สวัสดีครับ
ขณะที่ผมเริ่มเขียนบทความนี้นั้น กำลังอยู่ในระหว่างนั่งรถไฟชินคันเซ็นเป็นครั้งแรกในชีวิต เดินทางขึ้นไปทางเหนือสุดในทริปตะลุยใบไม้แดงที่ญี่ปุ่นอยู่พอดีเราใช้เวลาเดินทางร่วมสามชั่วโมงเศษ เลย มีเวลาว่างพอที่จะเขียนเรื่องราวข้างเคียงของการเดินทาง นอกเหนือจากรีวิวแบบจัดเต็ม ที่ทุกคนคงคุ้นๆ และเคยได้อ่านกันมาตลอด
เหตุผลหลักเพราะหลังๆ มีหลายคนหลังไมค์มาถามผม เกี่ยวกับที่พักที่เคยไปมาพอควร (แทบจะเป็นเรื่องหลักๆไม่แพ้ คำถามเกี่ยวกับที่เที่ยว ดี,ไม่ดี หรือ เดินทาง ยังไง ,ไกลใกล้ ไหม ประมาณนี้ครับ)
อย่ากระนั้นเลย ขอเอาประสบการณ์จากหลายๆทริป มาแชร์ให้กันฟังเกี่ยวกับวิธีการเลือกที่พักอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด มาดูสิว่า ครอบครัวเรามีวิธีในการเลือกที่พักในแบบของเราสำหรับคนที่นิยมที่จะเดินทางกันเอง จองเอง ไม่ได้ซื้อกรุ๊ปทัวร์ ซึ่งเอาจริงๆนะ มันไม่ยากอย่างที่หลายๆคนกังวลกันเลยครับ
หลังจากเดินทางบ่อยขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายผมพอจะสรุปวิธีคิด เหลือแค่สองแนวคิดด้วยกันครับ ไม่ยุ่งยากเกินไปเลยใช่ไหม ดังนี้
1.เลือกจาก Location & Budget
2.เลือกจาก Style
อาจจะเห็นเป็นเรื่องปรกติ ทั้งสองข้อใช่ไหมครับ แต่ถ้ามาดูกันในรายละเอียดจริงๆ แล้วทั้งสองข้อ ต้องมาดูปัจจัยประกอบหลายอย่างเหมือนกันนะ เรามาไล่กันไปพร้อมๆ จะได้เห็นภาพกันครับ
วิธีคิดแบบเบสิคที่สุดเลือกจาก Location & Budget
ใช่เลยอันนี้สำคัญมาก หากเราจะเดินทางไปที่ไหน ไม่รู้ว่าที่ตรงนั้นจะมีที่พักอะไร และราคาเท่าไหร่ มันคงแปลกๆใช่ไหมครับ เช่นไปเที่ยวในเมือง แต่ดันไปนอนนอกเมือง แบบนี้
นอกจากเสียเวลาเดินทาง ยังเสียเวลาท่องเที่ยวของตัวเองอีกด้วย
เคล็ดลับอย่างแรกเลยคือเวลาจองที่พัก นอกจากจะดูย่านที่เราจะพักแล้ว สมควรมากๆที่จะต้องเปิดดู “Map” ที่ตั้งประกอบไปด้วย เพราะการดูตำแหน่งจริงในแผนที่ จะช่วยให้เราปลอดภัยจริงๆ จากการต้องแบกหรือลากกระเป๋าเดินไปอีกไกลๆ หลายๆคนพลาดเพราะความเข้าใจเอาเองว่า มันคือ “ย่านเดียวกัน” นั้นเอง เช่น ไปพักที่ฮ่องกง ประเทศที่สุดยอดมหานิยมของคนไทยตลอดกาล ย่านที่คนไทยมักเลือกที่พักกันคือ ย่าน จิมซาจุ่ย ม่งก๊ก หรือ จอร์แดน 3 แหล่งของกิน ช้อปปิ้งยอดนิยม แต่คุณจะรู้ไหมว่า