ชุมพร เส้นทางสายโรแมนติก
เมืองต้องห้ามพลาด Dream Destination
สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคน เมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสพาแฟนไปเที่ยวมาครับ
เป็นการชดเชยจากช่วงวันวาเลนไทน์ที่จะถึง ที่ผมจะไม่อยู่ต้องเดินทางไปต่างประเทศครับ
รอบนี้ผมเลยเลือกพาแฟนไปเที่ยวจังหวัดเล็กๆจังหวัดหนึ่งที่ผมเคยไปมาแล้วเมื่อ 5 ปีที่แล้ว
แล้วผมพบว่ามันเป็นจังหวัดที่น่ารัก และมีอะไรให้ค้นหามากมายครับ
และจังหวัดนี้ได้รับการโปรโมตจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในปีนี้
ให้เป็นทั้ง เมืองต้องห้ามพลาด และเป็นเส้นทางสายดอกไม้ หรือ Dream Destination ครับ
ใช่แล้วครับจังหวัดนี้ก็คือ “จังหวัดชุมพร” ครับ
จังหวัดที่หลายๆคนมักใช้เป็นเพียงแค่ทางผ่าน แต่สำหรับผมแล้วตั้งแต่ได้มีโอกาสมาเที่ยวในครั้งก่อน
จังหวัดนี้ถือเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ผมตั้งเป้าว่าจะต้องกลับมาเยือนอีกครั้งครับ
ซึ่งวันนี้ผมได้มีโอกาสกลับมาอีกครั้งครับและก็ยังคงประทับใจไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเดิมครับ
ถ้าพร้อมกันแล้วเราก็เริ่มเดินทางไปด้วยกันเลยครับ
เหินฟ้าสู่ชุมพรด้วยนกแอร์
ชุมพรเป็นจังหวัดที่อยู่กลางๆทางระหว่างการเดินทางสู่ภาคใต้อยู่ห่างจาก กทม. ราวๆ 400-500 กม.ครับ
ในสมัยก่อนการเดินทางไปยังชุมพรจะใช้รถยนต์ และรถไฟซึ่งถือว่าลำบากไม่น้อยครับ
การจะเดินทางไปยังชุมพร เรียกว่าต้องตั้งใจในการไปอย่างมากเลยครับ
แต่ปัจจุบันนอกจากการเดินทางด้วยรถและรถไฟแล้ว
สายการบินนกแอร์ได้เพิ่มทางเลือกในการเดินทางไปสู่จังหวัดชุมพรครับ
แน่นอนครับการเดินทางก็ไปเริ่มที่สนามบินดอนเมืองครับ
ซึ่งวันที่ผมไปสิ่งที่ผมเห็นแปลกตาไปคือมีการเตรียม Counter Nok Scoot ที่กำลังจะเปิดเส้นทางต่างประเทศเร็วๆนี้ด้วยครับ
สำหรับเคาร์เตอร์นกแอร์จะมีการแยกเส้นทางภาคเหนือและภาคใต้ไว้ครับ
แน่นนอนชุมพรก็จะไปทางภาคใต้ครับ
สำหรับเส้นทางชุมพรนั้นในช่วงแรกที่เปิดนั้นมีไฟลท์ละวันเท่านั้นครับ
และเดินทางด้วยเครื่อง ATR เป็นเครื่องเล็กซึ่งสามารถเดินทางได้ครั้งละประมาณ 60 คน
และหลังจากเปิดเส้นทางนี้ไปซักพัก ก็มีการขยายโดยช่วงปลายปีจนทุกเดือนมกราคมจะมี 3 ไฟลท์ต่อวันครับ
และในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2557 ที่ผ่านมาทางนกแอร์พึ่งมีการเสริมฝูงบินลำใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมครับ
