Journey of Japan Snow
ญี่ปุ่นมนต์เสน่ห์แห่งเหมันต์ฤดู
สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคน หลังจากตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาจนกระทั่งช่วงต้นปีนี้
เป็นช่วงที่ผมอยู่ประเทศไทยได้เดินทางในประเทศมาหลากหลายที่ตามที่ได้มารีวิวให้เพื่อนๆได้ชมกันไปบ้างแล้ว
วันนี้จะเป็นทริปต่างประเทศทริปแรกของปี 2015 โดยประเทศแรกสำหรับปีนี้ที่ผมได้ไปคือประเทศญี่ปุ่นครับ
ซึ่งครั้งนี้ ผมเลือกที่จะไปในช่วงฤดูหนาว โดยเป้าหมายหลัก ของทริปนี้คือ การไปชมงาน Light-up ที่หมู่บ้านชิราคาวาโกะ ครับ
ซึ่งทริปนี้ตอนแรกเกือบจะล่มไปแล้ว เพราะผมจองตั๋ว AirAsiaXไม่ทัน
ซึ่งตอนนั้นมีโปรเปิดตัวของสายการบิน Air Asia X ราคาไปกลับประมาณแค่ 8,000 บาทเท่านั้นเองครับ
แต่ตั๋วที่เหลือ กับวันที่มีการจัดงาน Light up นั้นไม่พอดีกัน อีกอย่างคือจอนนั้นหาที่พักที่ชิราคาวาโกะไม่ได้ด้วย
จนตอนแรกก็เลยล้มเลิกความตั้งใจไปแล้ว แต่พอดีได้เจอเพื่อนคนนึงที่เชียงใหม่ เค้ามีทริปไปงานนี้พอดี
และช่วงนั้น การบินไทย ออกโปรโมชั่น ไปกลับ ราคาประมาณ 17,000 บาท ซึ่งแม้ไม่ได้ถูกมากมาย
แต่ก็ถือว่าถูกสำหรับสายการบินไทย และราคาพอๆกับ ที่ผมไปญี่ปุ่นในครั้งก่อน ก็เลยรื้อแผนไปเที่ยวขึ้นมาอีกครั้งครับ
โดยทริปนี้ ผมนั่งเครื่องไปลงที่ สนามบินคันไซที่โอซาก้า และกลับจากสนามบินนาริตะที่โตเกียว
คล้ายๆกับการเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งก่อนเลยครับ
เพียงแต่ครั้งนี้ ผมมาในฤดูหนาว ซึ่งก็พบว่า มันเป็นฤดูที่มีเสน่ห์ ไม่แพ้ฤดูอื่นๆเลยครับ
เอาหล่ะครับพร้อมกันแล้ว ออกเดินทางไปพร้อมพร้อมกันเลยดีกว่าครับ
กับทริปต่างประเทศทริปแรกของปี Journey of Japan Snow: ญี่ปุ่นมนต์เสน่ห์แห่งเหมันต์ฤดู
เหินฟ้าสู่ญี่ปุ่นด้วยการบินไทย
ตามที่เกริ่นไปครับ คิดถึงผมเดินทางด้วยการบินไทย เป็นโปรโมชั่นเดินทางสองคนในราคา 17,000 บาท
ซึ่งโปรโมชั่นนี้ ช่วงนี้มีออกมาอีกเช่นกัน และถูกลงไปอีก ประมาณ 1,000 บาทน่าจะเพราะเพราะน้ำมันโลกราคาตกลงนั่นเองครับ
ใครสนใจลองดูตามลิงค์นี้ได้ครับ JAPAN GREAT ATTRACTION 2 FOR 2
ถึงราคาจะไม่ได้ถูกที่สุด แต่ถ้าเทียบว่าได้บินการบินไทย ด้วยบริการต่างๆ ผมว่าก็คุ้มอยู่ครับ
ซึ่งถ้าใครบินไปลง หรือกลับจากที่นาริตะ ก็จะบินด้วยเครื่อง A380 ด้วยครับ
ผมมีโอกาสได้นั่งเครื่อง A 380 ตอนขากลับ เป็นครั้งแรกครับ
เครื่องลำใหญ่มากนั่งสบายน่าดูเลยครับ ส่วนขาไปผมบินไปลงคันไซก็บินด้วยเครื่องลำนี้ครับ
เตรียมตัวเรื่องการติดต่อสื่อสาร
สมัยนี้ ด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ทำให้การใช้อินเตอร์เน็ต แทบจะกลายเป็นอีกส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตประจำวันไปแล้ว
ปกติแล้วการเปิด sim ในญี่ปุ่น เป็นเรื่องค่อนข้างยุ่งยาก สำหรับชาวต่างชาติ
จึงทำให้มีการบริการทั้ง Data Sim และ Pocket Wifi สำหรับการใช้ Internet ในญี่ปุ่น
ซึ่งในสมัยก่อน ก็จะมีเคาน์เตอร์บริการที่สนามบิน
แต่ด้วยการที่คนไทยเดินทางไปเที่ยวในญี่ปุ่นค่อนข้างมาก
ทำให้มี บริษัทมาเปิดให้บริการให้เช่า Pocket Wifi ที่ประเทศไทยครับ
ซึ่งในการเดินทางครั้งนี้ผมเลือกที่จะใช้บริการจาก BS Mobile หรืออีกชื่อคือ Sumurai Wifi ครับ
โดยค่าบริการจะเป็นค่าบริการเหมาจ่ายเป็นรายวัน ตอนผมไปราคาอยู่ที่
1-7 วันแรกราคาวันละ 200 บาท และหลังจากนั้น ราคาวันละ 100 บาท
ผมไป 15 วันราคาอยู่ที่ 2,200 บาท ซึ่งในการใช้งานสามารถแชร์ใช้งานได้มากถึง 10 เครื่องเลยครับ
แต่ตอนผมไป จะไปกันสี่คน แต่ผมเช่าตัวPocket Wifi ไป 2 เครื่อง
เนื่องจากตอนเที่ยวในเมือง ผมจะแยกกันเที่ยวครับ
ซึ่งเฉลี่ยค่าใช้จ่ายแล้วก็แค่คนละประมาณ 1,100 บาทเท่านั้นเองครับ
ตอนที่จะเช่าทางบริษัทเค้าจะถามว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง เพื่อที่เค้าจะเลือกเครื่องให้ตรงกับจุดที่เราจะไปครับ
โดยทางบริษัทเขาแนะนำให้ผมนำไปใช้ 2 รุ่นคือ Wifi Walker กับ EMobile
ซึ่งปกติแล้วถ้าเที่ยวในเมืองเป็นหลักเค้าจะแนะนำ EMobile ครับเพราะจะเร็วกว่า
แต่ถ้ามีออกไปนอกเมืองเค้าจะแนะนำ Wifi Walker เพราะสัญญาณจะครอบคลุมกว่านั่นเองครับ
