ทริปนี้เป็นการเดินทางที่สนุกมากค่ะกับ รีวิว 4 วัน 3 คืน มุกดาหาร สกลนคร อีสานฤดูนี้มันก็จะฝนๆ หน่อยนะ แค่วางแพลนว่าจะขับรถไปเที่ยวอีสานก็ตื่นเต้นแล้ว ยิ่งเป็นจังหวัดที่ติดแม่น้ำโขงอย่างมุกดาหารเนี่ย ก็จินตนาการไปแล้วล่ะว่าต้องโรแมนติกสุดๆ อ่ะ เพราะเป็นช่วงฤดูฝน ฝนพรำๆ ริมแม่น้ำอันกว้างใหญ่ น่าจะเป็นบรรยากาศของการพักผ่อนเย็นๆ สบายๆ ดีทีเดียว
DAY…..1
เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ช่วงเช้าตรู่เลยค่ะ เพราะกะว่าต้องไปถึงมุกดาหารไม่ค่ำนะ อยากพาซันซันไปดูสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 ที่อยู่ตรงข้ามเมืองสะหวันนะเขต ประเทศลาวด้วย
อ้อ! ทริปนี้เราใช้รถ Chevrolet Trailblazer ออกใหม่ปีนี้เลยนาจา สมรรถนะนี่ไม่ต้องพูดถึง หล่อเหลาสไตล์อเมริกันขนาดนี้ บุกตะลุยฝ่าฝนถึงจุดหมายแบบสนุกสนานและปลอดภัยมั่กๆ แถมตลอดทางไม่มีเหงา เด็กน้อยมีอุลตร้าแมนเป็นเพื่อน ลำโพง 7 ตำแหน่ง พร้อมระบบเสียงแบบพรีเมียม อย่างกับมินิเธียร์เตอร์เลยทีเดียว
พับเบาะลงมา ก็สามารถย้ายบ้านไปเที่ยวได้สมใจเลยค่ะ เพราะกว้างขวางมากมาย ใส่ของได้เต็มที่
ขับไปแวะไป ระหว่างทางมีฝนตกบ้างไรบ้าง แต่ก็ยังทำเวลาได้ดีมากค่ะทริปนี้ จากกรุงเทพฯ ผ่านโคราช เข้าขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ บ่ายแก่ๆ เราก็มองเห็นป้ายจังหวัดมุกดาหารกันแล้วค่ะ เย้ๆๆๆๆ กะเวลาได้เป๊ะมาก เข้าเขตมุกดาหารได้ตามเวลาที่ตั้งใจไว้
เข้าตัวเมืองมุกดาหาร ก็ตรงดิ่งไปที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 กันก่อนเลยค่ะ ขอบอกว่าไม่ใช่ไปที่สะพานนะ บริเวณนั้นจะเป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองและข้ามไปฝั่งสะหวันนะเขต ต้องตั้งพิกัดไปที่จุดชมวิวสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ถึงจะได้เห็นสะพานแบบเต็มๆ ตากันนะคะ มาถึงแล้วก็หาที่จอดรถได้เลย ที่นี่เค้าปรับภูมิทัศน์ให้เป็นสวนสาธารณะริมแม่น้ำโขงด้วย สามารถเดินเล่น นั่งเล่น ชมวิวเมืองสะหวันนะเขตที่อยู่ฝั่งโน้นได้แบบ 180 องศา
สำหรับใครที่มาถึงแล้วท้องร้องหิวข้าว ที่นี่มีร้านอาหารหลายร้านเลย ประเภทส้มตำ ไก่ย่าง แจ่วฮ้อน และอาหารพื้นถิ่นแซ่บๆ อยากเปลี่ยนบรรยากาศมื้อเย็น นั่งเปิบกันไปชมวิวกันไปก็ได้นะ บรรยากาศดี๊ดี ยิ่งช่วงที่มาฝนเพิ่งตกไปหมาดๆ อากาศเลยเย็นสบาย ลมจากแม่น้ำโขงพัดมาแล้วหายเหนื่อยเลยทีเดียว
ก่อนฟ้าจะมืด เก็บภาพบรรยากาศที่ริมสะพานมิตรภาพฯ ได้สมใจแล้ว ก็รีบมูฟไปที่พักกันค่า ครั้งนี้ก่อนเดินทางนั่งหาที่พักอยู่นานมาก เพราะอยากพักริมน้ำโขง บรรยากาศเงียบๆ ห้องพักไม่ต้องมาก มีบริเวณให้ได้นั่งๆ นอนๆ ซึมซับบรรยากาศกันหน่อย ก็มาจ๊ะเอ๋กับที่นี่ แค่ดูรูปในเน็ตก็รีบคว้าโทรศัพท์จองโดยไว เพราะน่ารักมาก…..BO TREE COTTAGE จากสะพานมิตรภาพฯ วิ่งเข้าตัวเมืองมุกดาหารมาตามถนนสำราญชายโขงเลยค่ะ ผ่านย่านที่เป็นร้านอาหารและที่พักริมน้ำโขง ของ BO TREE COTTAGE จะเป็นที่พักสุดท้ายเลยค่ะ หาง่ายมาก
