สวัสดีครับทุกคน ไม่ได้ปล่อยรีวิวแบบ เที่ยวต่างประเทศกันทั้งบ้าน มาพักใหญ่
หนนี้เป็นการมาพาทุกคน เที่ยวมาเลเซีย กับครอบครัว one22 กันอีกครั้ง
ถ้าใครเคยผ่านตามาบ้างจะรู้ว่า บ้านนี้เคยพาเด็กน้อยตัวหญ่ายยย ไปเที่ยวมาเลยฯมาแล้วครั้งนึง (ตามอ่านทริบที่ผ่านมาได้ที่นี่เลยครับ http://s.one22.com/YNTOJV )
หนนี้จึงเป็นการกลับไปย้อนรอยเส้นทาง และเติมเส้นทางใหม่ๆเข้าไป
เป็นการลุยลงไปทางใต้ของมาเลเซียจนสุดป้ายกันเลยคือ รัฐJohor ถือเป็นการเดินทางเองแบบมาราธอนใช้ได้เลย ทั้งต่อรถไฟ รถบัส เรือ รถไฟฟ้า ขึ้นลงเครื่องข้ามประเทศ 2 ประเทศกันเลย คุณพ่อคุณแม่ลูกอ่อนทั้งหลายน่าจะเป็นประโยชน์นะครับ เอาล่ะไม่พูดพร่ำทำเพลงไปเดินทางด้วยกันกับ เด็กยักษ์ในกระเตงลูกเที่ยว มาเลเซีย ไปง่ายใครๆก็ไปได้กันดีกว่า
เราเริ่มต้นกันที่เช้าตรู่ที่สนามบินดอนเมือง เที่ยวนี้เราสอยตั๋วราคาถูกจากสายการบินใหม่หมาดของบ้านเราอย่าง ThaiLion Air ราคาไปกลับ ตกคนละ 2000+ ถือว่าดีใช้ได้ เด็กยักษ์สนุกสนานกับการเดินทางบ่นอยากนั่งเครื่องบินมาตลอด และดูก็จะพร้อมมากทั้งแม่ทั้งลูกทีเดียว
ทริบนี้จะใช้เวลา 4วัน 3 คืนในเส้นทางแบบวงกลม แต่เราอาจจะแปลกกว่าคนอื่นเค้าหน่อยที่เราเป็นแบบวงกลมทวนเข็มนาฬิกา คือจาก Bangkok- KL-Melaka- Lego Land – Singapor – Bangkok
คือปรกติคนไทยมักนิยมจะเข้าไปเที่ยว Lego แบบผ่านสิงคโปร์เพราะใกล้กว่าถึงแม้จะต้องผ่าน ตม.กันถึง 2 ด่านก็ตามแต่เราขอไปเริ่มกันที่ Malaysia แล้ววนออกทางสิงคโปร์แทนเพราะฉะนั้นคุณๆที่อยากไปแบบเรา เที่ยวแบบเราโปรดติดตามอ่านต่อกันให้ดีๆ
เดินทางแบบกระเตงลูกเที่ยวควรเตรียมอะไรบ้าง
หลังๆเวลาเดินทางเยอะขึ้นแต่เวลาเขียนกลับน้อยลง (เอ๊ะยังไง) 55ก็คือเอาเวลาไปเที่ยวแล้วดองรีวิวนั้นเอง การเตรียมพร้อมขอยกตัวอย่างจากรีวิวครั้งแรกตอนพาไปเที่ยวมาเลเซียกันนะครับ
การเตรียมเรื่องยูกยา…
ขอยกเอาที่เคยเขียนไปตอนเที่ยวมาเลย์มาฉายซ้ำ..อะแฮ่ม เพราะถึงยังไงก็ยังใช้ได้เหมือนกันเพราะการพาลูกเที่ยว (เด็กอายุไม่เกิน 5 ขวบ) ควรเตรียมไประดับนึงพอ เช่นแก้ไข้ แก้หวัด เจ็บคอ ท้องเสีย ท้องอืด และยาเฉพาะตัวของลูกๆเราก็พอ หากคุณๆไม่เคยพาด็กเล็กๆเดินทางออกนอนประเทศ ควรเผื่อไว้ประมาณนึงไม่จำเป็นต้องซื้อทุกอย่างเหตุผลเพราะ เราไม่ใช่หมอและเด็กๆ เองก็ไม่สามารถจะบอกอาการของเค้าได้ทั้งหมด หากให้ทานยาไปบ้างแล้วไม่หายยังไงก็ควรพึ่งหมอดีที่สุด ยามีไว้เพื่อความสบายใจของเราและ รักษาอาการได้ระดับเริ่มต้นเท่านั้น
Internet ขาดไม่ได้อีกแล้วสำหรับมนุษย์ออนไลน์อย่างเราๆ
มาเลเซียเป็นอีกประเทศในโลกที่มีความพร้อมเรื่องการสื่อสารระดับ 3-4G ณ.ปัจจุบันมีค่ายมือถือมากกว่า 4-5 ค่ายที่พร้อมให้บริการแล้ว แต่ส่วนตัวผมยังอยากแนะนำ 3 ค่ายแรกๆที่เปิดมานานเป็นลำดับต้นๆของประเทศ อย่างในภาพนี้ เหตุผลง่ายๆเลยคือหาซื้อซิมกันได้ตั้งแต่ลงเครื่อง เพรามี Booth & Shop เปิดอยู่กันในสนามบินเลย และที่สำคัญจะไปตรงไหนก็หาที่เติมเงินง่าย มาก
เดินพ้นประตูออกมาเจอต้อนรับอยู่ 2 ยี่ห้อ คือ Maxis กับ Celcom จากประสบการณ์หนที่แล้วผมจำได้แม่นว่า 3G เค้าดีกว่าเรามาก
ให้ผมฟันธงกันจริงๆ ยี่ห้อ Celcom ใน Package Net Unlimited แบบ 14 วัน ราคา 29 RM ในขณะที่ อีกยี่ห้อ 35 Rm ในการใช้งาน 1 เดือน ดูๆก็เหมือนอันหลังคุ้มกว่าแต่เราใช้แค่ 4 วันเอาถูกไว้ดีที่สุดและลองถามเจ้าหน้าที่ดูเค้าว่า Celcom แพงก็จริงแต่ก็เน็ตดีกว่าด้วย และอยากบอกว่าผมคิดถูก!! เพราะจริงๆแล้วผม Roaming มา package Truemove 333 บาท/วัน เนื่องจากมีเหตุต้องใช้เรื่องงานจากเมืองไทย ใช้เป็น Maxis สังเกตุว่าระหว่างทาง ผมมีหลุดบ่อยๆกว่าเยอะและหลังจากลองใช้มาตลอดทริบพบกว่าเน็ตไม่ได้เร็วกว่าไทยเหมือนที่เคยใช้เมื่อ 2 ปีก่อนแล้ว น่าจะเรียกว่าพอๆกันก็ได้ครับ