และถ้าใครเดินทางที่สนามบินสุวรรณภูมิ เขาจะมีบริการรับส่งเครื่องที่สนามบินเลยครับ
แต่ถ้าใครเดินทางที่สนามบินดอนเมือง เค้าจะส่งไปรษณีย์ EMS มาให้ครับ
หรือ สามารถไปรับที่ออฟฟิตเขาก็ได้อยู่ที่สีลมครับ
เดินทางเข้าสู่โอซาก้า พักที่ Business Hotel Mikado
หลังจากนั่งเครื่องจากเมืองไทยประมาณ 6 ชั่วโมง เราก็เดินทางถึง สนามบินคันไซ
ซึ่งการเดินทางเข้าสู่ ตัวเมืองโอซาก้านั้น มีหลากหลายวิธีมากครับ ทั้งรถบัสและรถไฟ
รถไฟเองมีทั้งของ JR และของเอกชนให้เลือกครับ
สำหรับครั้งนี้ ผมเลือกที่จะไปพัก แถวแถวย่านชินเซไกที่โรงแรม Business Hotel Mikado
เพราะที่พักค่อนข้างถูก ซึ่งก็คงเพราะย่านนี้เป็น Red Zone (ออกแนวพัฒน์พงศ์บ้านเราครับ)
แต่จากการที่ได้ไปพักแถวนี้ ส่วนตัวแล้วก็ไม่ได้รู้สึกน่ากลัวอะไรครับ
เป็นห้องเดียวแบบญี่ปุ่นราคาคืนละ 2,000 เยนหรือแค่ 550 บาทเท่านั้นเองครับ
สภาพห้องถือว่าโอเคเลยครับมีโต๊ะทำงานเล็กๆพอให้วางโน้ตบุ๊คทำงานด้วยครับ
บริเวณนี้ มีโรงแรมอื่นๆที่เป็นสไตล์เดียวกันอีกหลายที่เลยครับ
ถ้าใครอยากได้โรงแรมถูกๆที่โอซาก้าโซนนี้ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อยครับ
การเดินทางก็สะดวก เพราะสามารถขึ้นได้ทั้งรถไฟใต้ดิน (สถานี Dobutsuen-mae) หรือ JR (สถานี Shin-Imamiya)
ซึ่งอยู่ห่างจากสถานี Namba แค่ 2 ป้ายเท่านั้นเองครับ
สำหรับการท่องเที่ยวในญี่ปุ่นนั้นจะมีหลากหลายทางเลือกในการเดินทางครับ
พวก Pass ต่างๆก็มีมากเสียจนงงงวยเต็มไปหมด ยังไงลองเลือกดูนะครับ
ในโซนโอซาก้าที่ผมใช้ส่วนใหญ่จะเป็น Osaka Amazing Pass และ Kansai Thrugh Pass
แต่ครั้งนี้ผมใช้แค่ Kansai Thrugh Pass เอาไว้ใช้ในวันที่ไปเกียวโตและโกเบครับ
ส่วนวันอื่นๆด้วยความที่ผมไม่ได้ไปเที่ยวหลากหลายที่มากผมใช้เป็นบัตรเติมเงินทั่วไปครับ
ซึ่งผมมี Pasmo Card อยู่ครับ (เหมือน Rabbit บ้านเรานั่นแหละครับ) เป็นบัตรของรถไฟใต้ดินที่โตเกียว
แต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่ญี่ปุ่นพึ่งทำการ Integrate บัตรเติมงานทั่วญี่ปุ่นให้สามารถใช้เดินทางได้เหมือนกันหมดครับ
ชมวิวย่านการค้าที่ Floating Garden Observatory at Umeda Sky Building
ที่แรกที่ผมไปเที่ยวคือจุดชมวิวที่ Umeda ครับ จริงๆแล้วผมเคยมาที่นี่แล้ว
แต่ครั้งนั้น ไปถ่ายภาพช่วงเย็นครับครั้งนี้ผมเลยเลือกที่จะมาในช่วงกลางวันบ้าง
ซึ่งก็ไม่ผิดหวังครับ สำหรับใครจะมาที่นี่ก็ให้นั่งรถใต้ดินไปที่สถานี Umeda แล้วเดินออกทาง Exit 5 นะครับ
จากนั้นเดินต่อไปประมาณ 500 เมตรลอดอุโมงค์ก็จะถึงตึกครับ
อ้อใครไปที่นี่ ให้เตรียมเสื้อกันหนาวไปให้ดีนะครับ
ด้านบนตึกที่เป็นจุดชมวิวลมแรงและหนาวมากๆครับ
วันที่ผมไปตอนแรกๆก็แดดดีครับ แต่ถ่ายไปถ่ายมา เมฆมาครับแถมไม่ใช่เมฆฝนซะด้วยเป็นเมฆที่พัดหิมะมาแทนครับ
จากแดดเปรี้ยงๆกลายเป็นฟ้ามืดสนิท หิมะถล่มลงมาเลยครับ แต่ก็ตกอยู่ไม่นานแปร๊บเดียวลมก็พัดเมฆดำๆไปทางอื่นแทน
แต่หิมะก็ยังคงตกเรื่อยๆครับ มารู้ทีหลังว่าจริงๆแล้วที่โอซาก้าไม่ค่อยจะมีหิมะตกเท่าไหร่
แบบนี้ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีในการมาเที่ยวทริปนี้ เพราะผมมาทริปลุยหิมะนั่นเอง 5555
ชีวิตและความเป็นไปที่สถานี Umeda
ทริปนี้จริงๆแล้วผมวางแพลนมาค่อนข้างหลวมมากครับ
ช่วงอยู่ในเมืองส่วนใหญ่ผมไม่ค่อนจะไปไหนเท่าไหร่ เนื่องจากเน้นมาเป็นงาน Time-lapse เป็นหลักครับ
โดยส่วนมากแล้วผมมักจะอยู่ตามที่ชุมชน เช่นสถานีรถไฟใหญ่ๆในแต่ละเมืองครับ
ซึ่งการถ่าย Time-lapse ก็ทำให้ผมเอง ใช้เวลาอยู่กับที่ต่างๆเป็นเวลานาน
ซึ่งก็ทำให้ผม ได้เห็นวิถีชีวิตของคนในเมืองต่างๆได้ชัดเจนขึ้นทีเดียวครับ
หลังจากที่ผมถ่ายภาพบนจุดชมวิวเสร็จ เพื่อนผมสองคนก็แยกไปหาซื้อกล้องมือสองกันครับ
ผมกับเพื่อนอีกคนก็เลยมาเดินเล่นแถวๆสถานี Umeda กันครับ
ที่ญี่ปุ่นการเดินทางส่วนมากแล้วก็จะใช้รถไฟอย่างที่ทราบๆกันครับ
โดยที่สถานีใหญ่ๆก็มักจะมีสถานีรถบัสอยู่ด้วย ซึ่งส่วนมากรถบัสจะใช้ในการเดินทางสั้นๆเสียมากกว่าครับ
อารมณ์ประมาณว่าใช้สำหรับ Feed คนเข้าระบบรถไฟอะไรอย่างนั้นครับ
ซึ่งจากการถ่ายภาพ ผมพบว่าคนญี่ปุ่นนั้นไม่ค่อยจะสนใจคนอื่นๆครับ (ถ้าเราไม่ได้ไปเกะกะระรานใครเข้า)
