Journey of Western Europe
Episode 2 Spain Part 2 Cordoba Seville
ความเดิมตอนที่แล้ว…
–> http://blog.one22.com/archives/13085
–> http://blog.one22.com/archives/13151
–> http://blog.one22.com/archives/14608
สวัสดีเพื่อนๆอีกครั้งครับ ในตอนที่ผ่านมา ผมได้เพื่อนๆไปเที่ยวที่เมืองโทเลโดและเซโกเวีย
ซึ่งเป็นเมืองที่มีประวัตศาสตร์ อันยาวนาน ในตอนกลางของประเทศสเปน
สำหรับวันนี้ ผมจะพาเพื่อนๆไปดู อารยธรรมและประวัติศาสตร์ ในอดีตของสเปนในฝั่งด้านใต้ของประเทศกันบ้างครับ
ซึ่งในทางตอนใต้ของประเทศสเปนนั้น เป็นส่วนที่ได้รับอิทธิพล จากทั้งแขกมัว เป็นอย่างมาก
ทำให้ สถาปัตยกรรมต่างๆ มีความแตกต่าง จากทางตอนกลางของประเทศเป็นอย่างมากครับ
เอาล่ะครับ ไปรับชมผมพร้อมกันเลยดีกว่า
มุ่งหน้าสู่ Cordoba
ในวันที่ 3 ของการเดินทางที่ประเทศสเปน ผมมุ่งหน้าลงไปทางใต้ครับ โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่เมือง Seville
ซึ่งต้องขับรถไปประมาณ 500 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 5 – 6 ชั่วโมง ซึ่งจริงๆแล้ว ถ้านั่งรถไฟไป จะสะดวกและเร็วกว่านี้ครับ
แต่ผมได้วางโปรแกรมไปแวะที่เมือง Cordoba ซึ่งอยู่ ก่อนถึงเมือง Seville ประมาณ 150 กิโลเมตรครับ สภาพถนน ถือว่าพอใช้ได้ และขับรถได้ง่ายครับ
มีจะต้องเสียค่าทางด่วน แค่ช่วงที่ออกจากเมืองมาดริดเท่านั้น นอกนั้นเป็นฟรีเวย์ตลอดทาง เลยครับ
ย้อนอดีตอารยธรรมลูกผสมอิสลามและคริสต์ที่เมือง Cordoba
สำหรับที่เที่ยวใน Cordoba นั้นจริงๆมีอยู่หลายที่ แต่ด้วยความที่ว่าเป็นเมืองแวะเที่ยวของผม
ผมเลยเลือกไปเที่ยวในสถานที่หลักของเมือง คือ Alcázar of Córdoba และ Mezquita Catedral
ทั้งสองที่นี่อยู่ใกล้กัน สามารถเดินถึงกันได้ครับ ผมเลยต้อง GPS ไปที่ Alcázar of Córdoba แล้วไปหาที่จอดรถ
โดยวันนี้ ผมเลือกที่จะไปจอดรถใน อาคารจอดรถ อย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะเข็ด จากการที่โดนใบสั่งเมื่อวานครับ 555
เมือง Cordoba นั้น ในอดีตเคยเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด ของอาณาจักรโรมันในสเปนในคาบสมุทรไอบีเรียน
ซึ่งในครั้งหนึ่ง เมืองแห่งนี้เคยอยู่ภายใต้การปกครองของ ชาวแขกมัวร์ ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 8
ว่ากันว่า ในยุคการปกครองของ Caliph Al Hakam II ช่วง ศตวรรษที่ 10 ที่นี่ ขึ้นชื่อลือชาเรื่องการศึกษา เป็นอย่างมาก
มีการสร้างห้องสมุด โรงเรียนและมหาวิทยาลัยเป็นจำนวนมากในยุคสมัยนั้นครับ
ปัจจุบันเมือง Cordoba ถือเป็นเมืองขนาดกลาง มีประชาชนประมาณ 300,000 คน