สนามบินใหม่ KLIA2 ใหม่ทุกอย่าง
พูด ถึงสนามบิน KLIA2 สักนิด วันที่เราไปถึง สนามบินนี้เพิ่งเปิดใช้งานได้แค่ 2 วันเท่านั้น ทำให้ลานจอดและงวงช้างที่ต่อเครื่องโล่งมากๆ เหตุผลสนามบินนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับสายการบิน Lowcost ทั้งหลาย
หนนี้มีเรื่องตื่นเต้นระหว่างเดินทางมาใช้ได้ เนื่องจากผมหาข้อมูลการลงเครื่องไว้ที่สนามบิน KLIA แต่เอาเข้าจริงๆปรากฎว่าเรามาลงสนามบินใหม่ที่ถือเป็นสนามบินที่มาเลเซียภูมิใจที่สุดคือ Klia2 และที่สำคัญได้ชื่อว่าเป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปเรียบร้อย (ต้องรอดูสนามบินแห่งใหม่ของสิงค์โปร์ที่กำลังสร้างอยู่ว่าจะทำลายสถิติที่นี่ได้หรือไม่)
การเดินทางจากสนามบิน KLIA2 สำหรับเราถือว่าศูนย์ทันทีเพราะมันเพิ่งถูกเปิดใช้มาแค่ 2 วัน คือเมื่อวันที่ 2 พค เท่านั้นและเปิดเป็นทางการไปแล้วในวันที่ 9 พค.เป็นการย้ายจากสนามบิน ที่ใช้มานานแล้วทั้งเก่าและไม่สะดวกเอามากๆอย่าง LCCT (ทำให้ Airasia และสายการบิน Lowecost ทั้งหมดต้องย้ายมาที่นี่หมด)
อ่อ อารัมภบทมาเยอะกลับมาที่การเดินทางของเราดีกว่า สรุปง่าย ต้องใช้ปากให้เป็นประโยชน์ คือถามอย่างเดียว พ้น จากเรื่องซิมเดินพ้นโซน ประตูทางออกมาก็พบว่าสนามบินนี้ตกแต่งสวยงามแถมมีช้อปปิ้งมอลล์ขนาดใหญ่ทีเดียว โชคดีที่เค้าเปิดแบบพร้อมเปิดจริงๆ คือมีทุกอย่างครบถ้วนหมดแล้ว
ลง มาเจอตรงส่วนรับกระเป๋า ทั้งโล่งและกว้างมากครับ เรียกว่าเดินหาจุด Drop กระเป๋ากันใช้ได้ รถเข็นก็ใหม่ซิงๆมาก กลิ่มแอร์ยังรู้สึกได้เลยว่ามีกลิ่มสีหมาดๆผสมอยู่อ่อนๆเล้ย
ร้านรวงเยอะมาก ล้วนแต่ใหม่เอี่ยมอ่องสุดๆ ถ้ามีเวลาลองเผื่อเวลากันไว้สำหรับใครที่ต้องกลับมาขึ้นที่ KLIA2 นะครับ
หลังพ้นจากสนามบิน เราสอบถามจนได้ความว่า ตอนนี้หากอยากขึ้นรถไฟฟ้าเข้าเมืองหรือจะไปต่อที่ KLIA แรก ควรใช้บริการรถไฟฟ้าดีที่สุด (เว้น LCCT เพราะจะเป็นอดีตไปแล้ว ณ.ตอนที่ผมเขียนอยู่นี่)เราตรงดิ่ง ลงมาชั้นล่างสุดตามป้ายมาเลยครับ
การเข้าเมืองด้วยรถไฟฟ้าถือว่าสะดวกและเร็วสุดแล้วมีให้เลือก 2 แบบ คือรถไฟฟ้าธรรมดา (KL Sentral) กับแบบด่วนพิเศษคือ KLIA EXPRESS คือจะไม่แวะสถานีไหนทั้งนั้นมุ่งตรงดิ่งไป
KL Sentral เลยจากสนามบิน และสุดท้ายเราก็เลือกแบบ Express เพราะประหยัดเวลาที่สุด
แม้ราคาจะแพงกว่าหลายเท่า (ผู้ใหญ่ คนละ 35 Rm เด็กสูงไม่เกิน 100 cm ไม่คิดตัง)
รอกันอยู่สัก 10 นาทีก็มาแล้ว ได้เวลาขึ้นกันแล้วจ้าาาา
บนรถไฟฟ้า ภายในเริ่มดูเก่าแล้ว สถานี KLIA2 เหมือนจะเป็นการต่อเส้นทางมาจาก KLIA แรกโดยที่แวะรับที่นั้นก่อนจะมารับที่ KLIA2
มีจุดให้วางกระเป่าด้วยสะดวกดีครับไม่เกะกะทางเดินด้วย
นั่งกันราวๆ ครึ่งชัวโมงก็ถึงแล้วครับ KL Sentral จะว่าสะดวกที่สุดก็ว่าได้เพราะสถานีนี้ถือเป็นสถานีหลักที่ทุกๆคนหากอยากจะเปลี่ยนสายรถไฟหรือจะต่อรถบัสไปจุดต่างๆก็ได้เช่นกัน
ใหญ่โตดีทีเดียว
คนเดินกันขวักไขว่ คล้ายๆหัวลำโพงบ้านเราเหมือนกันครับ ระหว่างเดินออกมาเจอป้ายโฆษณากระบี่บ้านเราด้วยดีใจริงๆ
สุดท้ายเราก็เลือกมาต่อรถไฟฟ้า Monorail แทนก็ต้องเดินออกแรงกันหน่อยเพราะเค้าไม่ได้เชื่อมต่อสถานนี้แบบรวดเดียวเทียบไปก็เหมือน บ้านเราที่สถานนีอโศก ที่ต้องต่อจากรถใต้ดินเดินมาขึ้นลอยฟ้าอารมณ์ประมาณนั้นเลยแต่มาหนักใจตรงต้องแบกกะเป๋าหนัก 19 โลขึ้นบันได้ไปรถไฟฟ้าเเนี่ยละและไม่ธรรมดามากๆครับ