ด้วยเครื่องรุ่น Q400 ครับซึ่งในขาไปผมก็บินด้วยเครื่องใหม่นี่หล่ะครับ
เครื่องที่ผมเดินทางชื่อ “นกข้าวปุ้น” ครับ
เครื่องแบบ Q400 จะเป็นเครื่องแบบใบพัด (น่าจะผสมไอพ่นด้วย) สามารถทำความเร็วได้ราวๆ 500 กม./ชม. ครับ
ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ก็จะเดินทางถึงท่าอากาศยานชุมพรครับ
ท่าอากาศยานชุมพรเป็นท่าอากาศยานเล็กๆ จึงไม่ได้มีงวงช้างมาเทียบเครื่องบินครับ
ก็ให้ลงกันกลางลานนี่แหละครับ
การเดินทางเข้าสู่ตัวเมือง
สนามบินชุมพรนั้นจะตั้งอยู่ที่ อ.ปะทิว ทางตอนเหนือของจังหวัดชุมพรติดจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ครับ
ซึ่งจะอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 40 กม.ครับ โดยที่สนามบินนั้นจะมีเคาท์เตอร์ให้บริการต่อรถเข้าเมืองครับ
มีเจ้าเดียวเป็นของ เฟมทัวร์ รถตู้เข้าเมืองราคาอยู่ที่ 150 บาทครับ
ถึงปกติจะมีรถมารอรับตลอดแต่ผมแนะนำให้โทรมาจองล่วงหน้าครับ
และเฟมทัวร์ก็จะมีบริการรถเช่าด้วยนะครับ
แต่มีรถให้เลือกคือ รถกะบะราคาวันละ 1000 บาทครับ
และรถ Honda City ราคาวันละ 1500 บาทครับ
แต่อันนี้แนะนำว่าถ้าได้โปรแกรมแน่นอนแล้วต้องโทรจองนะครับ
เพราะเค้ามีรถแค่อย่างละคันเท่านั้นครับ (เค้าเอารถเจ้าของมาให้เช่าครับ)
ถ้าหมดก็ต้องเช่าเหมาเป็นรถตู้พร้อมคนขับแทนครับ ซึ่งอัตราก็ทั่วไปครับคือวันละ 1800 บาทไม่รวมค่าน้ำมันครับ
ส่วนร้านอาหารก็มีอยู่ 2 ร้านครับ และที่นี่จะมีอีกเค้าท์เตอร์ที่มาเปิดคือเรือลมพระยาครับ
เป็นเรือที่ให้บริการต่อไปยังเกาะเต่า เกานางยวน เกาะพะงัน นั่นเองครับ
หาดทุ่งวัวแล่น
ที่แรกที่ผมเดินทางไปคือหาดทุ่งวัวแล่นครับ เป็นหาดที่อยู่ก่อนถึงตัวเมืองประมาณ 10 กม.ครับ
หาดทุ่งวัวแล่นมีตำนานว่า เมื่อก่อนมีวัวป่ามาหากินอยู่แถวนี้
แล้ววันนึงมีนายพรานยิงวัวป่าตัวนึงตาย ระหว่างที่นายพรานกำลังถลกหนังวัว
จู่ๆ.. วัวมันก็ฟื้นคืนชีพ แล้วก็วิ่งหนีหายเข้าไปในป่า
จึงเป็นที่มาของชื่อหาดทุ่งวัวแล่นครับ
ที่หาดทุ่งวัวแล่นเป็นหาดที่มีโรงแรมรีสอร์ทมาเปิดไม่น้อยนะครับ
แต่ด้วยความร่วมมือของชาวบ้านที่นี่ ทำให้หาดแห่งนี้ไม่มีกองทัพเตียงผ้าใบและร่มนะครับ
ทำให้ที่หาดแห่งนี้ค่อนข้างสวยและสงบเลยครับ
ส่วนทรายที่นี่ถือว่าเป็นชายหาดที่ทรายนิ่มและสวยมากๆๆๆครับ และน้ำก็ใสสุดๆครับ
โดยนักท่องเที่ยวที่มารีสอร์ทแถวนี้มักจะมีกิจกรรมในการออกไปดำน้ำกันครับ
ส่วนคนที่ไม่ได้ดำน้ำก็จะนอนชิวอยู่ริมหาดกันครับ
ที่นี่ถ้ามีโอกาสแนะนำอย่างมากเลยครับให้มาเที่ยวรับรองไม่มีผิดหวังครับ