ในส่วนของเมืองเก่า ยังคงปรากฎ ให้เห็นถึงอารยธรรมลูกผสม ทางของชาวแขกมัวร์ และชาวโรมันอยู่ครับ
Alcázar of Córdoba
Open 10.00h -15.00h
GPS N37°52.55352 W004°46.92336
ค่าเข้า EUR 4.5
สำหรับที่แรกที่ผมไปเที่ยวในเมือง Cordoba คือ Alcázar of Córdoba หรือปราสาทเก่าของเมืองนั่นเองครับ
คนที่ไปเที่ยวที่นี่ช่วงหน้าร้อน จะต้องรีบไปนะครับ เพราะว่าปราสาทจะปิดเวลาบ่ายสามโมงตรง
ซึ่งเป็นช่วงพักกลางวันของชาวสเปนนั่นแหละครับ เพียงแต่ปิดแล้วปิดเลยไม่ได้เปิดให้เข้าชมช่วงเย็นแต่อย่าใด
แต่ถ้าเป็นหน้าหนาววันจันทร์ถึงศุกร์ จะเปิดถึงประมาณสองทุ่มครับ
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นครับว่าดินแดนแห่งนี้เคยเป็นของชาวแขกมัวร์มาก่อน ปราสาทแห่งนี้ก็เช่นกัน
ซึ่งจุดเด่นของสถาปัตยกรรมของชาวแขกมัวร์ คือสวนและสระน้ำ (อ่างอาบน้ำ) นั่นเองครับ
ก่อนที่ King Alfonso XI จะมีการสร้างปราสาทใหม่ในช่วงปี 1327 โดยมีการนำสถาปัตยกรรม
โกธิคเข้ามาผสมผสานนั่นเองครับ ทำให้ สถาปัตยกรรมแบบแขก หายไปบางส่วน
สระน้ำนี้ที่เห็นอยู่ในภาพนี้ รวมถึงสวน เป็นการดีไซน์แบบแขกมัวร์ (Morrish Style)
ซึ่งมีการคงไว้เช่นเดิม รวมถึง บรรดาต้นไม้ต่างๆด้วยครับๆ
ส่วนอาคารทางขวาในภาพนี้ คือส่วนที่ King Alfonso XI มาสร้างใหม่นั่นเองครับ
ภายในปราสาทโครงสร้างและการตกแต่ง ล้วนยังคงสถาปัตยกรรมของชาวแขกมัวร์ไว้เช่นเดิม
บริเวณสวนหากมีเวลา น่าลงไปเดินเล่นครับ มีมุมให้ถ่ายรูปสวยๆเยอะเลยครับ
แต่ช่วงที่ผมไป อากาศร้อนมาก เลยเดินเล่นอยู่แป๊บเดียวเองครับ
Mezquita de Cordoba (The Mosque Cathedral of Cordoba)
Open 10:00-19:00
GPS N37°52.73562 W004°46.76352
ค่าเข้า EUR 8
ที่เที่ยวสำคัญอีกทีหนึ่งของเมือง Cordoba ซึ่งเป็นที่เที่ยวที่ มีคนมาเที่ยวเยอะที่สุด คือมหาวิหารแห่งคอร์โดบานั่นเองครับ
ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในศาสนสถาน ที่มีความแปลกมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะเป็นทั้งโบสถ์ และมัสยิด
ซึ่งแม้แต่ในปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้จะถือว่าเป็นโบสถ์แล้ว แต่ด้วยชื่อ ก็ยังมีคำว่ามัสยิดติดมาด้วย (The Mosque Cathedral)
แต่สำหรับชาวเมือง เค้าจะเรียกโบสถ์ที่นี้ว่า เมสฆิต้า (Mezquia) ซึ่งแปลว่า Mosque หรือมัสยิดอยู่นั่นเองครับ
ที่นี่ในยุคแรกนั้น เป็นเคยเป็นมัสยิดมาก่อน และในยุคนั้น เป็นมัสยิดที่ยิ่งใหญ่ และสวยงามที่สุดในโลก
