ใช่!!! อย่างที่พาดหัวไว้เลย นี่เป็น อินเดียครั้งที่สองของเราเอง รีวิว India Second Time ครั้งนี้ถึงเวลา Delhi Mathura Agra Jaipur ไม่พลาด 1 ในสิบมหัศจรรย์ของโลก Taj Maha ถึงแม้มันจะทิ้งช่วงเวลาไปถึง 6 ปีจากครั้งแรกที่ผมเคยไปมา หนก่อนผมไปอินเดียใต้แถวๆเชนไน แต่รอบนี้ผมมากลางประเทศ และเมืองที่จั่วหัวไว้คือเป้าหมายสำคัญ มาครับ มาเที่ยวอินเดียกันบอกเลยว่า คุณจะไม่ผิดหวังและเลิกกังวลกับอินเดียเพราะ อินเดีย มีบุคคลิกที่เป็นตัวของตัวเองสุดประเทศหนึ่งในโลก ลองมาพบอินเดีย พศ.นี้ด้วยกัน
รีวิวที่แล้วกับครั้งแรกอ่านได้ที่นี่ครับ https://blog.one22.com/archives/9994
ก่อนเดินทางต้องรู้อะไรบ้าง
การทำวีซ่า อินเดียยังต้องใช้วีซ่าเข้าประเทศสำหรับคนไทยอยู่ การขอวีซ่าปัจจุบันง่ายมากและไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้! คือจากประสบการณ์ที่ขอวีซ่ามาหลายประเทศรวมถึงครั้งแรกเมื่อ 6ปีก่อน เราว่ามันง่ายขึ้นมาก จนคิดไม่ออกว่าจะไม่ผ่านได้ยังไง เพราะขอผ่าน เว็บไซต์ …
เราใช้เวลากรอกข้อมูลให้ครบถ้วน อย่างมาก 1ชม.ก็เสร็จนอกจากจะมีเอกสารที่ไม่ครบถ้วนเพื่อใช้ในการกรอกรวดเดียวผ่าน ไม่ต้องเสียเวลากรอกกลับไปกลับมาหลายรอบ(เว็บไซต์จะมีตั้งเวลาในการกรอกเอกสารนะครับกรอกแช่หน้าจอไว้ ถ้ากรอกไม่ครบมันจะหายไปและเสียเวลากรอกใหม่ )
สิ่งที่เราต้องมีในการกรอกขอ E-visa นอกจากข้อมูลส่วนตัว คือ
1.เที่ยวบินที่เราจะใช้บินเข้าประเทศอินเดีย
2.รายละเอียดเลขพาสปอรต์ บัตรประชาชน
3.รูปถ่ายขนาด 2 นิ้วที่แสกนเซพเป็นไฟล์นามสกุล Jpeg เรียบร้อยขนาดไม่เกิน 1mb.
4.หน้า Passport แสกนเซพเป็นไฟล์ jpeg ไว้ด้วยเช่นกันสำหรับตอนกรอก
5.อันนี้สำคัญมาก ทำเอาเราเสียเวลากรอกใหม่เลยคือ หากคุณเคยเข้าประเทศอินเดียมาแล้ว ต้องกลับไปหาเลข visa ครั้งก่อนเพื่อใช้ระบุในการกรอกด้วย ไม่มีก็ข้ามไม่ได้นะ กรอกมั่วๆ ว่าเข้าครั้งแรกก็ไม่ได้จะมีปัญหาตอนผ่าน ตม.อีกเพราะงั้นถ้า พาสปอรต์ เล่มเก่าอย่าทิ้ง ให้เก็บไว้กรณีอย่างเราที่ต้องเสียเวลาไปหาเลขมาจากเล่มเก่าเช่นกัน สำหรับคนที่ไม่เคยมาผ่านตรงนี้ได้เลย
6.ที่อยู่ที่พักโรงแรมที่คุณจอง อันนี้ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าจองไว้แล้วก็กรอกไปเลยพร้อมเบอร์โทร เพราะตรงนี้เราข้ามได้
7.อันนี้ไม่ต้องกรอกตอนทำแต่แนะนำให้ทำประกันไว้ด้วยจะดีมาก อินเดียเป็นประเทศที่ไม่ควรประมาท ความอินดี้มีสูงและไม่รู้ว่าเราจะไปเจอมันวันไหน ทำไว้อุ่นใจดีที่สุด
ทำทุกอย่างไปจนถึงจ่ายตังค์ ก็รออย่างมาก 24 ชม. ก็ได้แล้ว
เราจะได้ เป็น E-visa 60 วัน กับการจ่ายเงิน 51 usd ราวๆ 1600-1700บาท ใช้เดินทางได้มากกว่า 1 ครั้ง (Multiple)แต่เดี๋ยวก่อน ล่าสุด 1 เมษ 2019 เป็นต้นไป คนไทยขอ E-visa ได้ 365วันแล้ว โอ้วว อะไรมันจะได้เยอะงั้น เราเองขอวีซ่าเพื่อใช้เดินทางเดือน มีค. มันน่าเสียดายมากครับ แต่เอาเถอะจะไปรอบหน้าก็ค่อยว่ากัน
การแลกเงินรูปีพกไปอินเดีย