สักการะศาลกรมหลวงชุมพร ณ หาดทรายรี
จากนั้นผมและแฟนก็เดินทางเข้าไปตัวเมืองและไปที่หาดทรายรี เพื่อไปสักการะกรมหลวงชุมพรกันครับ
ระหว่างทางเจออนุเสาวรีย์ยุวชนทหารด้วยครับ เป็นการรำลึกถึงเยาวชนทหารในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองครับ
ศาลกรมหลวงชุมพรอยู่ที่ต้นหาดทรายรีครับอยู่ห่างจากตัวเมืองราวๆ 20 กม.ครับ
ที่นี่จะมีพิพิทธภัณฑ์ของเสด็จเตี่ยด้วยนะครับ
จะแสดงถึงประวัติของท่านครับ
ที่นี่ถือว่าชิวเชียวหล่ะครับชายหาดยาวมีคนมานั่งเล่นมากมายครับ
บางส่วนก็มาตกปลากันครับ
จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกเขามัทรี
ระหว่างทางจากตัวเมืองมายังหาดทรายรีนั้นจะมีจุดชมวิวจุดหนึ่งที่สวยทีเดียวครับ
คือจุดชมวิวเขามัทรี เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาผมเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง แต่สมัยนั้นจุดชมวิวถูกทิ้งร้าง
จนกลางเป็นแหล่งมั่วสุมไปครับ แต่ปัจจุบัน ทางจังหวัดได้มีการปรับปรุงและลงทุนในการเปิดร้านอาหารต่างๆ
จนกลายเป็นจุดท่องเที่ยวที่สวยงามไปแล้วครับ ซึ่งส่วนตัวแล้วผมดีใจมากเลยครับ
ที่ได้มีการพลิกฟื้นแหล่งท่องเที่ยวดีๆให้กลับมามีชีวิตได้อีกครั้งครับ
ร้านนึงที่น่าสนใจคือร้านขายรังนกครับ
เค้าทำจุดชมวิวออกไปสวยงามเลยครับ
ผมกับแฟนก็เลยนั่งชิวชมพระอาทิตย์ตกที่นี่เลยครับ
โดยข้างล่างจะเป็นวิวปากน้ำชุมพร และหมู่บ้านชาวประมงครับ
ธูษิฏา รีสอร์ท แอนด์ สปา ที่สุดแห่งความโรแมนติก
สำหรับที่พักนั้นผมเลือกที่จะไปพักที่โรงแรมธูษิฏา ซึ่งเป็นโรงแรมที่ผมเคยพักในครั้งที่แล้วที่ได้มาเยือนชุมพรครับ
และผมค่อนข้างประทับใจโรงแรมแห่งนี้ โรงแรมจะอยู่ที่หาดอณุโรทัย อำเภอทุ่งตะโก ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดชุมพรครับ
ที่โรงแรมนี้ จะมีอยู่สามโซนตั้งอยู่คนละที่กันแต่ใกล้กันครับ
– Tusita in the Garden
– Tusita @ the Beach
– Tusita @ Sea
ซึ่งส่วนตัวแล้วผมชอบโซน @ the Beach มากที่สุดครับ
ซึ่งจะเป็นห้องที่แต่งสไตล์เมดิเตอเรเนี่ยนครับ
ตอนที่ผมไปผมจองผ่านเว็บของโรงแรมเลย http://www.tusitaresort.com
ซึ่งแม้ราคาจะแพงกว่าเว็บเอเยนซี่ แต่ว่ามีโปร พัก 2 คืนจ่าย 1 คืนครับ
ผมเลือกห้องเป็น Beahfront Jacuzzi Suite ครับ
ในวันที่เดินทางไปนั้น ผมไปถึงค่อนข้างดึก ซึ่งบริเวณโซนเดอะบีช จะไม่ค่อยมีร้านอาหาร
ในคืนแรก ผมเลยขอเปลี่ยนเป็นนอนที่โซนสวนแทนครับ
