สวัสดีครับทุกคน ต่อจากตอนที่ 1 สำหรับตอนนี้จะเป็นกิจกรรมในวันที่ 3 และวันที่ 4 ที่เราอยู่พังงากัน ไม่เยอะ แต่ก็ไม่น้อยครับ ถ้ายังไงไปติดตามกันดูดีกว่าครับ
วันนี้เราต้องตื่นกันแต่เช้าครับ เพราะมีกำหนดการออกจากที่พัก ไม่เกิน 8.30 เพราะต้องไปลงเรือกลับไปท่าเรือบางโรง บอกตามตรงนะครับ ผมไม่เคยรู้สึกเหนื่อยหรืออ่อนล้า เวลาที่ต้องตื่นเช้ามา เพื่อไม่ว่าจะต้องมาถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นหรือสัมผัสบรรยากาศยามเช้าเลย มันช่างแตกต่างกับตอนอยู่กรุงเทพฯ จริง ๆ หรือว่าผมจะเป็นโรคภูมิแพ้กรุงเทพฯ เสียแล้ว ทักทายกันกับรูปพระอาทิตย์ขึ้น ที่หน้ารีสอร์ท Koh Yao Yai Village นะครับ เสียดายเก็บภาพตอนพระอาทิตย์ขึ้นแรก ๆ ไม่ได้ มัวไปเสียเวลาตรงมุมอื่นอยู่
พระอาทิตย์ที่นี่ ไม่เหมือนกับกรุงเทพฯ จริง ๆ เวลาที่จะขึ้นหรือจะตก จะมีเวลาให้เราได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศได้ค่อนข้างเต็มอิ่ม แต่กับกรุงเทพฯ เหมือนมีเวลาให้อยู่นิดเดียว อยากให้ฟ้าที่โน่น ดูสดใสเหมือนกับที่นี่จังเลย ไม่รู้จะมีโอกาสแบบนั้นหรือเปล่านะครับ เสียดายวันที่ไป ตอนเช้าน้ำลงมากเกินไป เลยเห็นแต่โขดหินเต็มไปหมด แต่ถ้าน้ำขึ้นกำลังดี จะมีโอกาสได้เก็บภาพน้ำพริ้วไหวเป็นคลื่น เหมือนกับที่เวลาเราถ่ายรูปแนว SeaScape สวย ๆ กัน ไม่เป็นไรครับ วันพระไม่ได้มีหนเดียว ไว้วันหลังมาใหม่
บรรยากาศยามเช้าของที่นี่ มันน่าใช้เวลาอยู่กับที่นี่จริง ๆ ได้ทานอาหารเช้าในบรรยากาศริมทะเล นั่งอาบแสงแดดอ่อน ๆ ความสุขมันหาได้ไม่ยากนะครับ ถ้าเราจะหามัน แล้วผมก็ต้องขอโทษทุกท่านด้วย ที่ไม่ได้เก็บภาพอาหารช่วงเช้ามาได้ เพราะความที่แสงมันไม่พอ ถ่ายรูปมานึกว่าจะดี มาดูอีกทีเบลอซะเยอะ ที่เหลือ ก็ได้มานิด ๆ หน่อย ๆ อาจจะทำให้ไม่ได้อรรถรส สักเท่าไหร่ เอาเป็นว่ารอดูของท่านอื่นที่ได้ไปกับพวกผมแล้วกันนะครับ
หลังจากนั้นเราก็ไปลงเรือกันเพื่อกลับไปที่ท่าบางโรงนะครับ เพื่อไปทำกิจกรรมต่อไปคือ ล่องแก่งที่น้ำตกโตนปริวรรต ซึ่งจะล่องได้เป็นเวลา เป็นรอบ ๆ ไป สามารถล่องได้ 3 รอบต่อวัน และสามารถล่องได้ทั้งปี เพราะในกรณีที่น้ำน้อย จะมีเขื่อนกักเก็บน้ำไว้ส่วนหนึ่ง จากที่เห็นส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่มาล่องกันจะเป็นชาวต่างชาติซะส่วนใหญ่ ลองสอบถามเค้าแล้วว่าระดับความยากประมาณเท่าไหร่ เค้าว่าประมาณระดับ 2 นะครับ ไม่ยาก ได้ตื่นเต้นนิดหน่อย
เมื่อเราเดินทางมาถึง ที่ Sealand Camp ได้สักพัก กินน้ำกินท่ากันเรียบร้อย ก็ไปเตรียมตัวไปล่องแก่งกัน (ถ่ายรูปครับ อดตามเคย)