อย่างการถ่ายภาพผมสามารถตั้งขาตั้งกล้องได้เกือยทุกที่ที่เป็นที่สาธารณะ โดยมีข้อแม้ว่าเราจะต้องไม่ไปเกะกะคนอื่น
ซึ่งถ้าหากเราเริ่มจะไปเกะกะคนอื่นเข้า จะมีเจ้าหน้าที่มาเตือนเราครับ
Shinsekai (new world)
ด้วยความที่ว่าครั้งนี้ผมพักในย่านชินเซไก ผมเลยมีโอกาสได้มาถ่ายภาพช่วงเย็นที่นี่ครับ
เพราะช่วงบ่าย หลังจากไปช้อปปิ้งแล้วผมเอาของมาเก็บที่โรงแรม ก็เลยเดินออกไปถ่ายภาพในย่านนี้เสียเลยครับ
ได้คุยกับพี่ ที่ทำงานที่ญี่ปุ่นคนหนึ่ง เขาบอกว่า ในย่านนี้จะเป็นย่านพิเศษ
ที่มีการขายบริการอย่างถูกต้องตามกฎหมายเห็นพี่เค้าบอกว่า จะมีสัญลักษณ์ เป็นโคมเขียวหรือโคมแดงนี่แหละครับ
ซึ่งห้ามไปถ่ายรูปสาวๆในร้านเด็ดขาดนะครับ เพราะถ้าไปถ่ายรูป อาจจะโดนยากูซ่าเข้ามาเล่นงานครับ
แต่จุดที่ผมไปเดินเล่น ก็ไม่เจอนะครับ ผมก็ไม่ได้สนอะไรเพราะมัวแต่หามุมถ่ายรูปอยู่ครับ
Dotonbori/Namba
ย่านนี้ก็เป็นอรกจุดหนึ่งที่ไม่มาไม่ได้ครับ ถึงผมเองจะเคยมาแล้ว เพราะย่านนี้ถือเป็นย่านที่มีความคึกคัก
แถมยังเต็มไปด้วยของกินอร่อยๆมากมายเลยครับ ผมเองก็มาฝากท้องที่นี่หลายมื้อเลยครับ
และแน่นอนผมเองที่มาก็เพราะต้องการจะมาถ่าย Time-lapse นั่นเอง 5555
วัดทอง Kinkakuji
วันต่อมาเป็นอีกวันที่ผมตื่นเต้นมากในการที่จะไปที่เกียวโต
เพราะว่าเป็นอีกหนึ่ง Hilight ที่ผมลุ้นมากๆในการมาทริปครั้งนี้
คือผมเห็นภาพวัดทองที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ มันสวยมากๆๆๆเลยครับ
ซึ่งก่อนมาก็ไม่รู้หรอกครับว่าหิมะจะตกวันไหนยังไง
อาศัยดูจากพยากรณ์เอาครับ โดยผมเลือกที่จะนอนที่โอซาก้ายาวไปเลย
แล้วดูว่าวันไหนหิมะตกกลางคืน วันรุ่งขึ้นก็จะรีบเข้าไปแต่เช้าครับ
ส่วนวันไหนหิมะไม่ตกก็จะไปเที่ยวที่อื่นๆแทนครับ
ซึ่งคืนที่ผ่านมาก็มีหิมะลงมาที่วัดทองครับ
ผมก็ไม่รอช้าที่จะไปเกียวโตในวันรุ่งขึ้น ซึ่งตอนเช้าจากการดู Live Camera ก็เห็นแล้วว่ามันมีหิมะที่วัด
แต่มีไม่มากเท่าไหร่ แต่ปรากฎว่าผมไปไม่ทันครับ ผมไปถึงประมาณ 9 โมงครึ่ง (วัดเปิด 9 โมง)
ปรากฎว่ามันละลายไปหมดแล้ว เลยอดได้ภาพที่อยากได้เลยครับก็เลยได้แค่ถ่ายรูปเล่นขำๆ เพราะเอาจริงๆ
ผมได้ภาพฟ้าสวยๆ ตั้งแต่การมาที่นี่ครั้งก่อนไปแล้วครับ
ย้อนอดีตที่ Gion
ที่เกียวโตนั้นมีสิ่งที่ขึ้นชื่ออีกอย่างของที่นี่คือ เกอิชา ครับ..
ซึ่งปัจจุบันยังพอมีให้เห็นอยู่บ้างแต่ก็ถือว่าน้อยลงมากๆแล้วครับ เพราะการที่จะเป็นเกอิชาได้นั้นเรียกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ
ต้องมีการสอบเป็นขั้นๆไป และต้องมีการลงเรียน และมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากครับ ทำให้ปัจจุบันจึงไม่ค่อยเหลือเกอิชาเท่าไหร่แล้วครับ
ซึ่งที่ที่จะพอเห็นได้ก็คือย่าน Gion ที่เกียวโตนี่หล่ะครับ โดยย่านนี้ยังคงตัวตึกรามบ้านช่องในแบบอดีตไว้อยู่ครับ
ผมเองโชคไม่ดีเท่าไหร่ที่ไม่เจอเกอิชาเลยครับ โดยที่นี่เราจะพบเห็นคนญี่ปุ่นจำนวนมากแต่งตัวในชุดประจำชาติหรือชุดกิโมโนมาเดินเล่นกันครับ
เกียวโตทาวเวอร์ Kyoto Tower
ที่ญี่ปุ่นเองมันจะมีการสร้างหอคอยในหลายๆเมืองเพื่อทั้งเป็นจุดชมวิว และใช้ในงานด้านต่างๆ เช่นงานวิทยุอะไรอย่างนั้นครับ
ที่เกียวโตเองก็เช่นกันมีหอคอยเกียวโตอยู่ครับ ตอนแรกผมก็ไม่ได้กะจะไปหรอกครับ แรกทีเดียวผมกะจะไปถ่ายภาพช่วงเย็นที่วัดคิโยมิตซึ หรือวัดน้ำใสครับ
แต่ปรากฎว่าไปแล้วมันซ่อมอยู่ครับ (จริงๆซ่อมมานานแล้ว) แต่รอบนี้มีเครนอันใหญ่ๆอยู่เต็มเลยครับ ผมเลยเปลี่ยนใจไม่ได้แวะเข้าไป
แต่เดินเล่นถ่ายรูปแถวนั้นแทน และก็จะไปขึ้นรถไฟกลับโอซาก้าครับ แต่ตรงสถานีมันมองเห็น kyoto Tower พอดีผมเลยอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปมานิดหน่อยครับ
Byodoin Temple, Uji Kyoto
เพื่อนๆเคยสงสัยมั๊ยครับว่าที่หลังเหรียญ 10 เยนที่มีรูปวัดอยู่คือวัดอะไร
คำตอบคือ มันคือวัด Byodoin นั่นเองครับ วัดนี้เป้นวัดที่ผมตั้งใจจะไปตั้งแต่ครั้งก่อนแล้วครับ
แต่ครั้งที่แล้วที่ไปมันปิดซ่อมครับ ครั้งนี้ผมเลยมีโอกาสกลับไปแก้มือที่นี่อีกครั้งหนึ่งครับ
ซึ่งก็ไม่ได้ผิดหวังเลยครับ.. แม้วันที่ไปเมฆจะเยอะไปซักนิดแต่ว่าก็มีช่วงที่มีแสงส่องมาให้ถ่ายรูปอยู่บ้างครับ