BO TREE COTTAGE
ถ. สำราญชายโขงฝั่งใต้อ. เมืองมุกดาหาร จ.มุกดาหาร โทร. 08-1143-4391
ราคา 950-1,200 บาท ที่นอนเสริม 250 บาท ราคานี้รวมอาหารเช้า
สอบถามเพิ่มเติม
https://www.facebook.com/botreecottage/?fref=ts
บ้านพักของที่นี่ มีด้วยกัน 6 หลังนะคะ มีทั้งที่เป็น 2 หลังติดกัน และแยกหลังเดี่ยว
อย่างที่เห็นสีแดงหลังนี้ เหมาะกับคู่รักนาจาาา เพราะหันหน้าออกแม่น้ำโขง มีความเป็นส่วนตั๊วส่วนตัว
ที่นี่เคยเป็นสวนลำไยมาก่อน ซึ่งเจ้าของก็ยังหลงเหลือต้นลำไยเอาไว้ด้วย แบบว่าพอหน้าลำไยออก แขกที่มาพักก็เด็ดกินกันได้สดๆ จากต้นเลย ด้านหน้าที่พักติดริมน้ำโขงค่ะ และก็มีเส้นทางจักรยานให้ปั่นด้วยนะ ทางที่พักก็มีจักรยานไว้ให้ปั่นฟรีด้วย เช้าๆ อากาศดี รีบตื่นแล้วออกไปปั่นชมวิวได้เลย
และต้นโพธิ์ที่เห็นก็คือ สัญลักษณ์และเป็นที่มาของชือว่า BO TREE ค่ะ พี่กิ๊กเล่าให้ฟังว่า เป็นต้นโพธิ์ 1 ใน 4 ต้นที่อยู่เรียบน้ำโขงที่เรียงอยู่ริมน้ำในเมืองมุกดาหารด้วยนะ รอบนี้คุณตามาด้วยค่ะ ก็เลยนั่งรับลมชมวิวโขงกับหลานคุยกันมุ้งมิ้งเลย บรรยากาศดีมากๆ อ่ะนะ ฝนเพิ่งตกใหม่ๆ อากาศก็เลยเย็นสบาย
DAY….2
เช้าวันรุ่งขึ้น ตื่นมาแบบสดชื่นมากๆ คราวนี้ก็วางแพลนกันว่า เราจะขับรถเที่ยวเมืองมุกดาหารกันละ ชิวๆ ในตัวเมืองไม่ออกไปไหนไกลมาก เพราะจริงๆ แล้วแค่ละแวกตัวเมือง ก็มีที่เที่ยวมากมายค่ะ เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีเด็กน้อยมาด้วย ไม่ต้องเดินทางไกลมาก และความเก๋ของเมืองนี้ ในตัวเมืองก็มีภูเขาอยู่กลางเมือง มีอุทยานแห่งให้ได้ขับรถเที่ยวกัน เช้านี้เราก็เลยมุ่งหน้าสู่ อุทยานแห่งชาติภูผาเทิบกันเล้ยยยยย
ถึงจะเป็นอช. ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมุกดาหารมานมนาน แต่ก็ไม่ควรพลาด ที่นี่มีจุดให้เดินให้แวะมากมาย มีมัคคุเทศก์น้อยคอยนำทางด้วยนะ ซื้อบัตรพร้อมแล้ว ไปตะลุยป่าลุยภูเขากันเลย
จากจุดจอดรถก็สามารถเดินขึ้นเนินเขาเตี้ยๆ ไปไม่ไกล ก็ถึงจุดหมู่หินเทิบแล้ว คราวนี้เด็กน้อยก็วิ่งปล่อยพลังกันไปเลยสิคะ ที่นี่มีหินรูปร่างแปลกตาเยอะเชียว อย่างในรูปทายซิว่าคุณเห็นเป็นตัวอะไรกันบ้าง ใกล้ๆ กันยังมีหินรูปหอยมุก เต่า กิ้งก่าได้ทอง โลมา จานบิน ฯลฯ งานนี้เด็กๆ จะสนุกกันใหญ่เพราะได้ใช้จินตนาการกันเต็มที่
ให้สนุกยิ่งขึ้นออกแอคติ้งให้สุดฮาด้วย…..แบกหินยกหินอะไรก็ว่าไป
ขากลับลงมาอย่าลืมแวะซื้อของฝากกันโหน่ยยยย ที่นี่จะมีผลิตภัณฑ์ตระกร้า กระจาด กระบุง ที่สานจากเส้นพลาสติกจำหน่ายอยู่หลายร้านเลยค่ะ เป็นฝีมือของคุณยายคุณตาที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ กับอช. ซึ่งสินค้าอันเนี้ยเป็น OTOP ของมุกดาหารเลยน่ะ สวยงาม ใช้งานได้หลากหลาย ที่สำคัญราคาไม่แพงเลยค่ะ คุณตาคุณยายทำเป็นอาชีพกัน อุดหนุนเป็นกำลังใจให้ผู้สูงอายุด้วยน้า ราคาเริ่มต้นที่ 20 บาท