โฉมหน้าผู้กล้าที่จะไปล่องแก่งครั้งนี้ เรือหนึ่งลำสามารถนั่งได้ 5 – 6 คนครับ 5 คนกำลังดี เพราะจะมีเจ้าหน้าที่นั่งไปด้วย 2 คน
ก่อนจะไปล่องกันก็ต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจกันหน่อย เพื่อความปลอดภัยและการปฏิบัติตัวระหว่างนั่งอยู่ในเรือ และในกรณีเกิดอุบัติเหตุตกเรือระหว่างทางให้ทำยังไง
โฉมหน้าผู้ที่จะพาเราไปล่องแก่งกัน
เอาหล่ะครับ สัญญาณดังขึ้นแล้ว ทางเขื่อนได้ปล่อยน้ำลงมาแล้ว ไปดูกันเลยว่าจะสนุกขนาดไหน
แล้วเราก็นั่งรถ ไปดักรอที่จุดถ่ายรูป โดยพี่จาก Sealand Camp พาไปปล่อยตามจุดครับ มีอยู่ทั้งหมด 3 จุด ผมเก็บมาได้ 2 จุด ระยะทางทั้งหมดประมาณ 5 กิโลเมตร สักพักใหญ่ ๆ เรือก็ค่อย ๆ ล่องมาทีละลำ และเมื่อได้ดูจากบรรยากาศแล้ว ผมหล่ะเสียดายจริง ๆ ถ้าไม่ติดต้องถ่ายรูปมาทำรีวิวนี่จะขอลงไปกับเค้าแล้วครับ สนุกจริง ๆ
หลังจากที่เราได้เสียเหงื่อไปกับการล่องแก่งแล้ว ก็ไปเติมพลังงานกันครับ ไปทานข้าวกลางวันกันที่ “ไอดิน บูติค รีสอร์ท” ที่นี่จะเป็นทั้งรีสอร์ทและร้านอาหารนะครับ วันนี้เราฝากท้องกันที่นี่ ไปดูอาหารกันเลยดีกว่า
อาหารที่นี่รสจัดจ้านครับ สำหรับคนชอบรสจัด ไม่ผิดหวังเลย และที่พิเศษคือมื้อนี้มีหมูสามชั้นทอด ซึ่งพวกเราห่างหายเนื้อหมูกันมาสักพักนึงแล้ว เพราะที่เกาะไม่มีครับ
เราแวะไปดูห้องพักที่นี่กันดีกว่า ห้องพักที่นี่ มีอยู่หลายห้องครับ แบ่งเป็นหลาย ๆ โซน เหมาะกับการมาทำกิจกรรม outing ครับ ตอนที่ไปก็มีหน่วยงานมาใช้สถานที่ทำกิจกรรมอยู่เหมือนกัน เราเลยไม่อยากรบกวนกันมาก เข้าไปดูบางห้องที่พอเข้าได้ครับ
ตัวห้องพักเองน่ารักครับ สิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างครบครัน ราคาไม่แพง
หลังจากนั้นเราก็ไปต่อกันที่วัดบางเหรียง หรือวัดราษฎร์อุปถัมภ์ อ.ทับปุด ตัววัดตั้งอยู่บนยอดเขาล้าน ภายในวัดมีโบราณสถานสำคัญคือ “พระมหาธาตุ เจดีย์พุทธธรรมบันลือ” องค์พระมหาธาตุเจดีย์เป็นรูประฆังคว่ำ ทางขึ้นไปสักการะพระมหาธาตุเจดีย์ สองข้างทางประดับด้วยรูปปูนปั้นพญานาค ๕ เศียร อยู่ในท่าเลื้อยลงมาจากพระธาตุ
ตอนที่เราไปถึงก็เป็นเวลาค่อนข้างเย็นแล้วหล่ะครับ เลยไม่ได้เข้าไปสักการะพระธาตุด้านใน เลยได้แต่เก็บความร่มรื่นของวัดในภายนอกแทน
เมื่อมองลงไปด้านล่างจะเห็น พระโพธิสัตว์กวนอิม และพระพุทธอิทธิมงคลชัย ประดิษฐานอยู่ทางด้านล่าง ดูจากบรรยากาศแล้ว ถ้าเป็นช่วงเช้าน่าจะมีทะเลหมอกที่สวยไม่เบานะครับ
