่ที่วันละ 699 บาท
มีประกัน Dedect ที่เราต้องจ่ายส่วนแรกประมาณ 5000 บาทแถมมาให้ครับ
ซึ่งถ้าจะทำประกันแบบ FULL จะต้องจ่ายเพิ่มวันละ 200 บาทครับ
สำหรับการจองรถนั้นสามารถจองผ่านเว็บ www.thairentacar.com ได้เลยครับ
แต่ถ้าอยากฟิคว่าอยากได้รถรุ่นไหนยังไงให้ส่ง e-mail ไปที่ [email protected]
หรือโทรไปคุยได้ที่ Callcenter เบอร์ 02-737-8888 ครับ
จริงๆแล้ว ผมเคยมาเที่ยวกระบี่ 2-3 ครั้ง แต่มานานมากแล้วครับ
ครั้งแรกคือเมื่อ 15 ปีที่แล้ว และครั้งล่าสุดคือเมื่อ 5 ปีก่อน เลยจำสถานที่ในเมืองไม่ค่อยได้เท่าไหร่
แต่ก็ไม่ซีเรียส เพราะว่าผมเอา GPS ไปด้วย ใส่พิกัดลงไป แล้วก็ขับตามอย่างเดียวเลยครับ
ซึ่งส่วนใหญ่ก่อนไปเที่ยวที่ไหนก็ตาม ผมมักจะ List รายการสถานที่ที่จะไป
จดพิกัด GPS เอาไว้ เวลาจะไปที่ไหนก็เอารหัสมากรอกเลยครับ
Green Tip – การจดพิกัด GPS นอกจากจะทำให้ขับรถง่ายไม่หลงแล้วยัง ประหยัดค่าน้ำมันด้วยครับ แต่ปกติพิกัด GPS มีหลากหลาย Format
ซึ่งขึ้นอยู่กับว่า GPS ของเรารองรับพิกัดรูปแบบไหน กรณีเรามีพิกัดคนละรูปแบบกับที่ GPS เราใช้ เราสามารถแปลงพิกัดได้ที่เว็บนี้ครับ
http://www.gpsvisualizer.com/calculators
ลานปูดำและร้านอาหารปูดำ
GPS : N08°4.04844 E098°55.00512
สำหรับวันแรก เนื่องจากผมเดินทางด้วยไฟลท์เย็นสุดของนกแอร์
เพราะรอคุณภรรยาเลิกงาน เลยมาถึงที่กระบี่ตอนค่ำแล้วครับ
เลยแวะเข้าเมืองไปทานอาหารอย่างเดียวไม่ได้เที่ยวที่ไหน
โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ร้านปูดำ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับลานปูดำ บริเวณแถวปากน้ำกระบี่ครับ
ไปง่ายไม่หลงครับ จะเห็นอนุสาวรีย์ปูดำตัวเบ้อเริ่มอยู่ริมปากน้ำครับ
ส่วนร้านปูดำจะอยู่ฝั่งตรงกันข้ามเยื้องๆไปนิดหนึ่งครับ
ร้านจะออกแนว Pub & Restaurant ตอนแรกนึกว่าจะมีเล่นดนตรีสดแต่ก็ไม่มีนะครับ
ตอนแรกว่าจะสั่งปูเผาทาน แต่ปูดำหมดครับเหลือแต่ปูม้า
ซึ่งที่นี่ขายราคาเท่ากันคือกิโลกรัมละ 700 บาท เลยตัดสินใจไม่เอาครับ
เพราะเอาจริงๆแล้ว ทะเลบริเวณแถบนี้ ปูดำจะเยอะกว่า เลยทำให้ปูม้าแพงไปหน่อยครับ
เพราะถ้าทานแถวฝั่งทะเลอ่าวไทย น่าจะตกแค่กิโลละ 300-400 บาทเท่านั้น
สุดท้ายเลยสั่งกุ้งเผามาแทนครับ เป็นกุ้งลายเสือ แต่ก็แอบแพง กิโลละ 1300 บาท
สั่งมาครึ่ง กก. ครับ แล้วก็สั่งเนื้อปูผัดผงกะหรี่กับใบเหลียงผัดไข่มาทานกันครับ
ใบเหลียงที่นี่อร่อยมากครับ ส่วนเนื้อปูผัดผงกะหรี่คุ้มมากครับ 250 บาท