ราคาค่าโดยสารดูได้จากด้านหน้าช่องขายตั๋ว ราคาก็ไม่ต่างจากบ้านเรามากนักใกล้เคียงกันเลย
หลังแบกกระเป๋าจนขึ้นรถไฟฟ้า Monorail ได้สำเร็จ จากตรงนี้เป้าหมายเราคือสถานี Medan Tuanku โรงแรมที่พักเราอยู่ที่ บริเวณนั้น ในความเข้าใจของเราเอง (แต่หลังจากมาพักแล้วสถานีที่ใก้ลกว่าคือ Badanraya )
ลากกระเป๋าเดินกันอีกราวๆ 600-700 เมตร ก็ถึง โรงแรมที่เราเข้าพักคือ Premila Hotel เป็นโรงแรมสร้างใหม่ไม่นาน
มาดูห้องพักบ้าง สำหรับห้องเริ่มต้น ขนาดก็ไม่แคบไม่กว้างปรกติธรรมดา ได้ห้องเป็นเตียงคู่เลยต้องมาออกแรงทำให้เป็นเตียงเดี่ยวด้วยตัวเอง ไม่งั้นเด็กยักษ์จะนอนยังไง จริงไหมครับ
คืนนั้นเราหลับกันด้วยเวลารวดเร็ว เพราะทั้งเหนื่อยและเพลีย พรุ่งนี้ยังมีการผจญภัยใหม่ๆรอเราอยู่
เช้าวันที่ 2
เช้านี้มีฝนพร่ำ ชวนให้พรั่นเราเก็บกระเป๋าเสร็จก็ Check out เลย อ่อลืมบอกราคา 2900 บาทสำหรับ Type เริ่มต้นไม่ถูกเลยและไม่รวมอาหารเช้าด้วย หากจะกินมื้อเช้าคิด 2 คน 75 RM(ไม่แน่ใจแม่นๆครับผ่านระยะเวลามาอาจะ+-10 RM) เด็กไม่เสีย
เห็นราคาก็ขอบายแล้วครับ และก็คิดถูกจริงๆ เพราะหลัง Checkout ออกมาและเดินออกมาที่ตึกใกล้ๆกันเจอทั้ง Macdonald และ อาหารแบบบุฟเฟ่ต ราคาไม่แพงเลย ตกคนละไม่ถึง 15 Rm สุดท้ายเราก็เลือกแบบหลังเพราะอยากลองดูมาที่นี่
รสชาติจานแรกเป็นข้าวผัดแบบเค้ามีรสเผ็ดนิดหน่อยผสมพริกเข้าไป ผมลองชิมแปังทอดที่ม้วนมาคล้ายปอเปี๊ย แต่จริงๆคล้ายแค่ภายนอกของจริงรสชาติ สู้อีกจานที่แม่จ๋าเค้าเลือกเองไม่ได้ เป็นเส้นหมี่ผัดเราเติมไก่ทอดเข้าไปเพิ่มรสชาติแบบมีกลิ่นเครื่องเทศแบบบ้านเค้าผสมอยู่ แต่ฟันธงว่าเมนูเส้นๆเค้าอร่อยกว่าเยอะครับใครไปจะลองสั่งทานกันดูเองตามอัธยาศัยได้เลย
หลังอิ่มกันดีเรากลับมาเอากระเป๋าที่ฝากกันไว้แล้วก็เริ่มเดินไปที่สถานี Bandaraya เดินลากกระเป๋ามาตามป้ายบอกทางเรื่อยๆเจอสี่แยกถนน JLN. Esfahan ละก็เลี้ยวขวาได้เลย
ใช้เวลาราวๆ 15 นาทีก็ถึงครับสถานี Bandara ประเมินเส้นทางอยู่ที่ราวๆ 500 เมตรน่าจะได้
ขึ้นรถไฟฟ้า Monorail กันต่อ และหากใครมาเส้นเดียวกับเราจำเป็นต้องมาเปลี่ยนขบวนกันที่สถานี Chan Sow Lin ลงที่นี่คุณต้องสังเกตป้ายตรงขบวนรถที่เข้ามาให้ดี เพราะรถไฟที่เข้ามาในชานชลานี้จะใช้สถานีร่วมกันแต่จะออกไปจุดหมายต่างกัน เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องย้ายฝั่งแต่ต้องดูขบวนรถที่เข้ามาแทน เพราะมันจะบอกจุดปลายทางเป็นตัววิ่งไว้ที่หัวขบวน อย่างเราจะไปยังสถานีปลายทางที่ สถานี Bandar Tasik Selatan ให้ดูปลายทางเป็นที่ Seremban ไว้หากไม่ใช่จะพาไปอีกทางเสียเวลาแย่เลยครับ
พูดถึงสถานี Bandar Tasik Selatan ที่นี่จะเป็นที่รวมมสถานีรถบัสที่หากใครต้องการจะขึ้นรถบัสไปไหนก็ตาม มาเริ่มกันที่นี่ได้เลย
ระหว่างทางเด็กยักษ์ก็ซนและสนุกสนานกับการขึ้นรถไฟฟ้าของที่นี่มาก ลุกๆนั่งๆไปตลอดทาง
การเดินทางอันแท้จริงก็อยู่ตรงนี้ละครับที่มันจะให้คุณค่ากับประสพการณ์ที่หาไม่ได้จากในตำราเรียนทั้งหลาย บ้านเราอยากให้เค้าได้มีโอกาสแบบนี้อยู่อย่างสม่ำเสมอ
สถานีรถบัสของเค้าคือ TBS เดินลงจากรถไฟฟ้ามองป้ายเอาไว้ตรงทางแยกจะมีป้ายกำกับให้เราเดินไปที่บอกทางไป TBS เดินไปเรื่อยๆก็จะเข้าสู่ด้านในแล้ว
ที่นี่เป็นสถานีรถสายใต้ของบ้านเค้าแต่การดูแลรักษาความสะอาดและห้องน้ำนับว่าดีกว่าบ้านเราหลายเท่าเลยดูๆนี้เกือบเท่ากับสนามบินย่อยๆแล้วนะครับนี้
ตรงเสาข้างๆจุดขายตั๋วมีบอกเส้นทางจากสถานีนี้ไปตามจุดต่างๆของประเทศไว้กันพลาด
หลังจากซื้อตั๋วกันเรียบร้อยผมสำรวจรอบๆ