จนกระทั่ง เมื่อเมืองคอร์โดบา ทุกยึดโดย King Alfonso X ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงมัสยิดแห่งนี้ให้กลายเป็นโบสถ์ในที่สุด
ดูจากสถาปัตยกรรมภายนอก ยังคงดูเหมือนกัน มัสยิดทุกประการ
สำหรับภายใน บริเวณโถงทางเดิน โครงสร้างต่างๆ บริการออกแบบเป็นทรงกลมโค้งเป็นโดม
ตามสถาปัตยกรรมแบบ Moorish
แต่ส่วนภายในที่เป็นบัลลังก์พิธี กลายเป็นส่วนที่เป็นโบสถ์ไปเรียบร้อยครับ
แต่ก็ยังมีการผสมผสาน กับสถาปัตยกรรม แบบเดิมอยู่ครับ
ที่นี่เป็นสถานที่ที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
ในการมาเยี่ยมชมเมืองคอร์โดบาเลยทีเดียวครับ
หลังจากเดินเล่นภายในโบสถ์เสร็จ ผมไปเดินเล่นบริเวณรอบๆครับ
แต่ก็เดินเล่นอยู่ได้ไม่นานเท่าไหร่ เพราะอากาศร้อนมาก
เดินถ่ายรูปเล่นซักพักหนึ่งจึงกลับไปเอารถและเดินทางต่อไปยังเมืองเซบีย่าครับ
เดินทางสู่ Seville เมืองหลวงของสเปนตอนใต้
หลังจากเดินเที่ยว ที่เมืองคอร์โดบา เป็นที่เรียบร้อยแล้วพวกผมก็ขับรถลงสู่เมืองเซบีย่า
ซึ่งปัจจุบัน เป็นเมืองใหญ่ เป็นอันดับ 4 ของประเทศสเปน มีประชาชนอาศัยอยู่ราวๆ 1,500,000 คนครับ
แต่ที่นี่ ถือเป็นเมือง ที่มีส่วนของเมืองเก่า (Old Town) ใหญ่ที่สุดของสเปน และใหญ่เป็นอันดับ 3 ของยุโรป
ทำให้เมืองแห่งนี้ เป็นอีกเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่เป็นจำนวนมาก และเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวมาพักอยู่
เพื่อเดินทางไปเที่ยวยังเมืองข้างๆครับ ซึ่งผมเอง ได้มาพักที่นี่ทั้งหมด 3 คืน
แต่น่าเสียดาย ที่เหนื่อยเกินกว่าจะขับรถไปยังเมืองอื่น จึงพักอยู่ที่นี่และเดินเล่นในเมืองทั้ง 3 คืนเลยครับ
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวก็ตามนี้เลยครับ
ตรงจุดสีแดง คือโรงแรมที่ผมพักครับ และด้านซ้ายของโรงแรมที่ข้ามแม่น้ำไป
เป็นลานจอดรถ ที่จอดรถฟรี แต่อาจจะต้องมีการให้ Tip คนที่อยู่ที่ที่จอดรถสักเล็กน้อยครับ
โดยสถานที่เที่ยว ส่วนมากจะกระจุกตัวอยู่ทางด้านล่างของโรงแรม ซึ่งผมใช้วิธีเดิน ถือว่าเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด
จุดที่ไกลที่สุดคือ Plaze de Espana จากโรงแรมประมาณ 3 กิโลเมตร เดินขำๆประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงครับ
สำหรับคนที่นั่งรถไฟมา สถานีรถไฟจะอยู่ทั้งมุมขวาของภาพ ซึ่งก็ไม่ได้ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวซักเท่าไหร่
จริงๆแล้ว ที่เมืองเซบีย่า มีรถไฟใต้ดินด้วยครับ มีสถานที่อยู่แถวๆ โบสถ์และปราสาทครับ
Metropol Parasol
ที่แรกที่ผมไปเที่ยวคือ Metropol Parasol ขึ้นอยู่กับย่านกลางเมืองเก่า หรือ SOL เลยครับ