เมื่อเราลงมาถึงด้านล่างก็จะเจอพระโพธิสัตว์กวนอิมองค์ใหญ่ จากข้อมูลที่รู้มาว่าการสร้างพระโพธิสัตว์กวนอิม และพระพุทธิอิทธิมงคลชัยนี้ ก็เพื่อให้ช่วยปกป้องชาวใต้ให้พ้นจากภัยอันตรายทางธรรมชาติ
เดินต่อมาทางด้านหลังของเจ้าแม่กวนอิม ก็จะพบกับพระพุทธิอิทธิมงคลชัย ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางนาคปรกที่ใหญ่ที่สุดในแถบอันดามัน ขนาดหน้าตักกว้าง 19 เมตร สูงถึงพญานาค 28.50 เมตร สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2540 แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2542 ขนาดใหญ่จริง ๆ ครับ เทียบกับคนในรูปได้
ข้อแนะนำนะครับว่า สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องเข่า กรุณาคิดให้ดีก่อนจะลงไป เพราะตอนเดินกลับนี่เหมือนเดินขึ้นเขาเลย บันได้ผมนับได้ประมาณ 125 ขั้น เล่นเอาหอบเหมือนกันครับ
หลังจากนั้นเราก็เดินทางไปทานอาหารเย็นที่บ้านบางพัฒน์.. บ้านบังพัฒน์เป็นหมู่บ้านชาวประมง อยู่ในจังหวัดพังงา หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์มี สามารถพักค้างคืนได้แบบโฮมสเตย์ นอกจากนี้ยังเป็นหมู่บ้านที่มีธนาคารปู เป็นการอนุรักษ์ปูม้าให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเมื่อมีการจับปูไข่ได้ ก็นำมาใส่ลงกระชังเพื่อที่จะให้ปูสามารถออกไข่ และเติบโตได้ในอนาคต หลังจากนั้นเมื่อปูสลัดไข่แล้ว ชาวบ้านถึงจะนำปูไปขายและนำเงินมาบำรุงชุมชน
ตัวชุมชน อยู่คนละฝั่งกับที่เราจอดรถครับ ต้องเดินข้ามสะพานคอนกรีตข้ามไปอีกที ทำไมต้องเอามาเล่า.. ก็เรื่องมันมีอยู่ว่า เราก็กำลังเดินข้ามฝั่งไปธรรมดานั่นแหล่ะครับ หยุดแวะถ่ายรูปบ้าง แต่พอกำลังจะเดินต่อ หันไปเจอกับ รถมอเตอร์ไซค์แบบมีพ่วงข้างแล้วก็มีของขายแบบเต็มรถเลยครับ ดูแล้วไม่สามารถยืนอยู่เฉย ๆ ให้รถสวนไปได้ ทำไงกันหล่ะทีนี้ คนอื่นผมไม่รู้หล่ะ แต่ผมหน่ะ ปีนขึ้นไปนั่งบนราวสะพานแล้วเกาะเสาไฟไว้ เกาะเป็นลิงตัวอ้วน ๆ เลย
รูปนี้ได้ก่อนจะเกาะเป็นลิงตัวอ้วนครับ เมฆบนท้องฟ้า เป็นสายยาวเหมือนสายน้ำเลย
วิถีชีวิตของชุมชนนี้ ผูกพันกับการประมงครับ ด้วยที่ผมสังเกต เค้าจะใช้เรือลำไม่ใหญ่ในการประมง การรู้จักพึ่งพาอาศัยกันระหว่างคนกับธรรมชาติ มันทำให้สภาวะแวดล้อมอยู่ในสภาพที่สมดุล และยั่งยืนนะครับ
ร้านที่เราจะไปกินข้าวเย็นนี้ คือ “ร้านครัวอารีย์ บังหมาด” ร้านดังของบ้านบางพัฒน์ครับ แต่ในระหว่างเดินไป ก็ไปสะดุดกับสัตว์เลี้ยงของที่นี่…”นกเหยี่ยว” ครับ เลี้ยงอย่างกับเลี้ยงสุนัข ไว้เฝ้าบ้านเลย เกาะกันเป็นแถว ถามผู้คนแถวนั้นก็ได้ความว่า เลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก ๆ (ได้มายังไง ผมไม่รู้นะ) แต่ที่เห็นว่าล่ามไว้ ไม่ใช่เพราะกลัวหนีไปไหนนะครับ พี่เค้าปลดโซ่โชว์เลย มันไม่หนี แต่มันจะโผไปเรื่อย ไปตรงโน้นที ตรงนั้นที แล้วอุจจาระมัน จะเลอะไปทั่ว (ที่เห็นขาว ๆ นั่นแหล่ะ)
