มาถึงเดือนสุดท้ายของปี 2557 กันแล้ว ในเหมันต์ฤดูแบบนี้ ใครๆก็คงขึ้นเหนือเที่ยว ป่า เขา กันแทบทั้งนั้น และวันนี้ผมขอพาขึ้นเหนือไปเที่ยวจังหวัดน่ารักๆ ที่น่าเที่ยวมาฝากกัน อย่างจังหวัด ลำปาง ไปๆครับไปพิสูจน์กันสิ ว่าลำปางหนาวมาก จริงไหม ^_^
ทริปนี้ผมและทีมได้รับเชิญจาก Nok Air ให้ไปเที่ยว ไปชม และไปชิมด้วยกัน 2วัน 1คืน กับหนึ่งในเมืองน่ารักที่สุดเมืองนึงของภาคเหนือ อย่างลำปาง ผมจึงไม่รีรอที่ตกปากรับคำโดยไว ทำไมนะเหรอ นอกจากจะได้เที่ยว ได้บินไปกับไฟล์ทเปิดตัว กรุงเทพฯ-ลำปาง เที่ยวแรกของ Nok Air แล้ว ยังมีอีกเหตุผลนึงก็คือ หากย้อนหลังไป 5 ปีก่อน เมืองลำปางคือหนึ่งในเมืองฮันนีมูนของผมนั้นเองครับ การได้กลับไปเที่ยวเมืองน่ารักๆ ผู้คนน่ารัก แบบลำปาง เที่ยวชมเมือง ชมสถาปัตยกรรมโบราณ ที่ล้วนแต่เป็นตำนานที่คุณอาจจะยังไม่รู้
เพราะฉะนั้นหนนี้ อยากจะขอหยิบเรื่องราวที่น่าประทับใจตลอดทริปนี้ให้เห็นเป็น Hilight ที่ประทับใจและน่าเป็นประโยชน์สำหรับใครที่จะตามรอยกันได้
การเดินทาง
อย่างที่บอกไปทริปนี้เราไปเปิดทริปกับ Nok Air เที่ยวบิน กรุงเทพฯ-ลำปางใช้เครื่องบินรุ่น Q400 NextGen เครื่องบินแบบใบพัดรุ่นใหม่ล่าสุด ของ Bombardier
ไป-กลับ จากดอนเมือง-ลำปาง บิน 2 เที่ยวบิน/วัน
คือเวลา 06:05 – 07:35 / 17:30 – 19:00
และขากลับ
ลำปาง-ดอนเมืองเวลา 08:05 – 09:35 / 19:30 – 21:00
เครื่องที่พาเราเหิรฟ้าไปทริปลำปางเที่ยวนี้เป็นเครื่องใหม่หมาดๆ ที่พึ่งส่งมอบ และนำมาเปิดใช้บริการกันเลยเป็น Nok Anna (นกแอร์จะตั้งชื่อเครื่องบินของตัวเองทุกลำครับ และขึ้นต้นนำหน้าด้วยคำว่า นกทั้งหมดด้วย )ของ Bombardier รุ่น Q400 NextGen ที่บรรทุกผู้ผู้โดยสารได้ 86 คน ถือเป็นเครื่องบินแบบใบพัด รุ่นล่าสุด และจุผู้โดยสารได้มากที่สุดในโลกรุ่นนึง โดยที่มาของชื่อรุ่นตัว Q นั้น มาจากคำว่า Quiet เพราะเสียงภายในเครื่อง ที่เงียบกว่าเครื่องบินใบพัดรุ่นอื่นๆถึง 15 เดซิเบลนั้นเอง ซึ่งเราพิสูจน์แล้วว่าจริงนะครับ …
นั่งอยู่ในเครื่องถือเป็นเครื่องใบพัดที่เงียบมาก (หากเทียบกับเครื่องบินใบพัดด้วยกันนะ) แต่ก็ไม่ได้เงียบเชียบแบบ เครื่องบินเจ็ทนะครับ
ในอดีตผมเคยนั่งเครื่องบินใบพัดหลายครั้ง หนึ่งในครั้งที่จำได้คือนั่งของสายการบินลาวแอร์ไลน์ บินจากหลวงพระบางกลับมาเวียงจันทน์ เสียงจะดังกว่านี้หลายเท่ามากเวลาคุยนี้ต้องแข่งกันกับ เครื่องเลยทีเดียว
ใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมงนิดๆ น้อง Nok Anna ก็พาคณะเรามายืนยิ้มกลางแดดเปรี้ยงๆที่สนามบินลำปาง เรียบร้อย สนามบินนี้ขนาดเล็กๆเหมาะมากกับเครื่อง Q400 จะบินมาลงได้ ว่าแล้วก็ชักภาพร่วมกันสักนิด และชาวคณะก็พร้อมจะเดินทางเข้าไปยังลำปาง เมืองแห่งประวัติศาสตร์สำคัญของภาคเหนือกันทีเดียว
ที่เที่ยวอิ่มบุญ เมืองลำปาง
กองทัพเดินด้วยท้อง เพราะฉะนั้นหลังจากลงเครื่อง ทั้งคณะก็เริ่มต้นมื้อเช้ากันที่ “ร้านรสนานา” ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงมานาน ของเมืองลำปาง เปิดขายมาตั้งแต่ ปี 2531 เรียกว่าเปิดขายกันมาเกิน 20 ปีแล้วน่าจะการันตีรสชาติกันได้ อาหารถูกจัดเตรียมไว้รอชาวคณะเรียบร้อย อาหารรสชาติดี ทีเดียวละครับ