แต่เป็นเนื้อปูทั้งจาน ไม่ใช่มีแต่ไข่เหมือนบางร้าน
และเนื้อปูก็สดมากครับ
สรุปร้านนี้อาหารอร่อยครับและ ถ้าสั่งอาหารเป็นกับข้าวราคาไม่แพงมาก
ส่วนแต่ตระกูลเผาถือว่าแพงไปนิด แต่ถ้าปูดำกิโลละ 700 บาท อันนี้โอเคถือว่าถูก เพราะปกติแถวแถวกรุงเทพ
ปูดำจากราคาปกกิโลละ 1000++ เลยครับ
Green Tip – เวลาเราไปเที่ยวแล้วสั่งอาหารท้องถิ่นนั้น นอกจากจะได้ของสดแล้ว ราคาอาหารยังถูกด้วย
เพราะว่าไม่ต้องเสียค่าขนส่ง แต่ก็ต้องเช็คดีๆนะครับ ผมเคยไปเที่ยวที่เกาะเต่า เกาะ อยู่ กลางทะเลก็จริง
แต่อาหารทะเลไม่ถูก เพราะที่เกาะเต่าไม่มีสะพานปลา ที่จะมีเรือประมงมาขายอาหารทะเลครับ
ยกเว้นไปทานที่ร้านอาหารชาวบ้านที่เค้าไปจับปลามาเองอันนี้จะถูกเลยครับ
โรงแรมอ่าวนางปริ้นซ์วิลล์รีสอร์ทแอนด์สปา
GPS : N08°1.93194 E098°49.3098
สำหรับคืนแรกผมเลือกที่จะเป็นภาพที่โรงแรแถวๆอ่าวนางครับ เพราะว่าวันรุ่งขึ้น ผมจะนั่งเรือชมวิวที่เกาะแถวอ่าวนางนี่แหละครับ
โดยผมพักที่โรงแรมอ่าวนางปริ้นซ์วิลล์รีสอร์ทแอนด์สปา ซึ่งอยู่บนถนนหน้าชายหาดเลยครับ
แต่ว่าไปตอนกลางคืนจะสังเกตุทางเข้ายากนิดนึง เพราะถนนด้านหน้า เค้าทำเป็นเหมือนถนนคนเดินตลอดทั้งหาดเลยครับ
ที่นี่เป็นโรงแรมดั้งเดิมมีมานาน ใช้โครงสร้างเดิมแต่ภายในมีการ Renovate แล้วครับ
ที่นี่ไปถึงแล้วหลังจากเช็คอินมีเวลคัมดริ้งเป็นน้ำกระเจี๊ยบครับ
ห้องค่อนข้างใหญ่แต่พื้นเป็นกระเบื้องซึ่งผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ครับ
ส่วนเตียงใหญ่และนอนสบายมากไม่ยวบ ไม่ปวดหลังครับ
สำหรับอาหารเช้าที่โรงแรมนี้ ถึอว่ามีเยอะเลยครับ
โดยเฉพาะขนมปังมีหลากหลายรูปแบบมาก
ส่วนอาหารหนัก เนื้อสัตว์จะใช้ไก่ เพราะที่นี่คนมุสลิมค่อนข้างเยอะครับ
ส่วนของหวานมีเป็นข้าวเหนียวหน้าต่างๆด้วยครับ
คุณภรรยาผมที่เป็นคนภูเก็ตนี่ชอบเลย เพราะปกติเวลาอยู่บ้านที่ภูเก็ต
อาม่าจะซื้อข้าวเหนียวหน้าต่างๆมาให้ทานทุกเช้าเลยครับ
ล่องเรือชมทะเลที่อ่าวนาง
สำหรับเช้าวันที่ 2 หลังจากทานอาหารเสร็จผมก็มีโปรแกรม นั่งเรือไปชมวิวที่บริเวณรอบๆอ่าวนางครับ
ช่วงก่อนทานข้าวเช้า ผมได้มีโอกาสไปเดินเล่นริมหาด ถือว่าเป็นหาดที่สงบมากเลยครับ
เพราะปกตินักท่องเที่ยวโดยทั่วไปจะเริ่มขึ้นเรือกันตอนเก้าโมงเช้า
ตอนเดินเล่นก็เห็นชาวบ้านมานั่งเก็บเปลือกหอยจากชายหาดด้วยครับ
ซึ่งจริงๆแล้วเป้นเรื่องที่ไม่ควรทำนะครับ แต่สำหรับชาวบ้านแล้วก็คงต้องค่อยๆให้ความรู้ไปนั่นแหละครับ
ช่วงประมาณ 9 โมงผมได้เจอพี่แอนและน้องติ๊กจากทาง ททท.
