ตี5.45: เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ลมปลายฝนต้นหนาว..พัดกระทบหน้าผมเบาๆ ในขณะที่ผมกำลัง ขะมักเขม้น กางขาตั้งวางกล้องอยู่ที่ Silavadee Pool Spa Resort ที่มีวิวพระอาทิตย์สวยที่สุดแห่งนึงบนเกาะทะเลใต้อย่าง “สมุย” วันนี้ผมมีนัดครับ…นัดกับดวงตะวันตรงหน้าตอนนี้เลย : )
ไม่ถึง 10นาทีต่อมา…ผมก็ได้รับคำตอบตรงหน้า… พระอาทิตย์มาตามนัดเสมอทุกวัน ไม่เคยผิดนัดสักครั้ง แสงแรกวันนี้ค่อยๆเผยโชว์ตัว ทะลุผ่านกลุ่มเมฆตรงหน้านี้สำเร็จแล้ว…….เยส!!!
6.15 แสงอรุณรุ่ง ส่องทะลุกระจก และผ้าม่านบางๆ เข้ามาถึงภายในห้องพัก แสงแรกของวัน เริ่มขึ้นแล้ว…
แสง…ที่ส่องเข้ามาถึงในห้องนอน…ห้องที่ผมคิดว่า น่าจะมีมุมมีวิวที่สวยที่สุดที่นึงของเมืองไทย อย่าง”เกาะสมุย”
พระอาทิตย์ปลุกปันให้ตื่นแล้วด้วย ซึ่งปรกติเจ้าหนูแม้จะไม่ใช่คนตื่นสาย(มาก)แต่ไม่บ่อยนักที่เค้าจะตื่นเช้าขนาดนี้ได้เองเช่นกัน ฮ่า ฮ่า ตอนนี้หนูน้อยยืนยิ้มแฉ่ง สายตาจดๆจ้องๆอยู่ที่กล้องในมือผม หลังๆ เดี่ยวนี้ปันจะไม่ยอมอยู่แค่ในกล้องพ่ออย่างเดียวแล้ว พยายามขอถ่ายกับเค้าด้วย ^_^
มองออกไปที่เฉลียงหน้าห้องพักขนาด พระอาทิตย์ขึ้นเต็มใบให้แสงสว่างแก่เราอย่างแข็งขันเต็มที่แล้วด้วย
บรรยกาศในช่วงเวลานี้ ช่างน่ารื่นรมย์หัวใจมาก ในขณะที่เด็กน้อยคนนึงกำลังวิ่งวุ่นไปทั่วห้องเพราะวันนี้ตื่นเช้าเป็นพิเศษ หากหยุดเวลากันได้ผมเองก็อยากให้ช่วงเวลานี้อยู่ไปนานๆ เวลาที่ดีๆของครอบครัว เล็กๆ ของเรา ทริปนี้เรามาใช้เวลา 3 วัน 2 คืนกันที่เกาะสมุย เกาะสวรรค์ของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ ที่แวะเวียนมาไม่ขาด ก่อนจะไปต่อ ผมขอถอยเวลากลับไปในวันแรกของการเดินทาง ก่อนที่ทริปแสนวิเศษนี้จะพาเรามาเจอกันที่ เกาะสมุย เกาะสวรรค์แห่งนี้
————————————————————
อย่างชื่อที่จั่วหัวไว้เลย พาลูกเที่ยว หืมม สมุย ใครว่าไปยาก ผมขอยืนยัน นั่งนอนยันเลยว่าไม่จริ๊ง ไม่จริง..(เสียงสูงงง) เพราะตลอดปี 2014 ผมมีโอกาสไปเกาะสวรรค์แห่งนี้หลายครั้ง และแต่ละครั้งก็ไปไม่เหมือนกัน จากหลายสายการบิน อย่างเที่ยวนี้ ผมไม่ได้บินตรงไปลงที่เกาะทันที แต่เลือกที่จะลงที่สุราษรณ์ (อย่างที่ทราบการบินตรงมันสะดวก แต่ก็แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนั้นเอง อันนี้คงต้องดูกันเป็นเคสๆไปครับ)
เตรียมพร้อมการเดินทาง
ทริปเราเริ่มต้นกันเช้าตรู่กับเที่ยวบินของ Nok Air เที่ยวบิน DD7210 บินจากสนามบินดอนเมืองไปลง สุราษฎร์ธานีต่อด้วยนั่งรถรับส่งพาไปขึ้นเรือเฟอร์รี่ที่ท่าเรือดอนสักบนเกาะกันเลย ง่ายมากเลยครับ และด้วยความที่เราสมัครสมาชิก ทั้ง Nok FanClub (ของพ่อปัน)และสมัคร Nok Kid Club ให้ปันด้วย สมาชิกทั้งสองคลับมีประโยชน์มากมาย ที่ตั้งใจสมัครก็เพราะมีดีแบบนี้เลย
สมาชิก Nok Fan Club และ Nok Kid Club มีประโยชน์เด่นๆที่ชอบเลยคือ
- มีแถว Checkin ของตัวเองเท่านั้นทั้งคู่ ไม่ต้องปนกับแถวปรกติ นั้นแปลว่าเราจะเร็วขึ้นเยอะหากเป็นช่วงเร่งด่วน อันนี้ใครบินบ่อยๆเข้าใจได้