เจอร้านในดวงใจเรียกว่าเจอยี่ห้อนี้ประเทศไหนไม่อดตาย แม้จะเป็นประเทศที่หาของหม่ำถูกใจยากก็ยังได้ และพอเข้าไปแล้วเจอยี่ห้ออาหารเป็น ที่นี่อีกผมยิ่ง Happy คูณ 2 ขึ้นมาทันทีเลยครับ (น้ำตาแทบไหลแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเบยยยย 5555) ทั้งผมและแม่จ๋าเลยซื้ออาหารมาตุนให้ปันปันไว้ก่อนเผื่อเหลือเผื่อขาดยังมีให้เลือกได้ และด้วยความอยากลองข้าวกล่องมาเลเซียเลยซื้อของเค้ามาทานด้วยเป็นข้าวราดแกงของเค้าแบบที่มีปลาซิวปลาสอยบ้านเราทอดวางเป็นเครื่องเคียงๆทานแล้วก็โอเคระดับนึงครับไม่ค่อยมีกลิ่มเครื่องเทศเท่าไหร่
ส่วน มินิมารท์ร้านนี้ก็น่าจะเป็นคู่แข่งโดยตรงในประเทศของเค้าไปที่ไหนๆในมาเลเซีย ก็เจอนะครับ
ทางลงชั้นใต้ดินอันเป็นประตูแยกขึ้นรถไปจุดต่างๆ
หลังจากจัดการตุนเสบียงคลังกันครบถ้วนทั้งบ้าน เราก็มานั่งรอที่จุดรอรถ Gate 4
คนที่นี่เค้าเข้าคิวรอกันเป็นระเบียบเรียบร้อยมากครับ ชอบมาก เด็กยักษฺเองก็หนุกหนานมาก พูดอยู่คำเดียวจะขึ้นรถเมล์ รถเมล์ 555 สงสัยจะติดใจ
รถบัสของที่นี่ใช้ได้เลยครับ เหมือนๆรถโค๊ชบ้านเราชั้นล่างจะเป็นที่เก็บสัมภาระ เราต้องเอาของๆเรายัดเก็บกันเองจะไม่มีเด็กรถเหมือนบ้านเรา และที่สำคัญรถออกตรงเวลาครับ พอคนขึ้นครบเก็บสัมภาระเสร็จปิดประตูรถออกเลย น่าชมการทำงานของเค้ามาก สังเกตุอย่างมาเที่ยวมาเลยฯนี้ เรื่องเวลาการเดินทางเค้าเป๊ะๆใช้ได้เลยไม่มีประสบการณ์ เลทๆเท่าไหร่
หลังจากนั่งรถราวๆ2 ชั่วโมง แก๊งค์กระเตงลูกเที่ยวของเราก็มาถึง Melaka Sentral สถานีรถของเค้าคล้ายๆสายใต้บ้านเรานั้นล่ะครับ ขนาดไม่ใหญ่มาก มีร้านรวงขายของ
ร้านอาหารก็คือปรกติของสถานีรถโดยสารนั้นเอง
ช่องขายตั๋วก็คล้ายๆกันไม่ต่างกับที่ TBS ของ KL มาก โดยทั่วไปการเดินทางในเมืองส่วนใหญ่คนที่นี่ก็ใช้บริการรถบัสเช่นกัน ผมตัดสินใจใช้ Taxi เข้าเมืองที่นี่ต้องดูดีๆนะครับจะคล้ายหมอชิตบ้านเราเหมือนกันที่ จะมีแท๊กซี่มาคอยเรียกผู้โดยสาร หากเราจะไปกับเค้าถามกันให้ชัดว่ากดมิเตอร์ไหมไม่งั้นเสร็จเหมือนกัน
นั่งแท็กซี่ยาวกันมาประมาณ 30 นาทีก็มาถึงใจกลางมะละกาแล้ว ถนน Jonker Walk คืนนี้เราพักโรงแรมสุดฮิบที่สุดแห่งนึงของมะละกา Hotel Puri Melaka เพราะเป็นโรงแรมที่อยู่ใน เส้นถนนคนเดินกันเลย
โรงแรมนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาพอๆกับเมืองเป็นหลักร้อยปีเช่นกัน เจ้าของบ้านหลังนี้ในวันทีก่อตั้งเป็นโรงแรมถือเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของคนจีนที่เกิดในมะละกา
เข้ามาด้านในตกแต่งสไตล์จีนโบราณ มีการผสมผสานสถาปัตยกรรม แบบโคโลเนียลแบบตะวันตกผสมเข้ากับ จีน ออกมาเก๋มากๆ ดูแล้วนึกภูเก็ตบ้านเรามาก
ของตกแต่งสวยงาม น่าสะสมมากเลยเชียวครับ
ที่นี่เปิดมานานมาก การตกแต่งโรงแรมอยู่มาในลักษณะแบบ ชิโน-โปรตุกีส ถือเป็น Boutique Hotel ที่สวยงามากๆ ของย่านนี้การเที่ยวที่นี่ได้พักแบบนี้เข้ากันดีจริงๆเลย
ข้างในก็ยังมีการตกแต่งด้วยองโบราณมากมาย แถมมีพิพิธภัณฑ์ของสะสมของโรงแรมด้วยนะครับ
ฝั่งตรงข้ามก็เป็นอาคาร ชิโน โปรตุกีสสวยๆ
สรุปสั้นๆง่ายว่า ชอบที่นี่มากครับ ได้บรรยากาศสมกับมาเที่ยวเมืองวัฒนธรรมระดับโลกจริงๆ
มาดูห้องพักกันบ้าง ห้องที่เราพักอยู่ชั้นบนสุด อ่อลืมไปใครพาคนเฒ่าคนแก่มาแนะนำให้ขอเป็นห้องชั้น 1-2 พอนะครับ
เพราะที่นี่ไม่มีลิฟท์ใดๆทั้งสิ้นเดินเองล้วนๆ ห้องพักที่นี่ขนาดไม่ใหญ่นักพอเพียงสำหรับ 3 คนพ่อแม่ลูกได้สบายๆ
Type ที่เราพักเป็น Type เริ่มต้น เตียงเป็นแบบ King Size นอนกันพ่อแม่ลูกสบายๆไม่ต้องใช้เตียงเสริม
วิวนอกหน้าต่างประมาณนี้เลย