ย่านนี้ย่านเดียว ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 3-5 Block แต่ละ Block ถนนยาวกว่า 300-500 เมตรอย่างน้อย ลองคิดดูว่าหากเราจอง block ที่ 5 ไว้ แต่ดันลงรถ/รถไฟ ตั้งแต่ Block แรก ลองคูณกันดูว่า สุดท้ายคุณจะเดินแบบลากกระเป๋าไปด้วยเป็นระยะทางเท่าไหร่ โดยเฉพาะครอบครัวลูกเล็กเด็กน้อยแบบเราด้วยแล้ว ไม่หนุกแน่ๆเลยใช่ไหมครับ เพราะงั้นอย่าดูแค่เพียงชื่อ ต้องเข้าไปไล่เช็คที่ map ด้วยขอย้ำนะครับ
เดี๋ยวนี้ เว็บจองโรงแรมที่เราจองนั้นล่ะครับช่วยได้ เค้าจะมี Map มาให้ดูประกอบ เราแค่กดเข้าไปดูไม่ยากหรอก ส่วนใหญ่จะอาศัย Google Map เป็นตัวช่วยระบุ หากคุณดูแผนที่บน Google Map ได้ก็ดูแบบนี้ได้เช่นกันครับ คนส่วนใหญ่จะคิดว่าดู Map มันยากเอาจริงๆไม่ยากเลยนะครับ ลองกันดูเชื่อสิจากนี้คุณจะกลายเป็นคนไม่หลงทิศ หลงทางเลยละครับ
อีกทริปนึงที่ผมใช้ Map ในการค้นหาที่พักนั้นก็คือทริปไต้หวัน ที่ผ่านมา ผมเลือกที่พักที่รู้แน่นอนว่าจะต้องอยู่กันยาวๆ พักนาน เลยเลือกที่พักย่าน Ximeding เพราะย่านนี้สะดวกทุกอย่าง เปรียบไปก็ประมาณคล้ายสยามสแควร์+สีลม ประมาณนี้ได้
ที่ๆเราพัก จะอยู่กลางใจเมืองแหล่งช้อปปิ้ง เอื้อให้เราสามารถจะช้อปปิ้งกันยาวๆไปเลยได้ยันคํ่า ที่สำคัญผมเลือกที่พักที่เดินจากจุดขึ้นลงสถานีมาแค่ 30 เมตรถึงที่พักเลย อันนี้ดีงามมากๆครับ ผมพักที่นี่ 5 วัน เลือกที่พักย่านนี้ 2 แห่ง ใครที่อยากอ่านรายละเอียดไปดูที่รีวิวนี้ได้
ผมแนะนำ ไว้ครบหมดแล้วครับ http://blog.one22.com/archives/18267
เคล็ดลับถัดมา คือการเลือกที่พักให้ใกล้กับ จุดขึ้นลงรถไฟ,เครื่องบิน
แน่นอนอย่างที่รู้กันทุกสนามบินในโลกนี้ เกือบทุกประเทศเค้าจะไม่เอาไว้กลางเมือง
เพราะไหนจะเป็นเรื่องมลภาวะทางเสียงก็ดี การจราจรที่วุ่นวายพาลจะทำให้รถติด คนตกเครื่อง เพราะไปไม่ทัน อย่างเมืองไทยเองในกรุงเทพฯ ทั้ง ดอนเมือง
และสุวรรณภูมิ ก็อยู่ออกไปชานเมือง ด้วยสาเหตุนี้
ผมขอยกตัวอย่าง การพักที่มันใกล้ๆ ทั้งขาไปและขากลับ เป็นตัวช่วยประหยัดแรง และความเสี่ยงในการไปเดินหาที่พักในยามค่ำคืนเราได้
และวิธีคิดนี้ ผมก็เอากลับมาใช้กับทริป ล่าใบไม้แดงล่าสุดด้วยเช่นกัน
คืนแรกที่ไปถึงผมจองที่พักติดสนามบิน Narita เนื่องจาก Flight มาถึงค่อนข้างจะเย็นมาก(อีกแล้ว) ประมาณ 19.00 น. เลยจองที่พักที่เรียกว่าไม่ห่างกันมาก