ที่นี่ตั้งอยู่ที่จตุรัส La Encarnación square โดยในสมัยศตวรรษที่ 19 บริเวณนี้เป็นตลาดและชุมชน
แต่ทว่า ตัวอาคารนั้นเก่าและพังทลายลงบางส่วน
ในช่วงกลาง ศตวรรษที่ 20 ได้มีการ วางแผนที่จะสร้าง ตลาดขึ้นมาใหม่ แต่ยังไม่ทันได้สร้าง
อาคารส่วนที่เหลือก็พังทลายลงมาทั้งหมดในปี 1973 ซึ่ง บริเวณนี้ถูกปล่อยรกร้างจนปี 1990
ก่อนที่เมือง จะมีมติให้มีการสร้างตลาดขึ้นมาใหม่ โดยมีการวางแผนให้มีการทำพื้นที่ใต้ดินเป็นที่จอดรถ
ซึ่งระหว่างการก่อสร้างนั้นเอง ก็ได้มีการเจอซากปรักหักพัง ของอาคารในสมัย โรมัน
ทำให้มีการหยุดการก่อสร้างลง เพื่อที่จะทำการอนุรักษ์โบราณสถานแห่งนี้เอาไว้
จนกระทั่งปี 2004 ทำเมืองจึง กลับมา พัฒนาพื้นที่แห่งนี้ อีกครั้ง
โดยที่ด้านล่างทำเป็นคล้ายๆ Museum เพื่อค้นคว้า ซากปรักหักพังที่เจอ
และมีการสร้าง Metropol Parasol ครอบไว้ด้านบนซึ่งที่นี่สร้างแล้วเสร็จในปี 2011
และ Metropol Parasol ก็ได้กลายเป็นหนึ่งใน Landmark สำคัญของเมืองครับ
ซึ่งที่ Metropol Parasol นอกจากจะเป็น Landmark เก๋ๆแล้ว
เขายังเปิดให้ สามารถขึ้นไปชมวิวเมืองที่ด้านบนได้ด้วยครับ ค่าขึ้นเพียง EUR 3
พร้อมฟรี Welcome Drink 1 แก้วครับ และเนื่องจาก ที่นี่ถือว่าเป็นจุดที่ ไกลจากจุดท่องเที่ยวจุดอื่น
ผมเลยแพลนมาเก็บภาพตั้งแต่คืนแรกที่มาถึงครับ (แต่สุดท้าย ก็มีแวะมาเก็บภาพช่วงกลางวันอยู่ดี 555)
อ้อที่นี่สามารถใช้ขาตั้งกล้องได้นะครับ แต่พื้นค่อนข้างสั่น ต้องหาจังหวะถ่ายดีๆครับ
บริเวณด้านล่างของ Metropol Parasol มีร้านอาหารให้นั่งเพียบเลยครับ 🙂
สามารถมานั่ง hang out กันได้ครับ
Plaza Toros Maestranza
Open 9.30 – 20:00
ค่าเข้า EUR 7
สำหรับวันที่ 2 ตอนแรกผมเล่นว่าจะไปเที่ยวแค่โบสถ์ ปราสาท และ Plaza de Espana ครับ
แต่ระหว่างทางเดินไปโบสถ์ ผ่านสนามแข่งวัวกระทิงพอดี เลยคุยกับเพื่อนๆว่า แวะเลยละกันครับ 555
สำหรับที่นี่ จะเปิด ขายตั๋วเป็นรอบๆครับ ตอนผมไปรอประมาณ 20 นาทีก็ได้เข้าไปชมข้างในครับ
สำหรับที่นี่จะมีไกด์พาเที่ยวด้วยนะครับ เค้าจะพาเราเดินดู เล่าประวัติต่างๆ ของกีฬาชนิดนี้
และภายในตัวอาคาร จะมีการจัดแสดง ประวัติต่างๆด้วยครับ มีทั้งให้ดูคอกวัวกระทิง
รวมถึงมีศาลเจ้าให้มาธาร์ดอร์ไหว้ ก่อนที่จะสู้วัวกระทิงด้วยครับ
Catedral de Sevilla
เปิด 11:00-17:00
ค่าเข้า EUR 8
หลังจาก เที่ยวที่สนามแข่งวัวกระทิงเสร็จ ผมก็เดินต่อไปที่โบสถ์เมืองเซบีย่าครับ
ซึ่งที่นี่ก็เป็นเช่นเดียวกับเมืองคอร์โดบาคือ สมัยก่อนเป็นมัสยิด จนถึงปลายศตวรรษที่ 12
สถาปนิกชาวคริสต์ จึงมีการออกแบบเพิ่มเติม และสร้างโบสถ์ขึ้นมาใหม่