ห้องน้ำมีขนาดเล็กซักหน่อยแต่อุปกรณ์ต่างๆก็ครบครันครับ
เอาละได้เวลาออกสำรวจเมืองกันแล้ว มาเที่ยวก่อน ผมมาตอนวันธรรมดาพลาดการเดินเที่ยวถนนคนเดินกลางคืนไปเที่ยวนี้ฟิตมากๆเดินกันตั้งแต่กลางวันกันเลย ^ ^
ถนนหนทางยังเหมือนเดิมแต่ป้ายโฆษณาดูจะมากกว่าเดิมเยอะ
ยังคงมีรถสามล้อถีบสุดแสนสะดุดตา และการตกแต่งรถของแต่ละคันนี้ประดับประดาตกแต่งกันสุดๆเรียกว่าสามล้อบ้านเราจืดไปเลย
บางคันเป็นKITTI Cat ทั้งคันก็เยอะ เรียกว่าตกแต่งเรียกลูกค้าให้ถ่ายภาพกันแทบทุกคัน
เดินไปซักพักภาพความทรงจำเมื่อครั้งเก่าก็กลับมา
เส้นทางแถวนี้ผมมาเดินกันตั้งแต่ 2 ปีก่อนหลายๆจุดยังจำได้เช่น มัสยิดแบบจีนที่หนนี้เดินเข้ามาก็ยังไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก Masjid Kampung Kling ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศมาเลเซีย
รูปแบบสถาปัตยกรรมที่
ถัดมาเป็นวัดแขก …. ที่หนก่อนก็เข้าไม่ได้เพราะปิด แบบเดิมเป๊ะเลย
ถนนหนทางยังคงมีนักเดินกันขวักไขว่สมกับเป็นถนย่านช้อปปิ้งของเมือง
ผมเดินสำรวจเส้นทางตามรอยตัวเองไปเรื่อยๆจนเจอมุมที่เคยพาเด็กยักษ์ถ่ายรูปคู่กับแม่จ๋าไว้ ทุกอย่างคงเป็นภาพเดิมไม่เปลี่ยนสมแล้วที่เป็นเมืองโบราณจริงๆ
เดินไปมาได้ซัก 1-2 ชัวโมงก็ได้เวลากลับ ไปรับแม่ลูกเค้าแล้ว
กลับมา ผมเจอรถสามล้อถีบมาคอยอยู่ข้างหน้า หลังปรึกษากันเราเลยเลือกจะให้สามล้อปั่นพาบ้านเราเที่ยวกัน
หลังจากคุยตกลงกันแบบเหมากี่จุดๆเค้าจะมีราคาบอกเราได้ ทริบนี้ได้บรรยากาศดีจริงๆ
เด็กยักษ์ถูกใจมากกก ดีใจที่ได้ขึ้นรถสามล้อฝุดๆ
สามล้อที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้ดีมากครับและเหมือนเป็นไกด์ไปในตัวแต่ละจุดเค้าจะปล่อยให้เราใช้เวลาเต็มที่ ที่เราอยากไป
อย่างจุดที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้แน่ๆนอกจากจตุรัสแดง (Dutch Square) ผมเองเชื่อเหลือเกินว่าใครที่อยากมามะละกาก็มาเพื่อมีภาพถ่ายตัวเองกับที่นี่กันทั้งนั้น เพราะตอนผมรู้จักมะละกาครั้งแรกก็เพราะเห็นภาพที่นี่เหมือนกัน
วันอากาศเป็นใจแบบนี้ถึงร้อนแต่ก็สู้น้าาาา
ภาพในมุมสูงๆของที่นี่
บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมายมาแวะถ่ายภาพกันที่ Dutch Square รูปทรงอาคารแสนสะดุดตาแห่งนี้เสมือนเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ
เด็กยักษสนุกสนานกับแม่จ๋ามากๆ เก็บภาพให้ยิ้ม ให้ถ่ายภาพไม่ยากสงสัยจะเพราะนอนอิ่มๆมาม่งอแงกับพ่อเลย ดีใจจริงๆ ใครมีลูกอ่อนจะเข้าใจเวลาที่อยากให้ถ่ายภาพนี่เกินจะควบคุมสั่งการกันได้ 555
ผม เลยได้ภาพครอบครัวเราพร้อมหน้ากันที่นี่นั้นเอง นานๆจะมีรูปตัวเองในงานรีวิวครับ ที่ผ่านมาถ่ายมาพันรูปมีไม่เกิน 3-5 รูป หนนี้จึงเป็นความประทับใจส่วนตัวจริงๆ
อ่อก่อนไปต่อหากใครที่มาเที่ยวที่นี่และอยากได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและรถราต่างๆ แวะมาขอความช่วยเหลือจากการท่องเที่ยวประจำเมืองมะละกาที่นี่นะครับ อยู่ใกล้ๆตรงข้ามกับจตุรัสแดงเลย ติดกับสะพานข้ามแม่นำมะละกา มองไปก็เจอ แนะนำนะครับ ที่นี่ช่วยแนะนำผมหารถ เดินทางไปที่ท่ารถให้อย่างดีต้องขอบคุณการท่องเที่ยวมาเลเซียประจำเมืองมะละกามาณ.ที่นี่เลย
นั่งสามล้อกันต่อจนมาเจอหัวรถจักรโบราณ ปันชี้จนต้องจอดกันเลย
หัวรถจักรนี้ปัจจุบันด้านในเป็นร้านขายของครับขายของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยว
อันนี้ต่างหากละที่เด็กยักษ์ติดใจเหลือเกินเครื่องบินจะขึ้นให้ได้
ถัดมานี้เป็นรถสามล้อเด็กเล่นครับที่ว่าเด็กเล่นเพราะขนาดเหมาะกับเด็กอายุไม่เกิน 12 ปีน่าจะได้ วิ่งเร็วดีเชียวล่ะ