ค่าตั๋วธรรมดานั้นจะสามารถเข้ามาเดินที่สวนและ พิพิธภัณฑ์ แต่ถ้าจะเข้าไปเดินดูในตัววัดนั้น
จะต้องซื้อตั๋วต่างหากครับและจะต้องเข้าเป็นรอบๆไป รอบละประมาณ 40 คนครับ ซึ่งภายในเค้าจะห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด
ศาลเจ้าจิ้งจอก Fushimi Inari
หลังจากเดินเล่นที่วัดเบียวโดอินเสร็จผมก็นั่งรถไฟย้อนไปที่ตัวเมืองเกียวโต
แรกทีเดียวว่าจะไปเดินเล่นที่วัดเงิน Ginkakuji แต่ว่าเห็นสภาพอากาศไม่ค่อยดีเลยเปลี่ยนใจมาที่ศาลเจ้าจิ้งจอก Fushimi Inari แทนครับ
ได้มีโอกาสแวะกินปลาไหลย่างเจ้าดังด้วยครับ ถ้ามาทาง JR ออกจากสถานีแล้วเดินไปทางซ้ายจะเป็นร้านหัวมุมพอดีครับ
แต่ถ้ามาด้วยรถไฟเอกชน ออกจากสภานีเดินไปที่ทางเข้าศาลเจ้าร้านจะอยู่หัวมุมด้านขวาตรงข้ามทางเข้าด้านข้างพอดีเลยครับ
วันที่ผมไปเค้ามีจัดงานวัดกันด้วยครับ คนเยอะมากๆๆๆเลยครับ
ตอนแรกเรียกว่างงเลยว่าทำไมอยู่ๆวันนี้ที่นี่คนเยอะจัง 555 ก็เดินเล่นกันแปร๊บนึงครับ
แล้วก็นั่งรถไฟกลับโอซาก้า และไปซ๊อปปิ้งกันครับ
Kobe Port Tower
วันต่อมาผมเดินทางไปเมืองโกเบกันครับ.. โดยโปรแกรมหลักคือไปกินเนื้อโกเบครับ 555
โดยช่วงเช้าผมไปเดินเล่นในเมืองที่โอซาก้าแถวสถานีรถไฟ Umeda เพื่อรอเพื่อนอีกกลุ่มที่ไปเที่ยวที่ปราสาทโอซาก้าครับ
เพราะว่าการเดินทางไปโกเบเราก็ต้องขึ้นรถไฟไปจากที่สถานี Umeda นี่แหละครับ
หลังจากกินเนื้อโกเบเสร็จผมก็ไปเดินเล่นหามุมภ่ายภาพซึ่งครั้งนี้ผมเลือกที่จะไปที่ Kobe Port Tower ครับ
เพราะครั้งก่อนผมได้ขึ้นเขาไปชมวิวที่ Venus Bridge มาแล้วนั่นเองครับ
Kobe Port Tower เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของเมืองโกเบ ถือเป็นหอคอยแรกที่สร้างขึ้นโดยใช้โครงสร้างหลักเป็นท่อครับ
ซึ่งพอใช้สีแดงทาลงไปมันช่างตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าดีจริงๆเลยครับ จริงๆที่หอคอยนี้สามารถขึ้นไปชมวิวได้ด้วยนะครับ
แต่ผมยังไม่ได้ขึ้นไปครับ ไว้ครั้งหน้าไปคงมีโอกาสขึ้นไปชมวิวจากหอคอยนี้บ้างครับ
มุ่งหน้าสู่หลังคาแห่งญี่ปุ่น เขตจุบุ เมืองทาคายาม่า
วันต่อมาผมมีคิวเดินทางไปยังเมืองทางตอนกลางของญี่ปุ่นซึ่งอยู่ในเขต Japan Alps ครับ
ซึ่งบริเวณโซนนี้ได้ชื่อว่าเป็นหลังคาของญี่ปุ่นครับ และเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ที่ผมจะไปดูงาน Light Up ด้วยครับ
โดยการเดินทางจากโอซาก้าไปนั้นผมเลือกที่จะใช้รถบัสครับ โดยขึ้นจากที่สถานี Namba ที่เดียวกับอาคาร OCAT ที่สำหรับขึ้นบัสไปสนามบินนั่นหล่ะครับ
แม้ว่าตัวสถานีจะเชื่อมกับรถไฟใต้ดิน Namba แต่ผมแนะนำว่าให้ขึ้น JR มาที่นี่ครับจะไม่ต้องเดิน เพราะถ้านั่ง Subway มาจะต้องเดินราวๆ 10 นาทีนู่นเลยครับ
รายละเอียดการเดินทางและการสำรองที่นั่งดูได้จากที่นี่ครับ Nouhibus
ใช้เวลาเดินทางราวๆ 4 ชั่วโมง ผมก็ไปถึงเมืองทาคายาม่าราวๆบ่ายสองโมงครับ
ก็นัดรถที่โรงแรมให้มารับตอน 5 โมงเย็นระหว่างนั้นผมเลยฝากกระเป๋าที่ locker แล้วไปเดินเล่นในตัวเมืองทาคายาม่าครับ
วันที่ผมไปถึงนั้นหิมะลงค่อนข้างหนักเลยครับ
ที่ทาคายาม่านั้นจะมีโซนเมืองเก่าให้ไปเดินเล่นได้ครับ
พวกผมก็ไม่พลาดกัน ตัวเมืองเองไม่ได้ใหญ่มากสามารถเดินถึงได้เลยครับ
จริงๆแล้วที่ทาคายาม่ามีที่เที่ยวหลายที่อยู่ครับ แต่ครั้งนี้ผมมาแค่มาพักในการจะเข้าไปชมงาน Light up ที่ชิราคาวาโกะเฉยๆครับ
คิดว่าคงต้องหาโอกาสกลับมาเยี่ยมที่นี่อีกครั้งแน่ๆครับ
สำหรับที่พักคืนนี้ของผมเป็น Ryokan Murayama ครับเป็นห้องพักไสตล์ญี่ปุ่น แน่นอนว่ามีออนเซนให้แช่ด้วยครับ
การที่เที่ยวหนาวๆมาทั้งวัน การได้มาแช่ออนเซนนี่มันสบายตัวมากๆเลยครับ หลังจากอาบน้ำอาบท่ากันเสร็จเราก็ทานข้าวเย็นกันที่โรงแรมเลยครับ
โดยของขึ้นชื่อของที่นี่คือเนื้อฮิดะครับ อาหารเย็นเซตที่นี่ราคาจะอยู่ราวๆ 2,000 – 3,000 เยน ดูในรูปตอนแรกนึกว่าน้อย
แต่ที่ไหนได้ตอนเสิร์ฟมาเยอะมากๆครับ เรียกว่าคุ้มค่าสุดๆเลยครับ
Shirakawago Light-up
วันต่อมาผมไปรับรถที่เช่าเอาไว้เพื่อเดินทางไปยังหมู่บ้านชิราคาวาโกะครับ
โดยช่วงเช้าทางโรงแรมที่ผมพักจะมี Shuttle Bus บริการมาส่งที่สถานีรถไฟในเมืองครับ