ก่อนจะมาอินเดีย เพื่อนๆในทีมทักว่าจะเข้าประเทศอินเดียอย่าแลกเงินไปเพราะเค้าห้าม มีบอกไว้ในเว็บไซต์ด้วย แต่เราคุ้นๆว่าหนแรกที่มาเราแลกมาเลยนะ เราเลยแลกไปก่อนไม่เยอะและ แลกเงินดอลไปเผื่อไว้ต่างหากเพราะทางรถเช่าแจ้งเราแต่แรกว่าจะรับเป็นเงินดอลเท่านั้นก็เลยแลกไปเผื่อไว้ด้วย
และประเด็นเรื่องแลกเงินรูปีก่อนเข้าประเทศจะเป็นไรไหม เราแลกไปก็ไม่ได้ติดปัญหาแต่อย่างใดกรณีที่น่าะเป็นปัญหาคือแลกไปเยอะๆมากกว่า หลักพันหลักหมื่นไม่น่าติดแต่อย่างใด และอินเดียเองสกุลเงินรูปี ถ้าเทียบกับไทยคือ 1 บาท เท่ากับ 2 รูปี เพราะงั้นซื้ออะไรก็หารสองได้เลยเท่ากับเงินบาทนั้นเองเข้าใจง่ายดี
เดินทางยังไง
บินจากไทยถึงเดลีแบบไม่แพงแถมนั่งเครื่องดีๆเลยนะ มาทางนี้
ปัจจุบันเรามีสายการบินหลากหลายจากกรุงเทพฯ บินมายังเดลี รอบนี้เราเลือกบินกับ Nokscoot ที่พึ่งเปิดเที่ยวบินมาหมาดๆ บินตรงจากกรุงเทพฯ สู่เมืองเดลี 4 เที่ยวบิน/ สัปดาห์ เราเคยรีวิว Nokscoot ตอนไปญี่ปุ่นไว้แล้วนะ ไปหาอ่านกันได้ที่นี่เลย
รอบนี้จะขอพูดถึงไฟลท์อินเดียหน่อย ด้วยความที่ใช้เป็นเครื่อง Boeing 777-200 เหมือนกัน ทุกอย่างจึงเหมือนกันหมด แถวที่นั่งเป็น 3-4-3 เบาะปรับเอนได้ 2 เสต็ป ตัวเบาะนั่งกว้างกว่า Lowcost ด้วยกัน
ลองดูจากภาพจะเห็นชัดผมสูง 180 ซม. ช่วงขากว้างดีมาเหยียดขาได้ยาว(กว้าง 31-35 นิ้ว) นั่งสบายไม่อึดอัดดีครับ
ด้วย ราคาเปิดก็ไม่ได้แพง 2,xxxบาท/เที่ยวทำให้เราเลือกบินกับ Nokscoot อีกครั้ง อ่ออาหารโอเคนะเราก็สั่งอาหารไว้ก่อนแล้ว รสชาติใช้ได้พนักงานเค้าจะเสริฟคนที่สั่งอาหารล่วงหน้าก่อนเสมอ เราก็ได้กินก่อนคนอื่น อ่อสำหรับคนที่อยากลองอาหารอินเดีย เค้ามีเสริฟบนเครื่องด้วยนะ ของเราเห็นเพื่อนสั่งมาเหมือนกันเลยไม่ได้ถ่ายไว้ ยังไงลองกันได้ถือเป็นออเดริฟ ก่อนถึงจริงจ๊ะ
ไหนๆแล้วราคาไม่แพง เราเลยอับเกรดเป็น Scoot in Silence เก้าอี้จะอยู่ด้านหน้าถัดจาก Business Class เลย มีความเป็นส่วนตัวกว่าปรกติ นั่งสบายมาก กันปัญหาเจอแขกมาวุ่นวายดีมาก หลับยาวๆได้เลย เค้าจะกั้นโซนไว้ชัดเจน ถือว่านั่งสบายตลอดและตรงเวลาด้วย ไม่ดีเลย์ เพราะงั้นก็ไม่ต้องกลัวมากนะ ขากลับก็ดีตรงเวลาเช่นกัน
อ้อน้องแอร์น่ารักครับ ยิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับเราดีเลยละ ใครสนใจก็เข้าไปหาข้อมูลเที่ยวบินและจองกันได้เลยโปรเค้าออกมาเรื่อยๆ ดีอยู่โดยเฉพาะเส้นฮิตอย่างญี่ปุ่นก่อนมาอินเดียเราเจอโปรไปลงโอซาก้า ไปกลับ 6,000+ บาท โห้ยยยย ถูกมาก รวมกระเป๋าก็ไปกลับ 7,000+ ก็ยังถูกอยู่ดีนะ ลอง กดเข้าไปดูกันเองเลยครับ
การเดินทางในอินเดีย
เราขอยืนยันว่าควรเช่ารถพร้อมคนขับดีที่สุด หนก่อนก็เลือกวิธีนี้ หนนี้ก็เช่นกัน รอบนี้เรามาเที่ยวอืนเดีย 7 วัน
