สวัสดีคร้าบบบ เพื่อนๆทุกคน
รีวิวที่ 3 ของปีกันแล้ว ประจำเดือนมีนาคม เมื่อตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผมมีทริปไปล่าเสือสีชมพู ถึงเชียงใหม่ เชียงราย (ดอกนางพญาเสือโคร่ง นั้นเอง) เลยมีโอกาสไปพักที่ DusitD2 Chiang Mai มา 1 คืนเลยขอหยิบมารีวิว เล่าสู่กันฟัง ผมว่าที่นี่ใช้ได้เลยครับ ห้องพักแตกต่างจากในเครือดุสิต สมกับที่แยก เป็น Brand D2 ที่เน้นคนหนุ่มสาวหรือนักธุรกิจที่ต้องมาติดต่อทำธุระกันที่เชียงใหม่ เอาว่าเรามาเดินชมไปพร้อมๆกันกับผมดีกว่านะ ไปครับ
ก่อนจะพาเที่ยวดุสิตดีทูกัน หากสนใจที่นี่ ผมแนะนำเว็บนี้ Traveloka ครับ เว็บนี้มีที่พักเชียงใหม่ค่อนข้างมีหลากหลายให้เลือกครับ และมีทุกระดับด้วยตั้งแต่ 5 ดาวลงมาเลย
และมักจะมีรหัสคูปอง ส่วนลดปล่อยออกมาให้เราได้ใช้จองกันได้เรื่อยๆ ไม่ต้องมีบัตรเครดิตแค่ใช้ Atm ,อินเตอร์เน็ตแบงก์กิ้ง หรือ ไปจ่ายที่เคาน์เตอร์ธนาคาร ก็จองได้ครับลองเข้าไปดูกันนะ
การเดินทางหนนี้อย่างที่เกริ่นไป ผมตั้งใจจะไปล่าเสือให้ได้ หลังจากคิดสารตะดีแล้ว เลยตัดสินใจติดต่อกับทาง Thai Rent A Car ดู สุดท้ายก็ได้รถมาในราคาพิเศษมากๆๆเนื่องจากให้น้องที่เค้าทำงานอยู่เค้าจองให้ เลยได้เป็น คันนี้เลยครับ Pajero Sport พร้อมมาก!!
มีคันนี้อุ่นใจไปได้ทั่วทั้งขึ้นเขาลงห้วยแน่นอน ที่สำคัญ ผมใช้เป็นการรับและคืนต่างสนามบิน คือ รับที่เชียงใหม่ แต่ไปคืนที่ เชียงราย หลังนั่งคิดสารตะดีแล้ว ค่า ส่งรถต่างสาขาราวๆ 2000 นิดๆ กับการไม่ต้องวนกลับมาเชียงใหม่อีกรอบ เพราะจะพลาดถ่ายรูปที่ตั้งใจ เนื่องจากทริปนี้ผมไปกับเพื่อนร่วมทริปด้วยกัน
คุยกันแล้วตกลงปลงใจหารกันดีกว่า เพื่อให้ได้ภาพที่สวยงาม อย่างที่ตั้งใจไว้ เอาล่ะพร้อมแล้วล้อหมุนกันเลย
รับรถกันกันแล้วเนื่องจากวันแรก ตามแผนของเรา ผมตั้งใจจะอยู่ในเมืองเชียงใหม่เพื่อคุยธุระปะปังให้เสร็จก่อน วันรุ่งขึ้นถึงจะออกไปล่าเสือกันต่อ เลยดิ่งไปทำงานจนเสร็จ ก็บ่ายแก่ๆแล้วครับจากนั้นก็เข้าโรงแรมกันเลย ตัวโรงแรมอยู่ไม่ไกลกับถนนคนเดินวันอาทิตย์ ตรง ถนนท่าแพ และใกล้กับเชียงใหม่ ไนท์บาร์ซ่าด้วยเรียกว่าทำเลดีตั้งแต่เริ่มเลยครับ