ซึ่งที่ที่ผมเช่ารถก็อยู่ตรงข้ามสถานีนั่นหล่ะครับ ตอนแรกผมเช่นรถไว้ 6 วันเพราะว่าหลังจากนี้จะขับไปนากาโน่ และไปขับรถวนรอบฟูจิซังครับ
แต่หลังจากดูพยากรณ์แล้วอากาศที่ฟูจิปิดครับ เลยตัดสินใจทิ้งห้องที่จองไว้ และลดวันที่เช่ารถเหลือแค่ 3 วันเข้าโตเกียวไปก่อนครับ
ชิราคาวาโกะ อยู่ห่างจากทาคายาม่าไปราวๆ 40-50 กม. ครับ
ขับรถไปชั่วโมงนิดๆก็ถึงครับ สำหรับคนที่เอารถไปนั้นในวันที่มีการจัด Light up เค้าจะห้ามจอดรถในหมู่บ้านครับ
รวมถึงที่จอดรถใกล้ๆ ก็จะกันไว้สำหรัที่จอดรถบัสในช่วงเวลาหลังบ่ายสามโมงด้วยครับ
โดยเค้าจะมีแผนที่ให้เราเอารถไปจอดอีกจุดนึงครับ ซึ่งเค้าจะมีบริการรถ Shuttle Bus จากที่จอดรถไปที่หมู่บ้านถึง 2 ทุ่มครึ่งครับ
พวกผมไปถึงตั้งแต่ตอนที่ที่จอดรถที่ต้องจอดยังไม่เปิด เลยต้องไปจอดที่จุดจอดรถบัสที่เค้าจะให้จอดได้ถึงบ่ายสามก่อน
แล้วค่อยมาย้ายรถอีกทีครับรายละเอียดลองดูได้ที่ http://www.japan-guide.com/e/e5956.html ครับ
อันนี้เป็นภาพระหว่างทางเดินจากที่จอดรถบัสเข้ามาที่หมู่บ้านครับ
วันที่ผมไปหิมะตกเกือบทั้งวันครับแรงบ้างเบาบ้างสลับกันไป นานๆจะมีพระอาทิตย์ออกมาอวดโฉมซักที
จากนั้นผมก็รีบขึ้นไปที่จุดชมวิวเพื่อไปจองที่ก่อนครับ
เป็นทางเดินขึ้นเขาไม่ได้ไกลมากแต่ก็ทำเอาเหนื่อยอยู่ 5555
แต่ระหว่างทางก็มีมุมสวยๆให้ถ่ายภาพเยอะเลยครับ
ด้วยความที่หิมะตกหนักมาก ที่จุดชมวิวบางจุดจะไม่สามารถเข้าไปได้ครับ
เค้าจะมากั้นเอาไว้ เพื่อรอเจ้าหน้าที่มาเคลียร์หิมะให้ก่อนแล้วจึงเปิดให้เราเข้าไปถ่ายรูปได้ครับ
ตรงจุดหลักตอนที่ผมไปถึงเค้าก็ยังไม่เปิดให้เข้าไปครับ ผมเลยตัดสินใจไปตั้งขาอีกจุดหนึ่งแทนครับ
มุมอาจจะสู้ตรงจุดหลักไม่ได้ แต่ก็สวยงามไม่แพ้กันเลยครับ
แต่วันที่ผมไปค่อนข้างน่าเสียดายที่ตอน Lightup ฟ้าเปิดอยู่แค่แป๊บเดียว
หิมะก็พัดถล่มจนมองไม่เห็นภูเขาด้านหน้า เลยได้รูปมาไม่สุดเท่าไหร่
เรียกว่าอยากจจะกลับมาแก้มืออีกครั้งเลยครับ
หลังจากถ่ายภาพเสร็จแล้วตอนแรกว่าจะเดินลงเขาเลยแต่ปรากฎว่าคนเยอะมากๆครับ
เลยไปนั่งทานข้าวก่อนรอคนซาก่อนค่อยลง ปรากฎว่าข้างล่างคนต่อคิวขึ้นรถบัสไปที่จอดรถเยอะมากๆ
ผมไปถึงตอน 1 ทุ่มแต่ได้ขึ้นบัสราวๆ 2 ทุ่มครึ่งนู่นเลยครับ แต่จากที่ถามๆดูหากเรามาเข้าคิวก่อนสองทุ่มครึ่งตามกำหนดเวลา
เค้าจะมีบัสรับส่งจนคนหมดครับ แต่หลัง 2 ทุ่มครึ่งเค้าจะมีคนมากั้นแถวนะครับ
ดังนั้นทำยังไงก็ได้ให้เรากลับมาถึงที่ขึ้นรถบัสภายในกำหนดระยะเวลาครับ รับรองว่าเค้าไปส่งเราถึงที่แน่นอนครับ
มุ่งหน้าสู่นากาโน่เที่ยว Jigokudani Monkey Park ชมลิงหิมะ
วันต่อมาผมขับรถไปที่เมืองยูดานากะในเมืองนากาโน่ ช่วงแรกขับรถลำบากเล็กน้อยก็ต้องขับข้ามภูเขา
และเป็นภูเขาที่มีหิมะตกทำให้ถนนลื่นน่าดูครับ บางช่วงนี้แทบมองทางข้างหน้าไม่เห็นเลยครับ
แต่พอความช่วงที่เป็นภูเขาไปได้ ก็จะเป็นถนนไฮเวย์ขับง่ายครับ
ช่วงเที่ยงแวะกินข้าวที่จุดพักรถพอแดดออกวิวสวยมากๆๆ ครับ
สำหรับการชมลิงหิมะสำหรับคนที่ขับรถไปนั้นสามารถไปจอดรถใกล้ๆกับทางเข้าได้เลยครับพิกัดจะอยู่ตรงนี้ครับ 36.730268, 138.444453
โดยเราจะต้อง เดินเข้าไปอีกประมาณ 1.5 กม.ครับ ซึ่งตรงนี้เป็นหิมะทั้งหมดครับ ทางเดินจะลื่นเล็กน้อย แนะนำให้หาที่รัดรองเท้าที่เป็นเหล็กครับ
จะได้ไม่ลื่นซึ่งที่ร้านค้าก่อนทางเข้าก็มีขายครับ ราคาประมาณ 1,500 เยนครับ และที่นี่อากาศค่อนข้างหนาว วันที่ผมไปอุณหภูมิประมาณ -6 ครับ
แต่ถ้าเราเดินเรื่อยๆก็ไม่หนาวเท่าไหร่ อยากจะเหงื่อออกซะด้วยซ้ำครับ
สำหรับใครที่มาที่นี่ ถ้าได้มาวันที่หิมะตกเนี่ย ถือว่าโชคดีมากนะครับ เพราะพอหิมะตกเนี่ยหิมะจะติดที่ขนลิงเวลาถ่ายรูปออกมาจะสวยมากๆเลยครับ
วันแรกที่ผมไปถึงก็หิมะตกพอดีครับ ผมเลยรีบเข้าไปกัน แต่ถือว่าไปถึงช้าไปนิด เพราะอุทยานเกือบจะปิดแล้วครับ แต่ก็ไม่สนครับเข้าไปก่อน
ก็ได้ภาพมาเล็กน้อยครับ แต่ด้วยความที่ไปตอนเย็นเลยเหลือลิงที่แช่ออนเซ็นไม่มากเท่าไหร่ครับ เลยกะว่าวันรุ่งขึ้นตอนเช้าจะเข้ามาที่นี่กันอีกรอบหนึ่งครับ
เห็นว่าลิงน่ารักๆ และคุ้นกับคน เรียกว่าเดินเฉียดไปเฉียดมาตลอด แต่ว่าลิงก็ถือว่าเป็นสัตว์ป่า
มีความดิบและโหดร้ายอยู่ในตัวนะครับ อย่าได้ไปจับเชียวนะครับ