ข้อดีคือ คนส่วนใหญ่มักจะรีบเข้าไปในเมืองเพื่อจะได้ตื่นเช้าขึ้นมา แล้วได้เที่ยวทันทีซึ่งก็ไม่ผิด
แต่อย่าลืมนะครับว่าคุณไม่ได้เดินตัวเปล่าออกมาจากเครื่อง หากคุณมีเป้ใหญ่ๆ หรือกระเป๋าลากใบโต
การหลงและการคลำทางที่ต้องเดินลากกระเป๋าไปมา ในยามค่ำมืดขณะที่พึ่งมาถึง การเลือกที่พักใกล้สนามบิน ในวันที่พึ่งมาถึงอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าก็ได้ และสุดท้ายก็จะไม่เหนื่อย เพลียเกินไปนั้นเอง ครับมาถึงก็รีบเตรียมแผนและพักผ่อน เพื่อจะได้ตื่นเช้าๆแล้วเข้าเมืองน่าจะดีกว่า
พอพูดถึงโรงแรม ผมขอหยิบโรงแรมประมาณ 3 ที่เป็นโรงแรมในเครือของญี่ปุ่น 2 และ เป็นแบบ Chain ที่ตัวเองอดจะใช้ไม่ได้ทุกครั้ง ที่เดินทางออกต่างประเทศ
1. Narita Excel Hotel Tokyo อันนี้เป็นตัวเลือกลำดับแรกๆเหมือนกันในโรงแรมระดับ 3 ดาว
ที่ผมหาในเว็บไซต์ ข้อดีที่สุดของที่นี่คือ มีบริการรถรับส่งจากสนามบินไปโรงแรมฟรี
และยังการันตีเวลาถึงแค่ 5 นาทีเท่านั้น ! ผมเห็นคนไทยหลายคนใช้ที่นี่แทบทั้งนั้น อีกหนึ่งข้อดีเลยคือ
ราคาไม่แพงเพราะเป็น Business Hotel ที่ให้พื้นที่กว้างกว่าในเมืองเยอะทีเดียว กำเงินระดับ1- 2
พันนิดๆก็พักได้แล้ว เลือกแบบธรรมดาแบบที่ผมใช้ก็สบายๆแล้วละ
ข้อเสียเดียวของที่นี่คือ พอเป็นโรงแรมแบบ Business Hotel ของญี่ปุ่นแล้ว ในเรื่อง Facility จะน้อยกว่า 4-5 ดาวชัดเจนครับ คือไม่มีบริการยกกระเป๋า ไม่มีบริการส่งกระเป๋าให้ทีห้อง ทุกคนต้องบริการด้วยตัวเองเท่านั้น อ่อ ภายหลังมาทราบจากการเข้าพักเช่นกัน คือ
โรงแรม3ดาวของญี่ปุ่นแท้ๆ ไม่มีนํ้าดื่มให้ในห้องนะครับ เราต้องซื้อเอาไปทานเองเพราะที่นี่นํ้าก็อก
เค้ากินได้เลย ยังไงเดี๋ยวรออ่านละเอียดอีกครั้งในตอนถัดไปนะครับ
ทางไป https://goo.gl/5Jw51Q
2. Narita Gateway Hotel เป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว แบบ Business Hotel
เช่นกันอันนี้จองเพราะเห็นมันใหญ่กว่าโรงแรมแรก ข้อดีอีกเช่นกันคือ
ที่นี่มีบริการรถรับส่งจากสนามบินมาโรงแรมเหมือนๆกับ Narita Exel และจากโรงแรมไปสนามบิน
ไม่ต่างกันข้อแรก แต่ก็มีข้อเสียเลย โรงแรมค่อนข้างจะเก่าไปหน่อยแต่ไง
หากจะนอนแค่คืนเดียว ถือเป็นอีกตัวเลือกที่โอเคครับ ข้าวเช้าเค้าอร่อยดีนะที่นี่ ^_^