โดยพี่เค้ามาจัดการเรื่องเช่าเรือหางยาวให้ครับ ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี่อีกครั้งครับ
เอาหล่ะครับ เราไปเที่ยวทะเลกันคร้าบบบบบบ
ถ้ำพระนาง อ่าวไร่เล-สวรรค์ของนักปีนผา
จุดแรกที่ผมแวะไปเที่ยวคือบริเวณถ้ำพระนางและอ่าวไร่เลครับ
ที่นี่เป็นจุดที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่นะครับ
เพียงแต่ว่าฝั่งนี้นั้นจะมีภูเขากั้นทำให้รถไม่สามารถเข้ามาได้ครับ
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าชายหาดที่เป็นหาดที่อยู่บนแผ่นดินใหญ่จะขาวสวยได้ขนาดนี้ครับ
คุณภรรยาผมนี่ฟินไปเลยครับ
สำหรับภูเขาที่ผมบอกว่ามากั้นระหว่างแผ่นดินใหญ่กับอ่าวบริเวณนี้
บริเวณสุดปลายอ่าวนั้นจะเป็นเขาที่เป็รหินปูนสูงชันครับ แต่ความสูงก็ไม่ได้สูงมากไป
ซึ่งถือว่าเหมาะมากในการมาปีนผาครับซึ่งก็มีความยากง่ายหลายระดับเลยครับ
นักท่องเที่ยวจากหลากหลายที่จึงมาที่นี่เพื่อปีนหน้าผากันครับ
ซึ่งสำหรับคนที่มาแบบนักท่องเที่ยว จะมีผู้ให้บริการกิจกรรมนี้อยู่ครับ
ตอนปีนขึ้นไปนั้นเค้าจะมีคนคอยบอกเส้นทางให้ครับ
อีกจุด 1 ที่เลยส่งบริเวณหน้าผาไปจะมีศาลพระนางตั้งอยู่ครับ
ตอนที่ผมไปเท่ียวเจอกรุ๊ปปทัวร์มาพอดีเลยไปแอบฟังประวัติมา
เค้าว่ากันว่าสมัยก่อนมีเรือพระราชจมนอกชายฝั่งคาบสมุทร
และมีพระนาง กับเจ้าหญิง ชาวอินเดียชื่อ ศรีกุลเทวีลอยอยู่บนกระดาน
และเธอจมน้ำไปพร้อมกับเรือในทะเล
จนกระทั่ง มีชาวประมง ได้ยินเสียงของเธอระหว่างนำเรือออกไปหาปลา
ชาวประมงคนนั้นจึงได้ขอว่าหากรพระนางมีอยู่จริง ขอให้ดลบรรดาลให้เขาจับปลาได้เต็มลำเรือ
ซึ่งพอออกเรือไปนั้นชาวประมงคนนั้นก็ได้ปลามาเต็มลำเรือจริงๆครับ
เขาจึงได้มีการมาสร้างศาลเพื่อให้พระนางมาสถิตย์อยู่ครับและมีการลือกันไปปากต่อปาก
ทำให้ชาวประมงก่อนที่จะออกไปทะเลจะมาขอพรจากพระนางก่อน แล้วจะโชคดีและสมปรารถนา
โดยที่จะมีการนำปลัดขิกมาแก้บนกันครับ
เกาะปอดะ
จุดที่ 2 ผมไปเที่ยวคือเกาะปอดะครับ ที่นี่เป็นเกาะใหญ่ที่มีแหล่งน้ำจืดอยู่ในเกาะ
ปัจจุบันกรมอุทยานแห่งชาติ อยู่ระหว่างการ สร้างที่พักบนเกาะนี้ครับ
เท่าที่อ่านจากป้ายห็นว่าจะเสร็จช่วงปลายปี
ปกติแล้วที่เกาะนี้ มักจะเป็นจุดแวะพักของบรรดาทัวร์ที่จัดทัวร์ดำน้ำ 5 เกาะครับ
ซึ่งที่นี่มีกฎเหล็กอย่างหนึ่งคือห้ามนำภาชนะใส่อาหารที่เป็นโฟมเข้ามาใช้ครับ
บริเวณริมเกาะจะเป็นแหลมหาดทรายสีขาวยื่นออกมาสวยมากกกกกกครับ
ซึ่งปกติบริเวณนี้จะมีนักท่องเที่ยวมาเล่นน้ำเต็มไปหมดเลยครับ
ผมก็เดินเล่นที่เกาะนี้อยู่สักพักหนึ่ง เจอมุมถ่ายรูปสวยๆ
เลยหันไปเรียกคุณนายแล้วบอกว่า “เธอว์ๆ มุมนั้นสวยดี ไปนั่งกราบเรือให้หน่อยซิ”
คุณนายหันมาแล้วบอกว่า “ได้ๆ ให้ไปนั่ง กราบ เรือใช่มั๊ย จัดไป”
