“Apollo” โครงการสำรวจอวกาศของอเมริกาในนามองค์การ “นาซ่า” เป็นโครงการที่แสนทะเยอทะยาน และท้าทายความคิดฝันของมนุษย์ชาติ ในการนำมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ให้สำเร็จ และจากประวัติศาสตร์ นาซ่าทำสำเร็จเป็นครั้งแรกในปี 1969 กับ Apollo 11 หลังจากนั้นเป็นต้นมาอเมริกาก็มีการส่งมนุษย์ไปอีกหลายครั้งจนถึงครั้งสุดท้ายนั้นคือ Apollo 17 ในปี 1972
มาถึงหนังใหม่ หมาดๆ” Apollo 18 ” หนังที่ นาซ่าคงไม่ปลื้มอีกเช่นกัน เป็นการตั้งคำถามย้อนกลับไปเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนถึงการมีอยู่จริงๆ หลังจากการประกาศปิดโครงการไปแล้วแต่จริงๆนาซ่ายังคงแอบส่งมนุษย์ไปอีกอย่างน้อยก็ครั้ง ที่ 18 นี้นั้นเอง
และอีกสมมุติฐานมากมาย ที่หนังเรื่องนี้จงใจสร้างกระแสอีกครั้งถึง…
การจบลงของโครงการนี้ว่า ทำไม ?
อะไรทำให้นาซ่าหยุดสำรวจ?
มันหมดความน่าสนใจแล้วจริงๆหรือ?
หรือ เพราะนาซ่าไปพบอะไรที่ทำให้ต้องหยุดโครงการนี้ลง ?
นี่ล่ะครับทฤษฎีสบคบคิดง่ายๆ ที่ฮอลลีวู้ดจับนี้มาชนนั้น ปั้นกันจนมาเป็นหนังเรื่อง “Apollo 18 “ หนังแนว ไซไฟเขย่าขวัญ เอา Aliens มารวมกับทฤษฎีสบคบคิด+วิธีการนำเสนอภาพในแนวแอบถ่ายแบบเดียวกับ Paranormal Activityทั้ง 2 ภาค หรือไกลกว่านั้นอย่าง The Bear witch Project ต้นฉบับหนังภาพสั่นๆจากกล้องวีดีโอการตัดต่อลำดับภาพที่ไม่ต่อเนื่อง + เรื่องราวที่ดูขึงขังและที่สำคัญใช้สูตรการโปรโมทเดียวกันนั้นคือใช้ internet ในการสร้างกระแสก่อนที่หนังจะฉายนั้นเอง(ก็อบรุ่นพี่มาหมดเลย)และนี้ คือภาพรวมของหนังเรื่องนี้
เดี๋ยวจะกลายเป็น Spoil มากไปเกินกว่าที่โปสเตอร์หนังจะบอกคุณๆ เอาว่าหลังบรรทัดนี้ไปเช่นเคยครับ มีบางส่วนที่เปิดเผยเนื้อเรื่องนะครับ แต่ก็ไม่ต้องกังวลมากเพราะผมเข้าใจคุณๆที่ยังไม่ได้ไปชมกันดี ^__^
เนื้อเรื่องย่อ
Apollo 18 ว่าด้วยเรื่องจริงของภารกิจลับบนยาน Apollo 18 เมื่อปี 1973 จากองค์การ นาซ่า แต่ภายหลังภารกิจนี้ก็ได้ถูกยกเลิกไป หลังจากที่ทีมสำรวจของยาน Apollo เจอรอยเท้าของ “เอเลี่ยน” บนดวงจันทร์ จะเกิดอะไรขึ้นกับนักบินอวกาศกลุ่มนี้ พวกเขาจะรับมือกับสิ่งมีชีวิตนอกโลกนี้อย่างไร และจะสามารถกลับมายังโลกได้หรือไม่ หรือนี้คือเหตุผลที่ทำให้มนุษย์ไม่เคยกลับไปเหยียบดวงจันทร์อีกเลย
————————————————————————————————————
