สวัสดีครับ
รีวิว ” พาแม่เที่ยว..อุบลราชธานี รักแม่ให้พาไป ” รีวิวที่ผมรอและอยากเขียนมานานกว่าจะได้กลับมาเขียน หลังๆเน้นพาลูกเที่ยซะเยอะครับ เพราะแม่ก็อายุมากขึ้นและก็เดินทางลำบากกว่าแต่ก่อน แต่ทริปนี้ก็เกิดขึ้นจนสำเร็จเมื่อแม่อยากไปผมก็ต้องพาไปสิแถมตอนไปเป็นช่วงหนาวกลับมาพอดีเราจึงได้ลมหนาวจากอีสานเต็มๆ เอาล่ะจะไปไหนบ้างมาดูกันเลยดีกว่าครับ
เริ่มกันที่ดอนเมืองครับเที่ยวนี้เราบินกับ ThaiLion Air ออกกันช่วงเช้าไปถึงจะได้ไม่สายมากเที่ยวกันได้เลย
หลังจากลงเครื่องเที่ยวนี้เราใช้รถเช่าซึ่งผมเองหาข้อมูลก่อนมาที่อุบลรถจากบริษัทใหญ่ๆจะไม่มีนะครับเค้ามีเป็นบริษัทแบบท้องถิ่นให้บริการแต่ก็ใช้ได้เลยนะ รถใหม่ไมล์ไม่เยอะครับ
มาอีสานจะพลาดส้มตำ และสารพัดอาหารอีสานได้ยังไง ร้านที่แนะนำกันว่าเด็ดมันกมีหลายร้านนะครับสุดท้ายก็เลือกร้าน “ส้มตำพรทิพย์” และก็ไม่ผิดหวังบรรยากาศร้านอีสานแบบดั้งเดิม ที่ผมติดใจสุดก็เป็นแหนมซี่โคร่งหมูทอดนี้ละครับ สั่งซ้ำกันเลยเมนู ส้มตำก็แซ่บดีครับ
อิ่มกันดีแล้วก็ได้เวลาไปไหวพระกันละครับวัดแรกที่อยากพาแม่มากราบพระ “วัดพระธาตุหนองบัว” อยู่ไม่ไกลกันจากร้านทีเราแวะกัน อยู่ในตัวเมืองไม่ถึง 3 กิโลเมตรจากศาลาว่าการจังหวัดฯ
ตัว พระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ ได้แรงบันดาลใจและจำลองมาจากเจดีย์ ที่พุทธคยา จากประเทศอินเดีย เป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญจากในกรุงเทพฯมาโดยเจ้าอาวาสองค์ก่อนคือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์เป็นผู้มาอัญเชิญด้วยตนเองตั้งแต่ปีพศ.2502 และประดิษฐ์ฐานยังองค์พระบรมธาตุจนถึงปัจจุบันนี้
มาแล้วก็ต้องขอชื่นชมในความงดงงามและสะอาดสะอ้านของบริเวณโดยรอบทั้งภายนอกและภายใน คือเราสามารถเดินถอดรองเท้าได้ไม่ตะขิดตะขวงใจครับ
และแม่ผมเองก็ชอบมากทีไ่ด้พามากราบองค์พระธาตุ แค่นี้คนเป็นลูกก็สุขใจแล้วละนะ
หมดจากไหว้พระผมก็บึ่งรถยาวขึ้นไปทางเหนือเพื่อไปพักยังที่เป็นจุดหมายในตอนเช้า คือ “บ้านสวนณัฐชนา รีสอร์ท” อยู่ในบริเวณใกล้กันกับ 3พันโบกนั้นละครับ ไม่ไกลกันเท่าไหร่ สำหรับที่นี่ผมไปกับ “อ.เรืองประทิน” เจ้าของ รีสอร์ท บ้านสวนณัฐชนา ผู้ปลุกปั้นให้สามพันโบกเป็นที่รู้จัก จากการที่บันทึกเรื่องราวของที่นีมาก่อนใครกว่า 10 ปีจนถึงทุกวันนี้(ททท.เองนี่ละครับที่มาเจอจากภาพและเรื่องราวของ อ.เอง)
คืนนั้นเราเข้าพักกันไวแม่เองก็เริ่มเพลียจากการขับรถยาวมากว่า 1ชั่วโมงส่วนผมมีโอกาสได้เจออาจารย์เรืองประทินเลยได้พูดคุยกันตามประสาคนชอบถ่ายภาพ ตัวอาจารย์เองเป็นคนสนุกสนานมากครับ พร้อมๆกับคืนนั้นเพื่อนของอาจารย์คือ พี่ตาเอกตากล้องผู้คว้ารางวัลจากการประกวดในเวทีต่างๆมาเยอะเราทั้งสามคุยกันถูกคอจนดึกผมจึงลาเข้าห้องพักเพื่อเช้าๆตี 4 เศษๆมีภารกิจไปชมแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแหล่งใหม่ที่ทททกำลังโปรโมทให้คนไทยได้รู้จักอยู่ตอนนี้เลย
ตี 4.30 น.