แล้วเธอก็เดินไปนั่ง “กราบ” เรือให้ผมจริงๆ
เอาว่ะในเมื่อกล้าทำ เราก็กล้าถ่ายและกล้าประจาน อิอิ
Unseen Thailand ทะเลแหวกที่เกาะทับ
หลังจากเดินเล่นที่เกาะปอดะเสร็จ ผมก็นั่งเรือไปเที่ยวต่อที่หนึ่งใน Unseen Thailand ครับ
นั่นคือทะเลแหวกที่อยู่ที่เกาะทับครับ ซึ่งในแต่ละวันนั้นทะเลแหวกจะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันนะครับ
ขึ้นอยู่กับเวลาน้ำขึ้นน้ำลงครับ ระหว่างทางผ่านเกาะไก่ด้วยครับ…
เออ… มันเหมือนไก่จริงๆด้วย 5555
ซักพักผมก็มาถึงเกาะทับครับ น้ำใสมว๊ากกกก
บริเวณเกาะทับนั้นจะอยู่ติดกับปลายอีกฝั่งหนึ่งของเกาะไก่ และเกาะหม้อครับ
ซึ่งในช่วงที่น้ำลงจะเกิดเป็นชายหาดสีขาวยาวเชื่อมระหว่าง 3 เกาะเข้าด้วยกันครับ
โครงการ 1 คน 1 วัน 1 ชิ้น
จริงๆแล้วไม่ได้เป็นโครงการที่ยิ่งใหญ่อะไรหรอกครับ
แต่เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมทำมาแล้วพักใหญ่ในการไปเที่ยวแต่ละที่ครับ
นั่นคือเวลาไปเที่ยวผมตั้งใจว่าในการเที่ยวหนึ่งวัน
นอกจากเราจะไม่ทิ้งขยะในสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว
ผมจะเก็บขยะหนึ่งชิ้นกลับไปครับ
โดยแนวคิดนี้ผมได้มาจาก อช.ภูกระดึง
ที่เคยมีโครงการให้คนขึ้นภูเก็บขยะลงมา 1 กก. แล้วจะให้ใบประกาศ
ถามว่าทำไมเก็บแค่วันละชิ้นเพราะผมคิดว่าไม่อยากให้เป็นภาระมากเกินไป
สำหรับผมเองในการไปเที่ยวแต่ละวัน
ผมว่า 1 กก. ที่อช.ภูกระดึงเคยทำมันก็โอนะ แต่มันดูมากไปเป็นภาระและทำยากไปหน่อย
ผมว่าวันละชิ้นนี่แหละครับ ใครๆก็ทำได้โดยง่ายโดยไม่เป็นภาระดีครับ
และผมคิดว่าถ้าทุกคนคิดได้แบบนี้ซักล้านคน
ก็เท่ากับว่าเก็บขยะได้ล้านชิ้นต่อวันแล้วครับ
เพียงเท่านี้ที่เที่ยวของพวกเรามันก็สะอาดแล้วววครับ
ปล. อยากชวนเพื่อนๆทุกคนมาร่วมกิจกรรมนี้นะครับ
เพื่อให้ที่เที่ยวของพวกเราอยู่กับพวกเราไปยันลูกหลานครับ
หรือใครมีวิถีอะไรที่ทำอยู่เป็นประจำๆ ก็เอามาแชร์ได้นะครับ
ร้านน้องโจ๊ก
GPS: N08°3.02694 E098°54.99612
หลังจากหลังจากไปเที่ยวชมเกาะช่วงเช้าเสร็จผมก็ไปทานข้าวกลางวันที่ร้านน้องโจ๊กครับ
ซึ่งเป็นร้านอาหารเก่าแก่เปิดมานานร่วมๆ 30 ปีแล้วครับ
มื้อนี้สั่งมากินกัน 4 อย่าง (กินกันสองคนจะไม่อ้วนได้ไง 555)
มีน้ำพริกกุ้งสด(120) ปลากะพงต้มเต้าเจี้ยว(150) ใบเหลียงผัดไข่(120) และหอยชักตีน(100) ครับ
ทั้งหมดนี้ 549 บาทเท่านั้นครับโคตรถูกอ่ะ… แต่รู้สึกว่าหอยชักตีนน้อยไปนิดนึง
แต่ทำให้คุณนายผมฟินได้ก็โอเคหล่ะครับ
มุ่งหน้าสู่เกาะลันตา
หลังจากทานข้าวกลางวันกันเสร็จ ผมก็เดินทางต่อไปยังเกาะลันตาครับ
เกาะลันตานั้นจะอยู่ห่างจากอำเภอเมืองไปทางทิศใต้ประมาณ 100 กม.ครับ
ซึ่งขับรถไปไม่นานเท่าไหร่ แต่การจะข้ามไปที่เกาะลันตานั้น ต้องในแพขนานยนต์ 2 รอบครับ
