19.00 น.
เสียงลม และเสียงฟ้าคำรามไกลออกไปในทะเล ชวนให้ผมหวั่นๆระหว่างที่กำลังขะมักเขม้น เก็บภาพริมทะเลอยู่ในเวลานี้
ผมเร่งฝีเท้าก้าวต่อไปยังบริเวณสระน้ำ ของรีสอร์ทที่มาถึงเมื่อตอน กลางวัน ถูกแล้วครับตอนนี้ผมกำลังอยู่ในรีสอร์ทสุดเลิศที่สุดแห่งนึงบนเกาะเสม็ด ที่นี่คือ Le Vimarn Samed ช่วงเวลานี้แม้ฝนฟ้าจะไม่เป็นดั่งใจ แต่แสงไฟจากสระน้ำตัดกับแสงที่ขอบฟ้าช่างมีเสน่ห์ และดึงผมจากความกังวลทุกอย่าง ไปที่รีสอร์ทที่โรแมนติกมากๆกว่าที่ผมคิดเอาไว้
แสงไฟจากบริเวณต้อนรับของรีสอร์ท ตัดกลับท้องฟ้าที่พายุหน้าฝนกำลังพัดเข้ามา แต่ก็ไม่ได้ทำให้แสงที่จัดวางในตำแหน่งต่างๆสวยงามมาก ดูสวยน้อยลง
ความสนุกองผมในการถ่ายภาพรีสอร์ทสวยๆ อย่าง Le Vimarn Cottage & Spa Samed ครั้งนี้ก็อยู่ตรงนี้ละครับ ผมต้องแข่งกับเวลา แข่งกับสภาวะอากาศที่ไม่แน่นอน และ ด้วยภารกิจ การเป็น หนึ่งในนักรีวิวกิตติมศักดิ์ในโครงการประกวดสุดยอดโรงแรมบูทีคของไทย ในชื่อ “Thailand Boutique Awards Season 3 (2014-2015)” หรือเรียกย่อๆว่า TBA ครั้งนี้ ช่างตื่นเต้นมากว่าจะสามารถเก็บภาพอะไรมาฝาก ผู้ชมกันได้บ้าง ก่อนจะพาไปลึกสุดติ่ง กับหนึ่งในรีสอร์ท ที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งบนเกาะเสม็ด ผมขอพาคุณๆย้อนกลับไปถึงช่วงสายๆในเช้าวันเดียวกันก่อน ขอพาไปจุดเริ่มต้นที่มาในทริปนี้กันครับ ไปๆครับไปกันเลย
เช้าวันหนึ่งในฤดูฝนทีผ่านมา จำได้ว่าก่อนเดินทางภาวนาให้อากาศไม่แย่จนเกินไปนัก เพราะการเดินทางไปทะเลในหน้าฝนอย่างที่เรารู้ๆกันมันไม่เป็นดังใจหมายได้ทุกครั้ง ยิ่งครั้งนี้จะไปทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ กับการไปพิสูจน์ 1ใน รีสอร์ทที่อยู่ในโครงการครั้งนี้ และมีบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นแม่งาน ทำให้เรามุ่งมั่นจะไปให้ถึงให้ได้
ทริปพาลูกเที่ยวรอบนี้ เราออกจากบ้านกันตอนสายๆ ผมใช้ทางหลวงหมายเลข 34 วิ่งบนมอเตอร์เวย์ไปจนสุดทางเจอป้ายเข้าระยอง ถึงระยองเลี้ยวซ้ายวิ่งไปบ้านเพอีกประมาณ 20 นาที. ก็จะถึงท่าเรือบ้านเพ
มองหาท่าเรือเสรี (บ้านเพ) ไว้นะครับ ที่นี่จะเป็นจุดขึ้นเรือเฉพาะของรีสอร์ทในเครือ เสม็ดรีสอร์ททั้งหมด
ดูหนูน้อยและแม่จ๋า จะลั้นลากันสุดๆเลย ไม่หวั่นแม้วันฝนพร่ำจริงๆ