เหยี่ยวพันธุ์นี้ รู้สึกว่าจะเรียกว่า “เหยี่ยวแดงหัวขาว” นะครับ ในรูปคือตัวที่โตเต็มวัยขึ้นมาหน่อย
ร้านครัวอารีย์ บังหมาด เมื่อเราเดินข้ามสะพานมาแล้วเลี้ยวซ้าย จะตั้งท้ายสุดของทางเดิน เป็นร้านอาหารทะเลสด ๆ จากข้อมูลที่รู้มา ที่ร้านจะคิดราคาแบบเหมาจ่ายหัวละ 250 บาท เลือกอาหารได้ 7 อย่าง หากมากัน 4 คนขึ้นไป แต่ถ้ามาต่ำกว่า 4 คน จะเลือกอาหารได้เพียง 5 อย่างเท่านั้น เมื่อก่อนจะขายแบบบุฟเฟต์หัวละ 250 บาท เติมอาหารได้ แต่ตอนนี้ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว เพราะต้นทุนอาหารเพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ยังคงราคาไว้ที่หัวละ 250 บาทเหมือนเดิม
เมนูอาหารเย็นนี้ครับ อาหารสด อร่อย รสชาติดี ที่เห็นเป็นหม้อไฟนั่นเป็นโป๊ะแตกนะครับ
วิวจากร้านครัวอารีย์ บังหมาด ครับ ขอตั้งชื่อภาพนี้ว่า “เรือเล็กกำลังออกจากฝั่ง”
เราใช้เวลาอยู่ที่บ้านบางพัฒน์พอสมควรเลยครับ มารู้ตัวอีกทีก็เกือบ ๆ จะ 2 ทุ่มแล้ว ก็เดินทางเข้าสู่ที่พักกันแล้วครับ
คืนนี้ผมได้พักที่ “ไม้ขาว ดรีม รีสอร์ทแอนด์สปา (นาใต้) (Maikhao Dream Resort & Spa – Natai)” เป็นรีสอร์ทระดับ 5 ดาว เป็นรีสอร์ทติดหาดนาใต้ ไปดูห้องพักกันดีกว่าครับ
ห้องที่ผมพักเป็นห้องแบบ “Deluxe Suites” มีขนาด 81 ตรม. ใหญ่มากเลยครับ เพราะเป็นเหมือนห้องนอนและห้องนั่งเล่นกับส่วนเตรียมอาหารเล็ก ๆ อยู่อีกฝั่งนึง ไม่ขอพูดอะไรมาก ไปดูที่รูปดีกว่าครับ
เป็นห้องพักที่มีเครื่องใช้สอยครบครัน เหมาะสำหรับผู้ที่มาเป็นครอบครัว ด้วยความที่ขนาดห้องพักใหญ่ ทำให้ไม่อึดอัดเลยทีเดียว (ผมพักคนเดียว บอกตามตรงว่า เหงาเลยครับ)
ห้องน้ำที่นี่มีทั้งที่เป็น อ่างอาบน้ำ และห้องอาบน้ำแยกกัน โดยที่ตัว อ่างอาบน้ำ เราสามารถเปิดบานกั้น เพื่อนอนแช่น้ำไป ดูทีวีไปได้นะครับ
รูปนี้ถ่ายจากตรงบริเวณทีวิ แล้วซูมเข้าไปตรงบริเวณตรงอ่างอาบน้ำ
ไปดูที่ห้องนั่งเล่นบ้างดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง ไปดูจากภาพกันเลย
ที่ชื่นชอบอีกหนึ่งอย่างคือเจ้าตัวควบคุมสวิสต์ไฟทุกจุดของห้อง ที่อยู่ตรงโต๊ะข้างเตียงนี่แหละครับ สะดวกดี
