มาถึงโรงแรมสุดท้ายในโครงการ Thailand Boutique Awards 2014-2015 ไปมาแล้วทั้ง เหนือ และทะเลตะวันออก วันนี้ขอมาปิดท้ายกันที่ โรงแรม เอ…หรือจะเรียกว่าบ้านก็ได้นะครับ เพราะที่นี่สร้างขึ้นมาด้วยใจรักที่อยากจะอนุรักษ์บ้านของคุณปู่เอาไว้ ทำให้เรายังได้เห็นบ้านอายุมากกว่า 100 ขวบปี อย่าง “บ้านนพวงศ์” เป็นแบบที่เห็นในวันนี้ ถือเป็นที่พักอีกที่ๆเซอร์ไพรส์ผมสุดแล้วในบรรดาทุกที่ๆไปมา เพราะเป็นโรงแรมที่อยู่ในย่านกรุงเก่า แถมอยู่ในใจกลางเมืองระดับผ่านร้อนผ่านหนาวเหตุการณ์สำคัญๆของบ้านเรามาตลอด จะเป็นที่ไหนยังไงหลังบรรทัดนี้เรามาย้อนวันเวลากลับไปพร้อมๆกันดีกว่านะครับ ตามผมมาเลย
ตำแหน่งของบ้าน และจุดน่าสนใจรอบๆครับ ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ บ้านนพวงศ์นะครับ
บ้านนพวงศ์ ตั้งอยู่ในเส้นถนน ราชดำเนิน อยู่ในซอยราชดำเนินกลางใต้ ไม่ใกล้ไม่ไกลจาก อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย บ้านหลังนี้ผ่านประวัติศาสตร์ อันยาวนานควบคู่ กับประเทศไทยมาตลอด นับมาตั้งแต่ที่เริ่มสร้างขึ้นตั้งสมัยรัชกาลที่ 7 ต่อมาจนถึงรุ่นหลานจึงได้ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ให้กลายเป็นโรงแรมบูติกสไตล์โคโลเนียล ที่ยังคงเก็บโครงสร้างภายนอกหลักๆอันเป็นเอกลักษณ์ของบ้านเดิมในแบบไทยไว้ครับ
อย่างเช่นตัวบ้านสร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ทาสีขาว และพยายามรักษาชิ้นส่วนต่างๆเอาไว้ให้มากที่สุด
นับเป็นโรงแรมบูติกอีกแห่งหนึ่งที่มีเอกลักษณ์แบบไทยๆผสมกลิ่นอายอดีตในยุคโคโรเนียลรุ่งเรือง ถือเป็นบ้านที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานทีเดียวครับ
มาค่อยๆเริ่มกันตั้งแต่ Concept ของบ้านและห้องพักกันเลย ทุกๆห้องจากทั้งหมด 7 ห้องพัก ถือเป็นบูทีคโฮเท็ลที่เล็กแต่น่าสนใจมาก เพราะทุกๆห้องตั้งชื่อตามอัญมณีที่มีค่าของไทย ทั้งหลายเช่น มรกต นิณ โกเมศ มณี บุศราคัม ฯ โดยเฉพาะห้องมณี อันเป็นห้องที่เราเข้าพักวันนี้ ถือเป็นห้องที่พิเศษสุดด้วยการมี Jacuzzi ในห้องด้วย เป็นไงไปดูกันเลยครับ
เข้ามาถึงก็ได้รับการต้อนรับด้วยน้ำส้มคั้นสดๆ ชื่นใจดี
มาถึงก็ลงทะเบียนกันก่อนนะครับ
เข้ามาความรู้สึกแรกทำให้ผมนึกถึงบ้านคุณตาคุณยายในสมัยเด็กๆ บ้านไม้สักทั้งหลัง พื้นขัดมันเงางาม บ้านไทยแท้ๆเลย
ตกแต่งแบบผสมผสาน ข้าวของที่ตกแต่งแบบโบราณผสมข้าวของเครื่องใช้ แนว retro เข้าไปทำให้ดู สวยและหวานมาก
โซนต้อนรับทั้งหมด โปร่งและโล่งสะอาดสะอ้านดีครับ
เดินทะลุออกไปยังโซนที่พัก จะเจอกับแนวต้นไม้สีเขียวๆชวนให้สดชื่นและเข้ากันดีทีเดียว