- โปรโมชั่นใดๆที่มีกับ Nok เราจะรู้ก่อนเสมอนั้นแปลว่าจะจองตั๋วได้ก่อนเพื่อน อย่างน้อย 1-2 วันก่อนที่นกเค้าจะปล่อยให้คนทั่วไปจองได้
- ได้น้ำหนักเพิ่มอีก 5 กิโลกรัมจากเดิมที่ได้กันอยู่แล้วที่ 15 กิโลกรัม ก็จะกลายเป็น 20 กิโลกรัมทันที ( ซึ่งผมเป็นบ่อยเวลา ของขากลับมันเยอะกว่าขามา เพราะช้อปของเพลินกันทั้งบ้านนั้นละครับ )
ส่วนที่ผมใช้แล้วประทับใจสุดๆ คือบริการ Nok Call Home อันนี้ดีทุกครั้ง แม้บ้านเราจะเตรียมตัวกันแล้วก่อนเวลาแต่ บริการนี้ช่วยให้เราสามารถจะ Check-in ผ่านทางโทรศัพท์ได้ทันที ไม่ต้องไปเข้าคิว (เฉพาะสมาชิกนะครับแต่ถ้าคนที่เดินทางร่วมไม่ได้เป็นสมาชิกไม่ได้ )
- กรณีใช้บริการผ่าน App Nok Air บน มือถือ (กรณีผมใช้ผ่าน Ipad) เราสามารถ ทำCheckin และออกเป็น Barcode เดินขึ้นเครื่องได้เลยไม่ต้องรอคิวแค่โชว์ APP ตัวนี้เท่านั้น (กรณีมีกระเป๋าต้องโหลด ก็ไม่ต้องไปเข้าคิวกับที่ยังไม่ Checkin ไปที่ช่องโหลดกระเป๋าอย่างเดียวคิวสั้นกว่าเยอะเลยครับ )
ข้อดีอีกอย่างของ App ตัวนี้คือ เราสามารถค้นหาเฉพาะตั๋วที่ถูกที่สุดในแต่ละวันได้เลย ระบบจะดึงเฉพาะเที่ยวบินถูกที่สุดในแต่ละวันมาโชว์เท่านั้น ตรงนี้ดีครับ ไม่เสียเวลาดี กรณีเราไม่เรื่องมากในเรื่องเวลาที่จะไป คือว่าง่ายเน้นถูกสุดๆของทุกวันนั้นเอง
อ่อเค้ามี Point ให้ด้วยทุกๆ 5 บาทการจอง จะสามารถเปลี่ยนเป็นคะแนน 1 Point เราก็กลับเอามาแลกเป็นตั๋วได้ ปรกติเห็น Nok Air เองจะมี โปร Point มาบ่อยๆให้เราแลกตั๋วกันได้เร็วขึ้น อย่างตอนนี้มีโปรแบบด้านบนอยู่เลยครับ
และที่ผมเห็นว่าปันชอบมากๆก็น่าจะเป็นของ Nok Kid Club ที่ผมสมัครให้ปันไป น่ารักมาก อันนี้ขอชม เพราะบริการทุกๆอย่างเหมือนกันกับ Nok Fan Club ทุกอย่างแต่สำหรับคุณหนูที่ได้มาเพิ่มคือ ขึ้นเครื่องบินและรับกระเป๋าก่อนใครด้วยบริการ Priority Boarding และ Priority Baggage (ซึ่งก็แปลว่าพ่อแม่ก็ได้ตามไปด้วยเพราะไม่ได้เดินทางคนเดียวอยู่แล้ว )
(พอพ่อบอกปันว่าให้ทำท่าบินให้หน่อย เลยบินใหญ่เลยนะครัช ^ ^” )
มาถึงกันเช้าตรู่ มีเวลาเหลือเฟือเลยชักภาพกันหน่อย ทริปนี้ผมเลือกใช้ บริการ Fly’ n ‘Ferry เป็นบริการดีๆจาก Nok Air ที่ไม่ต้องให้เราเสียเวลาต้องหารถ หาเรือ เพื่อข้ามไปยังเกาะสมุยให้ยุ่งยาก และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ลองใช้ดูกับนกเค้า
เที่ยวบินจากดอนเมืองไป ลงสุราษฎร์ฯ ใช้เวลา 1.05 ชม. แป๊บๆก็มายืนกันที่สนามบิน สุราษฎร์ธานีแล้ว
สนามบินสุราษฎร์ธานีเป็นสนามบินเล็กๆขนาดกำลังดีต้องขอเก็บภาพกันหน่อยน้าาา
จากสนามบินสุราษฎร์ธานี เราจะต่อด้วยบริการรถบัสจากบริษัทพันทิพย์นั่งจากตัวจังหวัดต่อไปที่ท่าเรือ ดอนสักกันต่อ ถือว่าสะดวกใช้ได้เลย ใช้วลาอีกราวๆ 1ชั่วโมงเศษครับ รถจะพาเราไปส่งที่ท่าเรือ จะมีเรือเฟอร์รี่/เรือเร็วให้บริการกันอยู่ 2-3 เจ้าที่แข่งๆกันอยู่ แต่สำหรับของ Nok Airแล้ว จะไปด้วยเรือเร็วแค็ททะมาแรนของบริษัทเรือเร็วลมพระยา (ยืนยันว่าเร็วจริงๆครับ )จากท่าเรือดอนสัก ไป ท่าเรือหน้าทอนเกาะสมุย