แล้วผมก็ได้สลบไสล ไปไม่รู้ตัวเพราะความเหนื่อย รู้สึกตัวอีกทีก็กลางดึก ยังดีอยู่หน่อยตรงที่วันพรุ่งนี้ไม่ต้องรีบออกแล้วครับ ตามแพลน จะออกจากที่พักก็เกือบ ๆ 11 โมง ตื่นสายได้วันนี้ แต่สุดท้ายไม่รู้ว่าเพราะตื่นเช้าติด ๆ กันหรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับ 6 โมงเช้าตามันก็สว่างเองเลย ไหน ๆ ก็ตื่นแล้ว ก็เลยทำธุระส่วนตัวเพื่อจะเตรียมตัวไปกินข้าวเช้าดีกว่า
อาหารเช้าที่นี่ไม่ได้มีเยอะนะครับ แต่ครบ.. อาหารเช้าที่นี่จะเป็น Buffet ประมาณ American Breakfast จะมีเป็นอาหารไทยอยู่นิดหน่อย ถึงจะดูเหมือนไม่เยอะมากมาย แต่จะบอกว่าอาหารทำได้น่าทานมาก รสชาติดีเสียด้วย ผมยังแอบติดใจไข่ลวกในมะเขือเทศเลย ทำได้ดูน่าทานดี
อาหารเช้าแบบนี้ น่ากินมั้ยครับ…
พอจะอิ่มกันแล้ว ยังมีเวลาอยู่ ขอเดินเก็บบรรยากาศภายในรีสอร์ทหน่อยนะครับ Facilities ที่ผมอยากใช้มากแต่ไม่ได้ใช้คือ สระว่ายน้ำครับ อยู่บริเวณตรงกลางของตัวรีสอร์ท สระว่ายน้ำที่นี่กว้างมาก ที่เห็นในรูปเป็นแค่ด้านเดียวที่อยู่ต่อเนื่องจากทางเดิน Lobby ก่อนถึงสระใหญ่
ทางด้านริมของสระด้านนึงจะเป็น Poolside Bar ตอนนี้ยังเช้าอยู่ครับ ยังไม่มีใครมาใช้บริการ
สำหรับกิจกรรมที่น่าสนใจอีกอย่างคือ “นวดไทย” เป็นสิ่งที่ชาวต่างชาติชอบมาก นวดไทยของเรา ขึ้นชื่อนะครับ ฝรั่งที่เข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทย อย่างน้อยต้องมีสักครั้งที่ต้องมาลอง
อาคารทรงไทยที่เห็นในรูปนั้น เป็นที่ ๆ เราทานอาหารเช้ากัน มีชื่อเรียกว่า “ลีลาวดี” ครับ เป็นห้องอาหารที่ให้บริการอาหารทั้งวัน
หาดทรายที่นี่ละเอียดมากครับ เดินแล้วนุ่มเท้า หาดทรายสะอาดครับ เพราะเห็นหาดส่วนตัว โชคดีวันนี้ฟ้าใสดี น้ำทะเลก็สวย ผมเห็นแขกชาวต่างชาติหลายกลุ่ม หอบผ้ามาปูนอนกันตั้งหลายกลุ่ม
Lobby ของที่นี่เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทย เมื่อคืนมาถึงไม่ทันได้สังเกตถึงความงาม กว่าจะได้เห็นก็เกือบจะออกจากที่พักกันแล้ว
ผมโชคดีอยู่หน่อย ตรงมีโอกาสได้คุยกับผู้จัดการฝ่ายธุรกิจออนไลน์ของที่นี่ ก็เลยขอรูปพระอาทิตย์ตกของที่นี่เพื่อเอามาประกอบรีวิว เพราะผมเห็นบรรยากาศตอนเช้าแล้ว คิดเลยว่าอยากจะถ่ายพระอาทิตย์ตกของที่นี่จริง ๆ เพราะน่าจะสวยมาก แต่เมื่อวานมาถึงก็ไม่เห็นพระอาทิตย์แล้ว แล้วพอผมได้รับรูปจากทางรีสอร์ท เห็นแล้วก็ยิ่งเสียดายครับ ผมบอกกับตัวเองไว้เลยว่า คราวหน้าผมคงต้องขอมา โรแมนติกกับคนข้าง ๆ ที่นี่สักครั้งนึงแน่นอน
หลังจากที่เราออกจากที่ ไม้ขาวดรีมรีสอร์ท กันแล้ว โปรแกรมวันนี้ไม่มีอะไรมากครับ เพราะเราต้องเดินทางกลับกันแล้วต่อไปเราพาทุกคนไปชิมของอร่อยของที่นี่กัน นั่นก็คือ “สาหร่ายเม็ดพริกไทย” ครับ