เราเลือกใช้บริการของบริษัท เหตุผลเราเคยอ่านจากรีวิวมาก่อนหน้านี้ ทุกคนว่าบริการดี รถดีมาก คนขับรถใจเย็น อย่างที่เรารู้ตั้งแต่ครั้งแรก หนก่อนประเทศอินเดีย เป็นอีกประเทศขับรถยากมาก ความอินดี้ของคนขับรถที่นี่ทำให้เป็นอีกประเทศที่เราว่า มันขับรถยากกว่าประเทศอื่นๆเยอะเลย และถ้าทำได้เราแนะนำอยากให้ระบุเป็น คุณ บารัค คนนี้เลย
แกขับรถใจเย็น จะบีบแตรเท่าที่จำเป็นเท่านั้น แต่ไงก็ต้องบีบอ่ะ ขับรถประเทศนี้ ไอเทมบนท้องถนนเยอะมาก ทั้ง ลิง หมา วัว แพะ สารพัดสัตว์บนท้องถนนที่จะพาเหรดกันเดินไปมาเพราะงั้นแนะนำว่าติดต่อที่นี่เลย ราคาจะเป็นราคาเหมา/คน รวมน้ำมันเรียบร้อย ก็ลองติดต่อกันได้ที่ www.indiaprivatechauffeur.com เลยครับ
อินเตอร์เน็ต
สิ่งที่ขาดไม่ได้เสมอคือ Internet สำหรับการเดินทางเรายังคงใช้เน็ตจาก Travel Sim Asia ปัจจุบันอับเกรดเป็น 6 gb ให้แล้วด้วย การใช้งานง่ายเช่นเคย ประเทศนี้ แนะนำให้เลือกเป็น Vondafone หรือ Airtel ตัวซิมสามารถ โรมมิ่งสลับไปมาได้ ส่วนตัวเน็ตประเทศนี้ในเมืองใช้ได้ดีมากขึ้น 4G ออกนอกเมืองจะเป็น 3G ซะเยอะไม่ดีนัก ยิ่งถ้าไป Agra เราใช้ได้เป็น E เลยเพราะงั้นต้องทำใจครับ แต่โดยรวมคุ้มค่ากับ 6GBแน่ๆ สนใจเข้าไปดูกันที่นี่นะครับ รายละเอียด http://truemoveh.truecorp.co.th/news/detail/828
เที่ยวแบบสามเหลี่ยม กับอินเดียภาคกลาง เริ่มที่ มธุรา (Mathura)
ทั้งสี่เมือง เป็นเมืองที่เหมาะจะเที่ยวเป็นการเดินทางแบบสามเหลี่ยม(มธุราถือเป็นเมืองที่ต้องผ่านอยู่แล้วก็เหมาว่าเป็น 3 เหลี่ยมแล้วกันนะ) ให้ดูภาพประกอปกับลูกศรจะได้เข้าใจ เพราะสามารถเริ่มต้นจาก เดลี->มธุรา>อักรา->ไจเปอร์->เดลี แบบนี้ได้หรือจะวนทวนเข็มวกกลับก็ได้เช่นกัน ส่วนที่ใช้เวลานานสุดจะเป็นจาก ไจเปอร์ กลับมาที่ เดลีที่ใช้เวลา ราว 4ชม.+ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรของอินเดียที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ นอกนั้นจะสั้นลงมาระดับ2ชม.+-ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร ส่วนตัวเราว่าตรงนี้เป็นหน้าที่ของบารัคเค้าแล้ว อ่อรถที่เราใช้เราว่าเก๋มากไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนจะเป็นรถบัสแบบ 10 ที่นั่งที่ทางขึ้นลง เวลาขึ้นต้องขึ้นจากเบาะหน้าข้างๆเก๋มาก
หลังบินถึงสนามบินอินทิรา คานธี (Indira Gandhi International Airport ) เรานัดบารัค มารับเราที่ Gate เจอกันปุ๊บเค้าชูป้ายชื่อเราไว้แล้ว จากนั้นก็พาเราเดินมารอรถบัสที่จะเป็นรถเวียน รับส่งจากสนามบินไปยังที่จอดรถบัสที่อยู่ที่อยู่ด้านนอกอีกที สงสัยจะเป็นกฎห้ามนำรถบัสรับส่งเข้ามามั้ง ลดปัญหาการจราจรแออัด อันนี้เราเดานะ อ้อ เซลฟี่กันหน่อยหน้าตายังยิ้มกันดีอยู่นะก่อนจะไปโดนสีกัน