จากจุดนี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการเดินทาง และได้ทาง “Silavadee Pool Spa Resort ” มารับไม้ต่อและไม่ธรรมดาเลยบริการ Exclusive ด้วยรถคันนี้
ขึ้นมาจะเจอ กล่องขนมต้อนรับและน้ำส้มคั้นรสชาติดี ถือว่าประทับใจกันตั้งแต่เท้าแตะพื้นเกาะกันเลย
ใช้เวลามาถึงรีสอร์ทราวๆ 30-40 นาทีและตัวรีสอร์ท จะตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างหาดเฉวงกับหาดละไม ตรงบริเวณปลายแหลมพอดี ระหว่างทางเข้าผมสังเกตุเห็นจะมีโรงแรมเชนดังๆอยู่ 2-3 ที่บอกชื่อก็คงรู้จักกันทั้งนั้น
จากตัว Front ต้อนรับเราต้องอาศัยรถบั้กกี้ในการไปที่ห้องเนื่องจาก ที่นี่ตั้งอยู่บนเขาค่อนลูกทำให้เส้นทางจึงเป็นพื้นที่สูงชันในบางจุด การใช้รถรับส่งจึงเป็นสิ่งที่รีสอร์ทพร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงครับ
ระหว่างนั่งรถบั๊กกี้เข้าไปที่พัก ก็ต้องชมตัวรีสอร์ทที่จัดการดูแลต้นไม้ใบหญ้าได้ดีมากมีความร่มรื่นชวนมองตลอดสองข้างทางที่ผ่าน
เข้าโซนที่พัก Villa แล้ว ครับโซนที่เราพักเป็นโซนใหม่ที่พึ่งเปิดมาล่าสุดไม่ถึงสองปี จะมีอยู่ไม่กี่ห้องที่หันหน้าชมพระอาทิตย์ขึ้นตรงหน้าได้เลยและ
เลขที่ออกห้องเบอร์นี้เลย ห้องเบอร์ถือเป็นห้องที่วิวสวยงามที่สุดของฝั่งนี้ ใครมาพักระบุเบอร์นี้ได้เลย
First Impression ของห้องพัก เจอ ท้องฟ้า ทะเล และห้องพักเริ่ดๆวิวขนาดนี้บอกเลย แทบลืมระยะทางที่มาไปหมดสิ้นทันที
ห้องที่เราจะมาพักกัน คือแบบ “Ocean Front Pool Villa”
จุดเด่นที่สุดของรีสอร์ทนี้คือความเป็น Pool Villa สำหรับ Type ที่เป็น Villa ตามชื่อของรีสอร์ท แต่จริงๆรีสอร์ทเองจะแยก Type ออกมาได้ 2 ลักษณะหลักๆ คือแบบบนตัวตึก (Duplex) และแบบ Villa มีทั้งหมด 27 หลัง ที่สร้างเสร็จแล้ว ซึ่งหากจะแยกรายละเอียดห้องออกมาตามการตกแต่งได้อีก หลายประเภททีเดียวครับ ในทั้ง 2 Type หลักนะครับ
แบบที่เราเข้าพักจะมีทั้งหมดแค่ 9 หลังเท่านั้น เป็น 9 หลังที่วิวชนะเลิศที่สุดแห่งนึงของเกาะนี้เลย คิดแล้วโชคดีมากๆที่ได้ห้องพักหลังนี้
ห้องพักขนาด 150 ตรม. ให้พื้นที่เหลือเฟือมาก สามารถออกแบบได้ลงตัวแบบที่เราพักเป็น Phase 2 ที่ถือเป็น Phase ล่าสุดของรีสอร์ท
และเมื่อมาถึงจะไม่ขอลองก็ยังไงอยู่ไปกันหมดเลยครับทั้งแม่ทั้งลูก ส่วนพ่อเก็บภาพอีกนิดจะตามไปแน่นอน เสียดายมากครับที่ท้องฟ้าไม่เป็นใจวันนี้เท่าไหร่ แต่ไงก็หยุดความสุขสนุกสนานของบ้านนี้ไม่ได้
ที่ชนะเลิศเลอที่สุดก็คือ วิวตรง Pool นี้เองครับ เพราะเป็นแบบ Infinite Edge ด้วยสามารถว่ายน้ำไปเกยคางชมวิวพระอาทิตย์ตกตรงหน้าได้เลย
มองจากในห้องน้ำออกไปทะลุกระจกเซ็กซี่มากๆเลย
การออกแบบภายในมีความ Modern ผสมผสานไว้ มีอุปกรณ์ความบันเทิงประเภท DVD,ลำโพงสำหรับ Iphone,Ipod ที่เรานำมาใช้ร่วมกันได้ทันที (แต่สำหรับIPHONE 5 ขึ้นมา เค้ามีหัวแปลงไว้ให้ด้วยแล้วอาจจะใช้ไม่ได้เพราะ port ไม่เหมือนรุ่นก่อนหน้านะครับ )