อันนี้เป็นข้อมูลที่ได้รับมานะครับ เผื่อเป็นประโยชน์กับทุก ๆ คน “สาหร่ายเม็ดพริกไทยเป็นสาหร่ายสีเขียวที่คืบคลานไปตามพื้น และแตกแขนงได้ ส่วนของแขนงจะตั้งตรงสูง 1-6 ซม. มักเกิดเดี่ยว ๆ ไม่ค่อยแตกแขนง ประกอบด้วยรามูลัสเล็ก ๆ ลักษณะกลมสีเขียวใส มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5-2 มม. มีก้านสั้น ๆ เรียงกันคล้ายช่อพริกไทย มักพบบริเวณชายฝั่งในเขตน้าขึ้น-ลง หรือแอ่งน้าขัง เกาะกับก้อนหิน ปะการัง ปัจจุบันร้านอาหารหลายแห่งบริเวณหาดท้ายเหมือง คิดเมนูสาหร่ายมากมาย เช่น ส้มตาสาหร่าย ยาสาหร่ายทะเล น้าพริกสาหร่าย สาหร่ายทรงเครื่อง เป็นต้น
คุณค่าทางอาหาร… มีวิตามินเอ บี ซี อี และ เค ที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่าย ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย และรักษาความชุ่มชื่นของเซลล์ผิว บารุงสมอง บารุงเส้นผม ทั้งยังมีงานวิจัยจากหลายสถาบันที่เชื่อว่า สาหร่ายให้ผลเป็นยาในการต่อต้าน และยับยั้งเซลล์ผิดปกติ/มะเร็ง เป็นอาหารที่มีแคลอรี่ต่า และกากใยสูง ป้องกันท้องผูกและริดสีดวงทวาร เหมาะสาหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน เป็นแหล่งแคลเซียมที่สาคัญ เหมาะสาหรับทุกเพศทุกวัย”
ร้านที่เราได้ไปชิมของอร่อย ๆ ดีต่อสุขภาพในครั้งนี้ คือร้าน “ไอทะเล” เป็นร้านต้นตำหรับ ส้มตำสาหร่าย เมนูอื่น ๆ นอกจากสาหร่ายเม็ดพริกไทย กับน้ำยาประเภทต่าง ๆ ที่เราได้ลองในวันนั้นก็มี จั๊กจั่นทะเลทอด รสชาติกรุบ ๆ ดีครับ เป็นของแปลกที่ผมเพิ่งเคยได้กิน แล้วก็มี ปูนิ่มผัดพริกไทดำ, กุ้งซอสมะขาม และก็แกงคั่วหอยชักตีน ร้านนี้เปิดตั้งแต่ 11.00 – 21.00 นะครับ
หลังจากนั้น เราได้เดินทางกันต่อไปที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งพังงา เราจะไปปล่อยเต่ากัน เป็นโปรแกรมสุดท้ายที่เราจะทำกันในทริปนี้ครับ
เมื่อมาถึง เราก็ได้รับการต้อนรับจาก ท่าน ผอ. สุภาพ ไพรพนาพงศ์ เป็นผู้แนะนำและให้ช้อมูลในการวิจัยและพัฒนาของศูนย์วิจัยนี้
อย่างแรกที่นำเสนอ ก็คือเจ้าสาหร่ายเม็ดพริกไทย ที่เราได้ไปชิมมาก่อนหน้านี้ครับ แต่ที่นี่ทำเป็นเมนูที่เรียกว่า “สลัดอันดามัน” ความแตกต่างของน้ำยาทำให้รสชาติของแต่ละเมนูนั้น แตกต่างกัน ซึ่งสาหร่ายที่เราได้ชิมกันที่นี่ ได้รับการเพาะเลี้ยงที่ศูนย์วิจัยนี้ครับ
มีเมนูอีกอย่างที่อยากนำเสนอ เป็นเมนูสาหร่ายอีกอย่างนึง ที่เรียกว่า “สาหร่ายผมนาง” แต่เป็นเป็นแบบแห้งนะครับ เมนูที่ทำออกมามีชื่อเรียกว่า “เมี่ยงเกศานารี” เมนูทุกเมนูที่เราได้ชิม เหมาะสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ แต่ยังได้รสชาติที่อร่อยถูกใจ