นั่งรอจนได้เวลาขึ้นเกาะกันแล้ว นั่งเรือ Speedboat ประมาณ 30 นาทีก็ถึงท่าเรือ และจริงๆแล้ว ตัว Levimarn Samed เองอยู่ที่หาดพร้าว และมีเรือของตัวเองที่สามารถไปขึ้นที่หาดได้เลย แต่ติดที่วันนี้คลื่นลมแรง เลยต้องลงที่หาดที่ปลอดภัยซึ่งก็เป็นของรีสอร์ทอีกแห่งในเครือเดียวกัน และต่อรถไปอ่าวพร้าวอีกที
มาถึงนั่งรถมาขอดื่มอะไรชื่นใจหน่อย สอบถามไปมาจนได้แก้วนี้อร่อยและชื่นใจมากก
เสริฟต่อด้วยพิซซ่าแป้บางมากๆ สั่งไวน์แดงมาเลยจัดพร็อพสักนิด เข้ากันดีเนอะ 55 แต่ยอมรับว่าตัวพิซซ่าอร่อยมากๆทั้งชีสที่ใส่ ทั้งแป้งพร้อมเครื่องเต็มหน้าอร่อยมากๆ
และยังมีเสต๊กหมูน่ากินจานนี้ อร่อยมากๆ โดยเฉพาะซอสที่ราดมาด้วยเข้มข้มอร่อยมาก
ตบท้ายด้วยพาสต้า อิ่มและอร่อยสุดๆครับ
ไหนๆก็ตัวเราก็มาพร้อมลมฝนแล้ว ผมขอหยิบบรรยากาศที่ แม้แต่ลมฟ้าลมฝนก็ไม่อาจจะทำให้รีสอร์ทที่สวยอยู่แล้ว ลดทอนลงได้ ภาพทั้งเซ็ทรอบนี้จึงมีความโรแมนติก ผสมสายลมโยกต้นไม้ไหว ในบรรยากาศท่ามกลางพายุ ทำให้ได้ภาพที่แตกต่างจากทุกที มาลองชมไปด้วยกันครับ
ผมใช้เวลาอยู่ที่โซนห้องอาหาร “0” Restaurant เป็นที่แรก ที่นี่เค้าจะเน้นอาหารยุโรบและอิตาลีเป็นพิเศษ บรรยากาศช่วงเย็นๆ อากาศดี ลมช่วงฝนใกล้ๆตกมันก็ชื่นใจดีครับ ตัวรีสอร์ทอยู่ชิดติดเชิงเขา จึงได้ทั้งบรรยากาศบนภูเขาไปพร้อมๆกับบรรยากาศริมทะเล
ห้องอาหารจัดวางอยู่ติดทางเดินลงทะเล บรรยากาศช่วงเย็นๆ จึงได้เห็นและสัมผัสทะเลแบบใกล้ชิดดีทีเดียว
บรรยากาศก็สบายๆ น่านั่งดีครับ
นั่งแล้วก็ต้องสั่งอาหารมาหม่ำกันด้วย จังหวะเพลินๆ เด็กน้อยก็สนุกสนาน เปรมปรีดี
สนุกกันทั้งแม่ลูก
ผมลองเดินสำรวจรอบๆดูก็ ที่นี่ตกแต่งสไตล์บาหลี ผสมกับไทยประยุกต์ผสมกลมกลืนกัน สวยงามดีครับ ในภาพคือสปา
มองย้อนกลับไปเป็นพื้นที่รอบๆ ข้อดีของที่นี่คือตัวรีสอร์ทหลังติดเขาทำให้มีพื้นที่บางส่วนสามารถชมวิวในมุมกว้างๆได้
แถมบรรยากาศเมื่อรีสอร์ทเปิดไฟไปทั่วจนสว่างไสว ก็สวยงามมาก
มาดูสระว่ายน้ำกันต่อครับ เป็ฯส่วนที่ผมว่ามีเสน่ห์ มากที่สุดที่นึงของรีสอร์ท
สระกว้างว่ายน้ำสนุก
และที่สำคัญโณแมนติกมากๆในเวลาประมาณนี้เลย
มาดูห้องพักกันบ้างเนื่องจากห้องทุกๆแบบของ Le Vimarn Cottage and Spa เป็น Villa ทั้งหมด TYPE ที่เราเข้าพักคือ Deluxe Cottage Hillside อยู่ใกล้ๆเชิงเขานิดนึง มีอยู่ทั้งหมด 21 หลัง ขนาดห้องพัก 45 ตร.ม. ขนาดส่วนตัวผมว่ากำลังดี ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป
วิวจากในห้องออกไป
ห้อง