เข้ามาก็เจอตรงส่วนของ Front ที่รับ Checkin จริงๆเค้ามี Welcome Drink ด้วยนะครับแต่ ผมมาหิวๆเลยกระดกหมดไม่ทันได้ถ่ายเก็บไว้เลย 55 กว้างมากครับ จากภายนอกมองมาไม่รู้เลย
ข้างในจะจัดสีสันให้เข้ากับสีของตัว Brand เราเลยเห็นสีส้มสดใส ตกแต่งเป็นสีหลักโดยรอบเลยทีเดียว
เดินเข้ามาด้านในตรงกลางจะเป็น Bar ขนาดย่อมๆ ที่มีสีสันของสีเหลืองออกทองตกแต่ง ที่นี่จัดแสงได้ดีมากครับ เล่นกับ Lighting ได้ดีทีเดียว
ตัวบาร์เอง เรามีโอกาสได้ลองสั่ง Cocktail มาทานกันดู
หน้าตาก็ดีพอๆกับรสชาติเลยนะครับ ลีลาการผสมเองก็ไม่ใช่ย่อยเลยสมกับที่บาร์เทนเดอร์ ได้รับรางวัลมาแล้ว
เถิบเข้ามาด้านในจะเป็นห้องอาหาร “Moxie” เป็นห้องอาหารแบบรับประทานแบบ All Day คือตั้งแต่มื้อเช้าไปจนค่ำเราอยู่ที่ห้องอาหารนี้ได้เลย ภายในค่อนข้างโปร่งโล่งดีทีเดียวล่ะ
ไหนๆเข้ามาแล้วลองมาดูอาหารที่เราทานกันสักมื้อ เน้นๆเลยน่าจะเป็นมื้อเช้า เพราะโรงแรมทุกแห่งค่าห้องจะรวมมื้อเข้าไว้ด้วยแล้ว เพราะงั้นค่าห้องคุณๆจะได้อาหารมื้อเช้าแบบไหนไปดูกัน
หลักๆ ที่นี่ตอนเช้าจะเป็นบุฟเฟ่ต์อยู่แล้ว เท่าที่ผมสำรวจดู เด่นๆจะเป็นโซนสลัด และก็พวกของหวานครับ แต่อาหารคาวและเครื่องดื่มก็มาตรฐาน 4 ดาว ปรกติไม่เด่นมากแต่ไม่แย่แน่นอน ส่วนของ Egg Station ก็รวมไว้ครบดี ครับ ไส้กรอกดูน้อยไปนิดนะ แต่ที่มีก็รสชาติผ่านครับ
ไหนๆดูอาหารแล้วผมพาไปต่อที่ Club Lounge ชั้น 7 กันดีกว่า ที่ DusitD2 มีชั้นพิเศษสำหรับใครที่จองห้องพัก ตั้งแต่ Club Deluxe ++ ขึ้นไปใช้ Lounge ฟรี ได้เลย
ตัว Club Lounge ก็ไม่ธรรมดาครับ หากเราพักตามเงื่อนไขที่บอกไป เราไม่จำเป็นต้อง Check-in ด้านล่างสามารถขึ้นมาที่ชั้นนี้ และ ทั้งCheck in-out ได้เลย
และยังมี รายการฟรีอีกหลายอย่าง เช่นอาหารว่าง เครื่องดื่มฟรี Wifi ฟรี ส่วนลดสำหรับการซักรีด และที่เด็ดสุดๆคือ ฟรีมินิบาร์ ให้ไวน์และเบียร์ฟรีไม่อั้น !!