ที่นี่มีจุดเด่นคือ การจัดเมนูเป็นเซ็ท ตามจำนวนคนที่มาทานได้ เช่น 3-5 คนสำหรับอาหาร คือใน 1 เซ็ทสามารถคละเมมนูอาหารได้หลากหลาย ทางร้านมีการจัดเป็นตัวอย่างให้เราสั่งได้
และที่มีชื่อเสียงของร้านคือ กุนเชียงฮ่องกง เป็ดพะโล้ ต้มจืดเต้าหู้ ขาหมู หมูผัดพริก เมนูดูเรียบๆแต่รสชาติดีมากเลยทีเดียว ไม่เผ็ดมากกลมกล่อมดีทีเดียว และที่สำคัญ มีเสริฟ ขนมและน้ำผลไม้ที่หลากหลายมาก ผมเองสั่งมาทานเพิ่มด้วยสดชื่นดีทีเดียว
ร้านเปิดตั้งแต่ 8.00-20.00 น.ทุกวันนะครับแวะเวียนมาพิสูจน์ด้วยตัวคุณเองกันได้
อิ่มท้องกันดีก็ได้เวลาไปอิ่มบุญกันต่อแล้วละครับ จริงๆแล้วจังหวัดลำปางเอง ในอดีตคือเมืองท่าสำคัญในการค้าขาย โดยเฉพาะค้าไม้ โดยจะลำเลียงซุงลงมาทางน้ำไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าชาวจีน ชาวพม่าต่างก็ใช้เส้นทางแม่น้ำวัง จนเรียกได้ว่า เมืองลำปางคือหัวเมืองเศรษฐกิจสำคัญที่สุดเมืองนึงของภาคเหนือ และวันนี้เราจะมาพิสูจน์กัน
ยิ่งเปิดเส้นทางบินแบบนี้ก็เชื่อได้ว่าคนลำปางเองก็คงถูกใจและพร้อมรับกับนักท่องเที่ยวใหม่ๆที่จะแวะเวียนมาเที่ยวกันได้ง่ายขึ้น และที่แรกที่หากใครมาลำปางแล้วไม่มากราบนมัสการ “พระธาตุลำปางหลวง” แล้วก็น่าจะเรียกว่ายังมาไม่ถึงกันได้เลยนะครับ
วัดพระธาตุลำปางหลวง เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองลำปางมาแต่โบราณ ตามตำนานหากย้อนกลับไป มีการกล่าวไว้ว่า มีมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 20 เป็นวัดที่สร้างด้วยไม้สักที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย ตัวพระธาตุลำปางเอง เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีฉลู(ผมก็เกิดปีนี้เช่นกัน และที่เป็นเหตุบังเอิญสุดๆคือในทริปนี้ มีคนเกิดปีฉลู ไปด้วยกัน 3 คน 3 รุ่น!!! ) และเริ่มสร้างในปีฉลูและเสร็จในปีฉลู
นอกจากเรื่องสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ ทางกรมศิลป์ พยายามอนุรักษ์เอาไว้ให้เป็นแบบเดิมมากที่สุด ไม่พยายามเพิ่มเติม ตกแต่งด้วยของใหม่เข้าไป จนดูแตกต่างกันชัดเจน ผมว่าที่นี่หากใครอยากมาชมลวดลายช่างล้านนาภาคเหนือแท้ๆ ที่นี่ก็คือคำตอบครับ
ภายในวัดพระธาตุฯ มีสถาปัตยกรรมที่งดงามอยู่หลายจุด ที่ควรมากราบนมัสการ และมีวิหารสำคัญ 3 แห่งคือวิหารหลวง วิหารพระพุทธ และวิหารน้ำแต้ม ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นวิหารที่สร้างมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 21 ซึ่งถือว่าเก่าแก่ที่สุดของล้านนา
ตัววิหารหลวงหรือ อีกชื่อเรียกกันคือ มณฑบพระเจ้าล้านทอง ภายในมีซุ้มปราสาททองเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าล้านทอง ด้านหลังเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าทันใจ บนแผงไม้คอสองมีภาพจิตรกรรมเก่าแก่งดงามเรื่องทศชาติและพรหมจักร
ตัวพระธาตุเองภายในบรรจุพระเกศา และพระอัฐิธาตุจากพระนลาฎข้างขวา พระศอด้านหน้าและด้านหลัง
ยอดฉัตรทำด้วยทองคำ มีลายสลักดุนเป็นลวดลายประจำยามแบบต่าง ๆ อันเป็นแบบที่นิยมสร้างกันในพระธาตุทางภาคเหนือ เราจะพบเจอได้ที่พระธาตุหริภุญไชย และพระบรมธาตุจอมทอง เช่นกัน