ทางไป https://goo.gl/PgT9de
3. มาถึงโรงแรม Chain ที่ผมใช้บ่อยมากๆเวลาเดินทางไปต่างประเทศคือ โรงแรมในเครือ Accorhotels รอบนี้ก็ที่อยากแนะนำกันเป็น Mercure Narita Airport ที่เข้าตาเช่นกัน ช่วงเวลาที่จองสามารถหาราคาดีๆได้ แค่
1800 บาท (พักวันธรรมดานะครับ) เท่านั้นห้องพักก็มาตรฐาน ข้อดีที่ไม่ต่างกันกับทั้งสองที่แรกคือ ใกล้สนามบินอีกเช่นกัน
จากโรงแรมมาสนามบินไม่ถึง 10 นาที อยู่ใกล้สถานีรถไฟสายนาริตะ สามารถเดินออกจากรถไฟลากกระเป๋าเดินถึงได้เลย
ทุกอย่างไม่ต่างจากที่อื่นๆทั่วไป แต่ที่ชอบคือจะใหม่สุด ห้องตกแต่งทันสมัยที่สุดในสามที่นี่ ซึ่งมันก็ดูเหมาะสมกับคนไทยอย่างเราๆ ดีครับ
ทางไป http://goo.gl/4X67H2
อีกนิดตอนนี้สำหรับ ทางAccorhotels เองกำลังมีโปรโมชั่น ช่วงหน้า High
พอดีเข้าไปดูข้อมูลเห็นเป็นประโยชน์เลยเอามาให้ดูกัน จัดกิจกรรม จองทริปเดียวลุ้น
3ทริปในฝัน ที่พักที่ สิงคโปร์ ซิดนีย์ ปารีส ลองไปดูกันครับ
*ดูclip VDO แล้วน้ำตาจิไหล หัวอกคนเป็นพ่อทำได้ทุกอย่างเพื่อลูกอย่างใน Clip เลย ทำดีมาก ซึ้งๆ
ทางไปจอง http://goo.gl/giOWXF
วิธีการเลือกแบบที่สอง Style
อาจจะงงว่าผมหมายถึงอะไร จริงๆแล้วผมหมายถึง Style ในการเลือกที่พักแบบที่เราชอบ
หลายๆคนมักก็มักจะให้เป็นน้ำหนักในการหาที่พักแบบนี้ มากกว่าเรื่องของ Location กับ Budget ก็มีเยอะครับ ขอยกตัวอย่างทริปญี่ปุ่นอีกครั้ง นอกจากวิธีที่ผมเลือกที่พักตาม Location แล้ว
ผมยังมีโอกาสได้เข้าพัก “เรียวกัง” หรือจะเรียกว่าโรงเตี๊ยมก็ได้นะครับ พวกเราหลายคนอาจจะเคยผ่านหูผ่านตา สำหรับที่พักแบบนี้ในญี่ปุ่นกันมาบ้างแล้ว เรียวกัง ถือเป็นโรงแรมในแบบ Local ที่แต่ละห้องจะแบ่งตามขนาดความกว้างของเสื่อที่ปูลงที่พื้น ที่เรียกว่าเสื่อ ตาตามิ ขนาดห้องจะใหญ่เล็ก ก็วัดกันตามขนาดของเสื่อ เช่นขนาด 4 ตาตามิ 8 ตาตามิ
เรียวกังมักจะหาพบได้ในย่านบริเวณที่เที่ยวสวยงาม เช่น บริเวณภูเขา และชายทะเล
ที่พักแบบนี้ถือเป็นอีกความชอบส่วนตัวของผมก็ว่าได้เพราะ ไหนๆมาถึงญี่ปุ่นแล้วไม่ได้นอนเรียวกัง มันก็ไม่ได้อรรถรสในการพักผ่อนสิ จริงไหมครับ ที่พักแบบนี้จึงถือเป็น รสนิยมส่วนตัว เป็น Style ของใครของมันจริงๆครับ
อย่างคืนที่ผมพักที่ Nikko เมืองที่อยู่เหนือโตเกียวขึ้นไปทางตะวันตก