เราสอยตระกร้าใส่ผ้ามา ใบเบ้อเริ่มเลยค่ะ 100 บาทเท่านั้น คุ้มจริงๆ
ก่อนตะวันจะลับฟ้าวันนี้ ไปต่อกันเลยดีกว่า เพราะยังไม่เหนื่อยเท่าไหร่ กางแผนที่ดูปุ๊บเห็นว่ายังมี วนอุทยานภูหมู อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก ระยะทางประมาณ 40 กว่ากิโลเอง ไปสิคะรออะไร เสิร์จดูในมือถือ วิวสวยซะด้วย และเส้นทางนี้เป็นเส้นทางขับรถขึ้นเขาที่สนุกดี ไม่โหดเท่าไหร่ ถนนลาดยางทำไว้ดีมาก ข้างทางเขียวชะอุ่ม ใช้โฟวีลก็ขับขึ้นไปลื่นปรื๊ดเลย
ข้างบนเป็นจุดชมเมืองที่สวยงามมาก มีจุดชมทิวทัศน์อยู่สองจุดค่ะ คือ ผาเก็บตะวัน และผาพบรัก อากาศดี และมีต้นมะม่วงต้นใหญ่มากพร้อมโต๊ะนั่งชมวิว แนะนำให้เตรียมเสบียงมากินมื้อเที่ยงบนนี้นะคะ วิวสุดยอด ปิคนิคกันได้สบายๆ มาวันธรรมดาหรือช่วงนี้อาจจะเงียบไปบ้าง เพราะที่นี่จะคึกคักช่วงฤดูหนาว แต่ฤดูฝนแบบนี้ก็อยากเชียร์ให้มา เพราะจะได้เห็นผืนป่าที่เขียวขจี
ดูนาฬิกาโอ้ยยยยย บ่ายกว่าๆ แล้ว เลยมื้อเที่ยงมาเยอะเลย เด็กน้อยเริ่มหิว ต่างจากเมื่อกี๊เพราะมัวร่าเริงกับต้นไม้ใบหญ้า 5555 มุ่งหน้ากลับเข้าตัวเมืองค่ะ มีโจทย์มื้อกลางวันนี้ว่า อยากกินอาหารพื้นเมืองนามว่าแหนมเนือง ขอร้านที่คนคนท้องถิ่นนิยมกินกัน จริงๆ ที่มุกดาหารเราเคยมาเมื่อหลายปีก่อน ร้านอาหารเวียดนามเจ้าดังๆ เคยไปกินมาแล้วทุกร้าน รอบนี้ขอร้านแบบคนในท้องถิ่นเค้ากินกันดูหน่อย ถามจากที่พักที่เราพักมาเค้าแนะนำให้เราไปที่ร้านตุ๊กตาแหนมเนือง ตั้งอยู่ ถ.พิทักษ์สันดิราษฏร์ ตรงข้ามกับสภานีตำรวจมุกดาหารเลยค่ะ
มาถึงแล้วค่ะ หน้าตาร้านเรียบง่ายไม่หวือหวานะ ไม่มีแอร์ เพราะเป็นร้านนิยมของคนในพื้นที่มากกว่าจะต้อนรับนักท่องเที่ยว แต่ๆๆๆๆ ที่เราเข้าไปนั่งกินแล้วนั้น คนซื้อกลับบ้านเยอะมาก ใส่กล่องจัดเป็นชุดมากันแบบไม่ขาดสาย เอาซี้ รสชาติเป็นไงใช่มะ ก็อร่อยอ่ะสิ คือเป็นรสชาติกลางๆ นะคะ หน้าตาอาหารไม่เน้นจัดจานนะ แต่เน้นความอร่อยแบบดั้งเดิม เมนูเด็ดก็ตามป้ายเลยค่ะ แหนมเนือง ปอเปี๊ยะสด ปอเปี๊ยะทอด และแหนมคลุก
ช่วงที่เราไปกินมันบ่ายกว่าแล้ว ปอเปี๊ยะสดหมดแล้ว อดเลย แต่อย่างอื่นยังมีครบก็เลยจัดเต็ม อิ่มเปล้
ซูมความอร่อยใกล้ๆ กันหน่อย ร้านนี้ตัวแผ่นแป้งเค้าจะหนาหน่อยนะคะ แต่ความเหนี่ยวนุ่มหนึบหนับดีมาก ส่วนตัวชอบมาก เพราะแป้งหนาดีแถมนุ่มด้วย ห่อแล้วไม่แตก กินเพลินเชียวล่ะ
อิ่มจากร้านตุ๊กตา หอบท้องเดินมาทางซ้ายนะคะ จะมีร้านขายขนมเหนียว ขนมถ้วยแบบฉบับเวียดนาม หน้าตาแปลกดีแต่น่ากิ๊นน่ากิน โดยเฉพาะขนมเหนียวเนี่ย ป้าคนขายเค้าต้องค่อยๆ หยืบแผ่นขนมทีละแผ่นๆ ที่เรียงอยู่ในกะละมัง มาเรียงลงจาน แล้วใส่เครื่องเคราลงไป ทีเด็ดคือหมูหนองและแคปหมู ตามด้วยน้ำราดตำหรับเวียดนาม หอมอร่อยมากค่ะ