ใช้เวลาราว 10นาทีมาถึง จากนั้นขึ้นรถตู้อินเดียกันเรียบร้อย เป้าหมายสำคัญที่เราจะไปกันทีแรกคือ เมือง Mathura เป้าหมายสำคัญที่ทำให้เราอยากมาอินเดียหนนี้เพราะช่วงเดือนมีนาคมทุกปีของอินเดีย เค้าจะจัดงานเฉลิมฉลองเทศกาล Holi Festival (โฮลี่)เป็นเทศกาลที่ให้คนออกมาสาดสีใส่กัน ดูไปคล้ายกันกับบ้านเราที่มีเทศกาลสงกรานต์แบบนั้นเลย แต่ที่อินเดียตัวเทศกาลจะเริ่มไม่ตรงกันทุกเมืองจะขยับวันห่างกันแบบวันต่อวันย้ายเมืองเล่นไปเรื่อยๆ อย่างปีนี้เค้าจะจัดวันที่ 15-23มีนาคม โดยเมืองที่เป็นต้นกำเนิดงานนี้ครั้งแรกที่เมืองนี้ เราเลยตั้งใจเริ่มต้นทริปที่นี่เป็นที่แรก อีกอย่างจากเดลีถือว่าคือครึ่งทางของการไป Agra อันเป็นที่นอน 2. คืนแรกของเรา
หลังนั่งหลับกันมาจนถึงที่นี่ราวๆ หกโมงเช้า ด้วยความเข้าใจผิดว่าเค้าเล่นกันตั้งแต่หัววันแต่จริงๆ วันแรกของเมืองเค้าจะเริ่มกันจริงๆคือช่วงบ่ายๆเย็นๆ เราเลยให้บารัคขับรถพาเรามาเก็บกระเป๋า อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อนที่ เมือง Agra (ชัยปุระ) ซึ่งไม่ไกลนักใช้เวลาราว 1ชม.เศษก็พาเรามาถึง ที่พักเราสะอาดสะอ้านดีมากมีรั้วรอบขอบชิดให้อารมณ์เหมือนมานอนปราสาทก็เกือบจะว่าได้ปลอดภัยดี หลังกินข้าวมื้อแรกเรียบร้อย ทุกคนตกลงกันว่าเราน่าจะเที่ยวเมืองอัครากันก่อนช่วงเช้าจนถึงช่วงบ่ายๆเราค่อยกลับไปที่มธุราอีกที เราเลยขยับแผนเที่ยววันต่อมาเป็นวันนี้คือ ไปที่ป้อม Agra Fort จุดท่องเที่ยวสำคัญของเมือง
แต่เพื่อให้เรื่องการเที่ยวของเราทริปนี้มันแยกเป็นเมืองๆ จะได้อ่านกันง่าย เดี๋ยวจะหยิบมาเล่าอีกทีตอนรวมที่เที่ยวของเมืองนี้นะครับกันงงกันได้ มะ ขอข้ามไปตอนเย็นเลยกับมธุรานะ
หลังกลับมาจาก Agra Fort เราทุกคนเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก็พร้อมลุยกันแล้วใช้เวลานั่งรถกลับมาช่วงบ่ายแก่ๆ พอเข้าเขตเมืองมธุรา สังเกตุบรรยากาศรอบๆเมืองเปลี่ยนไปแล้วตามข้างทางชาวบ้านเริ่มเล่นสีกัน คนขับรถมอเตอร์ไซต์ คนเดินถนน ต่างก็เฮฮากัน หน้าตาเลอะกันล่ะ เราให้บารัคพามาส่งที่จุดจอดรถบัสจากนั้นพวกเราทุกคนพร้อมใจกันนั่งรถตุ๊กตุ๊กอินเดียหรือที่นี่เรียกว่า รถริกชอร์ เหมาไปเวลาต่อราคาข้าวของหรือรถในอินเดีย
ให้คุณแจ้งเค้าเลยว่าจะไปตรงไหน จากนั้นให้ตกลงราคากันให้เสร็จ ส่วนใหญ่รถสามล้อเค้าจะทำตัวคล้ายๆนำเที่ยวไปด้วย เพื่อหวังทิปที่เค้าจะบริการรับส่ง อย่างกรณีเรา ตกลงกันไว้ว่าจะรอรับเรากลับมาหลังจากโฮลี่แล้ว เค้าก็โอเคตกลง พร้อมรอเราตรงจุดส่งที่ทางเข้าวัด Banke Bihari Temple จากนั้นเราเดินลัดเลาะเข้าไปเรื่อยๆจนออกถนนเมนหลังวัด
คราวนี้ล่ะใช่แล้วผู้คนเดินกันขวักไขว่เต็มไปด้วยสีเลอะตามเสื้อผ้าหน้าผม ไม่นานสภาพพวกเราก็ไม่ต่างกันเช่นกัน
สาวๆในทีมที่มาด้วยกันทีแรกก็กลัวเพราะเห็นมีคนบอกว่าพวกผู้ชายจะมาแต๊ะอั้ง แต่เท่าที่เราเจอคนอินเดียสุภาพมากจะเข้ามาทาสีจะขออนุญาติก่อน และพวกเรานี่ยังกับดาราเลย จะมีคนมาขอถ่ายรูปด้วยตลอด
ยิ่งเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆคนยิ่งแยะ สีนี่สาดกันควันโขมง เนื้อตัวเราเละแล้วหน้าตาคือเป้าหมาย
สำคัญที่พวกเค้าจะขอแปะสีใส่ก่อน บ้างก็สาดลงมาจากที่สูง
ทุกคนจะตะโกนร้องว่า “Happy Holi” แล้วเฮกัน