ผมตื่นแล้วรีบลุกบิดขี้เกียจเอาความง่วงหาวออกจากร่างโดยไวก่อนที่จะจัดแจงพาตัวเองออกไปปะทะลมหนาวระดับเลขเดี่ยว เพื่อไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่ยังใหม่มากและน้อยคนนักนอกจากคนในพื้นที่เองจะเข้าไปถึง
ที่ผมกำลังพาไปชมนั้นคือ “แก่งชมดาว” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “หาดชมดาว” นั้นละครับ
สำหรับแก่งชมดาว หากใครที่คุ้นๆกับ โฆษณาของ Campaign เค้าเล่าว่าอยู่ในเวลานี้ที่นี่คือแหล่งท่องเที่ยวแหล่งใหม่ที่ ททท.(การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)กำลังโปรโมทอยู่นั้นละครับ
เอาละพูดไปอาจจะไม่เห็นภาพหยิบ VDO มาให้ดูกันเลยดีกว่า
เขาเล่าว่า… ริมโขงยามน้ำลด จะปรากฎจุดชมดวงดาวที่สวยที่สุด ภายในถ้ำใหญ่กว่า 50 ไร่ มีพลังแห่งแสงมรกตซุกซ่อนอยู่ป่าสีทองแห่งนี้ จะทำให้ลืมทุกความวุ่นวายในชีวิตทุกที่คงเป็นได้แค่เรื่องที่ “เขาเล่าว่า…” จนกว่าคุณจะไปสัมผัสด้วยตัวเอง#เขาเล่าว่า
Posted by เขาเล่าว่า on Tuesday, February 2, 2016
เช้านี้นอกจากผมแล้วยังมีสมาชิกจากรีสอร์ทเดียวกันจะไปชมความงดงามยามเช้าของเรื่องราว เค้าเล่าว่า หนนี้ หลังจากนั่งรถพอลืมงีบ อ.ก็พาเราทั้งคณะมาถึงจนได้ แหล่งผาหินที่เป็นหลุมเป็นบ่อสลับซับซ้อนตรงหน้าค่อยๆเผยกายออกมาอวดโฉมพวกเราแล้ว
แก่งหินที่ถูกกัดเซาะมาเป็นล้านๆปีจนทำให้เกิดเป็นผาหินเป็นหลุมเป็นบ่อ และแอ่งหลุมรูปทรงแปลกจนทำให้เราต้องจินตนาการไปต่างๆนานาได้
ยิ่งมายามเช้าแบบนี้ด้วยแล้วที่นี่เป็นอีกที่ในจังหวัดนี้ที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้สวยงามมาก
มาแล้วก็ต้องaction ท่ากันหน่อยแสงเช้าก็สวยมาก
ผมเริ่มสำรวจบริเวณโดยรอบแล้วก็พบว่มันงดงามจริงๆสมกับเป็น Unseen แห่งใหม่ของจังหวัด เช่นหินชมนภา สวยจากมือของธรรมชาติจัดสรรล้วนๆ
ไม่นานพระอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว
เราเก็บความงามทีนี่จนสายก่อนจะกลับมาเก็บข้าวของและแม่ก็ตื่นแล้วด้วย หลังจัดการมื้อเช้าสายอร่อยเรียบร้อยก็ได้เวลาไปต่อแล้วละครับ ที่หมายถัดมาของผมที่อยากพาแม่ไปชมแน่นอนจะเป็นที่ไหนได้นอกจาก สามพันโบก สิครับ