ก่อนจะชมห้องพักกันต่อ ขอเบรคเอี๊ยดดดดหน่อยจะพาเที่ยวจุดชมวิวแห่งใหม่ที่คงมีใครจะขึ้นไปได้ยากยิ่งแน่นอน ไปดูกันนะครับ
ที่เที่ยว 360 องศาแห่งใหม่ไม่ซ้ำใครที่สมุย คุณๆอาจจะยังไม่รู้
เดี๋ยวผมพาชมห้องและโรงแรมต่อเพราะที่นี่เวลาต่างกันอารมณ์ก็ต่างออกไปด้วย ขอพาออกไปเที่ยวข้างนอกกันหน่อย ทริปนี้ผมไม่ได้มีแค่ที่พักที่สวยงามมาฝากแต่ยังอยากพาไปเที่ยวจุดชมวิวที่น่าจะมีคนไปน้อยมาก ทั้งๆที่มีมาพักใหญ่แล้วละครับแต่เพราะอะไรคนถึงยังไปกันน้อยนั้นมาดูกัน
ที่ๆว่านั้นก็คือวัด “สมเด็จพระพุทธทีปังกร” เหตุที่ว่าถือเป็นจุดชมวิวที่มีคนไป(ได้)น้อยเพราะเส้นทางการขึ้นไปวัดนี้ตั้งอยู่บนเขาสูงชันและ ยากแก่การไป เส้นทางจำเป็นต้องใช้ รถ 4X4FWD ดีที่สุดดูจากภาพเข้าใจได้ไม่ยากครับ
เส้นทางแบบนี้คนไทยจึงยังขึ้นมาน้อยมากๆแต่ต่างชาติเค้ามากันนานนนนนแล้ว (ผมสอบถามจากพี่คนขับเค้าบอกว่าฝรั่งใช้มอเตอร์ไซต์บึ่งขึ้นมากันเยอะ และหากไม่ใช้ก็จะมีทัวร์แบบเหมาขึ้นมาแต่ต้องแจ้งไม่งั้นเค้าก็ไม่ขึ้นครับ ) ซึ่งถือเป็นทัวร์ทำบุญและ ผจญภัยกลายๆทีเดียวฝรั่งชอบมาก
หลังจากฝ่าฝันเส้นทางจนขึ้นมาสำเร็จเราจะเจอพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ยืนเด่นเป็นสง่ามากครับ
ขึ้นไปบนจุดนี้ได้เราจะเห็นวิวแบบเกือบพาโนรามาวัดเป็นองศาน่าจะอยู่ราวๆ 207 องศาเลย จะเห็นว่าที่เห็นตรงหน้าตอนนี้ไม่ใช่ ป่าเมืองเหนือ หรืออีสานแต่เป็นป่าบนเกาะเลย แต่เดี๋ยวก่อนหากยังไม่จุใจเพราะกว่าจะขึ้นมาได้ เรายังสามารถขึ้นหอพระที่กำลังสร้างกันอยู่เพื่อชมวิวแบบ 360 องศาได้อีก ตามผมมาเลย
ขึ้นมาที่หอพักสูงราว 4 ชั้น แต่ละชั้นจะมีพระพุทธรูปวางตำแหน่งไว้ และที่ชั้นบนสุดจะเป็นรูปปั้นจำลองพระเกจิสำคัญๆของไทยตั้งแต่อดีต ให้นักท่องเที่ยวได้มากราบไหว้กัน
วิวที่เห็นเราสามารถเดินได้รอบทีเดียววิวสวยมากกกเสียดายเจออากาศไม่ดีดั่งใจนัก ฟ้าไม่เปิดเท่าที่ใจหวัง
ถือเป็นจุดHilight สำคัญอีกแห่งของเกาะสมุยที่คนไทยยังไม่รู้จัก ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติมากันอย่างที่บอก
ที่กินห้ามพลาด
ลงมาเหนื่อยๆกันใช้ได้ กองทัพต้องเดินด้วยท้องเพราะฉะนั้นผมจึงพาครอบครัวมาลิ้มรสร้านแนะนำที่ใครมาสมุยไม่แวะก็ดูกระไรอยู่ อย่างร้าน “เสบียงเล” ร้านที่เปิดมานานมากแล้ว จุดขายนอกจากอาหารรสชาติไทยแท้ๆแล้ว ยังมีเรื่องวิวที่ร้านติดอยู่ตรงชายหาดเห็นวิวสวยๆของหาดได้เลย
รอไม่นานอาหารก็มาเสริพ มาทะเลไม่สั่งเมนูทะเลก็คงแปลกจริงไหมครับ เริ่มกันที่ต้มยำทะเล สีสันแสบสันต์สุดๆ ดูกันได้ รสชาติผ่านแบบสบายๆ ไม่เผ็ดจี๊ดมากแต่ก็ไม่ใช่รสชาติแบบฝรั่งทานง่ายแน่นอน
ต่อด้วย อร่อยครับเมนูนี้กุ้มทอดราดซอสมะขาม รสเปรี้ยวหวานกำลังดี
และนี้ทอดมันกุ้ง กรบกรอบกำลังดี
เด็กน้อยหิวแล้วววว พ่อไม่ถ่าย ไม่ถ่าย ปันบอกประมาณหิวแล้วง่ะ พ่อยังถ่ายรูปอยู่เบย T^T