ซึ่งบางครั้งถ้ารถเยอะอาจจะต้องรอแพนานซักนิดครับ
โดยที่ปัจจุบันกำลังมีการสร้างสะพานเชื่อมเกาะลันตาน้อย และเกาะลันตาใหญ่อยู่ครับ
ผมเดาว่าปลายปีนี้น่าจะเสร็จซึ่งก็จะเหลือให้ข้ามแพขนานยนต์แค่รอบเดียวครับ
ก่อนจะขับรถไปนั้นผมก็จัดการลองวัดลมยางเสียก่อน
เพราะขับทางไกล เพราะผมเองเคยมีประสบการณ์ ขับรถเช่าที่สเปน
ครับอยู่ 2 วันอยู่ๆยางมันก็แบนครับ แรงดันยางเหลือแค่ 10 กว่าๆซึ่งเสี่ยงยางระเบิดมากๆครับ
ช่วงหลังเวลาผมเช่ารถ แล้วต้องขับรถทางไกลๆ
ผมเลยจะเอาที่วัดลมยาวติดตัวไปเพื่อวัดลมยางด้วยครับ
เพราะนอกจากจะปลอดภัยกว่าแล้วการใช้ลมยางที่เหมาะสมจะประหยัดน้ำมันด้วยครับ
ซึ่งรถแต่ละคัน จะมีระดับลมยางที่ต่างกันไป ซึ่งสามารถเปิดดูจากคู่มือที่ติดมากับรถเช่าคันนั้นๆได้ครับ
Green tip – โดยทั่วไปแล้วการวัดลมยาง จะต้องทำตอนยางเย็นๆ นั่นคือช่วงที่ขับรถไม่เกิน 2-3 กม.ครับ
เพราะว่าเนื่องจากยางร้อนแล้วลมยางจะสูงกว่าปกติประมาณ 2 ปอนด์ครับ
ดังนั้นถ้าเพื่อนๆไปวัดลมยางหลังจากการใข้รถมาอย่าลืม -2 ออกจากแรงดันที่วัดได้ด้วยนะครับ
ที่แพขนานยนต์ ปกติดีไม่ได้มีรอบออกเรือที่แน่นอนนะครับจะรอจนเต็มหรือเกือบเต็มแล้วจึงออก
ดังนั้นการเดินทางไปกลับ เกาะลันตา ต้องเพื่อเวลาตรงนี้ด้วยครับ
ที่เกาะลันตาเองถือว่าเป็นอีก 1 จุดหมายที่มีชาวต่างชาติไปเที่ยวเยอะเช่นกันครับ
ตอนที่ผมไปก็เจอชาวต่างชาตินั่งเรือข้ามไปอยู่ครับ
โรงแรมพระนางลันตา
GPS : N07°29.92056 E099°4.29084
สำหรับที่เกาะลันตาผมเลือกพัก โรงแรมพระนางลันตา
ซึ่งตั้งอยู่ที่หาดบากันเตียงซึ่งอยู่ทางตอนใต้ฝั่งตะวันตกของเกาะครับ
สำหรับที่เลือกที่นี่เพราะว่าโรงแรมตั้งอยู่ที่หาดซึ่งมีลักษณะเป็นอ่าว สามารถเดินเล่นหาดได้อย่างสบายๆครับ
ตอนไปผมแจ้งเค้าว่าผมพาภรรยาไปพักผ่อน เค้าเลยจัดห้องไว้ให้สวยเลยครับ
ใครไปที่นี่อยากให้เค้าจัดห้องแบบไหนไว้ให้ สามารถ Request ได้เลยนะครับ
ที่นี่แต่ละห้องจะกิ๋บเก๋มีการตั้งชื่อห้องตาม Concept การตกแต่งด้วยนะครับ
อย่างห้องที่ผมพักชื่อว่า Flametree เดาว่าคงมาจากรูปภาพที่แขวนประดับอยู่นั่นหล่ะครับ
ร้านอาหารกันเตียง
เนื่องจากวันนี้เหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวัน เลยหาร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆโรงแรมทานกันครับ
โดยน้องพนักงานที่โรงแรมคนแนะนำ ชื่อร้านอาหารกันเตียง เห็นเค้าว่าเจ้าของร้าน
เป็นคนทางเหนือมาแต่งงานกับคนใต้ เลยมีอาหารหลายสไตล์มากครับ
มื้อนี้สั่งมา 3 อย่างครับ
ตอนแรกว่าจะสั่งเนื้อปลาด้วย แต่คุณเจ้าของเดินมาบอกว่าที่มีอยู่มันไม่สดเลยไม่แนะนำ
สรุปเลยลสั่งเป็น ส้มตำกุ้งทอด ทะเลผัดฉ่า และต้มนำโป๊ะแตกครับ
จำราคาไม่ได้แต่ประมาณ 400 บาทครับ อาหารถูกครับแต่ข้าวเปล่าแอบแพง