และสิ่งที่ถือเป็น Unseen Thailand ที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงคือ เงาพระธาตุกลับหัว ในซุ้มพระบาท ในประวัติกล่าวไว้ว่า สร้างครอบพระพุทธบาทไว้ ฐานก่อขึ้นเป็นชั้นคล้ายฐานเจดีย์ สร้างเมื่อ พ.ศ. 1992 ภายในมองเห็นแสงหักเห ปรากฏเป็นเงาพระธาตุและพระวิหารในด้านมุมกลับ แต่มีข้อห้ามไม่ให้ผู้หญิงขึ้นและเข้าไปในโบสถ์
ภายในทางวัดได้นำตัวจอภาพฉายสไลด์ มาตั้งไว้ด้านใน เพื่อให้เงาที่ตกทอดดูชัดขึ้น ซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อน ครั้งนี้ครั้งแรกก็สุดแสนใจแปลกใจที่ มันก็ชัดจริงๆแม้จะไม่คมชัดเหมือนภาพถ่ายเวลา focus ก็ตามแต่นี้ก็ Amazing มากๆแล้วละครับ
และก่อนจะออกไปในฐานะคนปีฉลูเลยต้องเวียนเทียนกันเพื่อเป็นสิริมงคลกัน สักนิด ข้อดีมากๆคือทางวัดปูเสื่อไว้ให้เดินง่ายแม้ในวัดร้อนๆแดดอย่างวันที่เราไปเช่นกัน
อ่อ อีกนิดหากมีโอกาสเดินเวียนเทียนให้ลองสังเกตุรอยกระสุนที่รั้วทองเหลืองรอบองค์พระธาตุจะมีรูกระสุนปืนที่หนานทิพย์ช้างยิงท้าวมหายศ จนตอนหลังเกิดเป็นสงคราม และได้รวมไพล่พลต่อสู้เพื่อขับไล่กองทัพพม่า จนสังหารท้าวมหายศได้สำคัญ ต่อมาหนานทิพย์ช้างได้สถาปนาเป็นเจ้าเมืองลำปาง นามว่า ‘พญาสุวฤษไชยสงคราม’ และท่านยังเป็นต้นตระกูล ณ ลำปาง, ณ ลำพูน, ณ เชียงใหม่ ที่เราคงเคยผ่านตากันมาบ้างแล้วนั้นเอง
ทริปนี้เน้นไหว้พระทำบุญ เพราะฉะนั้นจะมีวัดวาอาราม ที่เด่นๆหยิบมาเล่าให้ฟังกัน อย่างวัดต่อมาเป็น “วัดไหล่หินหลวง” หรือ วัดเสลารัตนปัพพตาราม
เป็นอีกวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองลำปาง มีพระวิหารเก่าแก่ฝีมือสล่า ศิลปะแบบล้านนาไทย ประดับลวดลายงดงามทั้งหลัง โดยเฉพาะส่วนหน้าบัน และซุ้มประตูที่มีการก่ออิฐถือปูนประดับรูปปั้นสัตว์ศิลปะล้านนาแท้
จุดเด่นที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวรู้จักที่นี่อย่างแพร่หลายคือ วัดนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำ ภาพยนต์พระนางสุริโยทัย ด้วย ทำให้ทางวัดจึงต้องนำ ภาพจากตอนที่มาถ่ายทำเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน
ภายในวัดเองก็สวยงามนะครับ ร่มรื่นเป็นธรรมชาติมาก
ยังไม่ทันไร แป๊บๆก็เที่ยงแล้วและพวกเราก็มายังร้านขึ้นชื่อในด้าน ขนมจีน ร้านนี้เป็นที่นิยมของคนลำปาง และนักท่องเที่ยวที่ใครมาเมืองนี้ยังไงก็ต้องลองแวะเข้าไปสักครั้ง ที่ “ร้านครัวมุกดา”
สมกับที่ขนมจีนร้านนี้ขึ้นชื่อ ทานร้านจึงเสริฟน้ำยาแบบต่างออกมาให้เราได้ลิ้มชิมรสกัน
ส่วนตัวผมเป็นคนทานขนมจีนไม่เก่งนัก แต่มื้อนี้เรียกว่ายอมยกหัวแม่โป้งให้สองข้างกันเลย
อร่อยเลิศมาก น้ำยาอร่อยหมด และยังมีไก่ทอดรสดีเสริฟมาพร้อมๆกันด้วย
อิ่นกันดีก็ได้เวลาไปต่อกันแล้ว
วัดที่สามที่ควรไปกราบนมัสการและเยี่ยมชมคือ “วัดศรีชุม” วัดที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นวัดที่ได้รับอิทธิพลจากพม่าที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยแล้ว
