อะแฮ่ม…วันนี้ทริบที่เราอยากเก็บมาเล่าที่สุดก็มาถึงแล้ว กับ First Trip in Japan พาลูกเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก และเมืองที่เราไปคือ “โอซาก้า” จึงเกิดเป็นทริป พาลูกเที่ยวโอซาก้าขึ้นมา ใครจะว่าเชยยังไงก็ยอม ประเทศญี่ปุ่นที่ใครๆก็อยากไป หรือมีใครไปแล้วก็อยากกลับไปอีก คำพูดเหล่านี้ผมล้วนแต่เคยได้ยินมาตลอด จนกระทั้งได้ไปเอง ถึงเข้าใจว่าทำไมเค้าถึงได้อยากไปญี่ปุ่นกันนักหนา และตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวในญี่ปุ่นปลดล็อคให้ ไม่ต้องใช้วีซ่าเข้าประเทศอีกต่อไป ในเมื่อมันเอื้อขนาดนี้ ไม่ไปไม่ได้แล้ว
เอาว่าเรามาดูกันดีกว่าว่า บ้านนี้เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกเป็นไงบ้าง ไปดูกันดีกว่าเนอะ
รีวิวนี้ถือเป็นรีวิวที่เร็วที่สุดของเราแล้ว 555 (ปรกติดองนานนนมาก) ไม่มีไรมากครับ ไปครั้งแรก ขืนทิ้งไว้นานเดี๋ยวมันจะหายไปตามวัย เอ้ย ตามวันสิ จะลืมซะหมดอิอิ
ทริปนี้จริงๆ แล้วเรามีเวลา 5 วันเท่านั้น(รวมเดินทางไปกลับก็ตัดวันออกได้ 2วันเลย T___T ) ดูน้อยๆนะครับแต่แม่ปันปัน ไม่สามารถจะลางานได้นาน เอาละ 5วัน ก็ 5 วัน ชั้นจะตะลุยญี่ปุ่นให้ถึงทีสุดไปเลย
แม่ลูกเค้า Happy กันมากถึงแม้จะเจอฝน (เราไม่ได้เตรียมร่มไปเลยให้ปันใช้เสื้อแม่คลุมแทนไปพลางๆกันละอองฝนพอได้อยู่ครับ)
ถึงแม้เวลาจะน้อย แต่เราก็สามารถมีโอกาสไปถึง 2 เมือง 2 ภุมิภาค เมืองแรกที่เราไปลงที่แรกเป็น Fukuoka แต่ไปแค่หนึ่งวัน เดี๋ยวจะรีวิวแยก ขอวางรูปสักรูปไว้เรียกน้ำย่อย (ตัวเอง)
แต่ที่อยากเล่าก่อนจริงๆเป็น วันที่เหลือทั้งหมด 3 วัน ทุ่มให้ โอซาก้าเลยจ๊ะ รีวิวนี้จะขอหยิบที่เที่ยว ที่ไปมาเล่าก่อน สำหรับ การเดินทางเข้าเมืองจากสนามบินคันไซ เดี๋ยวตอนท้ายๆจะเขียนแยกไว้ให้ดีกว่านะคงมีคนจะไปโอซาก้ากับ Thai AirAsia X กันเยอะจะได้ไปกันถูกนะครับ เพราะไฟท์ลงดึกใช่เล่นเลย
วันแรกของโอซาก้า
รู้จักโอซาก้าสักนิ๊ดดด
จะเที่ยวโอซาก้าได้คุณๆควรรู้จักเมืองนี้ซักเล็กน้อยดีกว่า โอซาก้าถือว่าเป็นทั้งชื่อจังหวัด และยังเป็นชื่อเมืองหลวงที่สำคัญของภูมิภาคคันไซ (ตะวันตกของประเทศญี่ปุ่น)เป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น รองจาก โตเกียวและโยโกฮามา ถือเป็นเมืองท่า เมืองเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ สำคัญถึงกับได้ชื่อว่าเป็น “ครัวของประเทศ” เลยทีเดียวเพราะถือเป็นศูนย์กลางทางการค้าทางทะเลมาตั้งแต่สมัยเอโดะ เพราะฉะนั้นโอซาก้าจึงเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำของญี่ปุ่น และเรื่องนี้เรา Confirm ได้ว่าอาหารเค้าอร่อยจริงๆ
แถมยังเป็นเมืองที่ถือกำเนิดบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เราได้ยินชื่อก็ร้องอ้อ กันแน่นอน ทั้ง พานาโซนิค มิตซูบิชิ และที่เที่ยวระดับโลกที่มาเปิดที่นี่อย่าง ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ มีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีแบรนด์ขนมที่คนไทยรู้จักดี อย่าง กูลิโกะ ป๊อกกี้ ฯลฯ
เนื่องจากเราบินจาก ฟูกูโอกะมาลงที่โอซาก้า มาถึงก็ดึกมากๆแล้ว การท่องเที่ยวของเราจึงเริ่มในเช้าของวันถัดมา วันนี้ปันปันตื่นเช้ามากก ดูพร้อมกับการท่องเที่ยวสุดๆเลยครับ
ก่อนไป act ท่าถ่ายภาพกันหน่อย สมาชิกในทริปนี้มี 5 ชีวิต รอบนี้เที่ยวกันดูเป็นครอบครัวใหญ่ทีเดียว
ละแวกอพาร์ทเม้นท์ที่เราพัก จะเห็นว่าอยู่ในย่านที่อยู่อาศัยของเค้าเลย ตอนกลางคืนจะเงียบสงบมากๆ เหมาะแก่การพักผ่อนจริงๆ
เป้าหมายที่แรกของเราคือการไปเยือนปราสาทโอซาก้ากัน เราเลือกการเดินทางโดยใช้ Subway หรือจะเรียกรถไฟใต้ดินก็ได้ จากจุดที่เราอยู่เราเดินไปขึ้นรถไฟกันที่สถานี Tanimachi 9-Chome Station จริงๆเราอยู่ไม่ไกลจากย่าน โดทนโบริ สถานนีใกล้ๆกันอย่าง Namba ก็ดูจะใกล้กว่าแต่…คนไม่เคยอ่ะเนอะ วันแรกก็ขอเดินเที่ยวหน่อยแล้วกัน
เอาว่าเดินไปสถานีไกลหน่อยถือว่าได้ชมเมืองเค้าไปพร้อมๆกัน