หลังจากนั้น เราจะไปดู น้องเต่าน้อยกันครับ สายพันธุ์เต่าทะเลในประเทศไทย มีอยู่ทั้งหมด 4 สายพันธุ์ เต่าตนุ, เต่ากระ, เต่าหญ้า และเต่ามะเฟือง ในปัจจุบันมีการอนุรักษ์ และเพาะพันธุ์ ได้อยู่ 3 ชนิด ยกเว้นเต่ามะเฟือง ที่ยังไม่พบแหล่งวางไข่ในประเทศไทยครับ
เต่าที่ที่นี่ เพาะพันธุ์ ส่วนใหญ่จะเป็นเต่าตนุครับ แต่ก็มีสัตว์ทะเลอื่นๆ อีกด้วย เดี๋ยวเราตามไปดูกัน
ว่าแล้วท่าน ผอ. ก็ได้นำเต่าน้อยตัวนึงไปให้พวกเราดูใกล้ ๆ ตอนแรก ๆ ลูกเต่าก็มีท่าทีตกใจนิดหน่อย แต่พอท่าน ผอ. ลูบหัวนิดหน่อย ก็เคลิ้มครับ น่ารักจริง ๆ แต่อย่านานมากนะครับ ตัวเค้าจะแห้ง ต้องคอยเติมน้ำ แป็บเดียวครับ เราก็ปล่อยกลับบ่อเลี้ยง ไม่อยากให้ลูกเต่าเครียด
ดูน้องเต่ากันใกล้ ๆ กันอีกนิดนะครับ น่าตาน่ารัก น่าสงสารจริง ๆ คนที่กินเต่าได้นี่ จิตใจทำด้วยอะไรกันนะ
ในศูนย์วิจัยที่นี่ มันสัตว์ทะเลอยู่เยอะนะครับ เหมือนเราเดือนดู Aquarium ย่อม ๆ เลย ที่เห็นในรูป เขียว ๆ นั่นก็คือ บ่อเพาะเลี้ยงสาหร่ายเม็ดพริกไทย ปลาการ์ตูนก็มี ท่านผอ. บอกว่า บางทีปลาการ์ตูนที่เห็นมีขายที่ตลาดค้าสัตว์น้ำ ต้องดูให้ดีว่า สามารถกินเหยื่อที่เราให้ได้หรือเปล่า เพราะบางตัวเป็นปลาที่อยู่ตามธรรมชาติมาก ๆ ปรับตัวไม่ได้ตายไปก็หลายตัว หอยมือเสือตัวใหญ่ ๆ ก็มี อย่างหอยมือเสือนี่ เค้าเพาะเลี้ยงไว้ แล้วจะนำไปปล่อยตามพื้นที่ ที่จัดไว้ รู้สึกว่า จะมีวันที่รวมตัวกันไปปล่อย ช่วงละครั้งต่อปีนะ ถือเป็น event ที่น่าสนใจมากครับสำหรับนักดำน้ำ
ที่เห็นในรูปนั้นคือเต่าหญ้านะครับ ตัวใหญ่มาก เทียบกับน้องในภาพได้
หลังจากนั้นเราก็ไปดูการเตรียมการปล่อยเต่าครับ เจ้าหน้าที่จะนำเต่ามาฉีด Microchip เพื่อเป็นการบันทึกข้อมูลไว้ แล้วในกรณีที่มีการจับเต่าได้หรือว่าได้เจออีกครั้ง จะได้รู้ว่าเป็นเต่าที่มีการปล่อยไปจากศูนย์นี้ ชาวประมงก็จะนำมาให้ศูนย์วิจัยนี้อีกทีเพื่อดูแลบำรุงและทำการปล่อยกลับสู่ธรรมชาติอีกที และถ้าเป็นเต่าที่เราเป็นคนปล่อย ทางศูนย์จะติดต่อให้เรามาทำการปล่อยอีกทีนึง
นี่เป็นโฉมหน้าเต่า 2 ตัวที่เราจะไปปล่อยครับ “น้อง Blogger” กับ “น้อง เท่งน้อย”
สถานที่ ที่เราไปการปล่อยเต่า ไม่ได้ไปไหนไกลครับ ชายหาดตรงหน้าศูนย์เลย ท่านผอ. กำลังอธิบายถึงวิธีการปล่อย และธรรมชาติของเต่าเวลาที่เค้าจะว่ายออกไปทะเล
ท่านผอ. กำลังสาธิตวิธีจับเต่าก่อนจะปล่อยลงสู่ทะเล ให้ถือแบบลักษณะในภาพนะครับ ขาน้องเต่าอาจจะตีมาโดนบ้างแต่ไม่เป็นไร ไม่เจ็บหรอกครับ เพื่อเป็นการประคองให้เค้าไม่บอบช้ำ ว่าแล้ว นางแบบกิตติมศักดิ์ของเราก็เริ่มทำการปล่อยเต่าครับ