เดินเข้าไปชมห้องมณีกันครับ ห้องนี้ถือเป็นห้องเดียวที่ตกแต่งผสมผสานแนวคิดและความสะดวกสบายแบบใหม่ใส่เข้าไปด้วย
การมี Jacuzzi ขนาดย่อมๆไว้ในห้องพักให้แขกได้นั่งๆนอนๆแช่น้ำสบายใจในนี้ได้ เก๋มาก
ห้องกว้างกำลังดี จัดวางเตียงขนาด KING Size ไว้ชิดด้านใน
แสงยามบ่ายส่องเข้ามาชวนให้ห้องดูอบอุ่นมากขึ้น
อุปกรณ์เครื่องใช้ ในห้องผสมกันทั้งใหม่ที่จัดหามาให้เข้า Concept ของบ้านเช่นสวิทช์เปิดปิดไฟ2 อันนี้เป็นของใหม่และเก่านำมาใช้ด้วยกันนะครับ
และบางอย่างก็อนุรักษ์เอาไว้ให้ยังหวลรำลึกความงามในอดีตเอาไว้
ตกแต่งด้วย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกรุ่นใหม่อย่าง TV LCD ติดผนัง แต่ก็แปลกที่ยังดูเข้ากันดีกับเครื่องเสียงในสมัยเกือบ 70 ปีก่อนได้อย่างน่าเเปลก
ห้องน้ำสีสวย ตกแต่งสไตล์ดิบๆ ผสมผสานกันเท่มาก
เดินไปชมอีกสักห้องครับ ไปชั้นสองกันดีกว่า
ขึ้นมาเจอ แชนเดอเลียร์ โคมไฟระย้าที่สวยงามมาก
ชั้นบนจะแยกออกมาเป็น อีก 2 ห้อง ห้องที่เรามาดูกันเป็นห้อง เบอร์ 4 ห้องมรกต
ห้องนี้เป็นห้องอยู่ใน Type Deluxe Double Bed room เป็นแบบ เตียง King Size เช่นเดียวกันกับห้องมณี
ภายในสวยงามไม่แตกต่างกัน ของตกแต่งน้อยกว่าแบบมณี แต่ก็ได้ความเป็นไทยๆแบบเดียวกันทุกอย่าง
ห้องพักมีหน้าต่างมองออกไปด้านหน้าบ้านได้
ห้องน้ำเป็นส่วนที่สวยงามแตกต่างจากห้องพอสมควรเป็นการผสมการออกแบบแนว modern ใหม่ๆใส่เข้าไปให้ดูสวยงามสีแดงช่วยขับและเน้นให้ห้องน้ำมีเสน่ห์ชวนมองมากขึ้น
มาดูบรรยากาศรอบๆบ้าง ด้านหลังตกแต่งเป็นสวน และโซนห้องอาหาร เป็นห้องอาหารในบรรยากาศสีเขียวๆของต้นไม้รอบๆ
จนเย็นย่ำผมก็พบว่า บ้านนพวงศ์ โรแมนติกกว่าที่คิดครับ
บรรยากาศยามใกล้ๆค่ำในเวลาที่บ้านนพวงศ์เปิดไฟสว่างทั่วบ้านสวยงามมาก
เช้าวันรุ่ง
ผมตื่นเช้าๆเพราะอยากลองออกมาเดินถนนย่านกรุงเก่าตอนเช้าดูบ้าง โอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆนักนะครับ วงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยยามเช้าๆ
เดินต่อมาทางแถวๆศาลาว่าการกรุงเทพฯ บ้าง
บรรยกาศเช้าๆดูสงบมากครับ
ถัดมาจนถึงเสาชิงช้า บรรยากาศยามเช้า อาจจะเจอทั้งผู้คนที่อาศัยเป็นที่หลับนอน และบางคนก็พึ่งตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตรับวันใหม่กัน
ผมเดินกลับมาถึงบ้าน เพื่อให้ทันกิจกรรมที่แนะนำเมื่อมาพักที่นี่ก็คือการออกไปตักบาตรยามเช้าที่บริเวณแถววงเวียนบางลำพู ที่วัดบวรนิเวศ ควรตื่นเช้าๆกันครับ
ผ่านถนนข้าวสารตอนเช้าๆเงียบสงบมาก