ความสวยงามของที่นี่สมคำร่ำลือจริงๆ แก่งหินในสายตาผมตอนนี้แปลกมาก และแม่เองก็ดูชอบจนต้องออกปากชมครับ ที่ๆเราเข้ามาจะเป็นที่ของเอกชนครับเค้าจะเรียกเก็บค่าที่จอดคันละ 10 บาทถ้าใครไม่อยากเสียให้เข้าตามป้ายบอกทางที่บอกไปสามพันโบกนะครับตามทางหลักเท่านั้นแต่จริงๆผมว่าทางนี้มันเดินใกล้กว่าเยอะเลยครับ
หลังจากพาแม่นั่งแล้วผมก็เลยเดินลงมาชมความงามของแก่งเล็กแก่งน้อยทั้งหลายที่ธรรมชาติจัดมาให้ แต่ละโบก(ภาษาอีกสานครับแปลว่าหลุม) เดินมาเพลินตาเราจะได้ยินเสียไกด์ประจำถิ่นเค้าคอยแนะนำแขกถ้าไงใครไม่อยากเสียเวลาอุดหนุนตามกำลังศรัทธาได้เลยครับทุกคนทำหน้าทีดีมาก ผมเลยได้ความรู้ดีมากครับ อย่าหลุมสำคัญที่ใครมาต้องมาถ่ายรูปด้วยคือ โบกมิคกี้เมาส์
ดูครับเหมือนไหม
หรือโบกหัวใจคู่ อันนี้ดูแล้วก็คล้ายๆ
หรือย่างผารองเท้าบูทอันนี้เหมือนจริงๆ
หรืออีกเพียบเลยเป็นความเพลิดเพลินของจินตนาการของเราที่จะโลดแล่นไปตามแก่งหินต่างๆ
และที่นี่ก็มีเรือล่องแม่น้ำโชงพาเที่ยวได้อีก สนนราคาแล้วแต่ตกลงครับผมไม่ได้ถามเลยไม่ทราบ
ผมเดินขึ้นมาก่อนจะพาแม่ไปยังที่สุดท้ายก่อนจะเข้าเมืองและเป็นที่ๆเราพำนักกันคือ โขงเจียม และที่พักที่ผมเล็งไว้นานมากแล้วว่าจะมาพักสักครั้ง นั้นคือ ” ทอแสงโขงเจียม ” นั้นเองครับ
ทำเลของที่นี่ดีมากอยู่ริมแม่น้ำโขงด้วยระยะทาง ประมาณ 95 กิโลเมตรจากตัวเมือง เอาจริงๆก็ใช้เวลาไม่เยอะมากครับชั่วโมงเศษจากในเมืองก็ถึงได้ ผมมาจากสามพันโบกไม่ถึง ครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว
ภายในห้องพัก TYPE DELUXE ที่ผมและแม่เข้าพักกัน เรารีเควสขอเป็นห้องที่ไม่ต้องขึ้นบันได ก็ได้ตามนั้นทุกอย่างดีมากๆเลย
หลังเข้าห้องพักผมออกมาสำรวจบริเวณรอบๆพบว่าทำเลที่นี่ดีมากครับ ติดริมน้ำลมเย็นๆพัดมาตลอดเวลา
วันที่ผมไปอากาศดีมาก ทางเดินจากรีสอร์ทสามารถเดินลงไปใกล้ๆริมน้ำได้ บรรยากาศยามเย็นสวยงามมาก
พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้วครับ สวยมาก…
หลังพระอาทิตย์ตกผมเดินกลับมาตรงแถวบริเวณห้องอาหารบรรยากาศยามโพล้เพล้ดีมาก เสียอย่างเดียววันนั้นลมแรงทำให้แขกนั่งกันข้างนอกไม่ได้ ย้ายไปนั่งกันด้านในหมด
มาถึงเป้าหมายสุดท้ายแล้วสำหรับใครที่มาพักในอำเภอนี้มีจุดเด่นอีกแห่งที่มาแล้วไม่แวะไปคงไม่ได้นั้นคือ “วัดภูพร้าว” หรือชื่อเต็มๆก็คือ ” วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว ” หรือเรียกกันติดปากว่า ” วัดเรืองแสง ”
ทำไมเค้าถึงเรียกกันแบบนี้มารู้จักที่มาที่ไปกันหน่อยนะครับ