วันที่เราไปถึงเป็นวันอาทิตย์ เมืองจึงเงียบมาก และจากที่ได้คุยๆกับคนที่อยู่ที่นั้นวันอาทิตย์ถือเป็นวันตื่นสายของเค้า หรือจะเรียกว่าวันขี้เกียจของคนญี่ปุ่นก็ว่าได้ ถนนหนทางจึงดูโล่งมาก
ที่น่าชื่นชมคือตลอดการเดินไปสถานีของเราใช้เวลาเดินร่วมๆ 15 นาที เราพบว่านอกจากอากาศที่ดีมากๆแล้ว บ้านเมืองเค้ายังสะอาดสมกับที่เคยได้ยินมาจริงๆ
ตึกรามบ้านช่องในเมืองของคนญี่ปุ่นจะหน้าแคบ อย่างที่รู้ๆกันที่ดินประเทศนี้แพงติดระดับโลกมานานนม ทำให้เค้าจึงนิยมอยู่อาศัยกันในอพาร์ทเม้นท์ คอนโด หรือหากเป็นบ้านก็ขนาดไม่ใหญ่ใช้มาตรฐานเสื่อทาทามิเป็นตัววัดขนาดภายในบ้าน จึงเห็นบ้านในย่านเมืองเป็นตึกสูงๆและชิดกันมากแต่ยังไงๆ อันนี้ไม่ได้อวยเค้านะครับ ผมก็ว่าดูเป็นระเบียบเรียบร้อยกันจริงๆครับ
ลงมาถึงก็หลงกันแล้วจากจุดที่เราอยู่เราจะต้องไปลงที่สถานี Tanimachi 4- Chome แต่ตรงนั้นอย่าพึ่ง คิดที่น่าคิดที่สุดคือญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศที่ใช้ภาษาตัวเองเป็นหลัก ทำให้ป้ายต่างๆ ยังคงมีภาษาเค้าเป็นที่ตั้ง แม้จะมีภาษาอังกฤษเยอะแล้วก็ตามแต่หากดูไม่ดีคุณๆจะหลังในภาษาที่อ่านแล้วคล้ายๆกันไปหมดอย่างเราได้ และที่น่ามึนที่สุดคือการซื้อตั๋วรถไฟ ที่นี่เค้าใช้เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติทั้งหมด ไม่มีนะครับจะเดินไปซื้อได้ที่ตู้ที่พนักงานเค้าอยู่
*** ณจุดนี้หากผู้อ่านเห็นว่าข้อมูลเราผิดตรงไหนทักมาได้เลยนะครับ ยินดีแก้ไขให้มันถูกต้อง ทริปแรกอาจจะมีความผิดพลาดทางข้อมูลการเดินทางได้ เพราะเราเดินทางเองมีหลง มีเลย เป็นเสน่ห์ของการเดินทาง แต่จะพยายามหาข้อมูลก่อนเขียนมาระดับนึงแล้วละครับ โปรดอภัยและใช้วิจารณญานในการอ่านนะครับ
หลักๆตู้กดตั๋วจะ Default เป็นภาษาญี่ปุ่น หากอยากได้ภาษาอังกฤษก็กดตรง English (ปุ่มสีส้มด้านบนครับ) ซะเท่านี้ก็รู้เรื่องแล้ว วิธีการซื้อ คือแบบที่เราทำกันนนะครับผิดถูกต้องขออภัยด้วย เริ่มที่ต้องดูที่สายรถไฟที่เราจะนั่งให้จำสีให้ดีครับ สีจะเป็นตัวกำหนดสายของรถไฟ วันแรกบอกเลยว่า งงมากเพราะทั้งเรื่องภาษาและเส้นทางรถไฟที่เยอะมาก มีหลายเส้นทางที่เชื่อมต่อกัน ทำให้จำสีกันงงไปหมด เพราะฉะนั้นทุกๆสถานีจะมี แผนที่แจกนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว จึงควรตรงรี่เข้าไปที่ ตู้ของนายสถานีเพื่อขอแผนที่ ในแผนที่จะมีการแบ่งสีของเส้นทางรถไฟไว้อย่างดี
จากนั้นดูราคาจากแผนที่ได้+เส้นทางสถานีที่จะไปเรียบร้อย ให้หยอดเหรียญลงไปเลยครับ มันจะขึ้นค่าตั๋วให้เราเลือกกดโดยอัตโนมัติพร้อมทอน อย่างเราจะไปที่ Tanamachi 4-Chome นั้นแสดงว่าเราจะต้องขึ้นรถไฟ เส้น Tanamachi Line สีชมพูนั้นเอง ราคา 240 เยนก็ขึ้นมาให้กดได้เลย ที่สำคัญมีหนูๆอายุต่ำกว่า 6 ขวบไม่เสียตังนะครับหรือหากอายุไม่เกิน 12 ขวบ ก็เสียแค่ครึ่งราคาเท่านั้น ทีแรกไม่รู้ตลอดวันแรกนี้กดเสียเงินให้ปันปันตลอดเลย มารู้อีกวันตอนได้คุยกับนายสถานี 555
บรรยากาศการขึ้นรถไฟใต้ดินครั้งแรก มีอะไรให้ดูเยอะเลย อย่างโฆษณาเค้าจะไม่มีจอทีวีแบบบ้านเรานะครับ เค้าจะใช้เป็นป้ายแขวนตรงที่ราวจับหรือครอบกันเลย ไม่ก็ติดที่ผนังของรถไฟเป็นปรกติ แต่ดูแล้วเยอะจริงๆเพราะคนเค้านิยมใช้รถไฟใต้ดินกันทั้งนั้น ไม่แปลกที่โฆษณาจะเยอะตามไปด้วย
การขึ้นลงสถานีสามารถใช้ลิฟท์ได้นะครับ(แต่เค้าเน้นเฉพาะเด็ก คนแก่ หรือผู้พิการ)และที่ผมประทับใจมากๆคือ ทุกๆปุ่มทุกๆจุดของสถานีรถไฟ จะบนดินหรือใต้ดิน เค้าจะให้ความสำคัญกับผู้พิการ ตาบอด มาก เราจะเห็นอักษรเบลอยู่แทบทุกจุดเลยประทับใจมากก
ไม่ถึง 15 นาทีเราก็มาถึงแล้ว ขึ้นมาที่ทางออกที่ 9 นะครับ เดินขึ้นมาจะใกล้มาก ประตูอื่นๆจะมีใกล้กว่าไหม ไม่แน่ใจสิ แต่…
กำไรเห็นๆคือเราเดินผ่าน Osaka Museum of History ด้วยถือเป็นที่เที่ยวอีกจุดที่หากมีเวลาเยอะๆควรแวะเที่ยวกันนะ
กองทัพเดินด้วยท้อง ยิ่งมีเด็กเล็กมาด้วยกินก่อนเที่ยวถือเป็น A Must นะ ละแวกใกล้ๆห่างไปประมาณ 1 แยกจะเจอร้านอาหาร เราก็เลือกกินง่ายๆ อย่างร้าน Sukiya ร้านแฟรนไชส์ที่มาเปิดในเมืองไทยด้วย
ร้านนี้ถือเป็นร้านอาหารราคาประหยัด หลักๆเน้นที่ข้าวหน้าเนื้อต่างๆแบบเดียวกันกับบ้านเรา