ประวัติที่ค้นมาๆได้คือ เป็นวัดพม่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุด สร้างในปี พ.ศ. 2433 โดยคหบดีพม่า ซึ่งติดตามชาวอังกฤษเข้ามาทำงานป่าไม้ในประเทศไทย เมื่อตนเองมีฐานะดีขึ้นจึงต้องการทำบุญโดยสร้างวัดศรีชุมขึ้นในตำบลสวนดอก ซึ่งจริงๆแล้วเป็นการบูรณะวัดที่มีอยู่เดิม เพราะเดิมนั้นวัดศรีชุมก็เคยเป็นวัดมาก่อน แต่เป็นวัดเล็กๆมีเพียงศาลา บ่อน้ำ และต้นโพธิ์เท่านั้น ต่อมาในปี 2435 คหบดีชาวพม่าจึงได้ทูลขออนุญาตเจ้านครลำปางแล้วสร้างวัดศรีชุมนั้นขึ้น โดยตั้งชื่อเป็นภาษาพม่าว่า หญ่องไวง์จอง
วัดศรีชุม เป็นวัดพม่าที่มีความสมบูรณ์และงดงามที่สุดในบรรดาวัดศิลปะพม่าทั้ง 31 วัดทั่วประเทศไทย กล่าวคือมีทั้งพระวิหาร พระอุโบสถ พระธาตุเจดีย์ กุฏิและซุ้มประตูเป็นแบบอย่าพม่าทั้งสิ้น
ช่วงที่ไปแสงช่วงบ่ายคล้อยแล้วทำให้เราเก็บแสงสวยๆได้
สังเกตุดูตรง หน้าบันเป็นลายดอกไม้ประดับกระจกสี ตัววิหารมีมุขบันไดทั้งสองด้าน มีการแกะสลักลวดลายลงรักปิดทองตัววิหาร เมื่อ ปี พ.ศ. 2535 ศิลปะดั้งเดิมถูกเพลิงไหม้จนเกือบหมด แม้จะมีการซ่อมแซมแล้ว ปัจจุบันเราก็ยังคงสังเกตุเห็นร่องรอย การถูกเผาไหม้อยู่บ้าง และก็มีการทำใหม่ขึ้นและพยายามรักษารูปแบบดั้งเดิมไว้มากที่สุด
วัดถัดมาเป็นวัด “วัดปงสนุก” วัดขนาดย่อมๆ แต่มีประวัติน่าสนใจไม่แพ้วัดอื่น เพราะเป็นวัดแห่งเดียวของไทยเราที่ได้รับรางวัล “Award of Merit” จาก UNESCO ในปี 2008 และเคยเป็นที่ประดิษฐาน เสาหลักเมืองเสาแรกก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ก่อนจะย้ายไปประดิษฐานที่ ณ.ที่ตั้งศาลาว่าการ (หลังเก่า) ในปัจจุบันนี้ ภายในวัด ตอนนี้มีการสร้างองค์จำลองไว้ให้นักท่องเที่ยว ได้รู้ว่าเคยมีมาก่อน
มีการสันนิษฐานว่าตัววัดมีการสร้างขึ้นในสมัยที่เจ้าอนันตยศ ราชบุตรของพระนางจามเทวีแห่งหริภุญไชย (ลำพูน) เสด็จมาสร้างเขลางค์นคร (ลำปาง) เมื่อ พ.ศ.1223 หรือ 1,328 ปีก่อน และในเวลาต่อๆมาก็มีการแบ่งวัดออกเป็น วัดปงสนุกเหนือ วัดปงสนุกใต้ จนกระทั้งมีการบูรณะครั้งใหญ่ในปี 2429
สถาปัตยกรรมที่สำคัญในวัด คือวิหารจตุรมุข ทรงปราสาท ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูป 4 องค์ ที่หันพระพักตร์ไปทั้ง 4 ทิศ เสมือนเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าที่กำเนิดมาแล้ว 4 พระองค์ตามพุทธประวัติ
และภายในวิหารยังประดับตกแต่งด้วยพระเครื่องดินเผา 1,080 องค์ ที่ประดับอยู่ภายในโดยรอบวิหาร จนได้ชื่อว่าเป็นวิหารพันองค์ นั้นเองครับ
และตัววิหารนี่เองละครับ ที่ทำให้ได้รับรางวัล เป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวของประเทศ ตัวอาคารแสดงถึงการรวบรวมทั้งงานด้านจิตรกรรม สถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างไทย จีน พม่า ผสมผสานเข้าไว้ด้วยกันอย่างสวยงาม ที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลังสวยงามมากครับ
ที่นี่ผมยกให้ในด้านความประทับใจส่วนตัว เพราะตัววัดมีความสวยงาม การตกแต่งก็ดี การขึ้นปูนปั้นที่ตรงบันได ทำให้วัดดูมีเสน่ห์ แก่การเก็บภาพมากยิ่งขึ้นไปอีก
วิหารด้านบนเองยังเป็นที่ประดิษฐานองค์ พระนอนองค์ใหญ่อีกด้วย