ทางโรงแรมเลยให้ผมนอนห้องแบบ Wimantip in the Garden ซึ่งถือเป็นห้องเกรดเดียวกันครับ
ที่นี่หลังจากเราเข้าห้องแล้ว ช่วงที่เราออกไปทานอาหารเย็น เค้าจะมีการมา Turn Around ห้องให้เราด้วยนะครับ
ห้องนี้จะมีส่วนโซฟา และส่วนของโต๊ะทำงานให้ด้วยครับ
ซึ่งหลังๆผมชอบห้องที่มี โต๊ะทำงานด้วยครับ เพราะผมจะเอา Notebook ไปไว้ Backup ข้อมูลครับ
มีโต๊ะแล้วมันนั่งทำงานเป็นสัดส่วนดีครับ
ส่วนของห้องน้ำจะมีทั้งส่วนที่เป็นฝักบัว และส่วนที่เป็นอ่างจากุชชี่ครับ ซึ่งตัวห้องน้ำจะเป็นส่วน Outdoor ครับ
เรียกว่าได้อาบน้ำท่ามกลางหมู่ดาวเลย แต่ถึงจะ Outdoor แต่ก็มิดชิดดีนะครับ อ้อที่นี่มีห้องชาวน่าให้ด้วยนะครับ
ห้องอาหาร Murraya โรงแรมธูษิฏา
หลังจากเก็บของแล้วผมก็ทานอาหารที่โรงแรมเลยที่ห้องอาหาร Murraya ครับ
สั่งทานกัน 4 อย่าง และขนมหนึ่งอย่างครับ
แล้วก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันครับ 🙂
ราคาอาหารมื้อนี้มาตามนี้ครับ
– กุ้งซอสมะขาม 294.25
– ปลานึ่ง 353.10
– แกงเขียวหวาน 235.40
– หมูย่าง 176.55
– ของหวาน 176.55
วันที่สองหลังจากตื่นมาก็ไปทานข้าวกันที่ห้องอาหาร Murraya ครับซึ่งที่นี่เป็นอาหารจะเป็น A la cart ครับ
แต่สั่งได้เรื่อยๆครับ ที่นี่รอบที่แล้วผมชอบสั่งเป็น ผัดบะหมี่ และข้าวผัดครับ ซึ่งที่นี่เค้าจะทำสไตล์ อินโดนีเซียครับ
รอบนี้ผมก็สั่งเหมือนเดิมครับ
ส่วนคุณแฟนผมสั่งเป็นข้าวต้มปลา และติ่มซำมาครับ ยังๆ ยังไม่พอเธอสั่งไข่ลวกกับเบคอนมาทานด้วยครับ
สุดท้ายทานไม่หมด ผมก็ต้องมาช่วย 5555
ล่องแพ อำเภอพะโต๊ะกับเกษรทัวร์
สำหรับวันที่สองนั้นผมไปล่องแพที่ อ.พะโต๊ะ ครับซึ่ง อ.นี้ตะอยู่บนเส้น 4006 ที่จะเชื่อมไปยังฝั่งอันดามันครับ
ใครที่จะไป อช.หมู่เการสุรินทร์ ก็จะต้องไปผ่านที่ อำเภอนี้นี่แหละครับ
ซึ่งที่นี่สามารถล่องแพได้ทั้งปีครับ และช่วงวันวาเลนไทน์ของทุกปี จะมีเทศกาลด้วยครับ
ที่นี่ถ้าใครอยากล่องแพออกแนว Adventure ให้มาช่วงตุลาคม ครับ
อย่างผมไปช่วงปลายมกราคม น้ำค่อนข้างน้อยแล้วครับ ล่องแพบางช่วงจะมีติดพื้นบ้างเล็กน้อยครับ
รอบนี้ที่ไปล่องแพผมไปของ เกษรทัวร์ ครับซึ่งที่นี่มี Contact กับทาง ธูษิฏา อยู่ครับ
โดยค่าล่องแพ พร้อมอาหารกลางวันจะอยู่ที่หัวละประมาณ 450-500 บาทครับ
ซึ่งเส้นทางที่จะล่องแพมีให้เลือกหลายแบบตั้งแต่ 1-2-4 ชม. รวมไปถึง 2 วันก็มีครับ
แพที่นี่จะเป็นแพที่ทำจากท่อ PVC ครับ
ต่างจากที่ผมไปล่องที่เขาลำรู่ อันนั้นจะใช้แพไม้ไผ่ครับ
เอาหล่ะครับไปล่องแพด้วยกันเลยครับ