อิ่มหมีพีมันกันดีได้เวลาแวะหาขนมหวานทานกันต่อแต่…เสียดายมากครับกะมากันที่ร้านโลลมุย มาเจอร้านปิดพอดีเสียดายมากเพราะเห็นในรีวิวก่อนๆนี้ร้านนี้ขึ้นชื่อระดับมีคนสั่งไปขายในตัวเมืองกันเลยนะครับ เสียดายๆ คราวหน้าหากมาอีกจะไม่พลาดมาอีกแน่นอนครับ
ขอต่อด้วยร้านที่มีโอกาสแวะกันอีกที่ เป็นร้านที่ผมแวะตอนวันกลับ ขอจับมารวมไว้ในหมวดที่กินด้วยกันเลยคือ “ร้านท่าเรือสมุยซีฟู้ด ”
ร้านนี้มีข้อดีมากๆเลยคือตัวร้านตั้งอยู่บนเนินเขาระหว่างหาด ทำให้มีวิวทะเลที่สวยจับใจ
ตัวร้านโปร่งนั่งสบายลมพัดตลอดเวลา ทำเลนี้หากใครที่ไม่ได้พักบนห้องพักวิวทะเลงามๆสามารถมาเสพวิวงามๆที่ร้านนี้ได้ และอาหารที่เราสั่งก็ยังเป็นอาหารทะเลอีกเช่นกัน
เสริฟจานแรกเป็นกุ้งอบวุ้นเส้น
ต่อด้วย หอยอะไรซักอย่างครับ ขออภัยจำชื่อไม่ได้แล้ว >_<
และ ปิดท้ายมื้อนี้ด้วยโป๊ะแตกชามใหญ่มากรสชาติถึงใจ สำหรับผมแล้วทั้งสองร้านถือเป็นร้านที่ดีทั้งคู่มีดีกันคนละแบบ ใครมีโอกาสไปสมุยแวะไปชิมกันดูได้ สนนราคา ไม่ถูกไม่แพง โป๊ะแตก200+ กุ้งอบ 200+
อิ่มกันก่อนกลับปันเองก็อิ่มมากเลย ถือว่าเป็นร้านที่มีวิวชนะเลิศมาก หากมาตอนโพล้เพล้รับประกันว่าคุณจะได้ชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยสุดๆทีเดียว สำหรับรสชาติส่วนตัวชอบร้านเสบียงเลมากกว่า ในบางเมนู แต่โดยรวมถือว่าอร่อยครับ และหากจะว่ากันจริงๆราคาทั้งสองร้านไม่ต่างกันมาก แล้วแต่คุณๆจะเลือกเสพอาหารและบรรยากาศได้ตามต้องการ
18.20:
Silavadee: Ocean Front Pool Villa เวลาแห่งความโรแมนติก
ตลอดทริปนี้ผมมีโอกาสได้ชิมและชมบรรยากาศห้องอาหารวิวงามมากๆของรีสอร์ท ซึ่งมีอยู่ 2 ที่และเป็นแบบ ocean view สมชื่อ เริ่มกันที่ห้องอาหาร The Height Restaurant ห้องอาหารสำหรับมื้อ Dinner เน้นเสริฟอาหารทั้งไทยและเทศ โดยเน้นๆกันที่อาหารอิตาลี และอาหาร Inter เป็นหลัก
มาดูบรรยากาศความสวยงามของห้องอาหารกันก่อนตัวห้องอาหารตกแต่งสไตล์ Modern ใช้วัสดุผนังเป็นไม้เกือบทั้งหมด โดยเปิด Space กว้างๆโดยใช้กระจกเต็มปูผนังรอบด้าน ให้แขกชมบรรยากาศสวยๆของทะเลได้เวลาทานอาหาร…โรแมนติกมากครับ
ตอนเราไปเป็นช่วงปลายๆฝนของที่นี่สภาพบรรยากาศชุ่มช่ำด้วยสายฝนในช่วงบ่ายๆไปจนถึงค่ำ
ด้านล่างจัดเป็น Terrace กว้างๆนั่งชิลลรับลม เห็นวิวทะเลเต็มตา แต่โชคไม่ดีเจอฝนเลยไม่มีใครนั่งด้านล่างเลย
สำหรับอาหารผมถ่ายได้อย่างเดียวเลยที่เหลือถ่ายไม่ทันแล้ว แม่ปันกับปันจัดการกันไปล่วงหน้าแล้ว 55 โดยรวมอาหารอร่อยโดยเฉพาะเมนูกุ้งราดซอสอะไรสักอย่างถ้าจำไม่ผิดจะเป็นกุ้งราดซอลเขียวหวาน (ถ้าผิดขออภัยล่วงหน้า)ผมติดใจมากเลย
อิ่มกันแล้วกลับมา Turn Down เตียงนอนกันครับและตอนนี้จะเพราะเรามีการแจ้งไว้ล่วงหน้าก่อนพักว่าอยากทำ Surprise เล็กๆให้แม่ปันสักหน่อย ทางรีสอร์ทรับไปจัดการ แล้วดูผลงานครับ น่ารักที่สุดเลย
(หากใครต้องการต้องแจ้งกับทาง Front นะครับเป็นบริการเสริมไม่ได้มีให้ทุกห้องหรือทุกครั้งที่แขกเข้านะ)