เดินจนถึงตัววัดที่เป็นวิหารให้คนถอดรองเท้าเข้าไป เราก็เข้าไปบรรยากาศด้านในก็ประมาณนี้เลย จะได้ยินเสียงบทสอดพร้อมกับมีเหมือนคล้ายคนทำพิธีสดสีลงมาเป็นระยะๆ แล้วผู้คนต่างก็เฮกันไปมา
นับว่าเป็นบรรยากาศสนุกสนานมากสำหรับเรา
เล่นกันพักใหญ่เนื้อตัวเลอะได้ที่ทุกคนดี จนคนขับรถตุ๊กตุ๊ก มาตาม (หาเราเจอได้ไงโคตรเก่งเลย)เราก็ได้เวลากลับมาที่รถแล้ว ระหว่างเดินกลับเราถึงได้สังเกตุว่าผงสีต่างๆเค้าวางขายสองข้างทางให้คนมาซื้อกันเพื่อเล่นสนุกสนาน ผงเหล่านี้ถ้าโดนเสื้อผ้าอาจจะเลอะซักล้างไม่ออก แต่กับผิวหนังล้างออกง่ายนะครับ ไม่ต้องกลัว
ถือเป็นอีกความประทับใจครั้งนึงในชีวิตที่เราควรมาลองกันดู ทุกคนเลนเซลฟี่กันไว้หน่อยจ้า (อินเดียที่เห็นคือคนแถวๆนั้นที่วิ่งมาขอถ่ายรูปกับพวกเรา ไม่ได้รู้จักกันเลยจ้า 555 นี่ละอินเดีย อินดี้สุดๆ)
ขากลับมีเรื่องขำๆของรถตุ๊กตุ๊ก คือเราพึ่งรู้ว่ารถพวกนี้ใช้พลังงานแบตเตอร์รี่ เราเหมารถมาสองคัน คันที่เพื่อนๆเรานั่งมา เริ่มแบตอ่อน รถก็โคตรติด ๆบีบแตรใส่กันมันมากจ๊ะนายจ๋าาา อีคนไทยอย่างเรานั่งอยู่ใน รถก็โคตรลำคาญแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ยังเจอรถแบตหมดอีก จนรถด้านหลังบีบแตรด่าหนักมาก สุดท้าย ก็เลยให้มอเตอร์ไซต์ขับดันรถ ใช่แล้วรถมอเตอร์ไซต์นี่ละ ดันรถตุ๊กตุ๊กๆให้วิ่งต่อไปได้ นับเป็นความอินดี้อีกอย่างบนท้องถนนของอินเดียเลยก็ว่าได้จ๊ะ
เย็นนั้นเรากลับมาที่พักจองเราคือที่ Hotel Clarks Shiraz Agra ที่นี่ผมจองผ่าน booking.com มาสำหรับคนที่อยากได้ส่วนลดจากเว็บไซต์ให้กดไปตามนี้ได้เลย
https://booki.ng/2PsOP4H
จองเกิน 2,000บาทจะได้รับส่วนลดครั้งแรก 1000บาททันที แชร์ต่อให้เพื่อนช่วยจองกันได้นะเราว่ามันคุ้มมาก
ที่พักถือว่าดีและปลอดภัยมากระดับ สี่ดาว มีรั้วรอบขอบชิดมียามเฝ้าประตู 24ชม.
ห้องพักก็ดีเราจองมาราคาตกคืนละ 1500 บาทนิดๆ เฉลี่ยกันตกคนละ 700บาทนิดๆต่อคืน ก็ไม่ได้แพงอะไร
ห้องดีสะอาด กว้างกำลังดี
Facility รอบๆในโรงแรมก็ดีนะ มีสระว่ายน้ำด้วย แต่เราก็ไม่ได้ใช้ล่ะนะ
อาหารมื้อแรกเราก็กินกันที่นี่ละ อาจจะดูราคาสูงกว่ากินข้างนอกแต่ด้วยความขี้เกียจและอยากพักระหว่างรอออกไปเที่ยวกันเลยจัดกันก็ถือว่าอร่อยใช้ได้โดยเฉพาะเมนูไก่ทั้งหลาย
เที่ยว 1ในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ต้องเมืองนี้ ชัยปุระ (Agra)
อย่างที่พาดหัวไว้ มาที่ชัยปุระต้องไม่พลาดสองสิ่งสำคัญของที่นี่คือ ป้อมอัคราฟอร์ท (Agra Fort) และ ทัชมาฮาล (Tajmahal) เรามาเริ่มกันที่วันแรกมาถึงหลังเก็บข้าวของอย่างที่เกริ่นไปตอนแรกเราว่าจ้างนั่งรถตุ๊กตุ๊ก(ริชชอว์) จากรร.ให้ยามช่วยตามมาให้ ว่าจ้างตกลงกันลงตัว ตัวรถตุ๊กตุ๊กพยายามซื้อใจให้เราเหมารถเค้าเที่ยวด้วยเลย ระหว่างนั่งมาก็หว่านล้อมเราสุดๆ เอาจริงๆเรารู้ว่าต้องใช้เวลานานอยู่นเพราะเราเที่ยวแบบถ่ายรูปกันเยอะ แต่เมื่อคนขับพยายามมาก อ่ะก็ได้เพราะราคาไม่ได้แพงเลยกับการที่ต้องรอพวกเราเข้าไปถ่ายรูปแล้วออกมา ราว 200 รูปี ก็ 100บาทไทยเท่านั้น !!