สำหรับวันนี้ ผมเลือกพักที่โรงแรมใกล้ใกล้กับสถานีรถไฟ เพราะว่าตอนแรก ยังไม่แน่ใจว่าจะขับรถมาที่นี่
เลยเลือกโรงแรมที่ใกล้สถานีรถไฟไว้ก่อน ผมเลือกพักที่ Yudanaka seifuso ที่คุณนุเคยรีวิวไว้ครับ
อยู่ที่ คห. 24 เป็นต้นไปนะครับลองไปดูได้ครับ
พอเช้าอีกวันผมรีบตื่นแต่เช้าเข้าไปที่สวนลิงอีกครั้งครับ
เพื่อที่จะไปเก็บภาพลิงแช่ออนเซ็นครับ ซึ่งส่วนมากลิงจะมาแช่ช่วงเช้าครับ
เพราะมันหนาวจากอากาศเย็นๆมาทั้งคืนครับ แต่น่าเสียดายที่เช้านี้ไม่มีหิมะแล้วครับ
แดดออกเปรี้ยงเลยครับเลยทำให้ได้ลิงแบบไม่มีหิมะบนหัวครับ
แต่ตอนที่ไปผมเห็นช่างภาพญี่ปุ่นคนนึงพอเดินมาถึงจุดที่จะถ่ายลิงแล้ว
เค้าก็แอบกำหิมะก้อนใหญ่มาแล้วโปรยใส่หัวลิงอย่างรวดเร็วเลยครับ แบบว่าแอบตกใจเหมือนกัน..
โดยโปรยใส่เจ้าตัวนี้นี่หละครับ แต่ผมไม่ได้ถ่ายมาเท่าไหร่ เพราะคนญี่ปุ่นคนนั้นเข้าไปแทนที่ที่ผมออกมาแล้วนั่นเองครับ
แบบว่างงเลยว่าลิงตัวที่ผมถ่ายอยู่ก่อนหน้านี้ อยู่ๆหิมะมาจากไหน 555
อันนี้เป็นภาพตอนที่ผมถ่ายก่อนที่คนญี่ปุ่นคนนั้นจะเข้ามาครับ
ปล. แต่ผมไม่แนะนำให้ทำนะครับ เพราะลิงพวกนี้จะนึกว่าเราจะทำร้ายมันครับ
แต่อันนี้คนญี่ปุ่นเค้าโปรยเร็วมาก แถมลิงหลับตาฟินๆแช่ออนเซ็นอยู่ด้วยครับลิงเลยไม่ทั้ยได้ตั้งตัวครับ
จากนั้นผมก็เดินเล่นถ่ายนั่นถ่ายนี่ไปเรื่อยๆจนเกือบๆเที่ยงครับก็ขับรถจาก Nagano เพื่อเข้าโตเกียวครับ
Raining in Tokyo
อย่างที่บอกครับ ตอนแรก โปรแกรมผมขับรถไปถ่ายรูปฟูจิซัง แต่ด้วยความที่อากาศไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่
ผมจึงขับรถเข้าโตเกียวแทนครับ เพื่อไปช็อปปิ้ง และเอาวันที่จะช๊อปปิ้งซึ่งเค้าพยากรณ์ว่าอากาศดีกว่า
ค่อยเช่ารถขับไปฟูจิอีกครั้งครับ สำหรับที่โตเกียวนั้น ผมเลือกที่จะไปพักที่ย่านอะซากุสะ
เพราะเป็นย่านที่ราคาที่พัก ค่อนข้างถูก ตกประมาณ 600 – 800 บาทต่อคนต่อคืนเท่านั้นเองครับ
ตอนแรก ผมว่าจะพักที่ Hostel Khaosan ซึ่งผมเคยพักสาขาซามูไร แต่สาขานี้ตอนนี้ปิดตัวลงไปแล้ว
ส่วนสาขาอื่นๆที่อยู่ใกล้ใกล้กันก็เต็มทั้งหมด ครั้งนี้ผมเลยไปพักที่ Hostel Asakusa Smile ครับ
โรงแรมนี้ จะมีห้องพักอยู่สองตึก ห่างกันประมาณครึ่งกิโลเมตร แต่จะมีที่เช็กอินที่ตึกหลักทีเดียวครับ
โดยรวมแล้วผมว่าที่ Khaosan ดูดีกว่าครับ
Link
Khaosan Hostel
Asakusa Smile
วันแรกในโตเกียวเนื่องด้วยฝนตกผมเลยไม่ได้ไปเที่ยวไหนเท่าไหร่
ผมเลยไปอยู่ตามจุดชุมชนเพื่อถ่าย Time-lapse ครับ
แน่นอนว่าจุดที่ต้องไปคือ 5 แยกชิบูย่า และพอดีกับที่ผมมีนัดพูดคุยกับบริษัทสต๊อคที่ญี่ปุ่น
ซึ่งออฟฟิสเค้าก็อยู่ที่ชิบูย่าพอดีครับ พอคุยเสร็จ ผมก็เลยมาเก็บภาพที่ 5 แยก
ซึ่งผมก็ชอบนะ ได้อารมณ์ดีแปลกดี คนถือร่มเดินข้ามถนนเต็มไปหมดครับ
สัญลักษณ์แห่งโตเกียว Tokyo Tower
แม้ว่าปัจจุบันที่โตเกียวจะมีหอคอยแห่งใหม่ นั่นก็คือ Tokyo SkyTree
แต่สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของโตเกียวผมว่ามันคือ Tokyo Tower นี่แหละครับ
ที่แทนความเป็นโตเกียวได้เป็นอย่างดีที่สุด และหอคอยนี้ยังอยู่ในย่านกลางเมือง
มีวิวและตึกสวยๆ ล้อมรอบอยู่เต็มไปหมด
ถ้าเทียบกับ Tokyo SkyTree นั้นจะอยู่ในย่านชานเมืองครับ
โดยการถ่ายภาพ Tokyo Tower นั้นสามารถถ่ายได้จากหลากหลายมุมในโตเกียว
มุมที่ผมชอบมากที่สุด คือการถ่ายจากตึก World Trade Center ครับ
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบในการปีนตึกถ่ายภาพ ที่โตเกียว เป็นเมืองที่มีจุดชมวิวบนยอดดอย เป็นจำนวนมาก
สามารถเช็คได้จากที่นี่ครับ Tokyo Observation Deck Guide
สำหรับ World Trade Centre เราสามารถนั่งรถใต้ดินมาที่สถานี Daimon ได้เลยครับ
ถ้าเป็น JR ก็ Hamamatsucho Station ครับ
โอไดบะ เกาะที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์
สัญลักษณ์ของโตเกียวอีกแห่งหนึ่งคือ โอไดบะครับ คำว่าไดบะแปลว่า Fort หรือ ป้อมปราการ
ซึ่งในสมัยเอโดะหรือประมาณ 300-400 ปีที่ผ่านมาได้มีการสร้างเกาะแห่งนี้เพื่อป้องกันภัยทางทะเลครับ
จวบจนปัจจุบันได้มีการถมที่ดินอีกจำนวนมากจนเกาะดังกล่าวเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ และมีการสร้างเมืองมากมายในเกาะแห่งนี้ครับ