เด็ดจริงไรจริงครับ
ห้องที่เราพักโชคดีมากอยู่ติดกับ Club Lounge เลย เป็น Type Club Deluxe เพราะงั้นเงื่อนไขตรงทุกประการ เราก็เลยใช้มันครบเบย 555
มินิบาร์ที่นี่ของว่างพอประมาณครับ
แต่ที่จัดเต็มคือเครื่องดื่ม มีไวน์ เบียร์และเครื่องดื่มพวกน้ำอัดลม พร้อมเสริฟไม่อั้น ในช่วง ตั้งแต่ 17.00-19.00น.ถือเป็น pre-dinner drinks ให้กับแขกดีๆเลยครับ
และไหนๆแล้วผมพาชมอาหารต่อเลยดีกว่า เรามีโอกาสชิมมื้อค่ำที่โรงแรม และก็ขอให้ทางโรงแรมช่วยเลือกเมนูเด็ดๆมาให้เราหน่อย ผลออกมาก็มีตามนี้เลยครับ
จานแรกเป็นสปาเก็ตตี้ไส้อั่วเสริฟพร้อมกับแคบหมู อันนี้แปลกแต่อร่อย ครับ ไม่เคยกินมาก่อนเลย มีไวน์แดงเสริฟพร้อมกันด้วยนะหากเราต้องการ
ต่อด้วย ซี่โครงหมูอบ เสิร์ฟกับมันเทศหวานบด และส้มตำรสชาติของซี่โครงจะหมูจะเค็มเจอซอลเปรี้ยวเล็กน้อยกำลังดี ผสมกับส้มตำรสเปรี้ยวเผ็ดจะกลมกล่อมใช้ได้
และ อันนี้ลูกครึ่งหิวชั่นญี่ปุ่นผสมผสานกันกำลังดี เป็นปลาทูน่าห่อด้วยสาหร่าย เสิร์ฟกัมะม่วงซัลซ่า
ตบท้ายด้วย
พิตาซิโอมูส เสิร์ฟกับเชอร์รี่ซัลซ่า ตัวซัลซ่าทำได้หลายแบบทั้งหวานและคาว
ของหวานน่าตาดีมาก ชิมแล้วไม่หวานเกินและหอม ดีครับผมชอบเมนูนี่สุด ตรงมูสนี่นุ่มละมุนมาก
อิ่มกันได้ที่ถึงเวลาพาไปนอนกันแล้วเนอะ 55 เข้าห้องกันดีกว่า
อย่างที่บอกห้องเราอยู่ในชั้น 7 ติดกับ Club Lounge ห้องที่เราได้เข้าพักจะเป็น Type Studio Suite ครับ ขนาดเริ่มที่ 64 sqm. ขึ้นไป ติดกับ Lounge เลย เปิดห้องไปก็ประทับใจแล้วละครับ
ห้องกว้างและแบ่งออกมาเป็นห้องนั่งเล่น และห้องนอนด้วย
ส่วนของห้องนั่งเล่น ตกแต่งด้วยสีสันตาม Concept ของโรงแรม เน้นสีสันในแบบ พาสเทลเป็นหลัก
และไอ้ที่เก่ๆ เลยคือที่โต๊ะทำงานมี Secret Box ที่แต่ละวันจะเอาขนมของทางภาคเหนือใส่ไว้ไม่ซ้ำกันด้วย น่ารักดีถือเป็น Gimmick เล็กๆทีดีเชียวล่ะ
มี โซฟาวางยามเลียบไปริมหน้าต่าง ตอนเย็นๆแบบนี้แสงฟ้าเข้ามาสวยงามทีเดียวละครับ
มาดูโซนห้องนอนบ้าง ใช้เป็นประตูบานเลื่อนกั้นไว้
และที่สำคัญ มี LCD TV ให้ด้วยทั้งสองห้องเลย
ห้องถือว่าใช้ได้หมอนกำลังดีไม่เยอะไม่น้อย แต่นอนแล้วก็ดูดวิญญาณไม่แพงโรงแรมอื่นเช่นกันหมอนเป็นหมอนขนเป็ดตามเทรนครับ
ถัดมาด้านซ้ายของห้องเป็นห้องน้ำที่มีส่วน Connecting กับห้องแต่งตัวได้เลย
ห้องน้ำกว้างดีมากครับ มีอ่างอาบน้ำให้นอนแช่สบายอารมณ์ดีเลยทีเดียว
ต่อกันเป็นห้องแต่งตัว จัดแยกแบ่งเป็นซ้ายขวา มากันเป็นคู่ไม่ตีกันแน่นอนจ๊ะ
รวมๆผมชอบห้องนี้นะครับ มันกว้างกำลังดี ไม่แคบ ตกแต่งสไตล์ ทันสมัย ตามเทรนคนรุ่นใหม่