เราเริ่มมาเที่ยวกันต่อที่ เส้นทางแห่งประวัติศาสตร์กันต่อ ที่ ป้อมเอฟาโมซา( A’Fomosa ) สถานที่ประวัติศาสตรสำคัญในยุคที่ถูกรุกรานจากต่างชาติ จากทั้งฮอลันดา โปรตุเกส และอังกฤษ
ขอเล่าย่อถึงที่นี่ให้รู้กันไว้จะได้เที่ยวสนุกขึ้นอีกนิด
ที่นี่ถือเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เกิดประวัติศาสตร์หน้าสำคัญขึ้นมากมาย ในภาพเป็น ป้อม เอฟาโมซา( A’Fomosa ) เป็นทางเข้าทางนึงของป้อมคือ ประตู ซานดิเอโก ( Parta De Santiego ) ซึ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ 1511 อยู่ในบริเวณ ดัช สแควร์ สร้างจากศิลาแลงฉาบปูน ด้านบนประตูเหลือลายปูนปั้น เป็นรูปเครื่องหมายการค้า บริษัทสหอินเดียตะวันออก ( United East India Company ) ของพวกฮอลันดา ด้านหน้ามีปืนใหญ่วางตั้งไว้เป็นสัญญลักษณ์ของป้อมปืนไฟในอดีต
และปืนใหญ่เหล่านี้ก็กลายเป็นที่เด็กๆซนๆปีนป่ายกันไปละ สนุกเค้าจริงๆ
ผมเคยมาที่นี่ครั้งนึงแล้วละครับหนก่อน มาหนนี้มาเพื่อเก็บบรรยากาศอีกครั้ง
สัญลักษณ์สำคัญที่บ่งบอกความเป็นมรดกโลกของที่นี่ตราเหล่านี้ละครับ
ที่ผมชอบก็คือมีภาพเขียนสวยๆที่เขียนกันสดๆตรงนั้นเลย อย่างที่ในภาพเป็นนักวาดภาพ Drawing มาวาดขายกันสดๆเลย สวยและน่าชื่นชมมากครับ
วิวเมื่อมองจากเนินเขา มีหลายๆคนมาหยุดแวะพักชมวิวที่นี่
เดินต่อมาจนถึงด้านบนของป้อม จะเป็นที่ๆเคยเก็บศพของนักบุญเซนต์เซนต์ฟรานซิส เซเวียร์ และภายในจะมีป้ายจารึกหน้าหลุมศพอายุหลายร้อยปี เป็นภาษาโปรตุเกสและลาติน
ที่นี่เป็นที่ตั้งของโบสถ์เซนต์พอล ( St. Paul Church ) สร้างขึ้นโดยกัปตันคอดร์แด้ โคเอลโฮ ชาวโปรตุเกส แต่ภายหลังสงครามถูกชาวดัทช์เปลี่ยนไปเป็นสถานฝังศพของผู้กล้าหาญและล้มตาย ในช่วงสงครามแทนและเปลี่ยนชื่อจาก ” เอาเวอร์ เลดี้ ออฟ เดอฮิลล์ “ มาเป็น ” เซนต์พอล เซิรส์” ( St. Paul Church )
มองลงไปในด้านล่างของที่เคยเป็นที่เก็บพระศพของท่านนักบุญ ผมเห็นคนโยนเหรียญกันลงไปมากมายน่าจะเป็นความเชื่อเรื่องบุญเรื่องโชคกันสุดแท้จะคาดเดาได้ถูก
เดินต่อขึ้นมาจนถึงรูปปั้นของนักบุญ เซนต์ฟรานซิสเซเวีย เจ้าแมวเหมียวแอบมานั่งหลบเงาของท่านนักบุญ หลับเพลินเหลือหลายครับ เป็นภาพน่ารักๆที่เก็บมาฝากกัน
บรรยากาศด้านบนยามบ่ายคล้อยแบบนี้ ดีใช้ได้เลย ผมเองสังเกตุนักท่องเที่ยวหลายๆคนมานั่งแช่กันซะมากใช้เวลาชมวิว ตากลมหลบร้อนกันซะมาก
หลังลงมาผมเดินเก็บภาพรอบๆ จนกลับไปที่สามล้อ จะว่าไปต้องขอชมพี่นักปั่นมากที่พาครอบครัวตัวยักษ์ทั้ง 3 คนมาได้ขนาดนี้โดยที่ไม่มีสีหน้าเมื่อยเหนือยแถมยังคงอธิบายที่ต่างๆให้เราไปตลอดทาง
หลังจากแวะเที่ยวกันพอหอมปากหอมคอ ก็ได้เวลาพาเด็กยักษ์ไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมกินข้าวกันต่อ และผมเองก็อยากไปตะลุยถนนคนเดิน Jonker Street แล้วเช่นกัน
ถนนคนเดิน Jonker Street หากใครอยากมาต้องดูวันกันให้ดี มีทุกๆวันศุกร์-อาทิตย์ เท่านั้น
ถนนเส้นนี้ความยาวกะด้วยสายตาไม่เกิน2กิโลแต่ตอนนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนและร้านค้ามากมายมาออกร้านกัน บรรยากาศคึกคักมาก
ดูไปจะคล้ายๆถนนคนเดินเชียงใหม่อยู่เหมือนกันนะครับ แต่อาจจะสั้นกว่านิดหน่อย มีตรอกซอกซอยพอๆกัน
มุมร้านน่านั่งจำได้ว่าเคยเห็นร้านนี้ครั้งแรกจากรายการทีวีบ้านเราและตั้งแต่นั้นก็เพ้ออยากมาที่นี่ตลอด วันนี้สำเร็จแล้วดีใจมากครับ
ร้านนี้มุมดีมากยิ่งชั้นสองด้วยแล้วมองเห็นถนนได้ตลอดเส้นแน่ๆเสียดายผมไม่ได้ขึ้นไปไม่งั้นมีวิวมาฝากกันแน่นอน