รู้จักประวัติกันหน่อยนะ (ข้อมูลย่อๆจากเว็บไซต์ WIKIPEDIA )
ป้อมอัครา (อังกฤษ: Agra Fort, ฮินดี: आगरा का किला, อูรดู: آگرہ قلعہ) เป็นอนุสรณ์สถานสำคัญ และมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ตั้งอยู่ที่เมืองอัครา รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย โดยอยู่ห่างจากอีกหนึ่งอนุสรณ์สถานสำคัญที่อยู่ใกล้เคียง คือ ทัชมาฮาล เป็นระยะทางประมาณ 2.5 กิโลเมตร ป้อมอัครานั้นถือเป็นเมืองขนาดเล็กๆที่ห้อมล้อมด้วยป้อมปราการอันใหญ่โต
อับดุล ฟาซัล (Abdul Fazal) สถาปนิกในสมัยสมเด็จพระจักรพรรดิอักบัร ได้จดบันทึกว่าบริเวณสถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของป้อมปราการที่สร้างจากอิฐ ซึ่งเรียกกันว่า “บาดัลการห์” (Badalgarh) ซึ่งอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม พระองค์จึงได้บูรณะซ่อมแซมขึ้นใหม่โดยใช้หินทรายสีแดงที่ขุดได้จากเขตบาโรลี ในราชสถาน โดยทรงมอบหมายให้สถาปนิกออกแบบใหม่ตั้งแต่รากฐานขึ้นมาโดยใช้อิฐเป็นโครงสร้างด้านใน และปิดด้านนอกด้วยหินทรายสีแดง ด้วยแรงงานกว่า 8,000 คนซึ่งถูกเกณฑ์มาสร้างป้อมแห่งนี้ ป้อมอัคราจึงใช้เวลาถึง 8 ปี และเสร็จสมบูณ์ในปีค.ศ. 1573
ป้อมอัครายังเป็นสถานที่ของสงครามในเหตุการณ์กบฏอินเดียค.ศ. 1857 ซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดการปกครองของอินเดียโดยบริษัท บริติช อีสต์ อินเดีย (British East India Company) และนำไปสู่การปกครองโดยขึ้นตรงกับสหราชอาณาจักร ซึ่งกินเวลายาวนานกว่าศตวรรษ
จากนั้นเราก็เดินมาซื้อตั๋วทางเข้าป้อมหน้าตรงช่องขายตั๋ว ติดป้ายไว้ว่าสำหรับกลุ่มประเทศที่ทำข้อตกลงการท่องเที่ยวกับรัฐราชสถานกับประเทศไทย เอาไว้จะได้รับส่วนลดลงมาอีก จากราคาแบบต่างชาติที่จะแพงกว่าเพื่อน เราเลยเดินเข้าไปถามดูก็ได้ความตามนั้นจริง ก็ควักตังกันรีบจ่ายเลย ตกคนละ 60 รูปี จังหวะจ่ายเงินเสร็จด้วยความที่พี่ที่ไปด้วยแกรีบ จนลืมนับตังทอน
อีคนขายก็เนียนๆ นิ่งๆ จนสุดท้ายออกมาจากช่องขายตั๋วทักกันว่า เงินทอนหายไปไหนไหมทอนมาแค่นี้ มีแต่เหรียญ จนต้องรีบกลับไปของที่ช่องขายตั๋วก็ได้คำตอบว่าเค้าจะทอนเราแล้วเรียกไม่ทัน แม้ ตอบหล่อมาก เอาว่าการซื้อของ จะจากไหนก็ตามให้นับเงินทอนตามที่ตกลงกันไว้เสมอ อย่าสับสนค่อยๆนับเพราะค่าเงินเค้าถูกกว่าเรามาก
เข้ามาด้านในเอาว่าเราชอบมากเลย เหมือนเดินเข้ามาในพิพิธภัณฑ์ เค้าแยกเป็นสัดเป็นส่วน มีสวนแทรกเป็นระยะ แถมผนังและอิฐที่สีสันแดงสวยมาก มุมถ่ายรูปค่อยข้างเยอะเลย
เราว่าในนี้คุ้มค่าทุกรูปีที่จ่ายไปเลย ภายในจะแยกโซนต่างๆ เป็นชั้นๆมสวยจนเราไม่คิดว่านี่คือป้อมปืนที่เคยผ่านสงครามสมัยรบกับอังกฤษมาก่อน
ด้านในจะมีทั้งสวนดอกไม้ สวยๆ
มีมุมที่มองไปเจอทัชมาฮาลจากระยะไกลได้ เท่ดีมาก
เดินไปตรงไหนสะอาดสะอ้านมาก ช่างต่างกับโลกภายนอกป้อมสิ้นดี
เราใช้เวลาถ่ายรูปกันอยู่เป็นชั่วโมง ทีเดียว
สลับกันเป็นแบบถ่ายภาพด้วย การเที่ยวกันกับเพื่อนหลายๆคนมันดีงี้ละนะ มีรูปเปลี่ยนโปรไฟล์เยอะเลย