วิธีการปล่อยก็ง่าย ๆ ครับ แค่วางน้องเต่าลองตรงหาดทราย น้อยเต่าเค้าจะอยู่นิ่ง ๆ สักพักนึง เค้าจะจดจำรายละเอียด สภาพแวดล้อม รอบ ๆ ตัว แล้วก็จะค่อย ๆ คลานลงทะเล เวลาที่เค้าคลานลงทะเล แล้วเวลาที่เค้าวางไข่ เค้าจะกลับมายังที่ ๆ เค้าเคยมาครับ และเมื่อเค้าออกสู่ทะเลแล้ว เค้าจะว่ายไปยังแนวปะการังที่ไกล้ที่สุดโดยไม่หยุดพักเลย โชคดีหน่อยตรงแถวนี้ ยังมีแนวปะการัง ห่างไปไม่ไกล น้องเต่าไม่เหนื่อยมาก ที่เราต้องทำอย่างนี้ในตอนที่เต่าโตพอสมควรแล้ว เพราะว่าตามธรรมชาติแล้ว เต่าจะฟักออกจากไข่ แล้วก็ว่ายออกทะเลเลย ด้วยขนาดตัวที่เล็ก และบางทีก็อ่อนแอเกินไป ทำให้กลายเป็นอาหารสำหรับสัตว์น้ำอื่น ๆ แต่ถ้าปล่อยที่ตัวขนาดนี้แล้ว น้องเต่าสามารถเอาตัวรอดได้ครับ ไม่ได้เป็นอาหารให้กับสัตว์น้ำประเภทอื่น
เอาใจช่วยน้องเต่าสุด ๆ ใจก็คิดว่าอยากเจอตอนที่เค้าโตเต็มวัยกว่านี้จะเป็นยังไง แต่คิดอีกทีอย่าเลยครับ ถ้าเจอแปลว่าเค้าอาจจะกำลังแย่ก็ได้ วิธีที่เราจะอนุรักษ์ให้ สัตว์น้ำไม่ใช่แค่เฉพาะเต่านะครับ สัตว์ร่วมโลกอื่น ๆ ด้วย นั่นก็คือ อย่าทิ้งขยะลงสู่ธรรมชาติ เพราะบางทีแค่ถุงพลาสติกแค่ชิ้นเดียว อาจจะทำให้ชีวิต ๆ นึงจบนะครับ ลองคิดดูว่าถุงไปอยู่ในท้องแล้วไม่ย่อย มันจะแย่แค่ไหน ขนาดเราอาหารเป็นพิษ ยังแทบแย่ ผมพบเห็นมาเยอะนะครับ สัตว์ในธรรมชาติที่จบชีวิตด้วยน้ำมือมนุษย์ทางอ้อม
จบแล้วครับ สำหรับทริปพังงาที่น่าประทับใจของผม ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ จริง ๆ แล้วมีอีกหลายโปรแกรมเลยที่ต้องไปแต่ไม่ได้ไป เนื่องด้วยเวลาไม่ได้อำนวย แต่สิ่งที่ได้รับมานี่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ เลยครับ
ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กองตลาดภาคใต้ ที่ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ เป็นการท่องเที่ยวในแบบที่น่าสนใจมาก / การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา ที่อำนวยความสะดวกทุก ๆ ด้านในทริปนี้นะครับ / เพื่อน ๆ Blogger ทุก ๆ คน ที่ทำให้ทริปนี้เป็นทริปสนุกสนานสุด ๆ และที่สำคัญที่สุด ชาวพังงา ทุก ๆ คนที่ทำให้พวกผมได้พบเจอประสบการณ์ดี ๆ ในครั้งนี้ครับ
ขออนุญาต หาประโยคสวย ๆ มาประกอบภาพดูนะครับ “สำหรับผมแล้ว ไม่ว่าหนทางจะยาวไกลขนาดไหน ต้องพักกันบ่อยแค่ไหน แต่ถ้าเราไม่ย่อท้อสู้กันต่อไป สักวันเราจะถึงปลายทางได้แน่นอนครับ” ขอบคุณอีกครั้งครับ แล้วเจอกันอีกทีทริปหน้านะครับ