วัดภูพร้าว มีที่มาที่ไปอายุอานามมากกว่า 4-50 ปีที่ผ่านมา(ปี 2500-2514) มีการสร้างวัดนี้ขึ้นจากเจ้าอาวาสองค์แรก(พระอาจารย์บุญมาก ฐิติปัญโญ) จวบจน พศ.2524 วัดได้ถูกทิ้งร้างลงเนื่องจากท่านเจ้าอาวาสได้มรณะภาพลงจนกระทั่งปี 2542 ลูกศิษย์และเจ้าอาวาสองค์ถัดมา(พระครูกมลภาวนากร)ได้มีการบูรณะปฎิสังขรวัดแห่งนี้อีกครั้ง จนถึงปี 2547 มีการเปลียนชื่อจากวัดภูพร้าวเป็น วัดสิรินธรวรารามภูพร้าวจวบจนถึงปัจจุบัน และอยู่ในความดูแลของเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน (พระครูปัญญาวโรบล )
จุดเด่นที่สุดที่ทำให้ใครๆอยากมาที่นี่มีอยู่สองจุด คือ วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเขาสูง ถือเป็นจุดชมวิวยามพระอาทิตย์ตกที่งดงามที่สุดแห่งนึง และ จุดเด่นสำคัญต่อมาคือ การมีต้นกัลปพฤกษ์ เรืองแสงด้านหลังอุโบสถ ที่จะเรืองแสงในยามค่ำคืน สร้างเสน่ห์ให้ใครๆก็ต้องอยากมาหากมาถึงอุบลแล้วก็ตาม
ความงดงามของต้นกัลปพฤกษ์นี้หากมองด้วยตาเปล่าจะเห็นเพียงรางๆ แต่เมื่อมีขาตั้งกล้องและถ่ายภาพออกมาแล้วจะสวยงามตามภาพที่เห็นนี้เลยครับ
ความงามยามค่ำคืนตัดกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวในคืนเดือนมืดมีเสน่ห์แบบหาที่เปรียบได้ยากจริงๆครับ
แม่ผมเองมีโอกาสเพียงแค่ยืนมองไม่สามารถจะเดินขึ้นไปชมได้เพราะบันไดเป็นอุปสรรค์สำคัญ แต่แค่นี้แม่ก็มีความสุขมากแล้วครับ
ค่ำคืนสุดท้ายที่นี่สร้างความสุขใจ อิ่มเอิ่มให้ทั้งลูกทั้งแม่
สำหรับผมแล้วในฐานะลูกชาย ความสุขในทางธรรมของแม่ก็เป็นทั้งความสุขทางใจและจิตวิญญานในฐานะพุทธศาสนิกชนคนนึง
สำหรับแม่ ในฐานะ สาวกขององค์พุทธองค์แล้ว
ทริปนี้แม่มีความสุขตามอัตภาพ และกายจะอำนวย
คำพูดทิ้งท้ายก่อนเราจะกลับบ้านกันในวันถัดมา
“ขอบใจลูกมาก แม่ได้มีโอกาสมากราบพระสำคัญๆเพราะลูกเลย แค่นี้แม่ก็มีความสุขแล้ว”
สำหรับผม ความสุขของแม่ก็คือความปราถนาของลูกเช่นกัน
รักใครให้พาไปเที่ยว เป็นคำพูดของเพื่อนblogger ชอบใช้และผมก็เห็นด้วยมากๆ
พาไปเดินทาง
พาไปใช้เวลาร่วมกัน
พาไปพบเจอโลกตรงหน้าพร้อมๆกัน
ที่สำคัญ พาไปเรียนรู้กันและกันให้สนิทกันมากขึ้น
มันอาจจะเปลี่ยนโลกของเราไปอย่างที่ไม่มีวันรู้ได้เลย
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้
แล้วพบกันในที่ใดสักที่ในโลกสีฟ้าแห่งนี้ครับ
สวัสดีครับ