เป็นเมืองท่องเที่ยวชมใบไม้แดงที่สำคัญที่สุดเมืองนึงที่ไปง่าย ถ้าไปทางรถไม่ถึง 3 ชั่วโมง
หรือหากนั่งไปทางรถไฟด้วย JR ทั้งหลาย ใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงเศษก็ถึงเช่นกัน
ที่พักของเราเป็นเรียวกังที่ติดลำธาร เพราะฉะนั้น ตอนนอนจึงได้ยินเสียงนํ้าไหลฟังเพลินตลอดทั้งคืนทีเดียว
เรียวกังส่วนใหญ่ก็มีบริการสำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพัก ไม่ต่างกันกับโรงแรมทั่วไป
เช่นก็จะมีห้องอาหาร ห้องซักผ้า เลยไปถึงบริการนวดยังมีเลย ^_^ เหมือนกันทุกอย่าง ที่ต่างก็คือ
เสน่ห์และลักษณะที่พัก เป็นบ้านลักษณะไม่เกินสามชั้น ที่ซอยห้องพักออกมานั้นเอง
นอกจากนี่ เสน่ห์แบบเรียวกังอีกอย่างคือ มักจะมี Onsen (บ่อนํ้าพุร้อน) ในเรียวกังเลย
จริงๆก็ไม่ได้หมายความว่าที่ญี่ปุ่น การแช่นํ้าพุร้อนแบบนี้ จะมีเฉพาะในเรียวกังอย่างเดียว ในโรงแรมเค้าก็มีเช่นกัน แต่โรงแรมแบบที่มีก็มักจะ ราคาแพงไป เท่าที่ผมเคยพยายามหามา
ส่วนราคาของเรียวกังเองก็มีตั้งแต่ หลัก หนึ่งพันไปยันเป็นหมื่นเหมือนกัน ไม่ต่างอะไรกับโรงแรมหรูๆทั้งหลาย
อยากบอกคุณๆว่า หากคุณๆมาเที่ยว มาพักที่ญี่ปุ่นหลายคืน การมานอนเรียวกังซักคืน ก็จะให้บรรยากาศการพักในอารมณ์บ้านๆของญี่ปุ่นเช่นกัน
ไม่อยากให้พลาดกันนะครับ
ส่งท้ายกันหน่อย
เป็นไงบ้างสำหรับวิธีการเลือกที่พักยังไงให้คุ้มค่าคุ้มเวลาที่สุดแบบไม่ยากเลย
แค่เราต้องทำการบ้านก่อนการเดินทางให้ดี วางแผนให้รอบคอบ ใช้ Map ให้เป็น
หรืออย่างน้อยดูย่านที่พักให้เข้าใจ ก็จะช่วยเราประหยัดทั้งเงิน และเวลาได้พร้อมๆกันครับ
ก่อนลาขออวยพรให้ทุกคนเดินทางได้สมใจหมาย และหวังว่าบทความนี้น่าจะช่วยคุณๆได้เดินทางสนุกสนานพักผ่อนอย่างใจต้องการเหมือนครอบครัวเรานะครับ
จนกว่าจะพบกันใหม่ รีวิวหน้าครับ
7 Comments
Atchara Charoensupachokul via Facebook
ขอบคุณค่าาา
Oui Nuchie via Facebook
Payaow Saengsaen via Facebook
ขอบคุณค่ะ
Chollada Thitang via Facebook
ชอบที่คุณเขียน แต่ด้วยที่สติปัญญา ทำให้นึกตามไม่ค่อยออกเลยค่ะ
Mommam ชอบเที่ยว via Facebook
ขอบคุณบทความดีๆค่ะ ..ถ้าจะไปฮ่องกงมีรร.ใกล้สถานีรถไฟ แนะนำบ้างมั๊ยคะ
Gning GooAble via Facebook
ไว้จะไปตามรอยนะคะ
Pingback: 3 วัน 2 คืน ฮ่องกง ครั้งแรก! เที่ยวสไตล์ ครอบครัว กับ one22