จานแรกของผมเอง ข้าวหน้าปลาดิบ+ไก่คาราเกะ ปันก็หม่ำข้าวไก่คาราเกะ เหมือนกัน
อันนี้ข้าวหน้าแกงกระหรี่เนื้อ อันนี้ของน้องทีไปด้วย เราสั่งเหมือนๆกันเมนูเลยไม่เยอะ รวมๆรสชาติต่างจากบ้านเรานะครับ แต่ไม่มาก ไม่รู้คิดไปเองไหมผมว่าที่บ้านเราอร่อยถูกปากกว่านิดหน่อย แต่ไก่คาราเกะ ของเค้าเหมือนๆบ้านเรานั้นละ
อิ่มกันแล้วไปลุยต่อ มาถึงหน้าปราสาทโอ้ววเห็นอยู่ลิบๆแล้ว อากาศวันนี้มันช่างน่าเที่ยวมาก ท้องฟ้าสีฟ้าเข้มๆ มีเมฆปุยๆลอยอยู่โอ้ววสุดยอด
เส้นทางการเดินก็แสนเพลินจริงๆจากปากทางปราสาท ถนนเดินง่ายครับเค้าทำดีมาก
ฝาท่อยังทำซะสวยเลยให้ตายเหอะ
เห็นปราสาทแล้ว เย้ๆๆ
ตรงนี้มีคุณลุงใส่ชุดเกราะมาให้เราเข้าไปถ่ายรูปคู่ด้วยได้ ไม่คิดตังด้วยนะ ขอแอ๊คนิดนึง ลุงแกเท่มากกก ยังกับซุปตาเลย ใครๆก็เข้าคิวขอถ่ายด้วย
มาถึงทางเข้าแล้ว ..ก่อนเข้า มารู้จัก ปราสาทโอซาก้ากันหน่อยดีไหมครับ
ปราสาทโอซาก้าสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1583 โดย ไดเมียว(เจ้าผู้ครองเมือง) มีต้นแบบมาจากปราสาทอะซุชิ ใช้เวลาก่อสร้างร่วม 2 ปี ตัวปราสาทสูง 55 เมตร มีทั้งหมด 8 ชั้น ล้อมรอบไปด้วยคูนํ้าและกำแพงขนาดใหญ่ที่ทำจากหินในเหมืองที่อยู่ห่างไกลกว่า 100 กิโลเมตรจำนวนมากถูกขนมาสร้างเป็นกำแพงสูงกว่า 30 เมตร เพื่อเป็นการป้องกันการโจมตีจากข้าศึก ปราสาทโอซาก้าถูกทำลายทั้งจากสงคราม และภัยธรรมชาติ (ฟ้าผ่า) และถูกบูรณะขึ้นมาใหม่หลายครั้งครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1995 เทศบาลนครโอซะกะเริ่มต้นโครงการบูรณะปราสาทโอซะกะอีกครั้ง โดยให้ภายนอกยังคงความเป็นยุคเอะโดะ แผนการบูรณะแล้วเสร็จในปี 1997 ตัวปราสาทมีความทันสมัยขึ้นมาก มีลิฟต์ติดตั้งภายในและมีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบสมัยใหม่ (ขอบคุณข้อมูลจาก Wikipedia ครับ)
การเข้าชมภายในปราสาทโอซาก้า ต้องซื้อบัตรผ่านประตู ผู้ใหญ่จะเสียคนละ 600 เยน เด็กๆอายุต่ำกว่า 15 ปีฟรีจ้า
เดินเข้ามาด้านในมีคิวขึ้นลิฟท์ยาวเหมือนกัน พ่อแม่ลูกยืนเข้าคิวไม่นานพนักงานก็พาเราขึ้นมายังชั้น 5 ก่อน
จากนั้นก็ให้เราชมนิทรรศการแสดงหุ่นจำลองเหตุการณ์สำคัญๆเกี่ยวกับปราสาทนี้ ซึ่งก็เป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนๆอีกนั้นล่ะ ดูภาพดูโมเดลจำลองเพลินๆไปใช้ได้
มี vdo ที่จำลองบรรยากาศแบบ 3 มิติด้วย นะไม่ธรรมดาเลย
จากนั้นเดินขึ้นมา ชั้นบนอีกสองชั้นจะเป็นจุดชมวิว มองเห็นไปทั่วเมืองกันเลย อันนี้สวยจริงครับ ควรขึ้นมากันนะครับ
ปันปันดูจะสนุกกับการเจอเพื่อนๆใหม่ อยู่นะ กระแซะเด็กญี่ปุ่นน่าดู
มองไปด้านล่างเค้ากำลังโชว์การแสดงกันอยู่ ได้ยินเสียงเฮเป็นระยะๆเลย
จะเห็นรูปปั้นปลาทองคำ ที่เป็นสัญลักษณ์ของปราสาทโอซาก้าเลย เอาล่ะได้เวลาไปต่อกันแล้วครับ วันนี้อากาศค่อนข้างดี ยังมีเวลาไปลุยกันต่อ
ลงมาด้านล่าง จะเจอร้านขายของ Souvenir มีพวกเสื้อยืด ป้ายแขวน ของประดับบ้าน และอีกจิปาถะแต่ดูแล้วแพงครับ ราคาขายนักท่องเที่ยวจริงๆ
ก่อนจากแหงนมองขึ้นไปดูความยิ่งใหญ่ของปราสาทอีกรอบ อยากจะตะโกนออกมาดังๆ ว่าได้มาเยือนแล้วน้าาาาปราสาทโอซาก้า
ออกมาด้านนอก รอบๆเป็นสวนที่น่าพักผ่อนหย่อนใจ มีคนเอาอาหารนกมาให้นกพิราบรอบๆ เด็กๆก็ดูจะชอบกันครับ
ร้อนๆ แวะกินติมกันหน่อยน้าาาา แม่ลูกเค้ากุ๊กกิ๊กกัน
บริเวณใกล้ๆกันกับตัวปราสาทยังมีศาลเจ้าโฮโกกุ อยู่ด้วย เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงไดเมียวผู้สร้างปราสาทโอซาก้า เดินเข้าไปได้เลยครับ ไม่เสียเงิน ผมยอมแพ้เรื่องร้อนเลยเก็บมาแต่ด้านหน้าทางเข้าอย่างเดียว T^T
ได้เวลากลับแล้วครับ อากาศดีมากช่วงที่มา ฟ้าเป็นฟ้าเลย
เดิน ย้อนทางมาจนถึงตึก Osaka Museum แวะกันหน่อย ดีไหม เด็กๆ ตรึมเลย
ตรงชั้นล่างจะเรียกว่าอะไรดีละ เป็นเหมือนสถานีจำลองของสถานีโทรทัศน์ NHK ด้านในจะทำพื้นที่จำลองรายการ ให้เด็กๆลองกันได้ เด็กสามารถจัดรายการทีวีเล็กๆของตัวเองได้ด้วยนะ
ด้านอื่นๆก็มีมุมของเล่นเด็ก ๆ มุมหนังสือ
มุมของเล่น มุมนี้ปันโปรดมากกก แต่ของเล่นในนี้ดูคุ้นๆมาก พลิกไปมาของ Ikea นี้เอง ไม่น่าเชื่อว่าสินค้าของสวีเดนจะเข้ามาอยู่ในนี้ได้นะเนี่ย