ยังไม่หมดเท่านี้ค่ะ มามุกดาหารทั้งทีต้องกินให้ตัวแตกกันไปเลย หนังท้องตึงหนังตาหย่อนกันไปกับมื้อเที่ยง คราวนี้ก็ถึงพิกัดความอร่อยต่อไป หากาแฟกินยามบ่ายค่า อีกอย่างฝนตั้งเค้ามามืดมาก ก็เลยรีบวนหาร้านน่านั่งสักหน่อย ใจจริงอยากได้ร้านกาแฟเก๋ๆ ที่นั่งแล้วเห็นวิวแม่น้ำโขงด้วย แต่วนไปสองรอบละ หาไม่เจอเลย มาเจอเข้าร้านนี้ อยู่ไม่ไกลจากตลาดอินโดจีน
ชื่อร้านกาแฟ goodmook ถ.สองนางสถิตย์ โทร. 0-4261-2091 www.facebook.com/goodmook
บรรยากาสร้านดีมากเลย มาถึงร้านปุ๊บฝนกระหน่ำพอดี เลยนั่งชิวยาวไปค่ะ ร้านนี้มีทั้งอาหาร กาแฟ และเมนูเค้กแสนอร่อย แต่แบบว่ากินมื้อเที่ยงกันมาเต็มพิกัด เลยเหลือช่องว่างสำหรับกาปฟและเค้กเท่านั้น เมนูเค้กแนะนำคือเค้กชอคโกแลต และเค้กมะพร้าวอ่อนนะคะ อร่อยใช้ได้เลย ส่วนร้านตกแต่งแนววินเทจนิดๆ นะมีของเก่าเท่ๆ และหนังสือให้เดินดูมากมาย หน้าร้านมีจักรยานด้วย และก็มีโปสการ์ด ของที่ระลึกให้ช้อปอีกด้วย
คืนนี้เราย้ายที่นอนค่ะ มาแล้วก็อยากเปลี่ยนที่นอนมันทุกคืน เผื่อจะได้หลายๆ บรรยากาศหน่อย คืนนี้เราเลยไปนอนโรงแรมดูบ้าง อยู่ถนนเส้นกลางเมืองเลยล่ะ เป็นโรงแรมเก่าแก่ของมุกดาหารนะ ถึงจะไม่ได้อยู่ริมน้ำโขง แต่โรงแรมนี้ก็ยังมีความน่ารักและมีเสน่ห์ในตัวเอง ถึงจะเป็นโรงแรมที่อยู่มานานมากแล้ว แต่ก็ยังน่าพักอยู่นะคะ
คืนนี้เรานอนที่โรงแรม RIVER CITY HOTEL ถนนมุกดาหาร-ดอนตาล โทร. 042-615444-45 www.rivercitymuk.com
มาถึงเช็คอินเรียบร้อย โรงแรมหน้าตาดีทีเดียว อาคารที่เห็นเป็นอาหารหลังใหม่นะคะ สร้างต่อเติมจากตัวโรงแรมเดิม ที่เห็นข้างบนโน้นนั่นน่ะคือไฮไลท์ของโรงแรมนี้เลยนะคะ ภัตตาคารหมุนได้ เดี๋ยวพาขึ้นไปชมกัน สำหรับห้องที่เราพักเป็นห้อง Deluxe นะคะ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1,200 บาทเท่านั้น ที่สำคัญมองเห็นวิวแม่น้ำโขงมุมสูงด้วย แถมยังเห็นไปถึงฝั่งลาว โค้งน้ำสวยมากเลย
เปิดแอร์เย็นๆ พักผ่อนกันหน่อย ระหว่างอาหารมื้อเย็นจะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมงก็นั่งดูข้อมูลท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวมาวันนี้ และหาที่เที่ยวต่อไปในวันพรุ่งนี้ เพราะโปรแกรมวันพรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวต่อกันที่จังหวัดสกลนครนครล่ะ
ก่อนลงไปหามื้อเย็นกินกัน ก็เลยให้เจ้าหน้าที่พาเดินดูห้องแบบอื่นๆ ค่ะ แล้วก็ขึ้นไปที่ภัตตาคารหมุนได้ สำหรับห้องแบบอื่นๆ ของที่นี่ที่อยากแนะนำก็จะมีเป็นห้อง River Suite กับห้อง Junior Suite นะคะ เหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่ เพราะมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันเลย แถมยังมองเห็นวิวทั้งแม่น้ำและภูเขาเลยล่ะ