Hilight ที่สุดของถนนเส้นนี้ก็น่าจะเป็นอาหารที่มีหลากหลายกันสุด เนื่องจากย่านนี้เป็นย่านคนจีนอาหารจึงค่อนข้างถูกปากผมมากเป็นพิเศษ อย่างติ่มซำนี่ก็ใช่เลยรสชาติใกล้เคียงกันเป๊ะ อร่อยใช้ได้
มาถึงแป้งผัดคล้ายๆขนมผักกาดแต่น้ำราดเค้ามีกลิ่นเครื่องเทศมากกว่า กินแล้วจะว่าอร่อยก็ไม่เต็มปากเอาว่าต้องมาลองกันเองครับ
ยิ่งมืดคนยิ่งเยอะ มากขึ้นเรื่อยๆ ผมชอบสีสันของถนนเส้นนี้จริงๆ เดินลึกลงมาเรื่อยๆจนเจอ เวทีการแสดงครับ
การแสดงเท่าที่เข้าใจเอาเองคิดว่าจะเป็นการแสดงของชาวบ้านสลับกับวงดนตรีที่จัดหามา
อย่างโชว์ที่ผมยืนดูเป็นคุณลุงคุณป้ามาร้องเพลงกัน เนื่องจากย่านนี้เป็นย่านชาวจีนเราจึงได้ยินเสียงเพลงจีนขับกล่อมกันตลอด ดูไปก็น่ารักดีนะครับ
หลังเดินจนจุใจผม ก็ได้เวลากลับที่พักแล้วเหนื่อยและร้อนใช้ได้ วันนี้จุใจแล้วหลังอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็ได้เวลาไปชมเมืองกลางสายน้ำกันต่อ
คืนนี้จะมาปิดท้ายกันที่นี่ละครับ กับการล่องเรือชมสายน้ำมะละกาถือเป็นอีกหนึ่ง Hilight ที่ควรจัดเวลาให้ แม้แม่น้ำมะละกาจะมีลำคลองที่ไม่ได้กว้างมากมาย ผมกะด้วยสายตาประมาณกว้างกว่าคลองแสนแสบที่กรุงเทพฯไม่มากนัก แต่เรื่องความสะอาดดจะรักษากันไว้ดี สมแล้วที่ได้ชือว่าเป็น เมืองมรดกโลก อันนี้ต้องชมกันจริงๆ
บอกตรงๆไปเองไม่ถูกครับ ตอนกลางวันได้แวะเข้าไปขอข้อมูลจากการท่องเที่ยวเมืองมะละกา
และเค้าก็ยินดีช่วยเหลือช่วยติดต่อรถให้เราได้เดินทางไป เลยไม่รู้จะอธิบายยังไงสำหรับการมายังท่าเรือที่นี่ครับ
มาถึงเค้าจะมีช่องขายตั๋วสำหรับเที่ยวเรือ หากเต็มก็ต้องรอลำต่อไปและต้องรอผู้โดยสารขึ้นครบจึงจะออกเรือ
ผมไปถึงนั่งรอแป๊บๆเรือก็เปิดให้ขึ้นได้
วิวยามค่ำของเมืองมะละกา สวยงามนะครับใครอยากชิลล์ๆก่อนนอนควรมาชมกันดู
ระหว่างทางเด็กยักษ์ดูตื่นตาตื่นใจกับวิวตรงหน้าซ้ายขวาหน้าหลังไปมา แม่จ๋าเองก็ดูจะเพลิดเพลินใช่ได้เลยครับ
และที่พ่อปลื้มที่สุดก็ตรงเค้าดูสนุกกับการถ่ายภาพแม้จะผิดๆถูกๆแต่ก็ดีใจที่เค้าชอบครับ
วินาทีที่แสงไฟวิ่งไปเป็นสายก็สวยไปอีกแบบ
ดูผู้ร่วมโดยสารมาหลายๆคนพาครอบครัวมาเหมือนกันก็น่ารักดีครับ เอาเข้าจริงๆคนมาเลยฯยิ้มง่ายนะครับหากเรายิ้มให้เค้าก่อน
ระยะทางจากท่าเรือมายังจุดเด่นๆที่เป็นที่รวมแหล่งท่องเที่ยวใช้เวลาราวๆ 45 นาทีได้
วิวสองข้างทางตลอดลำน้ำผมว่าสวยจากแสงไฟที่แข่งกันส่องแสงออกมาจนสะดุดตา
ผมว่าการนั่งล่องเรือเที่ยวลำน้ำมะละกาให้ความเพลิดเพลินเจริญตากันได้ดีระดับนึงทีเดียวหากใครชอบชมแสงสียามค่ำทริบนี้ก็เหมาะเลย
เช้าวันใหม่มาถึง ผมออกสำรวจแต่เช้า ไม่อยากปลุกแม่ลูกเค้าเลยปล่อยให้หลับกันต่อ ส่วนตัวเราเดินเที่ยวเสพบรรยากาศยามเช้าปายยย
ยามเช้าในเมืองโบราณแห่งนี้ก็เงียบเหงาดั่งคาด มีเพียงคนที่ต้องตื่นมาเพื่อไปทำงาน หรือเรียบเป็นปรกติ เดินมาถึงจุดที่เป็นเวทีเมื่อคืนตอนนี้ก็เงียบอย่างที่บอกไป
วนได้สักพักคิดได้ว่าควรกลับไปอาบน้ำอาบท่าดีกว่าครับ เช้านี้มีภารกิจไปชมMuseum กันก่อนจาก Heritage City แห่งนี้ไปนั้นคือ พิพิทธภัณฑ์ PAPA & NYONYA HERITAGE MUSEUM
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมความเป็นมาประวัติศาสตรของชนชาติชาวจีนตอนที่มายังเมืองนี้และอีกหลากหลายเรื่องราวน่าสนใจของ Melaka แต่..น่าเสียดายมากครับที่เค้าปิดและไม่สามารถให้ถ่ายภาพภายในได้
ผมเลยเบนเข็มมาที่พิพิธภัณฑ์อีกแห่งที่เป็นที่เก็บรวบรวมเครื่องประดับและการแต่งกายของบรรพบุรุษ PAPA&NYONYA เอาไว้ ที่นี่เรียกว่า Straits Chinese Jewellery Museum