ที่ลำธารที่นี่ป่าบริเวณรอบๆ ก็ถือว่าอุดมสมบูณณ์ทีเดียวครับ
หลังจากล่องลำธารราวๆ 2 ชม. ขึ้นมาก็มีอาหารกลางวันพร้อมเลยครับ
ซึ่งไม่ว่าจะไปล่องลำธารกี่คนก็จะมีอาหาร 6 อย่างแบบนี้เหมือนกันครับ เพียงแต่อาจจะมีสัดส่วนปริมาณมากน้อยต่างกันไปครับ
รสชาติอาหารบอกได้เลยว่าอร่อยมากกกกกก
มี น้ำพริก ไขเจียวอบ ปลาซอสมะขาม ใบเหลียงผัดไข่ แกงเหลืองหยวกกล้วย แกงจืดผัดสด
ข้าวที่นี่เค้าจะนึ่งแบบห่อใบตองครับ หอมทีเดียว และมีของหวานเป็นเมี่ยงคำครับ
อาหารอร่อยมากจนคุณแฟนต้องขอถ่ายรูปป้าแม่ครัวเป็นหลักฐานซะหน่อย 5555
เที่ยวชมสวนลุงนิล สวนแห่งชีวิตพอเพียง
ที่บริเวณ อ.ทุ่งตะโกนั้นจะมีการเที่ยวอีกแบบหนึ่งที่นิยมกันคือการไปเที่ยวชมสวนครับ
ซึ่งที่ดังๆแถวนี้ก็จะมีสวยนายดำ และสวนลุงนิลครับ ซึ่งผมเคยไปสวนนายดำแล้วครั้งนี้ผมเลยเลือกที่จะไปที่สวนลุงนิลแทนครับ
ที่สวนลุงนิลนั้นจะไม่ได้เป็นสวนเชิงธุรกิจที่จะมีการจัดทัวร์เที่ยวสวนนะครับ (ถ้าต้องการแบบนั้นต้องไปี่สวนนายดำครับ)
แต่ที่นี่ลุงนิลซึ่งเป็นเจ้าของ เมื่อก่อนเคยทำสวนทุเรียน แบบสวนเชิงเดี่ยวแล้วปรากฎว่าเจ๊งครับ
สูญเงินไปหลายล้าน หลังจากนั้นลุงนิลเลยปรับการทำสวนใหม่ เป็นการทำสวนผสมครับ
เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงลง และมีของขายได้ตลอดปีครับ ซึ่งลุงนิลก็ได้จัดเป็นสวนเพื่อการเรียนรู้แทนครับ
จะมีหน่วยงานต่างๆขอเข้าไปดูงานกันเยอะเลยครับ แต่วันที่ผมไปลุงนิลไม่อยู่นะครับ
หากว่าถ้าจะเข้าไปแนะนำให้โทรไปนัดแนะกับลุงนิลให้ดีนะครับ วันที่ผมเข้าไปมีลูกน้องแกอยู่ 2-3 คนที่พาผมชมสวนครับ
โดยสิ่งที่ดังของแกคือการทำสวนคอนโด 9 ชั้น ซึ่งก็คือการทำสวนผสมนะ้นหล่ะครับ
ว่าปลูกอะไรผสมกันบ้างเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตแบบพอเพียงได้ครับ
ปัจจุบันที่สวนลุงนิลได้ทำเป็นธนาคารต้นไม้ด้วยครับ เพื่อเผยแพร่พันธุ์ต้นไม้ให้ชาวบ้านครับ
ที่สวนจะมีการเลี้ยงหมูหลุมครับ แต่เป็นหมูที่เลี้ยงในการนำมูลหมูมาทำปุ๋ยครับ
ธูษิฏา @ The Beach ที่สุดแห่งการพักผ่อน
หลังจากเที่ยวที่สวนลุงนิลเสร็จผมก็เข้าที่พักครับ โดยวันนี้ผมย้ายไปนอนที่ฝั่ง The Beach ที่ผมตั้งใจจะมาพักครับ
ที่นี่จะเป็นอาคารเล็กๆที่มีห้องพักเพียง 5 ห้องเท่านั้นครับ โดยจะอยู่ริมทะเลบนหาดอณุโรทัยครับ
ที่นี่จะแต่งรีสอร์ทแนวโปร่งๆครับ เน้นสีขาวเป็นหลัก
ซึ่งผมว่ามันสบายตาดีครับ
อันนี้เป็นห้องพักผมอยู่ชั้นสองครับเป็นแบบ Beahfront Jacuzzi Suite ครับ