ภายในก็มีกลิ่นอายความเป็นบาหลีผสมกับของตกแต่งแบบไทยๆ เข้าไป ดูแล้วมีเสน่ห์ครับ ทีสำคัญหมอนครับ ต้องเยอะแบบนี้ละใช่เลย
ห้องน้ำก็กว้างขวางดีทีเดียวนะ มีทุกอย่างครบถ้วน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังคืนแรกฝ่านพายุฝนที่ซัดเข้าเกาะมาตลอดทั้งคืน เช้าๆอากาศจึงชุ่มช่ำมาก
เอาล่ะลงจากห้องไปชมส่วนๆอื่นๆกันต่อครับ
วันถัดมาเราก็ได้มีโอกาสลองสปาของที่นี่ วิธีการใช้สปา เริ่มต้นจะมีเจ้าหน้าที่ประจำสปาของรีสอร์ท แนะนำคอร์สต่างๆให้เราฟัง
จากนั้นก็เลือกได้ว่าต้องการแบบไหนบ้าง
ถึงตรงนี้ปันดูจะอยากมีส่วนร่วมกับแม่เค้ามากก
และเมือถึงเวลาจริงๆ ก็มีส่วนร่วมจริงๆด้วย แม่ไปไหนปันไปด้วยนอนเฝ้าข้างๆกันเลย ^_^
ตัวสปาภายในให้ความเป็นส่วนตัวกับแขกทุกคนสูง เพื่อความผ่อนคลายและสบายในการใช้บริการ ห้องก็สวยงามครับ
ถึงเวลามาดูอาหารกันอย่างจริงจังแล้ว เริ่มกันที่มื้อเช้าเลย รีสอร์ทจัดเป็นบุฟเฟ่ห์แบบเดียวกันโรงแรมรีสอร์ท ทั้งหลาย
ต้องดูกันที่ Lineอาหารเป็นหลัก อาหารรสชาติดีนะครับ ผมโชคดีมากที่เข้าพักโรงแรมรีสอร์ทหลังๆมานี่ ทำอาหารถูกปากและได้รสชาติแบบไทยๆ
แต่ที่ผมยกให้ว่าเด็ดจริง และไม่น่าเชื่อว่าจะมาเจออาหารรสชาติแบบนี้ที่ทะเลได้เลย นั้นคือ อาหารกลางวันที่ ร้าน “The Buzz” ห้องอาหารริมอ่าวพร้าว ที่อยู่ติดกันกับตัวรีสอร์ท
และอาหารที่ผมบอกไว้นั้นคือ อาหารอีสาน ใช่เลย อาหารอีสานริมทะเล และที่มันไม่ธรรมดาเลยคือ รสชาติจัดจ้าน ถึงใจมาก
ร้าน “The Buzz” เป็นร้านอาหารไทยแท้ ที่ให้รสชาติแบบไทยจริงๆ แต่หากแขกเป็นต่างชาติก็สามารถแจ้งได้ในกรณีทานเผ็ดไม่ได้
ตบท้ายด้วยของหวานเป็นเมนูกล้วยนะครับ ขออภัยจำชื่อแม่นๆไม่ได้แล้วรู้แต่ไม่หวานมาก และอร่อยสุดๆครับ
และที่สุดยอดที่สุดในทริปนี้ ก็คงยกให้ร้านอาหาร “The Buzz ” ในบรรยากาศยามค่ำเลยครับ
การตกแต่งอาหารสวยงาม และอาหารรสชาติดีมากครับ ผมชอบมาก ทานอาหารอีสานมาก็เยอะ แต่อาหารอีสานรสชาติถึงใจ ริมทะเลไม่เคยถูกใจเท่าที่นี่เลย
ใครมาพักที่อ่าวพร้าวขอให้มาลองกันซักครั้งอย่าพึ่งเชื่อผมนะจนกว่าได้ลองด้วยตัวเองครับ
ร้านอยู่เกือบปลายสุดของหาด เวลาประมาณนี้ทำให้ร้านสวยและน่านั่งมาก
ภายในตกแต่งสไตล์โมเดิรน์ ซึ่งแตกต่างจากตัว Resort สักหน่อย
มาดูอาหารค่ำวันนี้กันก่อนจะไปชมบรรยากาศคืนโณแมนติกนี้ เริ่มกันที่ ออเดริฟ อร่อยๆอย่างหมูสะเต๊ะ
หลักๆเน้นอาหารไทย อาหารทั้งหมดถึงรสชาติแบบต้องขอชมแม่ครัวมากๆ อร่อยจริงๆ