ซึ่งโบสถ์แห่งนี้ ได้ชื่อว่าเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใหญ่พอโบสถ์ เซนต์พอลที่ลอนดอน
รวมถึงใหญ่กว่าโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ที่โรมด้วยครับ
แต่สำหรับภายในแล้ว ส่วนตัวแล้วผมชอบโบสถ์ที่คอร์โดบามากกว่าครับ
มันดูมีเอกลักษณ์มากกว่าที่นี่ครับ
Royal Alcázar of Seville
เปิด 9:30-19:00
ค่าเข้า EUR 9.5
ถ้าบอกว่าที่เมือง คอร์โดบา ไม่ควรพลาดการเที่ยวเมสฆิต้าแล้ว
ที่เมืองเซบีย่าไม่ควรพลาดในการมาเที่ยว Alcazar ครับ
ที่ Alcazar แห่งนี้มี ความสำคัญคือ เป็นปราสาทของราชวงศ์ด้วยนั้นเองครับ
ซึ่งหากดูจากสถาปัตย์ภายใน ไม่บอกว่าปราสาทนี้อยู่ที่ไหนในโลก
คนทั่วไปอาจจะนึกว่าเป็นภาษาของชาวแขก หรือชาวอาหรับครับ
แต่จริงๆแล้ว เมื่อก่อนมันก็เป็นเช่นนั้นล่ะครับ 555
ส่วนตัวแล้ว ถ้าดูจากภายนอก ถือว่าธรรมดามาก โถงทางเดินภายในก็ดูธรรมดาครับ
จุดเด่นภายในของปราสาทแห่งนี้ คือการตกแต่งภายในครับ ที่อลังการเวอร์เวินมากๆครับ
และอีก 1 จุดที่น่าสนใจของ Alcazar ที่นี่คือห้องอาบน้ำของพระราชีนีนั่นเองครับ
ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ของชาวแขกมัวร์นั่นหล่ะครับ
ที่บริเวณเมืองเก่าของเซบีย่านั้น อีก 1 กิจกรรมที่เป็นที่นิยม ของนักท่องเที่ยวคือการนั่งรถม้าชมเมืองครับ
ซึ่งก็แล้วแต่จะตกลงกัน ว่าจะนั่งไปที่ไหนบ้าง
Plaza de Espanya
จุดท่องเที่ยวหลักของเมืองเซบีย่าอีกแห่งคือ จตุรัสสเปน หรือ Plaza de Espanya นั่นเองครับ
Plaza de Espana ตั้งอยู่ในสวน Maria Luisa Park ครับ
โดยที่ จัตุรัสแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อครั้งจัดงาน World Expo ปี 1929 ครับ
โดยจตุรัสแห่งนี้ออกแบบโดย Jean-Claude Nicolas Forestier ซึ่งเป็นสถาปนิกชาวฝรั่งเศส
ซึ่งผสมผสานการออกแบบจากหลากหลายที่ครับ
ปัจจุบันที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของ หน่วยงานราชการหลายอย่าง ของเมืองเซบีย่าเช่น ศาลาว่าการเมืองเป็นต้นครับ
ที่นี่เป็นที่ที่มีมุมถ่ายรูปเล่นเยอะมากๆๆเลยครับ ผมไปถึงตั้งแต่ช่วงเย็นๆ เลยมีเวลาสำรวจมุมถ่ายภาพหลายมุมเลยครับ
นักท่องเที่ยวบางส่วน ก็ใช้วิธีขี่จักรยานมาเที่ยวกันครับ และแน่นอนมีรถม้าพานักท่องเที่ยวมาถึงที่นี่ด้วยเช่นกันครับ
และรอบๆจตุรัสก็มีเรือพายให้ไปพายเรือเล่นกันด้วยครับ
ตรงกลางเป็นอาคารซึ่งเราสามารถขึ้นไปชั้นสองได้ด้วยนะครับ แล้วก็มีน้ำพุเปิดให้คลายร้อนครับ
หลังจากนั้นผมก็รอถึงช่วงพระอาทิตย์ตกเพื่อถ่ายภาพที่นี่ครับ ช่วงเย็นนักท่องเที่ยวถือว่าค่อนข้างน้อยเลยทีเดียว