เล่น กันพอหอมปากหอมคอได้ที่เราขอกลับมาตั้งหลักที่พักกันก่อนนะ เย็นนี้จะออกไปตะลุยย่านช้อปปิ้งสำคัญของโอซาก้ากันแล้ว
และที่ต่อไปที่เราจะไปกันจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ ย่านถนนโดทนโบริ (Doutonbori Street ) หรือ ย่านนัมบะ (Namba) ย่านแห่งแห่งแสงสีแห่งการละลายทรัพย์นักท่องเที่ยว และเป็นย่านรวมร้านอาหารมากมายไปพร้อมๆกัน เห็นปูไหม ที่นี่ละที่รวมปูเลย ใครรักเลิฟการกินปูมาที่นี่ละใช่เลย
ที่นี่จะมีเสน่ห์สุดๆก็ต้องตอนเย็นๆไปจนถึงค่ำมืด เดินเลยถนนมานิดนึงลงมาที่บริเวณใต้สะพาน บรรยากาศริม คลองโดทนโบริ ดูสวยงาม และเต็มไปด้วยป้ายไฟต่างๆทำให้ยิ่งดูตื่นตาตื่นใจขึ้นไปอีก
บางขณะเราก็จะเห็นหนุ่มๆสาว มานั่งคุยกัน
ห้างสำคัญที่สุดในย่านนี้ ห้างดอนกีโยเต้ หรือคนไทยเรียกกันสั้นๆว่า ห้างดองกี้ ( Don Quijote) ห้างนี้เป็นห้างสินค้าปลอดภาษีเกือบทั้งหมด จะมีสินค้าบางประเภทที่จะมีรวมภาษีบ้างแต่ ราคาก็ยังถูกอยู่มากทีเดียวใครอยากจะช้อปปิ้งของฝากแนะนำที่นี้เลยนะครับอยู่ใกล้ๆ กับสะพาน เอบิซุ เลย คนแน่นตลอดเวลา
เราเดินมากันไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงแล้วแหล่งช้อปปิ้ง แหล่งย่านของกิน ที่หมายแรกที่ผมอยากมาจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ตรงสะพาน เอบิซุ ทำไมนะเหรอ เพราะป๊อกกี้ไงครับ
ป้ายโฆษณากูลิโกะ ที่ติดตั้งอยู่สูงกว่า 20 เมตร มานานจนจะเกือบ 100 ปีแล้วนะ ป้ายนักกีฬา วิ่งบนลู่ เป็นภาพที่คุ้นตาเด็กไทยมานานแทบทุกยุค ทุกสมัย หรืออาจจะเรียกว่าดังไปทั่วโลกแล้วก็ได้เพราะทุกๆที่ในโลกที่ขายขนมกล่องป๊อกกี้เราก็จะชินตากับโลโก้นี้กันทั้งนั้น
จะมีกี่คนที่ไม่รู้จักสัญลักษณ์นี้บ้าง และเชื่อไหมครับไม่ใช่แค่ผมนะที่มาที่นี่เพื่อชมป้ายแห่งนี้ นักท่องเที่ยวมากมาย ต่างมากดภาพถ่ายภาพคู่กับป้ายกูลิโกะนี้ทั้งนั้น
เที่ยวถนน โดทนโบริกันดีกว่า ย่านนี้คึกคักที่สุดแล้วสังเกตุป้ายไฟต่างๆครับ
สำหรับพวกเรา มีทุกอย่างที่คนรักเลิฟการช้อปปิ้งอยากได้
อีกจุดที่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นหรือต่างชาติที่รู้จักก็คือการมาถ่ายรูปคู่กับตุ๊กตาคนตีกลอง (Kuidaore)
ประวัติตุ๊กตาตัวนี้ไม่ธรรมดาเลย ปัจจุบันนี้ถือเป็สัญลักษณ์สำคัญของถนนเส้นนี้ ใครไปใครมาล้วนแต่ต้องวิ่งมาถ่ายรูปคู่ด้วยทั้งนั้น ตุ๊กตาตีกลองนี้ เดิมเป็นหุ่นกลที่เรียกแขกเข้าร้านอาหาร นำมาแสดงเพื่อเรียกลูกค้าเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1950 ปัจจุบันร้านดังกล่าวได้ปิดร้านอาหารไปแล้ว แต่ตุ๊กตาจักรกลยังตั้งอยู่ใกล้บริเวณเดิม หน้าห้างสรรพสินค้าแทน ถือเป็นอีกจุดที่คุณๆหากมาเดินเที่ยวย่านนี้ห้ามพลาด
อีกร้านที่ควรแวะเป็นอย่างยิ่งหากเดินชมป้ายกูริโกะแล้วอยากได้ขนมทุกอย่างแล้วเดินในถนนเส้นนี้จะเจอร้าน Little Osaka ที่มีป้ายนักวิ่งชายแบบดั้งเดิมตั้งอยู่แบบนี้ละครับ
สินค้าในร้านบางชนิดจะมีขายเฉพาะที่ร้านนี้เท่านั้น เรียกว่าใครเป็นแฟนพันธ์แท้กูลิโกะห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
เดินกันมาเหนือยๆแล้วเราเลยจิ้มซักร้านเพื่อชิมอาหารกัน หมุนไปหมุนมา ได้มาร้านนึง ร้านนี้เน้นเมนูข้าวหน้าต่างๆ เราเลยสั่งมาชิมกันดู
ข้าวหน้าไข่ปลาครับ น่ากินเนอะ
ไก่คาราเกะครับ อันนี้ของโปรดปันเค้าอ้าวไม่ยักสนใจสนใจมือถือแม่เค้ามากกว่านะ
สั่งของหวานมาชิมดูบ้าง อร่อยครับ เป็นคัสตารด์ เค้าโรยผักอะไรสักอย่างสีเขียวบนสตอเบอร์รี่ด้วย อร่อยดีครับ
เดินอิ่มกันออกมาจากร้าน เริ่มอยากกลับแล้ว ย่านนี้เดินคืนเดียวนี้ไม่ทั่วเลยครับ มองมาที่ป้ายสะพานเจอคิวร้านนี้เข้าสงสัยมากเลยเดินเข้าไปดูว่าร้านขายอะไร
ทาโกะยากินี่เอง ร้านนี้คิวยาวมากๆอยู่ตรงมุมหัวสะพานข้ามคลองเลย ผมไม่ได้ถ่ายตรงชื่อร้านมา คิวยาวจนบังป้ายมิดเลย ใครรู้หลังไมค์มาบอกได้นะครับ เห็นคิวก็ท้อแล้ว
ก่อนจะกลับผมตอนหัวค่ำระหว่างรอสมาชิกมากันครบผมเดินเลยเลียบคลองมาอีกหน่อย ไม่น่าเชื่อเลยครับว่าจะอยู่ในย่านเดียวกันห่างกันไม่ถึง 500 เมตรเราจะเจอมุมสงบๆแบบนี้