โดยรวมโรงแรมนี้ค่อนข้างโอเคค่ะ ในเรื่องราคา และทำเลนะ เพราะสามารถเดินเที่ยวในตัวเมืองได้เลย ทั้งตลาดอินโดจีน และละแวกวัดวาอาราม ร้านอาหารๆ และแหล่งช้อปปิ้งต่างๆ เอาไว้รอบหน้าจะมาพักห้อง Junior Suite เพราะวิวสวยมากเลยมองเห็นแม่น้ำโขงและเขาภูมโนรมย์ไปพร้อมกัน ฟินมากกกก เอาไว้รอบหน้าจะมาพักห้อง Junior Suite เพราะวิวสวยมากเลยมองเห็นแม่น้ำโขงและเขาภูมโนรมย์ไปพร้อมกัน ฟินมากกกก
มาถึงมื้อเย็นวันนี้ เยื้องๆ หน้าโรงแรมที่เราพัก มีที่กินใหม่เพิ่งเปิดได้ไม่กี่เดือนค่ะ นั่นก็คือตลาดศรีบุญเรือง night box เป็นแหล่งกินชิคๆ ยามค่ำคืน ทั้งเครื่องดื่ม อาหารคาว-หวานสารพัด ว่าแล้วก็ต้องไปเดินสักหน่อย บรรยากาศตลาดเล็กๆ น่ารักดีนะ ซ้ายขวาร้านต่างๆ ทำเป็นตู้คอนเทนเนอร์ ตรงกลางเป็นที่นั่งส่วนกลางซื้ออาหารร้านไหนมาก็นั่งได้ค่า
เดินวนไปวนมา กลิ่นหอมของแจ่วฮ้อนก็ลอยมา และ และ และ ทีเด็ด ก็อยู่ที่ร้านชื่อ เสือใหญ่อยากจะบอกว่า ให้เยอะมาก หมู เนื้อ รวมมิตร น้ำแจ่วฮ้อนเด็ดมาก หอมกลมกล่อม ไม่ต้องพูดไรมาก พูดคำเดียว…เป็นตาแซ่บ
แบกพุงกลับห้องนอน อิ่มมั่กๆ สนนราคามื้อนี้ 299 บาท ไม่รวมน้ำนะจ๊ะ ไปแซ่บกันได้
DAY….3
ก่อนบ๊ายบายมุกดาหาร เช้านี้ขับรถตะลุยขึ้นอีกสักเขากลางเมืองนี้ดีกว่าไปที่ เขาภูมโรมย์ ด้านบนเป็นที่ตั้งของวัดรอยพระพุทธบาทภูมโนรมย์ มีพระเจ้าใหญ่แก้วมุกดาศรีไตรรัตน์ ที่สร้างได้ใหญ่โตแต่ยังไม่แล้วเสร็จนะคะ สามารถมองเห็นได้จากด้านล่าง เพราะองค์พระใหญ่มาก เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตัก 39.99 เมตร สูง 59.99 เมตร ความสูงจากฐานถึงยอดเศียร 84 เมตร
วัดรอยพระพุทธบาทภูมโนรมย์ อยู่ในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติมุกดาหาร จากหลักฐานการสร้างวัดจากแผ่นศิลา ได้กล่าวว่า บริวารของท่านขุนศาลาและพระอาจารย์บุ นันทวโร เจ้าอาวาสวัดมโนภิรมย์ บ้านชะโนด (ต.ชะโนด อ.หว้านใหญ่) และผู้สร้างวัดลัฎฐิกวัน เป็นผู้สร้าง
นอกจากโบราณวัตถุต่างๆ ที่อยู่ในวัดแล้ว ด้านล่างตรงบริเวณลานจอดรถ ได้ทำเป็นภาพ 3D ให้เล่นด้วยค่ะ งานนี้แม่กับลูกก็ขอสนุกกันหน่อย แถมยังเป็นจุดชมวิวเมืองมุกดาหารที่เต็มตามากๆ ทั้งแม่น้ำโขง และภูเขารอบเมือง
อ่ะ….ก่อนเดินทางต่อ กองทัพต้องเดินด้วยท้องค่ะ มาเที่ยวเมืองริมน้ำโขงทั้งทีต้องอาหารปลาน้ำโขงกินซะหน่อย ที่มุกดาหารมีร้านอาหารริมแม่น้ำโขงเยอะแยะเลย แถวถนนสำราญชายโขง ขับรถวนไปเลือกร้านที่ถูกใจก็เจอกับร้านอาหารชือครัวไทยลาว รถจอดเยอะ คนในร้านเพียบ ท่าทางรสชาติจะไม่เบาค่ะ เข้าไปจองโต๊ะโลดดดดด
เมนูเต็มโต๊ะอยากจะบอกว่าไม่หิวจริงๆ 55555 ความแซ่บทั้งหมดนี้มี แกงเห็ดสไตล์มุกดาหารค่ะ คือรวมสารพัดเห็ด รสชาติแซ่บลืมหอมความเป็นอาหารอีสานจนขึ้นจมูก อีกจานเป็นลาบปลาแข้ ต่อด้วยผัดฉ่าปลาคัง และของโปรดของเด็กน้อยประจำครอบครัว ปลานิลทอดน้ำปลา ตัวใหญ่มาก สดด้วย ทอดได้กรอบนอกนุ่มใน แร่หั่นเป็นชิ้นมาเรียบร้อย เข้าปากเคี้ยวได้เลย ไม่ต้องมานั่งแกะ
ร้านครัวไทยลาว ตั้งอยู่ที่ ถ. สำราญชายโขงเหนือ โทร. 09-4067-0187 เปิดเวลา 10.00-23.00 น.