เนื้อหาสั้นๆไม่บอกรายละเอียดมากนักซึ่งก็ดีมากๆ เพราะทำให้การเข้าไปชม Apollo 18 เร้าใจและน่าจะอินได้เต็มที่หากคุณรู้จักโครงการอวกาศนี้มาบ้างก็จะทำให้การชมหนังเรื่องนี้สนุกมากพอสมควร
จะด้วยสไตล์ของการถ่ายทำที่กำลังเป็นที่นิยมบวกกับการเดินเรื่องในแนวทางหนังสารคดีที่เน้นภาพสมจริงและดูrealมากๆ ทำให้เหตุการ์ณในหนังดูน่าเชื่อถือมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการนำเรื่องราวการทำงานในอวกาศ การใช้ชีวิตในยานแคบๆ การกินอยู่หลับนอนที่ดูไม่สะดวกสบาย ทำให้เราเห็นภาพการใช้ชีวิตปฎิบัติภารกิจที่ไม่เหมือนภาพฝันที่เด็กๆฝันถึงเหมือนในหนังฮอลลีวู้ด เรื่องอื่นๆ
การตัดสลับไปมาระหว่างภารกิจบนพื้นราบของยาน Liberty และการสื่อสารกันไปมากับ Freedom ยานแม่ที่ลอยอยู่ในวงโคจรรอบดวงจันทร์ภายใต้การบังคับการของกับตัน Ryan Robbins (John Grey) ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนักบินอวกาศในยานสำรวจ Liberty อย่างผู้การ “Nate” Walker ( Lloyd Owen)หัวหน้าปฎิบัติภารกิจครั้งนี้ กับลูกทีมอย่าง “Ben” Anderson (Warren Christie)ค่อยๆพบความผิดปรกติรอบๆตัวมากขึ้นเรื่อยๆ หนังทำให้คนดูค่อยๆถูกกดดันไปพร้อมๆกันกับนักบินทั้งสอง จากการเล่าเรื่องด้วยภาพที่เน้นให้เห็นความผิดปรกติของทุกสิ่งรอบๆมากขึ้นทุกๆนาทีที่ผ่านไป ภาพการถูกกดดันจากเหตุการณ์แปลกๆรอบๆตัว ได้ผลดีกับผู้ชม ดนตรีประกอบก็มีส่วนช่วยสร้างความตื่นเต้นและกดดันมากๆด้้วย ลองคิดเล่นๆว่าคุณอยู่ห่างจากโลกเป็นแสนๆกิโลเมตร อยู่ในอวกาศที่เงียบงัน ถ้าเพียงมีเสียงแปลกๆเกิดขึ้นมันจะสร้างความตื่นตกใจให้เราได้ขนาดไหนและหนังเรื่องนี้ก็ใช้ทุกๆอย่างในสูตรสำเร็จหนังตื่นเต้นเขย่าขวัญเดิมๆ มาทำให้มันได้ผลอีกครั้ง
ผมดูหนังเรื่องนี้ด้วยความเพลิดเพลินดีทีเดียว แม้จะไม่ค่อยชอบหนังที่ใช้การถ่ายทำด้วยภาพเกรนๆ จากกล้อง vdo ตัดสลับไปมาทุกๆนาทีที่ชวนปวดหัวนัก แต่ด้วยการดำเนินเรื่องด้วยความสมจริงของมันนี่เองที่ทำให้หนังดูน่าเชื่อถือและน่าติดตามไปตลอดถึงการเอาตัวรอดของนักบินทั้ง 2 มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ก็เพราะสูตรก็ยังเป็นสูตรเสมอในหนังเขย่าขวัญสั่นประสาทจากฮอลลีวู้ด เมื่อการค้นพบสัตว์ประหลาดถูกเผยขึ้น ความคุ้นๆกับการเล่าเรื่องในสไตล์นี้ก็เข้ามาคุมโทนและบรรยากาศแทน