หลังออกมาคนขับรถตุ๊กตุ๊ก ถึงกับบ่นที่รอเรานาน (จริงๆเราก็กะจะให้ทิปอยู่หรอกนะเพราะก็นานจริง ) จะบอกว่ากับคนอินเดียเราต้องใจแข็งหน่อยอย่าใช้นิสัยขี้เกรงใจแบบไทยๆเรากับคนที่นี่มันจะเสียเปรียบ จะซื้อ จะตกลงอะไรให้ต่อรองให้ดี อย่างไปซื้อของตามที่ต่างๆ บอกมา 100 ต่อเลย 50 แบบนี้เลย ราคาอินเดียจ้า
ตัดกลับมาที่ตุ๊กตุ๊ก พอมาถึง รร เราเลยให้ทิบไปอีกนิดหน่อยก่อนจากดูๆเป็นเรื่องปรกติของที่นี่นะทุกอย่างตกลงกันได้ Myfriend เป็นคำเรียกนัท่องเที่ยวติดปากคนอินเดีย เวลาจะเริ่มต้นเจรจาใดๆก็ตาม
ทัชมาฮาล สวยสง่า สมกับที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
คืนแรกของเราผ่านไปด้วยดีหลับสบายมาก เช้านี้เราเร่งออกจาก รร.แตเช้าเพราะอยากไปถึงทัชมฮาลเร็วๆ บารัคมารับเราตามนัด ขับรถเช้าถนนรถน้อย เสียงแตรแทบไม่ได้ยิน ใช้เวลาแป๊บๆก็มาถึง สถานที่แบบนี้คนต้องเยอะมากแน่ๆ แนะนำให้มาเช้ามากๆ ระดับ 8 โมงเช้ามายืนรอแล้วยิ่งดี มาถึง จ่ายค่าเข้า และผ่านการตรวจต่างๆ ก็เข้ามาได้ บอกก่อนว่าสาวๆในทริปนี้จัดเต็มเรื่องเสื้อผ้ากันสุดตัว พอรู้ว่าจะมาอินเดียนัดแนะกันไปเช่าชุด ขนมากันเลยจ้า อย่างที่เห็นนี่เลย ชุดแลดูมหาราณี กันทีเดียว
ที่ทัชมาฮาล แว็บแรกที่เราเห็น เออ สมแล้วที่บากบั่นมากัน มันสวยมาก สวยจริงๆ สวยสง่างามสมเป็นมรดกโลก ทัชมาฮาล ในมุมมองของเราให้ความรูสึกถึงความยิ่งใหญ่อลังการ นึกถึงตอนก่อสร้างแล้วยิ่งทึ่ง
ที่นี่ประวัติความเป็นมาที่น่าประทับใจและน่าซาบซึ้งใจไปพร้อมๆกัน คือ(ข้อมูลจาก WIKIPEDIA)
ทัชมาฮาล สุสานหินอ่อนที่ผู้คนเชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยที่สุดในโลก[ต้องการอ้างอิง] สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโมกุลผู้มีรักมั่นคงต่อพระมเหสีของพระองค์ พระองค์ได้พบกับอรชุมันท์ พานุ เพคุม ธิดาของรัฐมนตรี เมื่อพระองค์มีพระชนมายุ 14 พรรษา พระองค์ทรงหลงใหลและหลงรักนาง เจ้าชายขุร์รัมจึงซื้อเพชรด้วยเงิน 10,000 รูปีและบอกแก่พระบิดาของพระองค์ว่าพระองค์มีความประสงค์ที่จะแต่งงานกับบุตรีของรัฐมนตรี พิธีเสกสมรสถูกจัดขึ้นหลังจากนั้น 5 ปี เมื่อพ.ศ. 2155 (ค.ศ. 1612) จากนั้นมาทั้งสองก็มิเคยอยู่ห่างกันอีกเลย
หลังจากที่สมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน ขึ้นครองราชบัลลังก์ในปี พ.ศ. 2171 พระองค์มอบความไว้วางใจแก่ อรชุมันท์ พานุ เพคุม และเรียกนางว่า มุมตัซ มาฮาล “อัญมณีแห่งราชวัง” พระมเหสีติดตามพระองค์
แม้แต่ในสนามรบ แนะนำพระองค์ในเรื่องราชการของประเทศ และพระองค์ซาบซึ้งในน้ำพระทัยของพระมเหสียิ่งนัก ครั้นในปี พ.ศ. 2174 (ค.ศ. 1631) พระมเหสีมุมตัซสิ้นพระชนม์ หลังจากให้กำเนิดทายาทองค์ที่ 14 การสิ้นพระชนม์ของพระมเหสีทำให้สมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮันโศกเศร้าอยู่ถึงสองทศวรรษ ราชสมบัติส่วนใหญ่สูญเสียไปเพื่อการสร้างอนุสรณ์แห่งความรักของทั้งสองพระองค์
ผมเดินสำรวจไปรอบๆ มุมสวยๆให้เราถ่ายรูปมีเยอะเลย