สำหรับรสชาติอาหารถือว่าอร่อยเลยครับ
ชมวิถีชีวิตที่บ้านศรีรายาเมืองเก่าเกาะลันตา
GPS : N07°31.77324 E099°5.3793
ที่เกาะลันตา จะมีลักษณะคล้ายๆที่ภูเก็ตครับ คือ ฝั่งตะวันตกจะเป็นโซนชายหาดท่องเที่ยว
ส่วนฝั่งตะวันออกจะเป็นส่วนของเมืองเก่า เช้าวันที่สามผมก็แพลนไปเดินเล่นที่เมืองเก่านี่แหละครับ
ที่บริเวณต้นถนน จะมีศาลสมเด็จกรมหลวงชุมพรตั้งอยู่ให้สามารถไปสักการะบูชาได้ครับ
จุดเด่นของเมืองเก่าที่นี่ อย่างหนึ่งคือ ตัวบ้านนั้นจะปลูกยื่นไปบริเวณริมหาดครับ
ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงโลว์ซีซั่น ทำให้หลายร้านยังไม่เปิดครับ คุณนายผมก็ไปเดินช๊อปปิ้งได้เสื้อมาตัวนึงครับ
หลังจากนั้นผมก็นั่งเล่นริมทะเลในร้านอาหารแถวนี้นี่แหละครับ
จากนั้นผมก็ไปแวะที่พิพิธภัณฑ์เกาะลันตา ซึ่งอยู่ ติดกับเมืองเก่านี่ละครับ
พิพิธภัณฑ์ที่นี่ เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์เครือข่ายของ Museum Siam ครับ
เค้าคิดค่าเข้าชม 100 บาท (แอบรู้สึกว่าแพงไปนิดนึงสำหรับคนไทย)
พิพิธภัณฑ์ที่นี่เค้าเอาอาคารเก่าของที่ว่าการอำเภอมาใช้งานครับ (ปัจจุบันที่ว่าการอำเภอย้ายไปอยู่ที่เกาะลันตาน้อยแล้วครับ)
ภายในจะจัดแสดงเกี่ยวกับ วิถีชีวิตของชาวเกาะลันตาในสมัยอดีต
โดยที่ไฮไลท์เด็ดจะเป็นเรื่องกันทำเหมืองถ่านในสมัยก่อนครับ
ที่เกาะลันตาเคยเป็นที่หลักที่ทำเหมือนงถ่านเพราะว่ากันว่าไม้โกงกางที่นี่คุณภาพดี ให้ความร้อนสูงครับ
แต่ว่าช่วงหลังทางการได้มีการห้ามทำเหมืองถ่านเพราะเป็นการทำลายสภาวะแวดล้อมครับ
ช่วงแรกยังคงมีการแอบทำกันอยู่แต่สุดท้ายทางในหลวงได้มีการขอร้องชาวบ้านให้เลิกทำครับ
สำหรับชาวบ้านที่เกาะลันตาในสมัยก่อนมีอาชีพหลักคือการทำนาครับ
เพราะที่นี่มีแหล่งน้ำจืด จนมาช่วงหนึ่งได้มีการทำนากุ้งทำให้สภาพดินเสียไม่เหมาะแก่การทำนา
ปัจจุบันชาวบ้านได้หันมาปลูกต้นยางและต้นปาล์มกันแทนครับ
แต่ก็ยังพบบางพื้นที่ยังคงปลูกข้าวกันอยู่บ้างครับ
ร้านอาหาร View Point
GPS: N07°33.50166 E099°4.09938
หลังจากเดินเล่นที่พิพิธภัณฑ์เสร็จ ผมก็ไปทานอาหารกลางวันที่ร้าน View Point ครับ
ร้านนี้จะอยู่ตรงถนนทางเชื่อมบนเขาระหว่างฝั่งตะวันตกและตะวันออกครับ
ใกล้ๆกันจะมีร้านอาหารอีกร้านชื่อร้านอาหารเขาใหญ่ครับ เท่าที่เคยอ่านรีวิว
เค้าบอกว่าร้านอาหารทั้งสองร้านนี้รสชาติพอๆกัน ผมเลยเลือกร้านอาหาร View Point เพราะอยู่สูงกว่า
และดูแล้ววิวน่าจะสวยกว่านั่นเองครับ
วิวก็สวยดีครับ แต่วันที่ไปแอบร้อนไปหน่อย 555
รอบนี้สั่งมา 3 อย่างครับ
ตอนแรกเกือบจะไม่ได้กินปูหล่ะครับ เพราะของหมด
แต่สั่งๆอย่างอื่นอยู่มีคนเดินมาบอกว่ามีปูม้ามาลงพอดีครับ
เลยสั่งมาครึ่งกิโลครับ