ซึ่งที่นี่มีจุดชมวิวสวยๆอยู่ที่ Fuji TV Building ครับ
เพียงแต่ที่นี่ตึกจะปิดค่อนข้างเร็วครับคือประมาณ 6 โมงเย็นครับ
แต่ผมไปหน้าหนาวก็ถือว่าเป็นเวลาพอดีๆกับการถ่ายรูปช่วง Twilight เลยครับ
ซึ่ง Hilight ของที่นี่คือวิว Rainbow Bridge และ Tokyo Tower ครับ
แต่จะเห็นว่าปัจจุบันมีการสร้างตึกใหม่ที่กำลังจะมาบัง Tokyo Tower แล้วครับ
เมื่อปีกว่าๆที่ผ่านมามันยังไม่มีเลยครับ แอบน่าเสียดายมุมนี้เหมือนกันครับ
FujiSan 360: Fumoto
หลังจากเที่ยวขำๆในโตเกียวกันไปแล้วก็ได้เวลาในการออกไปล่าวิวสวยๆกับฟูจิซังอีกครั้งครับ
ฟูจิซังเองนั้นเป็นภูเขาไฟที่มีจุดเด่นมากคือเป็นภูเขาไฟเดี่ยวๆที่โผล่ขึ้นมากลางเกาะคิวชู
ต่างจากภูเขาไฟทั่วโลกหลายๆที่ที่มักจะอยู่ในเทือกเขาครับ ทำให้ฟูจิซังถือเป็นภูเขาไฟที่มีเสน่ห์มากที่สุดแห้งหนึ่งในโลกนี้เลยครับ
และด้วยความที่ว่าฟูจิซังสูงเด่นเป็นสง่าขนาดนี้ทำให้ฟูจิซังสามาถเห็นได้จากหลายๆสถานที่ในญี่ปุ่น
โดยทั่วไปเค้าจะมีระยะในการถ่ายภาพกันครับเค้าจะแบงเป็นระยะ 50, 100, 150, 200 กม.จากฟูจิซังครับ
ซึ่งยิ่งระยะที่ไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งถ่ายยากเท่านั้นเพราะเรื่องสภาพอากาศนั่นเองครับ
สำหรับครั้งนี้ผมเลือกที่จะขับรถวนรอบๆฟูจิในระยะ 50 กม.ครับ
โดยออกจากโตเกียวราวๆ ตีหนึ่งเพื่อที่จะไปถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นครับ
เอาจริงๆอาจจะออกซัก ตี 2 ครึ่งก็น่าจะทันครับ
อันนี้ผมออกไปเร็วแล้วไปหากาแฟทานตามร้านสะดวกซื้อเอาครับ
จุดแรกที่ผมไปคือที่เมือง Fumoto ครับ
Fumotopara Camping Ground (35.400852, 138.561156)
เป็นอีกจุดยอดฮิตที่คนไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นกันครับ วันที่ไปได้ทางช้างเผือกติดมาด้วยครับ
ถ้าผมจำไม่ผิดคนที่ไม่ได้มาพักที่นี่ จะเสียค่าเข้า 300 เยนครับ
หลังจากพระอาทิตย์ขึ้น ผมรีบออกไปอีกจุดหนึ่งที่ถนนใหญ่ครับ
ซึ่งอาทิตย์ก่อนที่ผมจะไปนั้นจะเป็นช่วงที่เกิด ฟูจิไดมอนด์ (Fuji Diamond) หรือ
วันที่พระอาทิตย์ขึ้นตรงกลางฟูจิซังเลยครับ
แต่วันที่ผมไปพระอาทิตย์ขยับออกไปนิดนึงหล่ะครับ
โดยวันนั้นจุดที่จะเห็นฟูจิไดมอนด์นั้นจะอยู่อีกจุดนึงที่วิวฉากหน้าไม่สวย
ผมเลยเลือกมาถ่ายตรงนี้แทนครับ
FujiSan 360: Shizuoka
อีกจังหวัดหนึ่งในญี่ปุ่นที่สามารถถ่ายภาพฟูจิซังในระยะใกล้ๆได้ก็คือจังหวัด Shizuoka ครับ
Shizuoka จะอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฟูจิซัง
ซึ่งในหน้าหนาวนั้นสามารถถ่ายภาพได้เกือบทั้งวัน เพราะพระอาทิตย์อ้อมใต้นั่นเองครับ
จุดแรกที่ผมจะไปถ่ายก็คือ ถ่ายฟูจิซังคู่กับรถไฟชิงกังเซนครับ (35.137181, 138.628286)
แต่น่าเสียดายที่ตอนไปถึงฝั่งชิซึโอกะเมฆมาค่อนข้างเยอะครับเลยไม่ได้รูปอย่างที่อยากได้เสียเท่าไหร่ครับ
บริเวณนี้จริงๆแล้วถ้าอากาศดีจะมีมุมให้ถ่ายฟูจิซังสวยๆหลายมุมเลยครับ
ทั้งไร่ชา ทางด่วนช่วง Twilight และด้วยความที่เมืองชิซึโอกะเป็นเมืองอุตสาหกรรม
จึงมีมุมถ่ายภาพฟูจิซังกับโรงงานอุตสาหกรรมสวยๆหลายมุมเลยครับ
แต่อย่างที่บอกครับวันนี้โชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่เมฆนัดกันมารวมตัวที่ยอดฟูจิซังครับ
แต่เท่าที่ทราบในวันนั้นถ้าไปถ่ายจากอีกฝั่งคือฝั่ง 5 ทะเลสาปจะพอถ่ายได้ครับ
สำหรับวันนี้ผมเลือกที่จะพักแถวๆเมือง Fuji City ครับ
เพราะว่าเป็นจุดที่สามารถออกไปถ่ายรูปที่จุดต่างๆไม่ไกลมากครับ
FujiSan 360: Hakone
วันต่อมาผมตื่นแต่เช้าไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นที่ Hakone ครับ
ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดหมายที่ทัวร์มักจะพานักท่องเที่ยวไปกันครับฮาโกเน่จะอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของฟูจิซังครับ
แต่ใครจะมาถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นอาจจะต้องมีรถมาเองครับ เพราะช่วงนั้นยังไม่มีรถสาธารณะไว้บริการนะครับ
อ้อฮาโกเน่ถือเป็นอีกจุดที่อยู่บนที่สูงนะครับ ซึ่งอุณหภูมิแถวนี้จะเย็นมากครับ
ช่วงที่ผมไปถ่ายอุณหภูมิจะอยู่ที่ -4 โดยประมาณครับ
FujiSan 360: Lake Yamanaka