หลังจากชมวัดมาทั้งวัน ได้เวลาชมเมืองกันบ้างแล้ว และชาวคณะก็ได้รับการต้อนรับขับสู้ จากพาหนะที่มีชื่อเสียงที่สุดอย่างรถม้าเมืองลำปาง
เรียกว่าเอ่ยถึงเมืองนี้ไม่พูดถึงรถม้า ถึงเป็นของคู่บ้านคู่เมืองลำปาง อีกอย่างทีเดียว
เสียงฝีเท้าม้าที่ดังกุบกันชวนให้ผมนึกถึงหนังคาวบอยขึ้นมาเลย แต่เราไม่ต้องไปไกลขนาดนั้นก็สามารถมีประสบการ์ณ เดียวกันนี้ได้
ขบวนรถม้าพาชาวคณะมาปิดท้ายทริปอิ่มบุญวันแรกกันที่ “วัดประตูป่อง” ถึงแม้จะเป็นวัดไม่ใหญ่โตเหมือนวัดอื่นๆแต่ก็มีชื่อเสียงไม่แพ้กันโดยเฉพาะศิลปะแบบล้านนาผสมศิลปะลวดลายแบบจีน เป็นฝีมือช่างชาวล้านนาแท้ทั้งหมด ล้วนๆ จุดเด่นคือตรง ประตูเมืองโบราณ ที่เจาะเป็นรู ในภาษาเหนือ จึงเรียกว่า “ป่อง” จึงเป็นที่มาของชื่อวัดนั้นเองในยุคสมัยอยุธยา ที่นี่ก็เป็นปราการต่อสู้ทัพพม่าครั้งสำคัญเมื่อพ.ศ. 2330 อีกด้วย
พาชมวัดกันจุใจตั้งแต่วันแรก แล้ววันนี้เรามาปิดท้าย ทานมื้อค่ำกันที่แม้จะไม่ใช่วัดวาอารามแต่ก็มีประวัติความเป็นมา สำคัญไม่แพ้กัน ที่นี่คือ “บ้านเสานัก”
บ้านทรงไทยแบบล้านนา ที่ยืนหยัดอยู่คู่เมืองลำปางมามากกว่า 3 ชั่วอายุคน เกิน 100กว่าปี ชื่อ เสานัก แปลว่า ที่ๆมีเสาจำนวนมาก เพราะที่นี่มีเสาไม้สักมากถึง 116 ต้น ตามประวัติสร้างขึ้นประมาณปี พ.ศ. 2438 โดยหม่องจันโอง ชาวพม่า และตกทอดมายังลูกหลานหลายรุ่น ปัจจุบัน ที่นี่ถือเป็นที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองสำคัญ เมืองผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองมาเยือน
ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมเป็นพิพิธภัณฑ์และ เป็นที่จัดเลี้ยงมงคลสมรส ให้กับบุคคลสำคัญของชาวลำปาง
เปิด ทุกวันตั้งแต่ เวลา 10.00-17.00 น.
ตัวบ้านได้จัดเก็บข้าวของเครื่องใช้แบบโบราณมากมาย ทั้งจานชาม ข้าวของเครื่องใช้ในอดีตเก็บไว้ให้คนรุ่นหลังอย่างพวกเราได้ชมกัน
และวันนี้ลานหน้าบ้าน ได้เปลี่ยนเป็นลานขันโตกอาหารมื้อค่ำแบบล้านนา แท้ๆ ให้พวกเราได้อร่อยกันปิดท้าย และยังมีดนตรีวงล้านนามาบรรเลงเพลงขับกล่อมให้ชาวคณะ ได้บรรยากาศจริงๆเลยครับ
อาหารจัดใส่ขันโตก เปิดตัวอาหารจานแรกจะเป็นอะไรไปได้ถ้าไม่ใช่ ไส้อ้่ว รสชาติอร่อยไม่แพ้ร้านดังๆที่เชียงใหม่ที่นักท่องเที่ยวชอบไปซื้อเป็นของฝากกลับบ้าน
และจัดเสริฟชุดใหญ่ ด้วยแกงเหนือแท้อย่าง แกงแค แกงฮังเล น้ำพริกหนุ่มรสชาติเผ็ดดีครับ เสริฟพร้อมข้าวเหนียวร้อนๆผมชอบมาก อาหารทุกอย่างสมกับที่จัดมาปิดท้ายทริปวันแรกนี้จริงๆ
คืนแรกของเราก็มาจบที่โรงแรมบูติกเก๋ๆตั้งอยู่กลางเมือง อย่าง B2 Lampang เป็นโรงแรมแบบ Budget Hotel ห้องขนาดไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ก็มีทุกอย่างให้แบบโรงแรม Budget ทั้งหลาย คืนนั้นหลับยาวถึงเช้าครับ
ที่เที่ยวชมเมือง
เช้าวันที่สองพวกเรามีนัดทานอาหารเช้ากันที่ร้านเก๋ๆ น่ารักอย่างร้าน โก๋กาแฟ ร้านกาแฟขึ้นชื่อของเมืองลำปาง
บรรยากาศยามเช้าที่สดใส แสงแดดอ่อนๆ ให้ไอที่อบอุ่น ทำให้บรรยากาศร้านที่น่านั่ง และถ้าไม่ติดว่าจะต้องไปเที่ยวกันต่อคงนั่งยาวๆได้เลย
มื้อเช้าเราเป็น ABF รสชาติดีนะครับ โดยเฉพาะเครื่องดื่มร้อนและเย็นประกอปอาหาร ได้รสชาติดีมากเลย