เราเดินเที่ยวอยู่หลายมุม มองมุมไหนก็สวยไปหมด ถ่ายรูปกันสนุกมาก
จุดที่เราว่าเด็ดสุดคือมุมจากตึกด้านข้าง ที่แสงจะตกลงผ่านลอดประตูเข้ามา อย่างในภาพชุดนี้ สาวๆไม่ไปไหนกันเลยอยู่ตรงแถวนี้ร่วม ชมกว่าเลย
ผมเองก็พลอยได้ภาพสวยๆเยอะเลย
อ้อที่ภายในวิหารด้านข้างหรือด้านในของทัชมาฮาลเราต้องใส่ถุงห่อรองเท้าเดินไปมาด้วย
ทีแรกก็ไม่คิดว่าเวลาเดินภายนอกจะต้องใน่แต่จู่ๆ เหมือนยามมันเรียกเสียงดังเว่อร์จนเราตกใจ มันให้เราเอารองเท้าไปถอด และวางที่วางรองเท้าทีแรกเราก็ว่าง่ายยังนึกในใจเออ ดูเคร่งครัดจัง เห็นคนอื่นมันใส่เดินกันไม่เห็นว่าอะไร แต่สุดท้ายคือมันหวังตังค่าเฝ้ารองเท้าจ้า 5555 นี่ละอินเดียทุกอย่างดูเป็นเงินเป็นทองไปหมดล่ะนะ My Friend จ๋า
#ด้านหลังทัชมาฮาลสวยสง่าไม่แพ้ภายใน
หลังจากออกมาเราก็กลับมาที่พักก่อนที่ตกเย็นๆนัดหมายกับทางบารัคไว้ว่ามารับพวกเราไปยังสวนส้ม ที่อยู่ด้านหลังทัชมาฮาลคนละฝั่งแม่น้ำ มาถึงต้องจ่ายค่าเข้าไปตามระเบียบคนละ 25 รูปี เข้ามาเจอคนเยอะเหมือนกัน สาวนใหญ่เป้าหมายทุกคนคงอยากมาถ่ายรูปทัชมาฮาล สะท้อนผิวน้ำแต่ๆ
วันนี้น้ำน้อยมาก ช่วงที่เราไปเป็นช่วงรอยต่อจากฤดูหนาวกำลังเข้าสู่ฤดูร้อนพอดี น้ำในแม่น้ำจึงแห้งไปเยอะ แต่ด้วยบรรยากาศ เอาจริงๆความเป็นทัชมาฮาล ยังไงก็สวยสง่าทุกมมมองจริงๆ
เสริมด้วยบรรยากาศยามเย็นที่อากาศเย็นลมพัดโชยมาทำให้ยิ่งชิลๆ เข้าไปอีก แฮ่ ได้ภาพสวยอีกแล้วสิ ^_^
เราเก็บภาพยามเย็นจนยามเฝ้ามาต้อนออกไปกันเลย ทีเดียว ที่นี่จึงเป็นอีกจุดที่ควรมาไม่เช้าตรู่ก็ต้องเย็นๆแบบนี้ ชิลดีครับ ถือว่าการมาอินเดียครั้งนี้ของเราสมหวังมาก มาเก็บ 1ในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกได้อีกอย่างแล้ว
ตกมื้อค่ำวันนั้นทุกคนดูอิ่มเอมใจกันทั่วหน้ากับภารกิจที่ตั้งใจจะมาเก็บภาพกัน ทั้งเทศกาลโฮลี่ และการไปดู ทัชมาฮาล อิ่มเอมใจ วันนั้นมื้อค่ำเราเลยตั้งใจจะหาอาหารอินเดียดีๆกินกันให้ถึงอินเดีย แน่นอนบารัคยังคงเป็นไกด์ให้เราได้ และพาเรามาร้านอาหารอินเดียกลางเมือง Agra ร้าน Pinch of spice
อาหารส่วนใหญ่จะมีเครื่องเทศแน่นอน เอาจริงๆ กินแล้วเราว่ามันไม่ได้ฉุนขนาดนั้น บางอย่างโดยเฉพาะพวกไก่ เค้าทำได้เก่งมาก อร่อยหลายอย่างเลย
ตบท้ายด้วยช็อคโกแลตลาวา อันนี้อร่อยเว่อร์มากก เสริฟมาเดือดๆเลย เด็ดจริงจัง
มื้อนั้นเราเอร็ดอร่อยและเอนจอยกันการเม๊าท์มอยกัน ถึง 2 วันที่ผ่านมา ก่อนที่เช้าวันรุ่งขึ้นจะได้เวลาจากเมืองนี้เพื่อไปกันต่อยังเมืองสุดท้ายที่ตั้งใจมากที่จะมาไม่แพ้ 2 เมืองแรก และสำหรับตอนแรกนี้เราจะจบกันที่เมืองนี้ ตอนหน้าจะพาทุกคนไปรู้จักเมืองสีชมพูอันโด่งดัง อย่างไจเปอร์กันละครับ
ที่นี่จะเป็นยังไง มีความน่าสนใจมากมายรออยู่ โปรดติดตามกันได้นะครับ
ตอนนี้ต้องลากันตรงนี้ล่ะ ขอทิ้งท้ายด้วยทัชมาฮาล ที่ผมประทับใจและทำให้ตัวเองเก็บ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ได้อีก 1 แล้ว
สวัสดีครับ
#one22family #แค่อยากพารู้จักโลกกว้าง