ที่นี่จะจัดเตรียมชุดใส่บาตร และมีคำอธิบายแปะไว้ข้างๆถุงใส่เพื่อให้ชาวต่างชาติได้เข้าใจควาหมายการใส่บาตรได้ หากเราต้องการให้เราสามารถแจ้งกับทางบ้านไว้ก่อนได้หากตอนเช้าต้องการใส่บาตรนะครับ
ทำบุญกันเสร็จ พวกเราก็เดินกันกลับมาหม่ำมื้อเช้าที่บ้านกันครับ ทางบ้านก็จัดเตรียมมื้อเช้าเรียบร้อยพอดี
อาหารเช้าที่นี่เป็นแบบ Aalacart นะครับมีให้เลือกระดับหนึ่งแต่ที่แน่ๆ รสชาติดีมาก จัดวางอาหารตกแต่งได้สวยงามน่าทานมาก
ABF ของที่นี่ไม่แพ้โรงแรมห้าดาวเลย แค่ไม่หลากหลายเท่านั้นครับ
ปันเองก็ชอบมากเชียวล่ะ
และเมนูที่ เซอร์ไพรส์ผมที่สุด วันแรกที่มาถึงผมได้พูดคุยกับเจ้าบ้านเราคุยกันถึงอาหารโปรดผมเพียงแค่เปรยว่า ชอบทานข้าวเหนียวทุเรียน และดูสิวันต่อมาผมพบอะไรมาเสริฟถึงที่ เลิฟสุดๆเลยครับ
รวมอาหารทั้งหมดให้ดูกันเลยดีกว่า
อิ่มกันดีก็ได้เวลากลับกันแล้วละครับ
บรรยากาศยามเช้าของ บ้านนพวงศ์ สดใสดีทีเดียววันนี้
บรรยากาศร่มรื่น ผ่อนคล้ายจนเราคิดว่ามานอนบ้านญาติมากกว่าโรงแรมจริงๆครับ
สรุปกันหน่อย
สำหรับบ้านนพวงศ์ ให้อารมณ์ความรู้สึกการมาพักผ่อนเหมือนนอนบ้านญาติ อบอุ่น เป็นมิตร ใส่ใจ น่าจะเป็นนิยามของบ้านนี้ได้ดี
การออกแบบและดีไซน์พยายามคงเอกลักษณ์บ้านอายุมากกว่าร้อยปีหลังนี้ไว้อย่างเคารพและ เติมแต่งความทันสมัยให้บ้าน สามารถยืนหยัดและคงความงดงามแบบไทยประยุกต์เอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมกันต่อไป
ห้องพักเองก็ไม่ต่างจากภายนอก มีความเอาใจใส่ในรายละเอียดการตกแต่ง ทั้งเฟอร์นิเจอร์ ทั้งการเลือกใช้วัสดุตกแต่ง น่าชื่นชมที่ผสมหลากหลายสิ่งได้ลงตัวจริงๆ โดยเฉพาะห้องมณี การเพิ่ม Jacuzzi เล็กๆเข้าไปในห้องนี้ทำให้ห้องนี้มีเสน่ห์ผสมผสานสองยุคอย่างที่เจ้าบ้านต้องการ ตาม Concept บ้านนพวงศ์ ได้อย่างดีครับ
อาหารการกินแม้ตัวบ้านจะไม่มีอาหารบริการนอกจากอาหารเช้า แต่ เนื่องจากอยู่ในย่านเมืองเก่าร้านรวงโดยรอบมีมากมายให้คุณได้เลือกทาน อย่างวันที่ผมมาถึงทางเจ้าบ้านพาผมไปทานร้าน ที่ขึ้นชื่อว่าติดหนึ่งใน 50 ร้านที่แนะนำว่าอร่อยที่สุดในประเทศ อย่าง ครัวอัปษร และอร่อยสมชื่อเสียงจริงๆแม้ต้องนั่งรอคิวนานแต่ก็ไม่ทำให้เสียดายแต่อย่างใด
ท้ายนี้ขอเอาใจช่วย โรงแรมเล็กๆอย่างบ้านนพวงศ์ ให้ได้รับรางวัลในปีแรกที่ส่งตัวเองเข้าประกวดในครั้งนี้ ประสพการณ์การเข้าพักที่นี่ทำให้ผมประทับใจมากมาย และน่าจะรวม แม่จ๋าและปันปันด้วย
หวังว่าจะมีโอกาสกลับไปเยือนบ้านน่ารักหลังนี้อีกครา แล้วพบกันครับ
*** ติดต่อบ้านนพวงศ์ ได้ที่ Tel.0-2-2241-047 และอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บของโรงแรม www.baannoppawong.com