ถ้าเป็นช่วงซากุระบาน หรือช่วงใบไม้แดง แน่นอนว่าในบรรดา 5 ทะเลสาปนั้น
ผู้คนจะมุ่งหน้าไปที่ ทะเลสาปคาวากูชิ กันครับ รวมไปถึงเจดีย์แดงชูเรโตะด้วยครับ
แต่ในหน้าหนาวแล้วจุดที่คนนิยมกันมากที่สุดจะเป็นทะเลสาปยามานากะครับ
ถ้ามาจากโตเกียวแล้วทะเลสาปยามานากะจะถึงเป็นทะเลสาปแห่งแรกครับ
ที่นี่ในช่วงหน้าหนาว ทะเลสาปยามานากะจะกลายเป็นน้ำแข็งครับ ซึ่งก็ถือว่าไฮไลท์สำคัญเลยครับ
ที่นี่ก็เป็นที่ที่ผมตั้งใจจะมามากที่สุดในการมาถ่ายฟูจิซังครั้งนี้ครับ โดยจุดที่ทะเลสาปเป็นน้ำแข็งจะอยู่แถวๆนี้ครับ (35.422914, 138.901475)
ตรงมุมนี้จะมีที่จอดรถให้จอดกันอย่างสบายๆเลยครับ
ด้วยความที่อยากมาที่นี่มาก ผมเลยเดินเล่นที่นี่อยู่นานมากเลยครับ
และมาทริปนี้ผมยังไม่ได้ถ่ายรูปกระโดดเท่าไหร่ เลยบอกคุณเพื่อนที่ไปว่าขอซะหน่อยครับ
FujiSan 360: Lake Yamanaka Panorama View Point
ที่ทะเลสาปยามานากะมีอีกจุดหนึ่งที่เป็นจุดชมวิวครับเรียกว่า Panorama View Point (35.412478, 138.909350)
ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในสิบจุดถ่ายรูปฟูจิซังที่คนนิยมที่สุดเลยครับ
ช่วงที่ผมไปหน้าเรื่องกลายเป็นสีเหลืองทองตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าๆสวยมากๆๆครับ
FujiSan 360: Lake Yamanaka with Goose
อีกจุดที่คนไปเที่ยวทะเลสาปยามานากะนิยมมาคือริมทะเลสาปทางทิศเหนือ (35.428793, 138.858875)
ที่จะมีห่านจำนวนมากอาศัยอยู่ครับ ผมเองก็ไม่พลาดที่จะไปที่นี่เช่นกันครับ
แต่การถ่ายสัตว์บอกเลยว่าไม่ง่ายครับ เราเองอาจจะต้องคอยดูพฤติกรรมมันซักเล็กน้อยถึงจะพอเดาได้ว่ามันจะทำอะไร…
จากนั้นก็เฝ้ารอก็จะมีโอกาสได้รูปสวยๆมาไว้ในครอบครองครับ…
อ้อจุดนี้เป็นอีกจุดที่คนนิยมมาถ่ายภาพช่วงพระอาทิตย์ขึ้นครับ
FujiSan 360: Lake Yamanaka with Fuji Diamond
หลังจากถ่ายภาพริมทะเลสาปกันเสร็จผมก็ไปนั่งกินข้าวครับ
แล้วก็รอดูสภาพอากาศว่าพอที่จะถ่ายช่วงหัวค่ำได้หรือไม่
ซึ่งถ้าโอเคผมเล็งที่จะไปถ่ายวิวเมือง Fujiyoshida แถวๆเจดีย์แดงชูเรโตะครับ
ระหว่างนั้นผมเลยหาออนเซนแช่ครับ
ผมไปที่ Ishiwari no Yu ครับซึ่งที่นี่มีรถบัสมาส่งถึงที่ด้วยครับ
สามารถดูข้อมูลได้ที่นี่ครับ Onsen Around FujiSan มีหลายที่ให้เลือกเลยครับ
หลังจากแช่ออนเซนซักพักปรากฎว่าเมฆเริ่มมากครับ แผนการที่จะถ่ายฟูจิซังช่วงเย็นเลยต้องล้มเลิกไปครับ
แต่ระหว่างที่อยู่ที่ออนเซนผมเห็นป้ายโฆษณาการถ่าย Fuji Diamond รอบทะเลสาปยามานากะ
ซึ่งเย็นวันนั้นก็มีจุดให้ไปถ่ายรูปด้วยครับ ผมเลยไม่รอช้ารีบบึ่งรถไปครับ ไปถึงก่อนช่วงถ่ายแค่ 3-4 นาทีเท่านั้นเองครับ
ไม่มีเวลาไปหาทำเลถ่ายแล้ว เพราะคนมาจับจองที่ถ่ายรูปกันเยอะมากครับ ก็เลยรีบถ่ายเท่าที่จะถ่ายได้มาครับ
และน่าเสียดายที่ตอนพระอาทิตย์เข้าหลังฟูจิเมฆเยอะไปนิดนึงครับ เลยได้ภาพออกแนวฟุ้งๆไปหน่อยครับ
แต่ก็แอบดูลึกลับน่าค้นหาดีครับ 555
หลังจากถ่ายภาพนี้เสร็จผมก็กลับเข้าโตเกียวครับ เพื่อที่จะกลับไทยใวันรุ่งขึ้น
บ๊ายบายเจแปน จนกว่าจะได้พบกันใหม่
ก็เป็นอันว่าจบไปแล้วครับสำหรับทริปต่างประเทศทริปแรกประจำปีของผมครับ
กับทริป Japan Snow หวังว่าเพื่อนๆคงจะชอบกันนะครับ สำหรับค่าใช้จ่ายทริปนี้ไม่รวมค่าช้อปปิ้งจะอยู่ที่ 60,000 บาทครับ
ถ้าไม่นับค่าตั๋วเครื่องบินก็จะอยู่ที่ 43,000 บาทเท่านั้นเองครับ อย่างเพื่อนผมคนนึงที่จองตั๋ว AirAsiaX ทัน ได้ตั๋วไปกลับแค่ 8000 บาท
เท่ากับว่าเค้าใช้เงินไปราวๆ 50,000 บาทกับการเดินทาง 15 วันซึ่งผมถือว่าไม่ได้แพงเลยครับ
เพราะเรื่องกินเราก็กินกันอย่างไม่ประหยัดเท่าไหร่ 555
หวังว่าจะพอเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ เป็นหนึ่งในทางเลือกในการไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงหน้าหนาวนะครับ
มีคนเคยมาพูดกับผมว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเสน่ห์เที่ยวได้ทั้งปี อันนี้ผมเห็นด้วยจริงๆครับ
แต่ละฤดูกาลมันมีความสวยงามแตกต่างกันให้เราไปค้นหาได้ตลอดจริงๆครับ
สำหรับวันนี้ก็ขอลาไปแต่เพียงเท่านี้ครับ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามชมและสวัสดีครับ 🙂
1 Comments
Miziki Miziki
จดบันทึกไว้ จะได้ตามรอยค่ะ