และที่พิเศษจริงๆคือ ริมชายหาด จะตั้งโต๊ะจัดให้ Romantic Dining เป็นพิเศษหากมีคู่รัก หรือ แขกต้องการเวลาพิเศษๆ ส่วนตัว ร้านก็สามารถจัดให้ได้
แต่เพราะพายุเข้าการตั้งโต๊ะริมหาดจึงต้องปรับเปลี่ยนมาเป็นตั้งโต๊ะที่ชั้นสอง ของร้านแทน และจัดได้บรรยากาศโรแมนติกมาก
สามารถจัดไวน์เป็นพิเศษหากแขกต้องการ บรรยากาศโรแมนติกมาก และไม่ธรรมดาเลยครับ
คืนนั้นเราจึงได้กลับไปเหมือนฮันนีมูนเล็กๆของเราโดยมีปันเป็นพยานให้ ในบรรยากาศที่สวยงามมาก
โรแมนติกแม้วันที่ไม่เป็นใจนักแต่ก็ยังทำได้น่าประทับใจมากครับ สำหรับการจัดการทั้งหมดนี้โดยร้านและรีสอร์ท
ทั้งหมดนี้ผมสอบถามกับทางรีสอร์ทว่าสามารถจัดให้แขกทั่วไปได้หรือไม่ ก็สามารถทำให้ได้นะครับแต่ต้องแจ้งกันล่วงหน้านะครับ
และทำให้ทริปนี้สมบูรณ์กับเราทั้งสองคนมาก ต้องขอบคุณรีสอร์ทที่ใส่ใจและดูแลพวกเราดีมาก
สรุปกันหน่อย
หลังใช้เวลาตลอด 3 วัน ผมพบว่า Le Vimarn Cottage&Spa เป็นอีกบูทีครีสอร์ท ที่ออกแบบตกแต่งสวยงามที่สุดแห่งนึงบนเกาะ แม้จะเปิดมาพักใหญ่แล้วก็ตาม ยังคงให้ความรู้สึกรีสอร์ทริมทะเลที่สวยงาม
ผสมผสานความเป็นบาหลีสไตล์เข้ากับไทยประยุกต์ได้ลงตัวมาก
อาหารการกินจัดเต็มและรสชาติดีมาก มีความหลากหลายของเมนูทั้ง ไทย จีน ฝรั่ง และที่ทำให้ไม่ลืมเลยคือ อาหารอีสานจากร้าน The Buzz ขอชมแม่ครัวจริงๆที่ทำให้ประทับใจมากๆ อร่อยทุกอย่าง ถีงอีสานบ้านเฮาแบบเราๆกันกลางเกาะเลย
การเดินทางไปรีสอร์ทก็สะดวกและง่ายหากมาในช่วงเวลาปรกติที่พายุไม่เข้านะครับ เพราะมีท่าเรือเป็นของตัวเอง สามารถนั่งเรือจากฝั่งมาถึงหาด อ่าวพร้าวได้ง่ายๆเลย
ห้องพักขนาดกำลังดีเป็น Villa ทั้งหมด แม้แต่Type ที่เราเข้าพักเป็น Type เริ่มต้นของรีสอร์ทก็ยังถือว่าทุกๆอย่างในห้องพักจัดเตรียมไว้ดี
สุดท้ายเลยขอขอบคุณ KTC และ Thailand Boutique Awards 2014-2015 ที่ให้เกียรติ์ครอบครัวเราได้มา Visit ที่เกาะเสม็ดและเข้าพักที่สวยๆสุดโรแมนติกแบบนี้
รีวิวหน้าจะพาไปยังรีสอร์ทสุดท้ายของผมแล้วที่รับผิดชอบ ไม่นาน(กว่านี้) แน่นอน
แล้วพบกันนะครับ
*ใครต้องการติดต่อกับโรงแรม เบอร์ติดต่อนะครับ Tel : Koh Samet : +66 (0)38 644 105-7 , Mobile : +66 090 197 9697, +66 090 197 9701
และหากอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรมเพิ่มเติมเข้าไปชมกันได้ทีนี่เลยนะครับ http://www.samedresorts.com/levimarn/index.html#!/page_info
l