ช่างแตกต่างจากถนนที่ผมเพิ่งเดินจากมามาก จะเจอหนุ่มๆสาวนั่งคุยกันบ้าง เจอนักดนตรีมาซ้อมดนตรีเปิดหมวก ก่อนการแสดงจริงๆจะมาถึง
คลองสายเดียวกัน ทุกอย่างดูสงบมากครับ เดินจากแหล่งช้อปปิ้งมาไม่ถึง 10นาที บรรยากาศต่างกันคนละเรื่องเลย
ทริบวันนี้เล่นเอาเหนื่อยกันทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เลย ขากลับเลยมีโอกาสใช้ Taxi Meter ของเค้าดูบอกตรงๆประทับใจมากแม้ส่วนใหญ่จะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่บอกเลยว่าเค้ามีความพยายามในการจะบริการดีมาก Taxi ญี่ปุ่นบริการดี รถก็ใหญ่และใช้สีเดียวเท่านั้นคือสีดำ ราคาเริ่มต้นที่ 680 เยนนะครับ ถ้าเดินทางกันหลายๆคนหารกันโอเคอยู่น่า
ประตูเค้าเปิดแบบระบบอัตโนมัตื รับเราขึ้นโดยไม่ต้องใช้มือเปิดหรือปิดเลย เจ๋งมากๆ
ทริปวันแรกของเราก็ขอจบตรงนี้ มาโอซาก้าวันแรกก็เที่ยวกันสะบักสะบอมทีเดียว เดินกันกระจาย ใครมียาหม่อง ยานวด พกไปดีที่สุดเพราะอย่างที่บอกไว้แต่ต้นว่า เที่ยวญี่ปุ่นนี้เน้นเดินกันซะมากครับ คืนแรกที่โอซาก้าทุกคนนอนหลับกันเงียบเลยเชียวล่ะ
ก่อนจะลาอย่างที่บอกไว้ตอนต้น ขอเล่าเกี่ยวกับการเตรียมพร้อมก่อนมากันหน่อย ใครอยากรู้ว่าเราเตรียมตัวกันประมาณไหนจะพาเด็กเล็กๆมาเที่ยวกันได้ ลองอ่านดูนะครับถือเป็นการแลกเปลี่ยนประสพการณ์กัน
———————————————————-
การเตรียมตัวพาลูกเที่ยวญี่ปุ่น (ช่วงฤดูใบไม้ร่วง กันยายน-พฤศจิกายน )
ตรวจสอบอากาศก่อนเดินทาง
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีถึง 4 ฤดู คือฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ช่วงที่เราไปคือเดือนกันยายน อยู่ในช่วงปลายฤดูร้อนเข้าฤดูใบไม้ร่วง อากาศจึงไม่ร้อนไม่หนาวเกินไปอุณหภูมิวันที่เราไปถึงอยู่ที 20-27 องศาถือว่าอากาศกำลังดีเลยใส่เสื้อยืดธรรมดาๆเที่ยวได้เลย แต่กับเด็กๆควรเอาเสื้อแขนยาวติดกันไปด้วยนะครับกันไว้ก่อนเวลานอนจะได้อุ่นๆ
เว็บที่เช็คสภาพอากาศที่ญี่ปุ่นมีเยอะนะครับแต่เป็นภาษาญี่ปุ่นซะมากส่วนที่เป็นภาษาอังกฤษก็อาจจะแม่นบ้างไม่แม่นบ้าง ต้องลองเปรียบเทียบกันดู ผมใช้ตัวแรกเท่านั้นครับแม่นดีอ่านง่ายด้วย
http://www.jnto.go.jp/weather/tha/ อันนี้เป็นภาษาไทยครับของการท่องเที่ยวญีปุ่นทำขึ้นมา ตอนไปผมก็ดูอันนี้ละ
http://weather.jal.co.jp/en/ ของสายการบิน jAPAN AIRLINE มีภาษาอังกฤษให้เลือกได้ ก็แม่นอยู่นะครับ
http://www.jma.go.jp/en/week/#explain อันนี้ของกรมอุตุประเทศญี่ปุ่นเลย แม่นสุดๆ มีภาษาอังกฤษให้อ่านด้วย
ยาสามัญประจำตัว (เด็กๆ)
การจะพา เด็กๆที่อายุยังไม่เกิน 4 ขวบ อย่างปันปัน ต้องมีหลายสิ่งที่ต้องคำนึงอยู่พอควรทีเดียวครับ
อย่างแรกที่ควรต้องเตรียมเลยคือ ยาต่างๆ ก่อนเดินทาง 2-3 วันเราพาปันปันไปให้หมอตรวจก่อนทุกครั้งว่าเค้าจะมีปัญหาใดๆหรือไม่ เพื่อความสบายใจของพ่อแม่ หลังจากนั้นก็แวะซื้อยากสามัญที่สำคัญทั้งของเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งยาแก้ไข้ แก้ไอ ท้องเสีย(สำหรับเด็กควรให้หมอเป็นคนสั่งนะครับ)และยาทาภายนอกทั้งแผลสด ฟกช้ำ พลาสเตอร์ยา พกพาไปกันพลาดถึงเที่ยวไม่กี่วันแต่ของแบบนี้ไม่แน่อะไรๆก็เกิดได้
รถเข็น
ขอบอกเลยว่าสำคัญมากถึงมากที่สุด เราได้ยินจากเพื่อนๆทุกคนที่พาเด็กเล็กไปญี่ปุ่นมา ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวว่า รถเข็นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเดินทาง เพราะเที่ยวญี่ปุ่นเน้นเดินกันทั้งนั้นแทบทุกเมือง แม้ญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่มีการคมมนาคมที่หลากหลาย ทั้งรถไฟ รถไฟใต้ดิน รถไฟฟ้า รถบัส Taxi แต่การเดินหรือปั่นจักรยานเป็นการเที่ยวที่เหมาะมากๆระหว่างที่เราอยู่ที่ นั้น เราจะเห็นทั้งนักท่องเที่ยวและคนญี่ปุ่นใช้การเดินกับปั่นจักรยานเยอะมาก ที่สุดเลย ข้อดีอีกอย่างคือรถเข็นเวลาที่ปันเดินอยู่ใช้วางของพ่อแม่ได้
ที่ สำคัญเค้าให้ความสำคัญกับเด็กๆมากเวลาเอาขึ้นรถไฟใต้ดินหรือบนดินก็ตามจะมี มุมนึงที่ให้จอดรถเข็นไว้ได้เลย เห็นไหมคนญี่ปุ่นเค้าให้ความสำคัญกับเด็กๆขนาดไหน