อาหารมือนี้มี น้ำพริกกุ้งสด(90) แกงเหลืองปลามง (250) ปูม้านึ่ง (250)
หลังจากชิมแล้วน้ำพริกไม่ผ่านอย่างแรง รสชาติเหมือนน้ำพริกที่แถมฟรีตามร้านอาหารใต้ทั่วไปครับ
แต่แกงเหลืองอร่อยมาก และปูม้าโคตรสดครับศิริรวม 690 บาท อ้อที่นี่น้ำเปล่าแพงมากตั้ง 60 บาทครับ
เดินเล่นหาดคอกวางและหาดพระแอะ
หลังจากอิ่มเสร็จผมก็ไปเดินเล่นที่ริมหาดครับ ผมแวะไปสองหาดครับคือ หาดคอกวางและหาดพระแอะครับ
หาดคอกวางเป็นหาดที่อยู่มุมบนสุดของของเกาะครับ ซึ่งเป็นส่วนที่เป็นคอขอดของเกาะ ทำให้มีหาดสองฝั่งเลยครับ
คล้ายๆกับที่เกาะพีพี นั่นหล่ะครับ แต่ฝั่งหนึ่งหาดจะเป็นโขดหินไม่สวยเท่าไหร่ครับ
ส่วนอีกฝั่งเป็นหาดสวยยาวเป็นอ่าวครับ
ถัดจากหาดคอกวางลงมาประมาณ 5 กม. จะมีหาดอีกหาดนึงที่สวยครับ
คือหาดพระแอะ ซึ่งตรงนี้เค้าทำเป็นสวนสาธารณะด้วยครับ
ที่นี่มีคนมานั่งเล่นริมหาดเพียบเลยครับ
พระอาทิตย์อัสดงที่แหลมโตนดอช.เกาะลันตา
หลังจากเดินเล่นเสร็จผมก็กลับที่พักไปหลบแดดช่วงบ่ายครับ
แล้วพอช่วงเย็นก็ชวนคุณนายไปเดินเล่นชมพระอาทิตย์ตกที่แหลมโตนดซึ่งอยู่สุดเกาะทางใต้เลยครับ
แหลมนี้อยู่ในส่วนหนึ่งของอช.หมู่เกาะลันตาครับ ที่ได้ชื่อว่าแหลมโตนดเพราะที่นี่มีต้นตาลโตนดอยู่นั่นเองครับ
และอีกหนึ่ง landmark ของที่นี่คือประภาคารครับ
จะอยู่ตรงปลายแหลม ซึ่งแม้ตรงปลายแหลมที่นี่จะเป็นหาดแบบโขดหิน
แม้จะไม่ได้สวยมาก แต่ช่วงพระอาทิตย์ตกผมรู้สึกว่าที่นี่มันมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูกเลยครับ
ตรงประภาคารเราจะมีทางให้เราขึ้นไปด้านบนได้ครับ ซึ่งหันมองลงมาจะเห็นทั้งฝั่งที่เป็นโขดหินและชายหาดครับ
คุณนายผมชีลั้นลากับการไปเดินริมหาดมากเลยครับ
จากนั้นผมก็รอจนถึงช่วงพระอาทิตย์ตกครับ ตอนแรกก็เห็นว่าเมฆเยอะนึกว่าจะไม่เห็นพระอาทิตย์ตกเสียแล้ว
แต่ตอนพระอาทิตย์ลงมาที่ขอบฟ้า ปรากฎว่าเป็นจุดที่ฟ้าเคีลยร์สวยมากเลยครับ พอพระอาทิตย์ตกปุ๊บฟ้าระเบิดสวยมากๆๆๆเลยครับ
เรียกว่าโคตรฟินอ่ะครับ
ช่วงหลังพระอาทิตย์ตกผมลองถ่ายภาพน้ำพริ้วๆกับโขดหินดูบ้าง
จริงๆแล้วผมก็ไม่นิยมถ่ายภาพแนวนี้เท่าไหร่ พอลองถ่ายดูแล้วก็สวยดีครับ
แต่ผมว่าให้ผมมาถ่ายแนวนี้ก็ไม่แนวเท่าไหร่ 5555
Dinner มื้อค่ำที่โรงแรมพระนางลันตา
วันนี้ผมตัดสินใจที่จะทาน Dinner ที่โรงแรมพระนางลันตาครับ
ช่วงกลับไปแสงกำลังสวยเลยครับ เลยถ่ายรูปโรงแรมเล่นอีกนิดนึงก่อนมาทานอาหารกันครับ
สำหรับมื้อนี้ทางโรงแรมจัดอาหารให้ผมตามนี้ครับ
มีเนื้อไก่กระเทียมพริกไทย ปลาหมึกผักผงกะหรี่ และต้มยำทะเลครับ
สำหรับที่เกาะลันตานั้นอาหารอีกอย่างที่อร่อยและสดคือปลาหมึกครับ
เพราะที่นี่จะมีเรือไดหมึกอยู่ ผมทานอาหารที่นี่มา 3 มื้อปลาหมึกอร่อยและสดทุกมื้อเลยครับ
Day Spa ที่วารีรัก น้ำตกร้อนคลองท่อม