จะว่าดีก็ได้เพราะทำให้บรรยากาศชวนอึดอัดที่อั้นมาตลอดทั้งเรื่องถูกระบายออกและหนังก็เดินหน้าใส่ไม่ยั้งกับการเล่นเอาล่อเอาเถิดกับคนดูที่ต้องคอยลุ้นกับนักบินทั้งสองว่าจะรอดจากเหตุการณ์เหล่านี้ไปได้ยังไง แต่ลึกๆผมก็รู้สึกเสียดายความสมจริงของหนังที่ปูมาตั้งแต่ต้นไปเหมือนกันกับนักแสดงทั้ง 2 คนในยาน Liberty เล่นได้ดีมากๆ จะเพราะเป็นดาราที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตากันซักคนก็ช่วยสร้างความรู้สึกสมจริงให้กับคนดูเข้าไปอีกและนักแสดงทั้งสองก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี
เช่นเคยผู้ร้ายตัวจริงของหนังในแนวสมคบคิดแบบนี้ก็หาใช่ใครที่ไหนนอกจากมนุษย์ด้วยกันนี้เอง และดูผู้สร้างก็จงใจให้เป็นแบบนั้นด้วย
หากคุณชอบหนังในแนว ไซไฟเขย่าขวัญสั่นประสาท ยิ่งได้พื้นฐานความสมจริงในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ที่มนุษย์ชาติทั้งโลกรู้จักกันดีบวกเข้าไปอีก กับการถ่ายทำที่ดูขึงขังในลักษณะสารคดี ก็ช่วยให้เวลา แค่ 1ชั่วโมงเศษๆของหนังดูสั้นกระชับกำลังดีกับโครงเรื่องทั้งหมดครับ
เป็นหนังที่ดูสนุกใช้ได้ แม้จะไม่แปลกใหม่ล้ำยุค กับการนำเสนอทั้งแนวคิด และภาพในลักษณะนี้ เพราะมีต้นแบบอย่าง หนัง Cloverfield หนังสัตว์ประหลาดบุกนิวยอร์ก เมื่อ หลายปีก่อนเคยทำไว้ จำได้ว่าดูหนังเรื่องนั้นปวดหัวกว่ามากเพราะภาพมันหมุนกันทั้งเรื่อง อ่านจากเว็บไซต์เมืองนอกผู้สร้างหนังเรื่องนี้จงใจเร่งสร้างและเร่งฉายตัดหน้าหนังอีกเรื่องที่มีแนวทางการสร้างคล้ายไกันอย่าง Area 51 ที่กำลังจะออกฉายในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว ชื่อนี้กับทฤษฎีสมคบคิดก็ดูจะคุ้นๆกันพอควร
ใครกำลังอยากได้อะไรที่ตื่นเต้นชวนขนลุก หรือเบื่อๆกับหนังเขย่าขวัญที่เดินตารอยตัวเองไม่เลิกอย่างซี่รีย์ The Final Destination ที่ยังฉายกันอยู่ การไปชมหนังเรื่องนี้พอช่วยคุณๆได้ครับ
*** อ่ออันนี้สังเกตุเอง ปีนี้ฮอลลีวู้ดต้องมีอะไรกับดวงจันทร์ๆแน่เลยเรา ถึงมีหนังสร้างเกี่ยวกับดวงจันทร์ในซัมเมอร์ถึงสองเรื่อง เรื่องแรก Tranformer 3และก็เรื่องนี้
———————————
ชื่อไทย:หลุมลับสยองสองล้านปี (เอ็ม พิคเจอร์ส)
ชื่ออังกฤษ: Apollo 18
กำหนดฉาย : 8 กันยายน 2554
แนว : ไซไฟเขย่าขวัญ
กำกับ : Gonzalo Lopez Gallego (กอนซาโล โลเปซ-แกลเลโก่)
อำนวยการสร้าง : Timur Bekmambetov ผู้กำกับหนังดัง Wanted หนังปี 2009
เรทติ้ง:
เว็บไซด์ทางการภาพยนตร์:http://apollo18movie.net/