ที่เที่ยวเปิดทริปวันที่2 เป็นที่ๆจะทำให้เราได้รู้จักวิถีชีวิตคนลำปางได้ในเวลาไม่มากก็ต้องมาที่ กาดกองต้า ถนนเลียบริมแม่น้ำวังที่มีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัด
กาดกองต้า เป็นภาษาเหนืองล้านนา แปลว่า ตลาดถนนท่าน้ำ มีการสัณนิษฐานว่าเริ่มก่อร่างสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2420 ในอดีตมีความสำคัญมากเพราะถือ เป็นท่าเรือขนถ่ายสินค้าทางภาคเหนือ ที่ใหญ่ที่สุด เป็นแหล่งศูนย์กลางการค้าไม้ ซึ่งมีพ่อค้าหลายเชื้อชาติล้วนแต่ต้องใช้เส้นทางสยน้ำนี้เป็นที่ลำเลียงขนซุงและไม้ผ่านมาที่สายน้ำวังแห่ง ชื่อตลาดจีน มาจากพ่อค้าส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายจีน เสน่ห์กาดกองต้าถ่ายทอดผ่านทางสถาปัตยกรรมทั้งเรือนแบบไทยภาคกลาง เรือนล้านนา ,พม่า ,จีน ตั้งอยู่ผสมผสานกันจนทำให้ย่านนี้ทั้งย่านมีความน่าสนใจมาก
และที่เห็นว่าเก๋สุดๆคือ เรือนขนมปังขิงแบบฝรั่งเศส ที่ผสมกับศิลปะล้านนาเข้าด้วยกันเก๋มากครับ และหากมาวันหยุดสุดสัปดาห์ เสาร์-อาทิตย์ช่วงเย็นๆจะกลายเป็นถนนคนเดิน ที่มีชื่อเสียงดังไปไกลถึงในต่างประเทศหากใครได้มาที่นี่ห้ามพลาด
ที่สำคัญ รอยยิ้มครับ รอยยิ้มของเจ้าของถิ่นพร้อมจะต้อนรับนักท่องเที่ยวแบบเราๆเสมอเลย
การเดินชมตึกรามบ้านช่องโบราณย่านกาดกองต้าให้ความเพลิดเพลินมาก ตึกและบ้านทั้งหลายล้วนมีความเป็นมาแทบทั้งนั้น
ตัวตลาดจะเป็นถนนยาวตัดผ่านสี่แยก สามารถเดินชมกันได้ทั้งสองข้างทาง
อย่างอาคารเยียนซีไท้ลีกี ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2456 โดยนายห้างจีนชื่อ จินเหยี่ยน
เป็นอาคารพาณิชย์ 2 ชั้นสร้างด้วยปูนทั้งหลัง ตกแต่งแบบตะวันตก เต็มรูปแบบ ตัวหลังคาเป็นทรงปั้นหยา
บนหน้าจั่วประดับปูนบอกตัวเลข ของปีที่สร้างอาคารคือ ค.ศ. 1913 รูปหนูตามปีเกิดของเจ้าของ
และสัญลักษณ์ลูกโลกพร้อมลายใบไม้ ดอกโบตั๋น ต้นไผ่ และลวดลายรูปโบว์
แค่อาคารแรกบนถนนเส้นนี้ก็น่าสนใจแล้ว
อาคารเรือน ขนมปังขึงฝรั่งเศส อย่างอาคารหม่องโง่ยซิ่น (สร้างราวปี พ.ศ. 2451) ยกย่องว่าเป็นอาคารขนมปังขิงริมถนนที่งดงามที่สุดในประเทศไทย ทั้งยังได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี 2550 ประเภทอาคารอนุรักษ์สถาปัตยกรรมล้านนา จากกรรมาธิการล้านนา สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์
เดินถัดมากันไม่ห่างมากนักมี บ้านแม่แดง (สร้างราวปี พ.ศ. ๒๔๖๑)
ในอดีตคือร้านเกากี่ ขายสรรพสินค้าที่นับว่าทันสมัยมากในสมัยนั้น ทั้งของใช้ในประเทศจากกรุงเทพฯ และนำเข้าจากต่างประเทศ โดยมีลูกค้าร่ำรวยทุกระดับชั้น ตั้งแต่เจ้านายฝ่ายเหนือพวกฝรั่งจากบริษัททำไม้ รวมไปถึงคนมีฐานะทั่วลำปาง ปัจจุบันแม้จะดูเก่าทรุดโทรมลงแต่ก็ยังคงเห็นร่องรอยความงดงามไว้อยู่ดี
เดินถัดมาเรื่อยๆ ผมเห็นมุมสวยๆในความคลาสิกของบ้านเรือนที่นี่มากมาย
เดินกันมาจนสุดถนน เราก็ได้เจอพระเอกของที่นี่แล้วคือ สะพานรัษฎาภิเศก หรือ ที่เรียกกันจนติดปากชาวบ้านว่า สะพานขาว เป็นสะพานข้ามแม่น้ำวัง ตั้งอยู่ในเขตตำบลหัวเวียง อำเภอเมืองลำปาง