การแลกเงิน
ค่าเงินเยนกับไทยนับถึงตอนนี้ กันยายน 2557 จะอยู่ที่ 100 เยน = 30 บาทเศษๆ ของกินบ้านเค้าต่ำๆสุดอย่างข้าวปั้นใน Family Mart จะอยู่ราวๆ 150-500 เยน หรือตก 50 บาท+ เพราะฉะนั้นคุณๆควรเตรียมเงินไปพอสมควรกับจำนวนคน จำนวนวันที่คุณๆไปกันนะครับ ตรงนี้ตอบยากขึ้นอยู่กับสไตล์การเดินทางของแต่ละคน แต่อยากแนะนำให้คิดแยกเป็นส่วนๆคือ ค่ากิน เท่าไหร่ (ประมาณ) ที่พัก ค่าเดินทาง(อันนี้ต้องระวังเพราะคนไปแรกๆจะหลงอย่างเราเป็นต้น 555) ประมาณไหน และสุดท้าย หากจะซื้อของฝาก โดยปรกติตามแหล่งท่องเที่ยวซื้อของฝากจะรับบัตรเครดิตได้ หากมีก็ควรใช้และเก็บเงินสดไว้ใช้ในการเดินทางจะดีที่สุด เพราะหากเงินสดหมดการแลกเงินที่นั้นคุณอาจจะได้เรทที่ต่ำหรือมากกว่าแลกจากบ้านเราไป ให้ชัวร์แลกไปเลยจะดีที่สุดครับ
Internet ดีที่สุดต้อง Pocket Wifi
เน็ตที่ญี่ปุ่นดีมากๆ มีทั้ง Wifi ตามจุดต่างๆให้ใช้ฟรี และตัว Internet on Mobile ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เพราะเค้าเป็น 4G มานานมากแล้ว ในช่วงปีหลังๆมานี่ มีบริการ pocket Wifi ให้ชาวต่างชาติที่ต้องเดินทางไปเที่ยว หรือพำนักในประเทศญี่ปุ่นทั้งแบบสั้นๆ ไม่กี่วัน และแบบนานเป็นเดือนให้ใช้ได้ อย่างหนนี้เราใช้บริการของ iwifi เป็น Pocket Wifi ที่ข้างในก็คือใส่ซิมการ์ดของญี่ปุ่นได้นะครับ แต่ไม่สามารถใช้โทรออกได้นะ (นอกจากผ่านเน็ตด้วยโปรแกรมอย่าง Skype, Lineหรือ Facebook Messenger ) สนนราคาก็ถือว่าถูกมาก เฉลี่ยยิ่งเราไปหลายวันก็ยิ่งถูกลง(เท่าที่อ่านมาที่ญี่ปุ่นจะมีค่ายมือถือต่างๆเช่นเดียวกับบ้านเรา เพราะงั้นราคาจะขึ้นอยู่กับเครือค่ายที่หยิบมาใช้ใน pocket ด้วย ก่อนจะเลือก pocket ควรแจ้งเมืองและความประสงค์ในการใช้ให้กับเค้าด้วย เพื่อจะได้เลือกรุ่นและ packet ที่เหมาะกับการเดินทางสำหรับเราครับ)
กรณีไปน้อยวันเช่นเคสเรา 5 วัน ราคาก็ตกวันละ 200บาทนิดๆ อย่างไป สัก 8-10วัน แบบนี้ ราคาตกวันละ 125 บาท และคุณสามารถเลือก Packet การใช้งานตามพฤติกรรมการใช้ของเราได้ อ่อที่สำคัญมันใช้ได้มากกว่า 3-5 คนต่อหนึ่งเครื่อง ลองเข้าไปอ่านรายละเอียดและราคาได้ที่นี่เลยครับ http://iwifi.jp/ เห็น url แบบนี้เป็นเว็บภาษาไทยนะครับ ไม่ต้องกังวล (ภาพนี้ผมยืมมาจากเว็บไซต์เค้านะครับตอนไปลืมถ่ายซะงั้น)
การเลือกที่พัก
มาถึงส่วนสำคัญและคิดว่าหลายๆคนอยากรู้กันแล้ว การเลือกที่พักในญี่ปุ่นจริงๆหากเป็นแบบปรกติก็คือ เราเข้าเว็บจองจองโรงแรมทั้งหลายแล้วก็เลือกราคา เลือกเกรดโรงแรมที่ถูกใจจากนั้นก็จองกันไป แล้วแต่โรงแรมที่เราเลือก แต่…เดี๋ยวก่อน สำหรับทริปนี้เราไม่ได้ใช้เว็บแบบนั้นเลย
เราเลือกใช้การพักอีกทางเลือกหนึ่งนั้นก็คือ การใช้ที่พักจากเว็บไซต์ www.airbnb.com หรือ v. ภาษาไทยคือ https://th.airbnb.com/ เว็บไซต์ที่รวบรวมที่พัก เก๋ๆ แนวๆที่เจ้าของเค้าเอามาแชร์ ให้เราได้เข้าไปพักกัน พูดง่ายๆคือหากคุณมีบ้านพัก ห้องว่าง อพาร์ทเมนท์ คอนโด หรือเป็นเจ้าของโรงแรมบูทีคขนาดเล็กๆ เก๋ๆ หรือจะเลยไปจนถึง ถ้าอยากนอนแบบแปลกๆ อย่างบ้านบนต้นไม้ หรือหรูๆไปเลยอย่าง บนเรือยอร์ชราคาหลายสิบล้าน หากมีเจ้าของใจดียินดีมาแชร์ ให้เราเข้าไปนอนกันได้ก็สามารถนะครับ สำหรับที่พักญี่ปุ่นเราคิดว่าการพักบ้านแบบนี้มันช่วยทำให้เราได้อยู่ในบรรยากาศแบบญี่ปุ่นกันจริงๆ เรียกว่าถึงญี่ปุ่นทั้งเที่ยว กินอยู่กันเลย
เหมาะกับใครบ้าง
ส่วนตัวคิดว่าเหมาะกับทุกคน เพราะที่พักมีทุกแบบตามแต่ Lifestyle การเดินทางของคนๆนั้น
วิธีการจองก็ง่ายๆเลย ครับ
1.เข้าเว็บไซต์ Airbnb.com หรือ ผ่านlink ของเรา https://th.airbnb.com/c/nonetwentytwo?af=3330312&c=one22_kol หากเราใช้facebook อยู่แล้วก็สมัครผ่าน facebook ได้แค่คลิ๊กเดียว ไม่ต้องกรอกให้ยุ่งยาก จากนั้นเราจะได้ ลิงค์ แบบผมข้างบนมา ข้อดีสุดๆเลยแค่สมัครสมาชิกคุณก็ได้ส่วนลด รวมๆ 800 บาทเศษเพื่อใช้จองต่อเลย แล้วหากแชร์ลิงค์แบบนี้ให้เพื่อน เราจะได้เงินเพื่อเอาไปลดราคาที่พักเราได้ต่อไปอีก อันหลังนี้เยี่ยมเลย