อิ่มแล้วก็ออกมาเดินเล่นย่อยอาหารริมน้ำโขง ชอบที่ทางจังหวัดมุกดาหารทำทางปูนเลียบไปกับแม่น้ำเป็นทางหลายกิโลเลยค่ะ ยามเย็นสารถมาเดินเล่น หรือปั่นจักรยานได้เลย ชิวมาก
มุ่งหน้าสู่…….สกลนคร จากมุกดาหาร ไปสกลนคร ใช้เวลาปนะมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆค่ะ เพราะห่างกันประมาณ 100 กม. เอง การแพลนทริปมาเที่ยวแบบ 2 จังหวัด เลยทำได้แบบชิวๆ ขาไปฝนตกนิดหน่อย แต่ก็ทำให้การเดินทางรื่นรมย์ดีค่ะ เห็นเม็ดฝนแล้วสบายตาสบายใจดีจัง พอดีวันนี้ที่มาถึงสกลนคร เป็นวันอาทิตย์พอดีเลย ซึ่งบริเวณหน้าวัดพระธาตุเชิงชุมนั้นมีถนนผ้าครามพอดีเลย ไปถึงก็แวะกราบพระธาตุเชิงชุมเพื่อความเป็นสิริมงคลกันก่อน ซึ่งตัวพระธาตุกำลังอยู่ระหว่างซ่อมแซม แต่ก็ยังคงความสวยงามอยู่ไม่น้อย
วัดพระธาตุเชิงชุม อยู่ริมหนองหารในเขตเทศบาลสกลนคร จะมีงานมนัสการพระธาตุประจำปี เริ่มตั้งแต่วันขึ้น 11 ค่ำ ถึง 15 ค่ำ เดือนยี่ เป็นปูชนียสถานสำคัญคู่บ้านคู่เมืองสกลนครมาแต่โบราณ ภายในวิหารใกล้พระธาตุเชิงชุม เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อองค์แสนอันศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพนับถือ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนในจังหวัดสกลนครค่ะ
เดินมาหน้าวัดก็จะเจอกับถนนผ้าครามค่า มองไปทางไหนก็มีแต่ผ้าครามสวยๆ ทั้งนั้นเลย ใครจะมาช้อปปิ้งต้องมาช่วงศุกร์-อาทิตย์นะคะ มีสินค้าของชาวบ้านที่ผลิตจากผ้าย้อมครามทุกรูปแบบ ทั้งเสื้อผ้าสำเร็จรูป กระเป๋า รองเท้า ที่มัดผม ไปจนถึงผ้าเป็นเมตรๆ สำหรับไปตัดเย็บเอง เรียกได้มาใครมาเดินนี่หมดเนื้อหมดตัวแน่นอน ยิ่งใครเป็นคนรักผ้าไทย ผ้าแบบธรรมชาติที่นี่เหมือนเป็นกรุสมบัติเลยค่า
นอกจากช้ิปปิ้งแล้ว ยังมีคุณยายมานั่งสาธิตการทำฝ้ายทุกขั้นตอนจนกว่าจะได้ออกมาเป็นผ้าทอ แล้วนำไปย้อมคราม ซึ่งเป็นกระบวนทั้งหมดที่น่าสนใจมากเลยค่ะ พาเด็กๆ แวะชมได้เลย เค้าจะได้รู้ว่ากว่าจะเป็นผ้าทอมือซักผืนนั้นเป็นยังไง ครามคืออะไร เป็นการเรียนรู้ระหว่างการท่องเที่ยวที่ดีมากๆ
ก่อนเข้าที่พัก แวะหาของหวานกินให้ชื่นใจ มีคนแนะนำให้มานั่งที่ร้านคำหอมค่ะ ร้านกาแฟขนมหวานในบ้านไม้เก๋ๆ กลางเมืองสกลนคร ร้านนี้บรรยากาศดีนะ ต้นไม้ร่มรื่น และในร้านก็สร้างด้วยไม้ ทำให้ดูคลาสสิคน่านั่ง เมนูเด็ดๆ ก็จะเป็นบิงซู ขนมปังนึ่งสังขยา โรตี และกาแฟ ชา ต่างๆ เลยลองสั่งขนมปังนึ่งกับสังขยามากิน นุ่มหอมอร่อยดี
ร้านคำหอม ตั้งอยู่ ถ. รัฐพัฒนา โทร : 081 -873 -7564 เปิดเวลา 08:00–22:00 น.