ที่นี่เป็น Musium แห่งใหม่ที่พึ่งเปิดขึ้นมาไม่นาน คล้ายๆกับ PAPA&NYONYA ดั่งเดิมต่างกันที่นี่เน้นเรื่องเครื่อแต่งกาย เสื้อผ้า เครื่องประดับ และเราสามารถถ่ายภาพข้างในได้เต็มที่ หลังจากเราเสียงค่าบัตรผ่านแล้ว ซึ่งราคาก็ ไม่ได้แพงเท่าไหร่
ถือวาคุ้มค่ามาก รอบนี้มีเพื่อนร่วมชะตากรรม เอ้ย รวมเข้ามาชม อีกคนเป็นคนจีนมาเลยฯ สำคัญที่ว่าเธอฟังอังกฤษไม่ได้ และแน่นอนผมย่อมฟังจีนไม่ออกเช่นกัน
คุณป้าไกด์เลยต้องสลับกันเล่าเรื่อง เป็นสองภาษากันไปดูๆก็ต้องชมไกด์อาวุโสท่านนี้จริงๆเธอพูดสลับไปมาได้คล่องแคล่วมากก
ทำให้ผมเข้าใจเรื่องได้ระดับนึงเนื่องจากการฟังผมก็ใช่ว่าจะดีครับ จึงเดินตามไปเก็บภาพไปเป็นหลักมากกว่า
หลักๆเค้าแบ่งห้องออกมาเป็นการจำลองบ้านหลังนึงที่เก็บรวบรวม เครื่องไม้เครื่องมือใช้สอย ออกมาทำให้เราเข้าใจวิถีชีวิตการแต่งกายของคนจีนในช่วงย้ายมาปักหลักกันที่นี่
เครื่องประดับก็บ่งบอกระดับชั้นของครอบครัว และที่สำคัญแบ่งแยกชายและหญิงชัดเจน
เฟอร์นิเจอร์เองก็มีการแบ่งแยกชายหญิงออกมา
ที่สำคัญเนื่องจากความเป็นคนจีนที่โยกย้ายมาทำการค้าที่นี่ทำให้มีการผสมผสานวัฒนธรรมการออกแบบเครื่องไม้เครื่องมือใช้สอยผสมผสานกันในเฟอร์นิเจอร์บางชิ้น
เช่นตู้ไม้ใบนี้มีการผสมการออกแบบถึง สามชนชาติคือ จีน ,ฮอลันดา และ มาเลย์ ลองสังเกตุกันดูนะครับว่าส่วนไหนได้รับอิทธ์พลจากชาติไหนบ้างเดาๆกันดู ^___^
หรือห้องถัดมาเป็นห้องจำลองการทำเครื่องประดับและทำทองคำ มีเครื่องไม้เครื่องมือ และภาพถ่ายโบราณที่คนจีนเริ่มทำเครื่องทอง เครื่องประดับกัน
มีอุปกรณ์ที่เมื่อก่อนใช้จริงวางไว้ให้นึกภาพกันออก
ดูๆก็ทำให้นึกถึงคนจีนในเยาวราชขึ้นมาทันที ในสมัยโบราณก็คงใช้เครื่องมือเหล่านี้ไม่ต่างกันมากแน่ๆ
ห้องถัดมาเป็นห้องนอนครับ เตียงตู้ ข้าวของเครื่องใช้ถูกจัดวางจำลองให้เห็นเสื้อผ้าและการแต่งกาย ไว้ครับ
สังเกตุภาพ NYONYA ที่ผนังสิครับ คุ้นๆไหม เหมือนกันยังกะแกะ สงสัยตุ๊กกี้ต้องมาสำรวจมโนประชากรดูแล้วนะเนี่ย ^_^
หลังจากห้องนี้เราลงมาด้านล่างของบ้านแล้วมาดูลานโล่งๆ ที่ชาจีนโบราณสร้างบ้านจะเจาะเพดานไว้ให้แสงส่องลงมาน่าจะเป็นทั้งเรื่องฮวงจุ้ยและการใช้แสงให้เป็นประโยชน์แน่ๆ
และหมดจากนี้ก็ได้เวลาจบการบรรยายพอดีก่อนจาก ไกด์ก็หยิบ โบวชัวร์ มาให้เก็บไว้ดูเผื่อกลับมากันใหม่
สำหรับผมแล้ว Straits Chinese Jewellery Museum ก็ถือว่าเค้าทำได้ดีครับใครที่อยากเที่ยวไปด้วยเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของคนจีนในมะละกา มาที่นี้ผมว่าเราจะเข้าใจเค้ามากขึ้นเที่ยวจะสนุกขึ้นเยอะเลย
เสียดายน่าจะมาตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเพราะบางอย่างผมก็พึ่งมาเข้าใจตอนเดินใน Musium แห่งนี้
กลับมาปุ๊บแม่จ๋าและเด็กน้อยลงมารอเราเรียบร้อยรถมารอรับพาไปส่งที่ Melaka Sentral สถานีรถที่เมือวานเรามาถึง วันนี้เส้นทางถัดไปของเราก็คือ Jorho Baru เมืองทางใต้สุดของมาเลเซียแล้ว
และที่นั้นมีเป้าหมายสำคัญที่ทำให้เราได้มาทริบนี้นั้นก็คือ Lego Land นั้นเอง จะเป็นยังไงต่อจากนี้ โปรดติดตามตอนหน้าครับ
รีวิวนี้ชักยาวมากขึ้นเรื่อยๆตอนหน้าจะเป็นตอนจบของทริบ กระเตงลูกเที่ยว Malaysia: Lego Land จะเป็นยังไง มันแค่ไหนโปรดติดตามกันต่อนะคร้าบบบ มีภาพเป็น Teaser ให้ชมกันก่อนรีวิวจะมานะครับ
ก่อนจากหากอยากเจอกันบ่อยๆกว่านี้ เชิญแวะไปคุยทักทาย และเที่ยวกับพวกเราได้ที่ www.facebook.com/likeone22 ครับ
แล้วพบกันไม่นานจริง จริ๊ง (เสียงสูง) ^____^
2 Comments
Luie Saetang
ตามเที่ยวด้วยครับ น้องน่ารักมากครับ
Pingback: พาลูกเที่ยว:Malaysia ตะลุย Lego Land Park & Legoland Hotel | Blogท่องเที่ยว(บล็อกท่องเที่ยว) ที่รวม ที่เที่ยว ที่กิน ที่