แม่ปันเห็นถึงกับเอ่ยปากชมออกมาเองเลยว่า เหมือนมาฮันนีมูนรอบสองก็ไม่ปาน
ไม่เฉพาะแค่ตรงเตียงที่จัดไว้สวยสุดๆแล้ว ในห้องน้ำ ตรงอ่างจากุซชี มีโรยกลีบกุหลาบให้เราแช่น้ำไปพร้อมๆกันได้ อันนี้ขอปรบมือดังๆให้ความเอาใจใส่ของรีสอร์ทน่ารักมากครับ การนอนแช่อ่างอาบน้ำชมวิวทะเลสุดขอบฟ้ามัน…สุขเกินบรรยาย
ตรงด้านหัวเตียงทำเป็น Table Connecting เราสามารถนั่งทำงาน หากพกพา Notebook มาและชมวิวไปพร้อมๆกันได้ เอ่ออแต่แบบนี้จะนั่งทำงานไหวไหมน้อ
เก็บภาพยามค่ำคืนที่สวยงามกับ รีสอร์ทแสนสวยนี้ไว้เป็นภาพสุดท้ายก่อนลาไปนอนกอดปันยันเช้าเลย
ยามเช้าที่ยากจะลืมเลือน…
อย่างที่จั่วหัวไว้ตั้งแต่เปิดเรื่อง ผมชอบบรรยากาศยามเช้าแดดส่องกระทบม่านที่เตียง สวยงามและอบอุ่นมากๆ
ตลอด3วันที่อยู่ที่ “ศิลาวาดี พูล สปา รีสอร์ท” พระอาทิตย์ทำหน้าที่ตรงเวลาเสมอ หลังจากที่เด็กน้อย เดินวิ่งให้วุ่นจนทั่วห้องก็ยอมมานั่งให้พ่อจับภาพนิ่งๆสักทีแล้วล่ะครับ
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ไหนก็ตื่นเช้าแล้วไปหม่ำมื้อเช้ากันดีกว่า เส้นทางเดินเค้าทำเป็นอุโมงค์กาลเวลา เอ้ย..ไม่ใช่ๆ อุโมงค์ไม้ไผ่ สวยงามเนอะ
ห้องอาหารเช้า หรือจริงๆก็คือห้องอาหารเปิดตั้งแต่เช้าจนค่ำคือ “Sun Moon Star restaurant” ยามเช้าแดดอ่อนๆส่องมากระทบแก้วน้ำสวยจนต้องขอเก็บภาพไว้
ตอนเช้าแบบนี้พนักงานพร้อมบริการกันแล้วห้องอาหารเปิดตั้งแต่ 6 โมงเช้า
ไลน์อาหารแยกเป็น มุมหรือ สเตชั่นต่างๆเช่นสลัดบาร์ก็มีผักนานาชนิด ขนมปังเยอะแบบ ของทานจริง ทานเล่นมีให้เลือกเยอะใช้ได้
วิวห้องอาหารสวยมากหม่ำทั้งอาหารหม่ำทั้งวิวกันเลย
ปันพร้อมแล้วนะฮับ
ส่วน Main เค้าจะจัดเป็น A LA CARTE ตามแต่เราสั่ง ซึ่งก็มีให้เลือกเป็น Set ไว้เยอะพอควรนะครับ ทั้ง แบบ ไทย จีน ฝรั่ง แล้วแต่เราสั่งเลย
ไม่นานอาหารมาแล้ว แม่ปันเค้าสั่งแบบชุดอาหารเช้าเน้นไข่เยอะหน่อยเพราะปันเค้าชอบ มาให้เน้นๆเลย
พาเหรดอาหารที่เราสั่งได้ตลอด จนกว่าจะอิ่มกันไป
อาหารรสเลิศสมกับบรรยากาศครับ ส่วนตัวคิดว่าไม่แพ้โรงแรมเชนดังๆ ที่เคยไปมาหรือ Boutique Hotel ดังๆทั้งหลายนะครับ ส่วนเรื่องรสชาติอันนี้คงต้องมาชิมกันเอง
ตบท้ายด้วยของหวาน กับโกโก้ร้อนๆควันฉุยๆ อร่อยครับ อิ่มมากเลย
ห้องอาหารที่นี่เปิดตลอดวัน แบ่งห้องอาหารออกไป 3 เวลา โดยใช้ชื่อเรียกแยก ส่วนต่างๆออกมาตามช่วงเวลา เช่น Sun คือส่วนของห้องอาหารที่เรามาทานกันครับ ส่วน Star คือชั้นดาดฟ้า สำหรับยามเย็นไปจนค่ำมืดที่อยากจิบเครื่องดื่มเย็นๆกับคนรู้ใจในท่ามกลางดวงดาว และสุดท้าย Moon คือตรงบริเวณสระน้ำไปจนถึงลานหินตรงริมหาดให้บรรยายกาศสวยงาม จนถึงยามเย็น
ยิ่งเป็นช่วงเย็นๆแล้วบรรยากาศชิลลสุดๆ
ผมชอบตรงนี้มาก เป็นทั้งที่นั่งจิบอะไรเย็นๆยามบ่ายตรงนี้หากเป็นช่วงฝนฟ้าตก จน Star ไม่สามารถเปิดได้ก็จะเปิดให้แขกมานั่งชมวิวกันที่นี่แทน
มีโต๊ะพูลให้เล่นด้วยนะ