2.จากนั้นก็พิมพ์เมืองที่คุณจะพักเข้าไปที่ช่อง หากรู้วันที่เข้าพักแน่นอนยิ่งดีเพราะจะเว็บก็จะได้เช็คห้องว่างให้แบบเดียวกับจองโรงแรมเลย
3.ที่พักที่ตรงกับเงื่อนไขของเราก็ขึ้นมาเพียบเลย หลังเลือกที่ถูกใจได้ก็เช็ควันที่เข้าพักอีกนิด แล้วก็ติดต่อกับ Host (เจ้าของที่พักที่เราจะไปใช้นั้นละ) อย่างกรณีเราเลือก โอซาก้าที่พัก ของ Airbnb เยอะและดีมาก เลือกดูจากภาพถ่ายได้เลย
4.เลือกได้ ตรงใจแล้ว ก็กดจองไปเลยตรงปุ่มสีชมพูข้างๆเลยครับ
5.จะพามาจ่ายผ่านบัตรเครดิต ตรงนี้ละที่เราหากได้รับส่วนลดมาจากการจองผ่าน link ของเพื่อน จะเอามาใช้ได้ด้วยนะครับ และก็ดูตรงการจ่ายเงินได้เลยจะมีบวกค่าบริการและภาษีอีกนิดหน่อย จากนั้นกดจ่ายเงิน
6.สุดท้ายเราก็จะได้เมล์ตอบกลับจาก Airbnb และรอไม่นาน จะมี Message ส่งตรงจาก host อธิบายการเข้าพัก วิธีการเดินทางมาที่พัก แบบละเอียดมากๆ เราก็ Print ติดตัวไว้อธิบายกับ Taxi ตอนเราไปถึงได้ เลย จบแล้วง่ายมาก
มาดูที่พักเราหน่อยเนื่องจากเราไปแบบครอบครัว เราเลยเลือกแบบ อพาร์ทเม้นท์ 2 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่นพร้อมครัว ย่านที่เราเลือกอยู่ใกล้ โดทนโบริ ระดับ เดินได้เลยไม่ถึง 10-15 นาที เพราะเราตั้งใจอยู่แล้วว่าจะมาเที่ยวย่านนี้ ข้อดีคือใกล้รถไฟฟ้าหลายสายเดินได้สบายๆ เห็นราคาอาจจะว่าแรงแต่ถ้าหารกันแล้วถือว่าคุ้มนะครับ ราคาระดับนี้ได้ทำเลนี้ด้วย
เข้ามาก็ประทับใจมากห้องมันเหมือนภาพที่เราเห็นใน เว็บเลย อะไรจะเป๊ะงั้น หลายๆคนคงเคยมีประสพการณ์เพ้อตามรูปที่พักที่มา พอมาถึงไม่เห็นจะตรงกันเลย ของเราโชคดีมาก Host เจ้านี้เค้ามีห้องพักเยอะมาก และเอามาปล่อยให้เช่าเลยมีการบริการทุกอย่างดีมาก เรียกว่ามีมาตรฐานเลย
ห้องนอนใหญ่มีแอร์ให้ใช้ 1 ห้อง แต่เอาจริงๆเลยนะเปิดแอร์ก็ห่มผ้าอยู่ดี เพราะตอนกลางคืนอากาศจะเย็นมาก
ห้องนอนเล็กครับ
กลับมาที่ครัวมีอุปกรณ์การทำอาหารให้ครบมาก วันที่เราอยู่มีการไปซื้อ ของสดมาทำกินกันในบ้าน คุ้มมากๆ
ห้องน้ำและห้องอาบน้ำจะแยกกันและห้องน้ำสไตล์ญี่ปุ่นคือ จะเล็กและ Compact หน่อย อันนี้เพราะพื้นที่เค้าแพงครับทุกอย่างต้องบริหารจัดการ
แถมท้ายมีเครื่องซักผ้าให้เราใช้ได้ด้วย พร้อมกับผงซักฟอก ต่างๆมีเตรียมให้พร้อมสรรพเลย
สรุปสำหรับประสพการณ์การพักกับ Airbnb ครั้งแรกประทับใจมาก และคิดว่ามีโอกาสไปต่างประเทศก็จะใช้อีกแน่ๆครับ
ตั๋วเครื่องบิน
ตั้งแต่ Thai AirAsia X เปิดเส้นทางบินตรงไปกลับ จากกรุงเทพฯ – โตเกียว(DMK-NRT) และ กรุงเทพฯ- โอซาก้า (DMK-KIX) ในราคาเอื้อมถึงคือไม่ถึงหมื่นบาทก็บินได้แล้ว (ช่วงเปิดตัวครั้งแรกราคาแรงมากไปกลับรวมทุกอย่างแล้วไม่ถึง 6 พันเลย โอ้ววแม่เจ้ากันทีเดียว ) บอกเลยว่าคนไทยน่าจะมีความสุขขึ้นมาก นับตั้งแต่เริ่มบินตั้งแต่1 กย 2557 เป็นต้นมา
เพราะในเวลาแค่เพียง 5 ชั่วโมงเศษ เราก็มายืนยิ้มกันได้ที่สนามบินคันไซ สนามบินกลางทะเลของ เขตภูมิภาคนี้
ตอนขาไปเนื่องจากเราเลือกไปลงฟูกุโอกะก่อน กับ Jet Star ทำให้พลาดได้ลองนั่งขาไป แต่ขากลับผมก็พบว่า ระหว่างเครื่อง Airbus 320 ของสายการบิน JetStar ที่บินไปลงฟูกุโอกะมันต่างกันจริงๆ(แน่ละนะเพราะมันคนละรุ่นกันเลย) ตอนขาไปผมค่อนข้างทรมานพอสมควร เนื่องจากผมสูง 180 cm. เวลานั่งนานๆระดับเกิน 6 ชั่วโมงโหดทีเดียว แถมมีปันไปด้วยโชคดีว่าปันหลับตลอดทางไม่ส่งเสียงรบกวนใครเท่าไหร่
แต่สำหรับขากลับ เรากลับกับ Thai AirAsia X เป็นเครื่องรุ่นเดียวกันกับ ที่ไปเกาหลีใต้ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้แล้ว คือ Airbus A330-300 ขนาด 377 ที่นั่ง จัดที่นั่ง Economy ปรกติเป็นแบบ 3-3-3 (แถวหลังๆท้ายลำจะเป็น 2-3-2) ตอนขากลับจาก โอซาก้าของ Thai Airasia X ช่างต่างกันมาก เพราะทั้งขนาดเครื่อง ขนาดที่นั่ง การเว้นช่วงขา ปรับเอนหลัง มันต่างกันมากจริงๆ ขากลับ หากคุณเจอเครื่องว่างๆโล่งๆ สามารถพับ ที่วางแขน เหยียดขานอนยาวๆ น้องแอร์เค้าก็ไม่ว่าแต่อย่างใดนะครับ