https://goo.gl/BM7E6a
คืนนี้ได้ที่พักชื่อ แอทสกล เป็นบูทีคโฮเทลเล็กๆ ที่น่ารักมากเลยค่ะ พนักงานต้อนรับยิ้มแย้มและเป็นกันเองสุดๆ ใครที่อยากพักโรงแรมเล็กๆ ที่ไม่ต้องมีฟังก์ชั่นอะไรหรือสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรมาก ขอแค่นอนหลับสบาย ห้องพักสะอาด และราคาใช้ได้ เราขอแนะนำที่นี่นะคะ
โรงแรมแอทสกล ตั้งอยู่ที่ ถนนคูเมือง โทร. 042-713234 ราคาคืนละ 800 บาท http://www.atsakonhotel.com/
มาดูห้องพักกันบ้างค่ะ ก็มีทั้งเตียงเดี่ยวเตียงคู่ และที่ขาดไม่ได้ก็คือน้องตุ๊กตาหมี ตุ๊กตาเอกลักษณ์ของที่นี่ เป็นลายผ้าข้าวม้าค่ะ เลียนแบบความเป็นลายผ้าพื้นเมืองไรงี้ มีให้ทุกห้องไว้กอดนอนแทนหมอนข้าง
สำหรับคืนนี้ครอบครังเราก็หลับไปพร้อมกับกองทัพหมีค่ะ แอร์เย็นเจี๊ยบ ห้องขนาดกระทัดรัด อบอุ่นง่ายๆ ไม่ต้องอะไรมาก ส่วนใครที่ถูกใจน้องหมีของที่นี่ เค้ามีขายนะเออ ตัวละ 390 บาท ซื้อไปเลี้ยงกันที่บ้านได้นะ
สำหรับอาหารเช้าของทางโรงแรมก็จะเป็นไข่กระทะ ข้าวต้ม ขนมปังสอดไส้ ขนมปังปิ้ง ปาท่องโก๋ ผลไม้ เลือกสั่งเลือกเติมได้ไม่อั้นนะ เด็กน้อยก็จะมีข้าวไข่เจียวหอมๆ ตบท้ายด้วยโอวัลตินอุ่นๆ ค่ะ
DAY….4
วันนี้ต้องกลับกรุงเทพฯ แล้ว เพราะเดี๋ยวเด็กน้อยจะขาดเรียน ก็เลยหาเรื่องเที่ยวอีกนิดว่าจะไปใกล้ๆ ตัวเมืองสกลได้พิกัดไหนบ้างน้าาา เห็นหลายคนบอกที่ อ. ท่าแร่ มีบ้านเก่าให้เที่ยวชมอยู่ในชุมชนคริสต์ ก็ไม่รอเวลาสิคะ กินมื้อเช้าเสร็จก็เช็คเอาท์ไปที่ อ. ท่าแร่
ระหว่างทาง ผ่านอุทยานบัวเฉลิมพระเกียรติด้วยล่ะ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2553 เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมบัวพันธุ์ต่างๆ และรองรับการประชุมวิชาการบัวนานาชาติปี พ.ศ.2553 ที่จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ศึกษา ค้นคว้า ของนิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป รวมทั้งยังเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดสกลนคร
ในบึงรวบรวมพันธุ์บัวทั้งในและต่างประเทศทั้งหมด 34 สายพันธุ์ เช่นบัวกระด้ง บัวสาย บัวผัน-เผื่อน และบัวฝรั่ง รวบรวมไว้ในรูปแบบสระบัวบนพื้นที่ 10 ไร่ โดยมีทางเดินที่สามารถเดินลงไปชมบัวได้ อย่างใกล้ชิด เด็กน้อยนี่เพลิดเพลินมาก วิ่งไปวิ่งกลับ แต่ต้องดูแลใกล้ชิดหน่อยนะคะ พลาดหกล้มตกน้ำไปล่ะจะไม่สนุกเอา ที่นี่ยังมีจักรยานให้เช่าปั้นกันชิวๆ รอบบึงบัวด้วยนะ ย้ำว่ารอบบึงนะคะ ไม่อนุญาตให้ปั่นไปบนสะพานไม้ในบึงนะ ส่วนราคาค่าเช่าคันละ 10 บาทเท่านั้น ปั่นกันไปจนกว่าจะหมดแรงค่อยมาคืนรถ