เดิมในอดีตเป็นสะพานโครงสร้างไม้ ที่ทางเจ้านรนันทไชยชวลิต เจ้าผู้ครองนครลำปาง และชาวจังหวัดลำปางได้จัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติในวาระที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 5 ในโอกาสที่พระองค์ครองราชย์ครบ 25 ปี ในปี พ.ศ. 2437
สัญลักษณ์สำคัญๆบนสะพานล้วนแต่มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ อย่างเครื่องหมายไก่ขาว ทั้งสองฝั่งหัวสะพาน คือสัญลักษณ์ประจำนครลำปาง สื่อถึงสมัยเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต
ด้านบนตรงบริเวณพวงมาลาบนยอดเสาทั้งสี่ เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิการของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ครุฑหลวงสีแดง ประดับอยู่กลางเสาด้านหน้าทุกต้น ทั้งสองฝั่งหัวสะพาน บ่งบอกถึงตราสัญลักษณ์แห่งแผ่นดินสยามสมัยรัชกาลที่ ๖
ทุกๆสัญลักษณ์ล้วนแต่มีความเป็นมาที่สำคัญกับลำปาง และสายน้ำวังที่ก็อยู่คู่เมืองมาช้านาน
ขาเดินกลับเรามาขึ้นรถกันที่วัดเกาะ วัดเก่าแก่บนถนนกาดกองต้าอีกเช่นกัน ที่ผมติดใจที่สุดของที่นี่ไม่ใช่ความคลาสิก แต่เป็นมุมเล็กๆแต่น่ารักสุดๆเลย ว่าไหมละครับ
มาถึงวัดแรกของวันนี้เป็นวัดสำคัญที่สุดอีกวัดและมีความเกี่ยวข้องกับองค์พระแก้วมรกตที่เป็นที่ศรัทธาของคนไทยทั้งประเทศอย่างพระแก้วมรกต นั้นคือ “พระธาตุวัดพระแก้วดอยเต้าสุชาวาราม”
ที่นี่เคยเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระแก้วมรกต มาก่อนที่จะถูกอัญเชิญมาที่วัดพระแก้วมรกตที่กรุงเทพฯในปัจจุบัน
ประวัติขององค์พระแก้วคือ เคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ตั้งแต่ พ.ศ. 1979 เป็นเวลานานถึง 32 ปี
ก่อนที่ได้รับการอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ เมืองเชียงใหม่ในสมัยของพระเจ้าสามฝั่งแกน
(ต่อมาพระเจ้าไชยเชษฐาเจ้าเวียงจันทน์เคยได้ครองเชียงใหม่ ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไป นำไปประดิษฐานเมืองเวียงจันทน์ ต่อเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ขณะเมื่อทรงเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพไปตีหัวเมืองลาวจนถึงเวียงจันทน์ จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตจากเวียงจันทน์มาประดิษฐานที่กรุงธนบุรี
เมื่อได้สถาปนากรุงเทพ ฯ เป็นเมืองหลวง จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จะเห็นว่าการเดินทางขององค์พระแก้วมรกต ได้ผลัดถิ่น หลายแผ่นดิน จนกลับมาอยู่ในแผ่นไทยเป็นที่เคารพกราบไหว้ศักการะบูชาของคนไทยในปัจจุบัน
ถึงเวลาไปทานข้าวกันแล้วครับ มื้อกลางวันนี้เรามาที่ ลำปางรีสอร์ท เป็นห้องอาหารประจำรีสอร์ท ที่รสชาติใช้ได้เลย
เมนูอาหารจัดเต็มอีกเช่นกัน ที่สำคัญร้อนๆแบบนี้ การนั่งหม่ำในห้องแอร์ ค่อยคลายร้อนได้บ้าง
ตัวรีสอร์ทเองก็ร่มรื่นมาก ด้านหน้ายังมีร้านกาแฟเล็กๆ และที่สำคัญไม่แพงเลย ผมสั่งน้ำมะนาวมา ได้แก้วใหญ่ ดูดชื่นใจมากๆครับ
อิ่มกันดีแล้ว ไปปิดท้ายทริปอิ่มบุญกันที่วัดสำคัญสุดท้ายของนครลำปางกันที่ “วัดพระธาตุเสด็จ” วัดสำคัญที่อยู่ทางฝั่งด้านเหนือของนครลำปาง
สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี หรือมากกว่า 500 ปีมาแล้ว
จุดเด่นของวัดมีหลายแห่ง และหนึ่งในนั้นคือเจดีย์สีทองทั้งองค์แบบล้านนา
รูปร่างคล้ายกับพระธาตุลำปางหลวงแต่จะเล็กกว่าภายในพระธาตุ จะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ข้างใน
ในวิหารหลวงประดิษฐานพระพุทธรูปปางลีลา มีความยิ่งใหญ่สวยงามแปลกตา
ติดๆกันกับองค์พระธาตุ คือ หอสุวรรณโคมคำ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ ปางสมาธิขนาดหน้าตักกว้างถึง 40 นิ้ว
เป็นวิหารใที่ใช้ช่างชาวล้านนาเมืองลำปางสร้างขึ้นล้วนๆ
รวมถึง การประดับตกแต่งที่ยังคงรักษา ลวดลายและการตกแต่งแบบโบราณไว้ได้แทบจะเหมือนเดิมนับตั้งแต่เริ่มสร้างมาจนถึงปัจจุบัน
สวยและงดงามสมกับเป็นวัดปิดท้ายของทริปนี้จริงๆครับ
และแล้วก็ถึงเวลาช้อปปิ้งปิดท้ายทริปนี้กันแล้วละครับ เรามาแวะกันที่ๆผมเคยมาเมื่อ 5 ปีก่อน ที่นี่คือแหล่งผลิตสินค้าส่งออกที่ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญที่สร้างชื่อให้นครลำปางไม่แพ้ รถม้า วัดพระธาตุลำปางหลวง นั้นก็คือ จานชามตราไก่ ที่เราอาจจะเห็นจนคุ้นตามานานแล้ว
เรามากันที่โรงงานผลิต ต้นกำเนิดชามตราไก่นั้นไล่กันจริงๆมาจากเมืองจีน โดยข้ามหน้าข้ามทะเลมาพร้อมๆกับชาวจีนที่อพยพมาตั้งรกรากในเมืองลำปางตั้งแต่อดีต คาดเดากันว่าอยู่ในยุคปี พศ. 2480
พัฒนาการของชามตราไก่ในปัจจุบันนี้ไม่ได้ผลิตแค่จานชามธรรมดาอีกต่อไป มีการออกแบบชาวเซรามิกให้มีแบบและลายเฉพาะตัวขึ้นมามากมาย
เรียกว่าเดินชมกันละลานตากันเลย
และที่นี่ผมก็เสียเงินเยอะสุดของทริปแล้วละครับ จะไม่ให้เสียเงินก็คงไม่ได้ เพราะมาถึงถิ่นกำเนิด ทั้งที่จริงไหมครับ
บรรยากาศโดยรอบของโรงงานร่มรื่น มีมุมเก๋ๆให้แขกที่มาจับจ่ายใช้สอยได้เก็บภาพกัน น่ารักดีครับ
และเจ้าชามยักษ์อันเป็นสัญลักษณ์สำคัญของที่นี่ก็ปีนป่ายขึ้นไปถ่ายรูปกันได้นะครับ
ช้อบกันเพลินจนเริ่มเย็นๆแล้ว พวกเราก็ได้เวลามาปิดท้ายทริปกันที่ร้านอาหารสุดท้ายก่อนที่จะเหิรฟ้าบินกลับกันในตอนค่ำ
ร้านนี้คือ “ร้าน ริมสระเรือนแพ” ร้านบรรยากาศริมบึงที่สวยงาม จนต้องเก็บภาพสวยๆที่ทอดเงาสะท้อนลงในน้ำได้นิ่งและสงบเอามากๆ
และไม่นานอาหารชุดใหญ่ก็ถูกทยอยลำเลียงมาปิดท้าย แบบรวมมิตร เพราะมีทั้งอาหารไทย อาหารเหนือ ผสมกันเสมือนเป็นบทสรุปส่งท้ายพวกเรา
อาหารที่นี่รสชาติดีไม่แพ้ร้านอื่นๆที่เราแวะเวียนไปอิ่มกันมา ถือว่าทั้งบรรยากาศและอาหารชนะเลิศ
อิ่มกันดีแล้วก็ได้เวลากลับสนามบินเพื่อกลับบ้านกันแล้ว
สุดท้ายกันแล้วครับ
ทริปอิ่มท้องและอิ่มบุญ ทริปนี้ทำให้การมาเยือนเมืองลำปาง ครั้งนี้ประทับใจผมมาก ต้องขอขอบคุณ ทาง Nok Air ที่ได้เชิญผมมาร่วมทริปครั้งนี้
หวังว่ารีวิวนี้คงจะพอทำให้ใครที่อยากทำบุญและมาเที่ยวเมืองลำปางกันแล้ว น่าจะได้ประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะการได้ไปกราบนมัสการ พระที่วัดสำคัญๆ ของลำปาง น่าจะเป็นประโยชน์ก่อนการเดินทางของทุกๆ คนจะมาถึง
ทริปนี้ลากันตรงนี้ละครับจนกว่าจะได้พบกันใหม่นะ Nok Air
สวัสดีครับ
2 Comments
Tummeng Choovej
ยังไม่เคยไปเที่ยวลำปางแบบจริงจังซะที
one22
ต้องลองแล้วท่าน ^_^