ผมเลยถ่ายภาพสบายๆครับ ตอนขึ้นไปถ่ายรูปบนชั้นสอง
แอบเห็นมีคู่รักมานั่งจู๋จี๋กันด้วย ผมก็ไม่สนใจ เดินไปตั้งกล้องถ่ายรูปเลย 555
ที่นี้ถือเป็นที่ที่มีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง ถ้าจะมาถ่ายรูปต้องวางแผนการถ่ายกันดีๆครับ
แต่รับรองว่าเพื่อนๆจะได้ภาพที่สวยไปเพียบเลยครับ
Seville-SOL
จริงๆแล้ววันที่ 3 ตอนแรกผมแพลนว่าจะไปดูสนามสู้ วัวกระทิง แต่ผมไปเที่ยวในวันที่ 2 มาแล้ว
วันนี้ช่วงเช้าเลยชิวๆครับ ไปเดินเล่นที่กลางเมือง และแวะไปที่ Motropol Parasol อีกรอบนึงครับ
Torre del Oro (Golden Tower)
แล้ว ช่วงเย็นผมก็เดินไปเก็บภาพอีกทีหนึ่งครับนั่นคือ Torre del Oro (Gold Tower)
หอคอยแห่งนี้ตั้งอย่าที่แม่น้ำ Guadalquivir ในสมัยก่อนขาวแขกมัวร์ ใช้ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมือง
เพื่อตรวจการณ์ข้าศึกทางน้ำครับ โดยที่ หอคอยชั้นล่าง สมัยก่อนจะประดับตกแต่งด้วยกระเบื้องสีทอง
จึงเป็นที่มาของ ชื่อหอคอยนี้นั่นเอง ปัจจุบัน หอคอยแห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ทางทะเล จัดแสดงเกี่ยวกับ เรือรบต่างๆ ในสมัยอดีต
ถ้าเปรียบกับเมืองลิสบอนที่โปรตุเกส ก็คือ Belem Tower นั่นหล่ะครับ
แต่ที่นี่ผมไม่ได้เข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ภายในนะครับ แค่มารอถ่ายรูปตอนเย็นเฉยๆครับ
เป็นยังไงบ้างครับ กับสถานที่ท่องเที่ยวทางภาคใต้ของประเทศสเปน
ส่วนตัวแล้วผมชอบเลยครับ เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางยุโรปที่มีกลิ่นอายลูกผสมจากทางแขกมัวร์ด้วย
ซึ่งค่อนข้างแตกต่าง จากสถานที่ท่องเที่ยวในยุโรปทั่วไป อีกทั้งยังมีความอลังการ
เรียกว่าในบรรดาประเทศในยุโรปที่ผมไปมา ผมชอบสถาปัตยกรรมจากสเปนมากเลยครับ
จริงๆแล้ว ในโซนนี้ อีกเมืองหนึ่งที่น่าไปเที่ยวคือเมืองกรานาด้าครับ
น่าเสียดายที่ผมไม่มีเวลา จริงๆก็พอมีนะครับ แต่ขี้เกียจขับรถไปเพราะเหนื่อยจากการเดินทาง
ซึ่งเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ของการเดินทางในทริปนี้แล้ว ทำให้หมดพลังไปเยอะเลย ไว้ครั้งหน้าถ้ามีโอกาส
กลับไปเที่ยวสเปนอีกครั้ง คงต้องแวะไปเที่ยวกรานาด้าแน่ๆครับ
สำหรับในตอนหน้านั้น ผมจะขับรถกลับขึ้นไปทางเหนือ
ไปเที่ยวที่เมืองหลวงในปัจจุบันนั่นคือ มาดริด ผ่านเมืองซาราโกซ่าและไปสุดที่เมืองบาร์เซโลนาครับ
ซึ่งแต่ละเมือง มีความโดดเด่น มีเอกลักษณ์ไม่แพ้กันเลย ไว้รอติดตามชมนะครับ
สำหรับวันนี้ ผมขอลาเพื่อนๆไปแต่เพียงเท่านี้ครับ
สวัสดีและขอบคุณที่ติดตามชมครับ 🙂