จากอุทยานบัวฯ ก็เข้าสู่ตัว อ. ท่าแร่ ซึ่งอยู่ห่างจากตรงนี้แค่ 10 กว่ากิโลเอง ขับรถแป็บเดี๋ยวก็ถึงแล้ว สำหรับคนที่เข้าไปชมบ้านเก่าที่อยู่ในชุมชนท่าแร่ พอขับไปถึงสี่แยกใหญ่นั้น ให้เลี้ยวขวานะคะ ย่านที่เป็นบ้านเก่าจะอยู่ฝั่งเดียวกันกับโบสถ์โบสถ์อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล หมู่บ้านท่าแร่ เป็นหมู่บ้านที่มีประชากรนับถือศาสนาคริสต์มากที่สุดในประเทศไทยนั่นเองค่ะ โดยหมู่บ้านท่าแร่หรือท่าแฮ่นั้นเป็นชุมชนที่มีความเก่าแก่กว่า 100 ปี ถูกก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2427 โดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศส ชื่อ ซาเวียร์ เกโก ซึ่งอพยพครอบครัวจากตัวเมืองสกลนครข้ามหนองหาร มาตั้งหลักแหล่งใหม่ทางฝั่งเหนือของหนองหาร
นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้พบกับความสวยงามของบ้านโบราณอายุมากกว่า 100 ปี โดยอาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นแบบตึกปูนทรงยุโรปในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศสผสมเวียดนาม อาคารแต่ละหลังถูกสร้างขึ้นด้วยการใช้ภูมิปัญญาช่างและประสบการณ์การก่อสร้างบ้านแบบก่ออิฐฉาบปูนไม่มีช่างใดทำได้และไม่ค่อยพบเห็นที่ไหนอีกด้วย
ทางตอนท้ายของหมู่บ้านยังมีตึกร้างก่อด้วยอิฐฉาบปูน มีต้นโพธิ์ขึ้นปกคลุมอยู่ ตึกหลังนี้มีอายุประมาณ 90 – 100 ปี เป็นบ้านของนายหนูกัน และนางหนูนา โง่นคำ เป็นมรดกขององเฮียน แต่เดิมสร้างเป็นที่อยู่อาศัย ต่อมาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (สงครามอินโดจีน) ทางราชการสั่งปิดโบสถ์ไม่ให้ใช้ประกอบพิธีใดๆในทางศาสนา ในทุกๆวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ชุมชนแห่งนี้จะจัดเทศกาลแห่ดาวคริสต์มาส โดยจัด “ขบวนแห่ดาวคริสต์มาส” ที่ อำเภอเมือง โดยเชื่อว่า “ดาว” เป็นสัญลักษณ์ของการเสด็จลงมาประสูติบนโลกมนุษย์ของพระเยซู เฉพาะในช่วงเทศกาลแห่ดาวคริสต์มาส เจ้าของหรือญาติเจ้าของตึกจะประดับประดาดาวและไฟหลากสีอย่างสวยอย่างสวยงาม
และก็ปิดทริปการเยือนมุกดาหาร-สกลนครด้วยความประทับใจมากๆ ค่ะ ถึงแม้จะเป็นการเที่ยวในฤดูฝน แต่รู้มั้ยเราว่าเป็นช่วงที่ดีมากนะ ข้อดีคือไม่ร้อนมาก พื้นที่แถบนี้เขียวขจีสบายอุรามากๆ ป่าเขาก็สดชื่น เป็นเส้นทางขับรถเที่ยวไปแวะไปได้เป็นอย่างดี ฝนตกก็มีร้านเก๋ๆ หรือที่เที่ยวดีๆ ให้แวะนั่งแวะชมหลบฝนได้ พอฝนหยุดก็ออกเที่ยวกันใหม่
ที่สำคัญใช้เงินน้อยมาก แต่ความสุขแพงมาก เพราะธรรมชาติของมุกดาหารและสกลนครยังเต็มร้อย
ถือเป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบที่เหมาะแก่การพักผ่อนชาร์จแบตให้ตัวเองและทุกคนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี
ทริปนี้ยังเที่ยวไม่สะใจ เอาไว้แพลนมาเที่ยวใหม่นะ…..มุกดาหาร สกลนคร
***สามารถอ่านรีวิวอีสานจังหวัดอุบลราชธานีได้ที่นี่