ผมเดินต่อไปจนถึง ลานโล่งๆที่มีหินขนาดใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่า สวยมากเลยทีเดียว รีสอร์ทเองก็พยายามสร้างสิ่งปลูกสร้างให้ใช้ประโยชน์ของธรรมชาติเต็มที่ได้ เสียดายฝนตกเลยดูเหงาไปถนัดเลย
มองย้อนกลับตรงบริเวณสระว่ายน้ำ บรรยากาศตอนนี้สวยเกินบรรยาย
บรรยากาศหากไม่ติดเรื่องฝนฟ้าอยากให้ทุกๆ คนที่มาลองมานั่งชมจันทร์ ชมทะเลกันดูครับ
บนดาดฟ้า Star ยิ่งแล้วใหญ่สวยมากโดยเฉพาะยามเย็นแบบนี้ สีท้องฟ้าตกกระทบลงที่สระน้ำรอบๆ สวยงามจริงๆครับ
ผมชอบที่นั่งตรงนี้ นั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ชมดาว ชมจันทร์ ตอนกลางคืน คงงดงามมากมายนัก
หรือจะเป็นแถวด้านหน้าที่เจาะลงไปในสระน้ำทำเป็น Daybed มีที่นั่งลักษณะโซฟา นั่งๆนอน จิบอะไรเย็นๆ คงเพลิดเพลินแน่นอน
ลากันด้วยภาพแสงเทียนในคืนอันสวยงาม เห็นแล้วคิดถึงอยากกลับไปอีกจริงๆ
ผ่อนคลายร่างกายในวันสบายๆ
ก่อนจะออกไปตะลุยทริปกันอยากพามาชม Silavadee Wellness Spa มาที่นี่ไม่ได้มาลองสปาก็เหมือนมาไม่ถึง และสปาของศิลาวาดีก็เป็นสปาชั้นดีที่ห้ามมองข้าม ไม่งั้นคงไม่ใช้เป็นชื่อของรีสอร์ทแน่ๆจริงไหมครับ
เข้าไป พนักงาน จะนำตัวอย่างมาให้เราเลือกพร้อมๆกับสาธิตและให้คำแนะนำ คอร์ส ต่างๆ ตัวใน Spa Menu จะมีหลายหลายคอร์สให้เราเลือกบริการ
เหมือนปันจะพยายามช่วยแม่เลือก(หรือเล่นดีละ 55)นะ
มาดูห้องทำสปาพวกเรากัน รอบนี้มากันแบบครอบครัว จึงเปิดห้องใหญ่ให้เราเลย ห้องชื่อ “SILA” ห้องนี้เป็นห้องเตียงคู่ และเป็นห้องเดียวที่มีอ่างขนาดใหญ่ไว้แช่ตัว ทำสปาในน้ำได้ด้วย
และแน่นอนเตียงแรกเป็นของแม่ ข้างๆจะเป็นของใครไปได้นอกจาก ของเด็กคนนี้ ฮ่าๆ
ระหว่างแม่เค้าทำสปาไปผมก็เดินสำรวจบริเวณโดยรอบไปด้วย สว่นตัวที่นี่ถือเป็นรีสอร์ทที่มีความเป็นส่วนตัวมากให้กับแขกที่พัก ทุกพื้นที่อุดมไปด้วยธรรมชาติดี ต้นไม้สวยงาม
มีสระแบบ Infinite edge ไว้ให้บริการผมว่าที่นี่จัดตกแต่งบรรยากาศให้ทุกส่วนได้อารมณ์พักผ่อนดีมาก
ทะเลก็งามได้แม้ชายหาดจะเป็นหาดหินเยอะสักหน่อย เป็นธรรมดาของปลายแหลมที่จะเป็นแบบนี้ ใครอยากลงเล่นน้ำอาจจะต้องรอจังหวะน้ำขึ้นอย่างในภาพเป็นช่วงบ่ายๆ หินจะน้อยหน่อยครับ ไม่ต้องลงไปลึกก็พอ
มีหาดก็ต้องมีเก้าอี้ชายยหาดไว้เอกเขนก พึงพุงนอนเล่น อาบแดดกันได้ตามต้องการ
หรือจะพายคายัคเค้าก็มีนะ เลือกตามอัธยาศัยครับ
ที่เที่ยวยามค่ำ…สมุย
มาถึงที่เที่ยวสุดท้ายที่อยากแนะนำกันหากคุณอยู่กันหลายวัน โดยเฉพาะถ้ามาช่วงวันสุดสัปดาห์จะได้เจอกับ ถนนคนเดินสมุย หรือจะเรียกว่าถนนคนเดินบ่อผุด ก็ได้ เพราะที่นี่เป็นที่แรกที่เค้าจัดทำกันขึ้นมาก่อนที่ย่านอื่นๆจะทำขึ้นมาแบบเดียวกันเช่น ถนนคนเดินหาดละไม ถนนคนเดินหน้าทอน ฯ
ข้อดีของที่นี่คือเค้าจะไม่เปิดวันให้ชนกัน โดยของบ่อผุดจะมี 2 วันคือคืนวันศุกร์-เสาร์ ตั้งอยู่ในถนนเส้นหมู่บ้านชาวประมงเดิมของชาวบ้าน ( Fisherman’s Village)
ตลอดถนนสองฝั่งจึงเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ขายเอาของในเกาะมาขายและของที่นักท่องเที่ยวน่าจะสนใจ