สำหรับวันสุดท้ายผมกลับไฟลท์ช่วง 5 โมงเย็นครับ
วันนี้เลยวางโปรแกรมชิวๆ พาคุณนายไปทำ Day Spa ที่น้ำตกร้อนคลองท่อมครับ
ซึ่งเป็นทางผ่านก่อนถึงสนามบินอยู่แล้วครับ
ซึ่งที่น้ำตกร้อนคลองท่อมเกิดจากธารน้ำพุร้อนผุด ขึ้นมาจากใต้ดินตามธรรมชาติ
ซึ่งมีสารกำมะถัน เจือจางเป็นส่วนประกอบครับ
น้ำตกที่นี่มีอุณหภูมิพอเหมาะสามารถอาบน้ำได้เหมือนออนเซนที่ญี่ปุ่นเลยครับ
วันที่ผมไปผมเลือกไปที่วารีรักซึ่งเป็นหนึ่งในเครือของพระนางลันตาที่ผมไปพักมานี่แหละครับ
ค่าทำ Spa อยู่ที่ 800 บาทต่อคนครับ โดยโปรแกรมคร่าวๆคือ
นวด Scrub ผิว แช่น้ำร้อน แล้วก็นวดไทย 1 ชม.ครับ
ซึ่งที่นี่ใช้หมอนวดประจำเลยครับทำให้หมอนวดค่อนข้างได้มาตรฐาน
วันที่ผมไปมีบริษัททัวร์จีนมา inspect โรงแรมพอดีแล้วยังมีเวลาอยู่
ผมเลยขอตามไปดูห้องในรีสอร์ตมาด้วยครับ ห้องที่นี่ตกแต่งแนวโมเดิร์นนิดนึงครับ
แต่ก็ถือว่าเข้ากับธรรมชาติดีครับ
หลังจากแวะดูห้องเสร็จก็ไปเริ่มทำสปากันครับ
ก่อนอื่นจะเค้าจะให้เรากรอกข้อมูลทั่วไปนิดนึงครับ
โดยดูว่าเรามีโรคประจำตัวอะไรหรือไม่ครับ
จากนั้นก็ไปเปลี่ยนเสื้อทำ Scrub ครับ
แล้วก็ตามด้วยการแช่น้ำร้อน ซึ่งเค้าจะให้มีการแช่บ่อน้ำอุ่นเพื่อปรับอุณหภูมิก่อนครับ
จากนั้นก็ไปลงบ่อน้ำร้อนซึ่งอุณหภูมิจะอยู่ราวๆ 40 องศาครับ
ซึ่งใกล้ๆกันนั้นจะมีบ่อน้ำเย็นให้ลงไปลดอุณหภูมิกรณีที่รู้สึกว่าร้อนเกินไปด้วยครับ
จากนั้นก็ไปเปลี่ยนเสื้อเพื่อไปนวดกันครับ
หลังจากนวดเสร็จผมกับคุณนายก็เลยทานข้าวกลางวันที่นี่เลยครับ
มีไก่สะเตะ ยำมะม่วง และปลาผัดขิงครับ โดยรวมถือว่าใช้ได้ครับ
ปลาธรรมดาไปนิด แต่ยำมะม่วงอร่อยดีครับ
เสร็จแล้วก็ตบท้ายด้วยผลไม้ครับ
หลังจากทานอาหารเสร็จผมก็แวะไปเติมน้ำมันครับ
สำหรับ มิตซุบิชิมิราจ สามารถเติม E20 ได้เรียกว่าราคาสบายกระเป๋ามากครับ
ผมขับไปราวเกือบ 400 กม. ใช้น้ำมันไป 25 ลิตรครับ อัตราสิ้นเปลืองราวๆ 15-16 กม./ลิตรครับ
ตอนไปคืนรถผมโทรแจ้งทาง Thai Rent a Car ก่อนถึงประมาณ 5 นาทีเค้ามารับรถที่อาคารสองเลยครับ
จากนั้นก็นั่งเครื่องบินกลับบ้านครับเป็นอันจบไปอีกหนึ่งทริปฟินๆร่วมกับคุณนายของผมครับ
สำหรับกระบี่แล้วถือเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่มีสถานที่ท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก
ซึ่งไม่ได้มีดีแค่ทะเลแถวอ่าวนางและเกาะพีพีเท่านั้นครับ
ทริปนี้ที่เกาะลันตาที่ผมได้มีโอกาสพาคุณนายมาพักผ่อนถือเป็นอีกสถานที่ที่ผมและคุณนายฟินมากๆเลยครับ
ต้องขอขอบคุณ ททท.จังหวัดกระบี่ และทางพระนางลันตาที่ให้การดูแลผมเป็นอย่างดีในทริปนี้ด้วยครับ
สำหรับวันนี้ก็คงต้องขอลาเพื่อนๆไปแต่เพียงเท่านี้นะครับ
สวัสดีและขอบคุณที่ติดตามกันมาโดยตลอดครับ