จะแบ่งส่วนรับแขกและส่วนห้องพักออกจากกันครับ
ห้องน้ำก็จะมีอ่างจากุชชี่ให้แช่ครับ ฟินมากๆ 555
ที่นี่จะมีส่วนด้านนอกให้ออกไปชมวิวและนอนเปลยวนด้วยครับ
ช่วงเย็นผมกะแฟนออกไปเดินเล่นกันริมหาดครับ
หาดที่นี่เงียบสงบมากครับ แต่ด้วยความที่หาดค่อนข้างใกล้กับปากน้ำ จะทำให้ช่วงหน้ามรสุมทะเลจะพัดขยะเข้ามาที่หาดเยอะนิดนึงครับ
จากนั้นตอนเย็นผมนั่งทานอาหารที่ริมหาดกันครับ
ซึ่งถ้ามีคนมาเยอะๆเราสามารถปิดรีสอร์ทจัดปาร์ตี้กันได้เลยครับ
มีสระน้ำ มีบาร์ริมทะลเพร้อมเลยครับ 5555
ช่วงอาหารเย็นทางรีสอร์ทมีการจัดซุ้มริมทะเลให้ผมด้วยครับ
แรกทีเดียวผมก็ตั้งใจจะมานั่งทานข้างล่าง
แต่วันที่ผมไปลมค่อนข้างแรงมาก สุดท้ายเลยเปลี่ยนใจไปทานบนห้องแทนครับ
ราคาอาหารมื้อนี้ถูกเหลือเชื่อครับ
ทั้งเซตไม่รวมผัดเหลียง ราคาแค่ 790 บาท/ต่อคนเท่านั้นครับ
หรือถ้าสั่งเฉพาะ Seafood Basket ก็ราคาตะกร้าละ 790 บาทครับ
เรียกว่าราคาไม่แพงเลยครับ และที่สำคัญอาหารทะเลสดมากๆครับ
เช้าวันที่ 3 ช่วงเช้าหลังจากทานอาหารแล้วผมก็นอนเล่นที่รีสอร์ทหล่ะครับ
โดยกลับไปนั่งเล่นที่ส่วนรีสอร์ท The Garden ครับ
ไหว้พระใหญ่ อ.สวี
พอช่วงเที่ยงออกเดินทางกลับไปที่โซนในเมืองครับ ระหว่างทางกลับช่วงเลย อ.สวีไปเล็กน้อย
ผมเจอป้าย The Big Buddha ครับเลยตัดสินใจแวะกันครับ น่าเสียดายที่ที่นี่ไม่ค่อยมีคนดูแล ทำให้สถานที่ดูรกร้างไปนิดนึงครับ
และตอนนี้ยังก่อสร้างไม่เสร็จ 100% ครับ ผมก็คาดหวังว่าอีกหน่อยทางจังหวัดจะสามารถพัฒนาที่นี่ให้ดีได้เหมือนที่เขามัทรีครับ
ชมและชิมกาแฟโรบัสต้าที่บ้านถ้ำสิงห์
ชุมพรเองเป็นจังหวัดที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีเหมาะแก่การปลูกกาแหพันธ์โรบัสต้าเป็นอย่างมากครับ
สมัยก่อนจึงมีการปลูกกาแฟกันเป็นจำนวนมากเลยครับ จนช่วงหนึ่งราคาตกอย่างรุนแรงเนื่องจากกาแฟล้นตลาด
ทำให้รัฐบาลสมัยนั้นได้มีการจ้างโค่นต้นกาแฟกันครับ
ปัจจุบันชุมชนบ้านถ้ำสิงห์ ได้มีการรวมตัวเป็นวิสาหกิจ เพื่อผลิตกาแฟกันครับ
โดยทำเป็นลักษณะสวนผสมปลูกหลายๆอย่างครับ ซึ่งที่นี่จะมีโรงงานขนาดย่อมๆให้สามารถมาเยี่ยมชมได้ด้วยครับ
แต่ปกติแล้วจะเปิดในวันจันทร์ -เสาร์เท่านั้นครับ ซึ่งปกติแล้วประธานกลุ่มจะเป็นผู้นำชมขั้นตอนการผลิตกาแฟครับ
แต่หากเพื่อนๆไปวันอาทิตย์ให้สามารถโทรไปติดต่อได้ครับ ทางประธานจะพยายามจัดหาคนมานำชมให้ครับ
ที่เห็นเป็นตุ่มๆนั่นคือดอกกาแฟนะครับ ทำให้เมื่อดอกบานขึ้นมาจะมีดอกสีขาวบานสะพรั่งเต็มต้นสวยงามมากครับ