ทั้งของกิน ของที่ระลึก ผมชอบถนนเส้นนี้เพราะเดินได้ยาวและเยอะมาก ตอนเย็นๆยิ่งทำให้น่าเดินเพราะไม่ร้อน
ถือว่าเป็นที่เที่ยวที่น่าสนใจหากใครมาสมุยวันศุกร์-เสาร์อย่าลืมมาเดินเที่ยวชิม ช้อปกันนะครับ
ลาแล้วไม่ลาลับ วันหน้าปันจะมาใหม่น้าาา…สมุย
และแล้วก็ต้องลากัน วันกลับทาง รีสอร์ท พาเรามาส่งที่ท่าเรือหน้าทอนเช่นเดียวกับวันมา เรามาที่สะพานเรือที่เป็นของ ลมพระยาโดยตรง
บรรยากาศในเรือก็สบายๆครับ ใครไม่อยากนั่งแต่อยู่ในเรือสามารถออกมานั่งข้างนอกรับลมทะเลกันได้
ใช้เวลาอีกไม่นาน เรือก็พาเรามาเทียบท่าที่ท่าเรือดอนสัก มีรถโค๊ชและรถตู้มารอรับแล้วให้เรายื่นตั๋วรถที่ได้มาจากตรง Counter ขายตั๋วยื่นให้ที่ตัวรถเองมีป้ายติดบอกไว้ว่าจะไปส่งที่สนามบินไหนบ้าง
เที่ยวกลับเรากลับกันที่ สนามบินนครศรีธรรมราชแทน ด้วยระยะทางไม่ต่างกันกับที่ไปสนามบินสุราษฎร์ฯ แต่รอบบินเร็วกว่าก็ทำให้เราเลือกเที่ยวนี้
มาถึงที่สนามบินนครศรีธรรมราช ต้องบอกว่าโชคดีมากๆครับ เพราะช่วงที่เราไปกันนั้นเป็นช่วงใกล้วันเฉลิมพระชนม์พรรษาของในหลวงพอดี ทำให้ทาง Nok Air จัดบู๊ทให้คนมาเขียนคำอวยพรพระองค์ได้เลย และก็จัดทำได้สวยงามมากๆด้วย
ปันเองเค้าอาจจะยังไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เรากำลังสอนให้เค้าทำนั้นคือการทำเพื่ออะไร แต่สำหรับบ้านเราแล้วทุกๆครั้งที่มีโอกาสได้ทำอะไรเพื่อในหลวงของเราแล้วพวกเรายินดีและเต็มใจจะสอนลูกให้รักและเคารพ เทิดทูนในหลวงพระองค์นี้ของประเทศไทยแบบสุดหัวใจ
และ ใบโพธิ์ที่มีลายมือของครอบครัวเราก็ได้แขวนถวายพระพรไว้ที่จุดนั้นเองครับ
สรุปกันนิด
ระหว่างนั่งอยู่บนเครื่องผมมีโอกาสคุยกับปันว่าเค้าชอบไหม มาทะเลเที่ยวนี้ เด็กน้อยหันมาตอบว่าช๊อบบบบ(เสียงสูง) บอกให้มาอีกนะ พร้อมกับจินตนาการไปว่าเมื่อไหร่เค้าจะได้มาอีก มาเที่ยวอีก โดยเฉพาะสระว่ายน้ำ แบบสระเกลือดูจะชอบมาก
ทุกๆวันที่กลับมาถึงนี่คือสิ่งแรกที่เด็กน้อยขอลุย ยังมีที่เที่ยวแห่งใหม่ที่ผมเองเพิ่งขึ้นพบว่าแม้การเดินทางจะไม่สะดวกสบายแต่ก็แลกมาซึ่งวิวและแหล่งท่องเที่ยวแบบ Unseen จริงๆ
และที่จะไม่กล่าวถึงคงไม่ได้คือ ตัวศิลาวาดี สปา รีสอร์ท ที่พักประจำทริปที่สวยงามน่าพักผ่อน ถือเป็นรีสอร์ทระดับ 5 ดาวที่สวยงาม ที่พักที่มีการจัดการดูแล เอาใจใส่อย่างดี แม้จะเปิดมานานแล้วก็ตาม ตรง Phase ที่เราพักเปิดมาไม่ถึงสองปี ทุกอย่างถือว่าใหม่มาก ในห้องพักมีทุกๆอย่างสำหรับครอบครัว หรือคู่รักที่อยากมาพักเพื่อใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่าง
ขอปิดท้ายด้วยภาพตอนเครื่องกำลังจะ Take off ออกจากสนามบินนครศรีธรรมราช ลากันด้วยวิวนี้ละนะ สำหรับครอบครัวของเราทริปนี้ให้พลังทั้งกายและใจพร้อมกลับมาลุยงานกันใหม่
ลากันตรงนี้ก่อนจะพบกันใหม่เที่ยวหน้า เราจะพาลูกเที่ยวไปที่ไหนในโลกนี้โปรดติดตามกันหน้า page ของเราได้ที่นี่เลยครับ
https://www.facebook.com/likeone22