ที่สำคัญหากคุณจอง ตรง Quiet Zone ก็จะได้รับการพักผ่อนที่ดีขึ้นไปอีกเพราะ การเปิดปิดไฟก็ดีเค้าจะใช้แสงสีฟ้าช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น แต่โซนนี้ไม่เหมาะกับครอบครัวที่พาเด็กเล็กๆไปด้วยเพราะเค้าห้ามเด็กเล็กๆนั่ง (เหตุผลก็น่าจะรู้มีเด็กมีความเสี่ยงที่จะเสียงดังได้ไม่งั้นก็ไม่สามารถจะเป็น Quiet Zone แน่ๆ)เพราะงั้น หากเอาเหมือนบ้านเรา คือเราเลือกตรงช่วงหลังๆเลยครับ คนจะน้อยมาก ที่สำคัญหากคุณเลือกกลับในช่วงเวลาที่ไม่เต็มแล้วสวรรค์ดีๆนี่เอง นอนหลับเหยียดขาได้เลย
ขากลับผมสั่งอาหารกินบนเครื่องด้วยตั้งแต่ตอนจอง ส่วนนึงคืออยากรู้ว่า อาหารจะต่างกันไหมกับ เวลาบินปรกติกับ Thai AirAsia ธรรมดา สรุปว่าก็ไม่ต่างนะครับแต่เมนูอาจจะไม่เหมือนกันเป๊ะๆ เท่านั้นเอง ให้ดีสั่งก่อนทางออนไลน์ประหยัดกว่าเยอะนะครับ
การเดินทางเข้าเมืองจากสนามบินโอซาก้า
อย่างที่ทราบกัน เครื่องบินตรงจาก ดอนเมืองไปลง สนามบินคันไซ เวลาไม่ดีนัก (16.25-23.50 น.) และ ขากลับจาก คันไซ-กรุงเทพฯ (01.00-05.00) หลายๆคนจะกังวลว่าแล้วชั้นจะเข้าเมืองได้ไหม กรณีนี้มีคำตอบแล้ว หลังจากที่เปิดไฟลท์ลง สนามบินคันไซ ทางสนามบินได้เพิ่ม รถเพื่อรองรับการเดินทางเข้าเมือง ที่เรียกว่า Limousine Bus จากสนามบิน วิ่งเข้าเมืองหลักๆอย่างโอซาก้า ได้
โดยเมืองคุณผ่านตม.ออกมา ที่ Terminal 1 แล้วไปที่ Gate ในบริเวณ ชั้น 1 จะมีรถบัสออกตลอดทั้งคืนเพื่อเข้าไปในเมืองหลักๆอย่างโอซาก้าได้เที่ยวรถแรกถ้าอยากเข้าไปเร็วก็จะทันรอบ 00.45 น. หรือ 01.45น. พาเราไปยังสถานที่หลักๆในเมืองลงที่สถานีรถไฟ Osaka Station (Umeda) ราคาตั๋วเที่ยวเดียวอยู่ที่ 1550 เยน แม้ Couter จะปิด ตอน 5ทุ่ม แต่เราก็ยังใช้ตู้อัตโนมัติตรงบริเวณ Gate ซื้อตั๋วได้อยู่ครับ
อันนี้เป็นตัวอย่างสองสถานีหลักๆเข้าโอซาก้านะครับ
<To Umeda > Terminal 1 Gate 5
เที่ยวแรกหลังเที่ยงคืน ออกตอน 00:45 Dep → Umeda(จอดหน้าโรงแรม Hotel Hankyu Annex)
เที่ยวออกตอน 01:45 Dep → Umeda(จอดหน้าโรงแรม Hotel Hankyu Annex)02:43 Arrives
เที่ยวออกตอน 01:45 Arrives → Umeda(จอดหน้าโรงแรม Harbis Osaka)02:52 Arrives
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดการเดินรถบัสเข้าเมืองไปสถานีต่างๆได้จากเว็บนี้เลย http://www.kate.co.jp/pc/e_time_table/e_time.html
เลือกสถานีที่จะไปลงก็จิ้มที่ชื่อสถานีนั้นเลยอธิบายไว้หมดแล้ว
ตอนวันกลับ ผมลองเดินสำรวจมาแล้วแต่เนื่องจากเราต้องเข้า Gate ก่อนรถที่มารอรับยังไม่มา (00.10น.) ก็ดูตำแหน่งจากประตูทางออกหลังผ่าน ตม.มา ไม่ไกลนะครับน่าจะทันแน่ๆ ให้ดีหากของไม่เยอะ ก็อย่าโหลดของใต้เครื่องครับ หากจะให้ทัน กันจริงๆ
*** ตอนวันเดินทางรอบหลัง มีโอกาสได้ใช้จริงๆแล้วครับ รถหลังเที่ยงคืนเข้าโอซาก้าทั้งหมดจะมารวมที่ Gate 5 ผ่านตม.+ กระเป๋ายังสามารถออกมาทันรถเที่ยว 00.30 น.ได้สบายๆครับ และรถก็ไมไ่ด้มีคันเดียวด้วยกรณีที่คนเยอะ เค้าจะมีรถสำลองวิ่งออกมารับต่อเลยจากคันแรกเพราะงั้นไม่ต้องกังวลใดๆในการลงเครื่องเวลานี้ครับ
ภาพจาก Princess of Napier ถ่ายไว้ขอบคุณมากครับ
ขอขอบคุณจากใจ
ทริปนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้เลยหาก ผมไม่ได้ไปร่วมในงาน AirAsia Party Blogger และในงานมีการจับรางวัลสำหรับผู้เข้าร่วมในงาน และสายลมแห่งความหวังดี ก็พัดตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-ญี่ปุ่นมาให้ เชื่อไหมครับตั้งแต่เกิดมา ซื้อล็อตเตอร์รี่ไม่เคยถูก จับฉลากอะไรได้รางวัลโหล่ๆมาตลอด หนนี้เป็นครั้งแรกที่โชคดีเข้าข้างตัวเองจริงๆซักที หากไม่ได้ตั๋ในวันนั้น ทริปนี้ก็คงไม่มีวันเกิดขึ้นได้แน่ๆครับ ขอบคุณ Thai AirAsia X สำหรับของรางวัลนี้จริงๆครับ
ท้ายนี้ก่อนจบตอนแรก
ทริปนี้เป็นอีกทริปที่เราตั้งใจตั้งแต่ก่อนเดินทางว่าจะกลับมารีวิวให้ อ่านกันโดยเฉพาะกับคุณพ่อคุณแม่ลูกเล็กทั้งหลาย หวังว่าตอนแรกนี้จะช่วยให้ทุกๆคนได้มีโอกาสสัมผัสประสพการณ์ท่องเที่ยว แบบครอบครัว พาลูกเที่ยว แบบเราบ้าง หากอ่านมาถึงตรงนี้ได้ พวกเราไม่หวังสิ่งใดมากนักนอกจากคำทักทาย รีวิวหน้าจะเป็นตอนจบมีที่เที่ยวอีกหลายแห่งที่อยากหยิบมาเล่ากัน รีวิวหน้าจะไปที่ไหนบ้าง โปรดติดตามนะครับ