จึงทำให้ที่เมืองชุมพรได้รับเลือกเป็นหนึ่งในเส้นทางสายดอกไม้หรือ Dream Destination ของประเทศไทยด้วยครับ
แต่ว่าเวลาที่ดอกกาแฟจะบานจะไม่แน่นอนนะครับ ขึ้นอยู่กับฝน และเมื่อบานแล้วจะบานเพียงสัปดาห์เดียวก็จะโรยครับ
ซึ่งสามารถเช็คได้จาก Facebook ของชุมชนบ้านถ้ำสิงห์ได้ครับ
หลังจากออกดอกแล้วจะใช้เวลาอีก 1 ปีครับจึงจะออกผลครับ
ซึ่งจะเป็นเม็ดๆแบบนี้ครับ ซึ่งเม็ดที่พร้อมเอาทำต่อจะต้องเป็นสีแดงเท่านั้นครับ
หลังจากเก็บเมล็ดมาแล้ว ก็จะต้องเอาเข้าเครื่องกะเทาะเปลือกและแช่น้ำประมาณ 1 คืนครับ
ก่อนที่จะนำไปตากแห้งซึ่งที่นี่เค้าใช้การตากในโรงงานแสงอาทิตย์ครับ โดยจะตากราวๆ 10 วันครับ
และหลังจากนั้นก็จะต้องนำไปเก็บให้เมล็ดแห้งสุดๆอีกราว 4-5 เดือนจึงจะสามารถนำไปคั่วเพื่อชงกาแฟได้ครับ
สรุปแล้วนับจากวันที่ต้นกาแฟออกดอกเราจะใช้เวลาราวๆ ปีครึ่งกว่าจะได้กาแฟที่เรากินกันครับ
วันที่ไปผมได้มีโอกาสชิมกาแฟของที่นี่ครับ ผสมกับน้ำผึ้งเลี้ยงที่ทำน้ำผึ้งจากดอกกาแฟหอมมากๆครับ
วันที่ไปนั้นผมได้มีโอกาสเจอคุณตุ๊กซึ่งเป็นผู้ประกอบการนำเที่ยวภาคพื้นในจังหวัดชุมพรครับ
ซึ่งคุณตุ๊กได้ชักชวนผมให้ไปเดินเล่นที่สวนลุงวิรัช และสวนป้าละมุนครับ ซึ่งเป็นสวนสละครับ
แต่ก่อนไปผมได้แวะไปที่บริเวณถ้ำสิงห์เพื่อไหว้พระกันเล็กน้อยครับ
เยี่ยมชมและชิมสละ จากสวนลุงวิรัช และสวนป้าละมุนครับ
ที่ใกล้ๆชุมชนบ้านถ้ำสิงฟ์ขับรถไปไม่กี่กิโล ก็จะถึงสวนของลุงวิรัช และสวนของป้าละมุนครับ
ที่นี่จะเน้นการปลูกสละเป็นหลักครับ แต่จริงๆแล้วก็จะปลูกเป็นสวนผสมที่มีต้นไม้สวนชนิดอื่นๆด้วยครับ
ที่นี่จะมีลุงวิรัชคอยพาเราเดินเที่ยวชมสวนครับ และใครที่สนใจแกก็จะให้ความรู้ในการไปปลูกสละด้วยครับ
ที่นี่จะมีการปลูกอยู่ 2-3 สายพันธุ์ครับ ซึ่งผมจำไม่ได้หรอกครับว่าพันธุ์อะไรบ้าง
แต่จะมีอยู่พันธุ์นึงที่ลูกจะดก และห้อยตามพื้นดินทำให้ คนที่ปลูกจะต้องทำคานขึ้นมา
เพื่อห้อยลูกสละไม่ให้ตกไปที่พื้นเพราะจะทำให้ผลเสียหายครับ
ที่เห็นสละออกสวยๆแบบนี้เนี่ยจะต้องมีการเด็ดบางลูกออกด้วยนะครับ
เพราะไม่อย่างนั้นสละจะออกลูกมาเยอะมากจนเบียดบังกันเองและจะทำให้ผลสละเล็กลงครับ
ส่วนภาพนี้คือดอกสละที่สามารถนำไปทำพันธุ์ต่อได้ครับ
ระหว่างเดินๆไปเราก็ได้ยินเสียดังตุ๊บครับ… ใช่ครับ เป็นเสียงทุเรียนร่วงจากต้นครับ
เรียกว่าร่วงไม่ไกลจากที่เราเดินเลยครับแอบเสียวๆว่าเดินไปแล้วมันร่วงใส่หัวจะทำยังไง 5555
ด้วยความที่ว่าทุเรียนเป็นต้นไม่ที่ใหญ่โตและสูงมากครับ
ลูกทุเรียนบางลูกอยู่สูงเป็นสิบๆเมตรเลยครับ ซึ่งคนที่ปีนขึ้นไปเด็ดนั้นโยนลงมาจะหนักมาก ไม่สามารถใช้กระสอบในการรับได้
ลุงวิรัชแกเลยประดิษฐ์เครื่องรับทุเรียนให้คนที่ปีนไปเก็บทุเรียนโยนลงมาใส่รถคันนี้ครับ
หลังจากนั้นเราก็เลยรีบเดินหนีดงทุเรียนกลับไปที่ทางเข้าครับ
ลุงแกเลยเอาทุเรียนที่ร่วงมาเมื่อกี้ไปผ่าเพื่อเอามาให้เราชิมกันครับ
ผมเองเป็นคนไม่ทานทุเรียน แต่แฟนทานเลยแบบว่าลาภปากมากๆๆๆ 555
และก่อนกลับก็เลยของลุงๆป้าๆถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันเอาไว้ครับ
ร้านอาหารทะเลลุย ริมหาดทรายรี
ตอนแรกมวนรถเข้าไปในเมืองเพื่อจะไปทานข้าวเย็นที่ร้านลำยอง อยู่แถวๆโรงแรมรกตซึ่งพี่ตุ๊กเป็นคนแนะนำมาว่าอร่อย
แต่ปรากฎว่าไปถึงร้านยังไม่เปิดครับ เพราะคนงานที่ไปซื้อของยังไม่กลับ สุดท้ายเลยคุยกับแฟนแล้วตัดสินใจไปทานอาหารทะเลแถวๆหาดทรายรีครับ
ซึ่งวันนี้เราไปทานกันที่ร้านอาหารที่ชื่อว่าลุยครับ เราสั่งกันมา 4 อย่าง มีใบเหลียงผัดไข่ แกงส้มไข่ปลาเซียว เนื้อปูผัดผงกะรี่ และปลาทอดซอสมะขาม
ซึ่งผมชวนคนรถไปทานด้วยกันมื้อนี้ทานกัน 4 คนค่าอาหาร 820 บาทครับ
รสชาติถือว่าอร่อยเลยครับ
หลังจากทานอาหารอิ่มผมก็เดินทางไปยังสนามบินที่ครับซึ่งระหว่างทางผมก็ใช้ App ของ Nok Air ในการเช็คอินไปเลยครับ
ซึ่งหลังจาก Check in แล้วในกรณีที่ใช้ iPhone มันจะโอนข้อมูลไปที่ Passbook ครับซึ่งจะเก็บ e-Bording ไว้เราสามารถเอาตัวนี้ไปยื่นที่สนามบินได้เลยครับ
ก็เป็นอันว่าจบไปอีกทริปหนึ่งสำหรับชุมพรครับ
สำหรับชุมพรแล้วส่วนตัวผมว่าเป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้ง อช. หมู่เกาะชุมพร มีเกาะรังนก และจุดให้ไปดำน้ำตื้นจำนวนมากครับ
และเป็นจังหวัดที่มีถนนริมหาดที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีชายหาดดีๆ สวยๆ สงบๆ อีกจำนวนมากที่รอให้ทุกคนไปเยี่ยมเยียนครับ
รวมถึงหากใครชอบแนวผจญภัยก็มีกิจกรรมทางธรรมชาติอย่างการล่องแพด้วยครับ
ซึ่งทริปนี้คุณแฟนผมถือว่ามีความสุขไม่น้อยเลยกับการได้ออกมาพักผ่อน สบายๆ และชิวๆครับ
ซึ่งผมยังยืนยันคำเดิมเหมือนครั้งที่มาครั้งก่อนว่า จังหวัดชุมพรเป็นจังหวัดที่เล็กๆ น่ารักๆ และมีอะไรให้ค้นหา
และหากทีโอกาสผมจะต้องกลับมาเยี่ยมเยียนเมืองน่ารักๆแบบนี้อีกแน่นอนครับ
สำหรับวันนี้ก็ขอลาเพื่อนๆไปด้วยพาผมกับภรรยาที่ถ่ายกัน สองเรา ณ เขามัทรี กันครับ
แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้าครับ สวัสดีและขอบคุณสำหรับการติดตามรีวิวนี้ครับ 🙂