อิ่มกันขนาดนี้ หากคุณๆอยากจะเบริน์ออกบ้างที่นี่เค้าก็มี ฟิตเนสให้สามารถมาออกกำลังกันได้และตกแต่งเก๋ดีทีเดียวครับ ชื่อ “DFiT Fitness Centre”
อุปกรณ์ครบครันดีเลยเชียวละ
ผมชอบการตกแต่งเค้านะครับ มีความทันสมัยผสมผสานกันดี อย่างผนังที่ใช้หินมาตกแต่งชวนให้นึกถึงรีสอร์ท ที่ผมเคยไปมาเลย
หากยังไม่หน่ำใจ เบริน์ยังไม่พอ ถัดออกมาอีกชั้นจะมี สระว่ายน้ำขนาดกำลังเหมาะกับโรงแรมอันนี้ของชมเลยว่าขนาดของโรงแรมไม่ได้ใหญมากแต่เค้าจัดการพื้นที่ วาง Facilities ต่างๆให้แขกได้ครบถ้วนดีนะครับ สีร่มแดงเด่นเชียวละครับ
ได้เวลาสปา
จบห้องพักผมพามาดูสปากันต่อ สปาที่นี่ชื่อว่า “เทวารัณย์ สปา”
เอาละมาชมภายในกันครับ
เข้ามาก็เป็นห้องรับรองกันก่อน สวยงามตามแบบสปาชั้นดี
ห้องสปาที่นี่มีทั้งแบบห้องเดี่ยวและแบบห้องคู่ ไว้รองรับ สำหรับสปาที่นี่แต่ละห้องจะตั้งชื่อตามชื่อของสวรรค์ทั้ง 7 ชั้น เช่นห้องที่เราจะเข้าไปชมใช้ชื่อว่า “ห้องนิมมานรดี” เป็นชื่อสวรรค์
ห้องที่เราเข้าไปชมจะเป็นห้องคู่ห้องใหญ่สุดของที่นี่
สำคัญที่ห้องนี้นอกจากเตียงคู่แล้วยังมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ ให้ด้วยสามารถทำ วารีสปาด้วยได้เลย
จบจากสปาผมอยากจะพาทุกๆคนมาปิดท้ายกันที่ โซนด้านหน้าของโรงแรม เป็นทั้งลานเบียร์และลานกิจกรรมแบบ Out Door ของโรงแรมด้วย
บรรยากาศยามเย็นในวันที่สายลมแห่งเหมันต์ยังไม่ผ่านไปดี ทำให้ตรงนี้น่านั่งมาก
ตกแต่งง่ายๆ และที่สำคัญอยู่ชิดติดกับ ถนนไนท์บาร์ซ่า ด้วยเดินชิลๆช้อปของกันได้เลย
สรุปกันซักนิด
รวมๆผมค่อนข้างประทับใจนะครับกับที่ DusitD2 Chiangmai ถือเป็นอีกโรงแรมที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีทั้งใกล้ ถนนคนเดินวันอาทิตย์และใกล้ตลาดไนท์บาร์ซ่า ระดับเดิน 10 ก้าวถึงแล้ว ส่วนของห้องที่ผมพัก ดีทีเดียวตกแต่งเท่ สวยงาม เอาใจคนรุ่นใหม่และน่าจะตรงกับ Target ของโรงแรมดีทีเดียว
ส่วนของอาหารไม่เลวเลยทีเดียวมีอาหารที่หลากหลายดี ประมาณนึง รสชาติก็แบบไทยๆเลยไม่เอาใจฝรั่งแน่นอน ที่ผมชอบสุดคือ ตรง Club Lounge ที่มีเครื่องดื่มเสริฟแบบใจกว้างเลย ใครอยากนั่งสังสรรค์ นี้แจ๋วเลย ส่วนของ อาหารเช้าที่นี่ใช้ได้ครับ มารตฐาน แต่อยากให้เพิ่มอาหารเมนูที่น่าจะเป็น Hilight ไว้สักหน่อย เดี๋ยวนี้บางโรงแรมเค้าให้เมนูประจำท้องถิ่นเข้ามาแจมด้วยแล้วเพิ่มความประทับใจให้กับแขกดีครับ
สรุปเลยว่าถือเป็นอีกโรงแรมที่ทำเลดี ราคาอาจจะสูงในบางช่วงเวลาแต่ถ้าหาโปรตอนช่วงออกงานไทยเที่ยวไทยได้ ก็ถือว่ามาพักกันได้ครับ ใครไม่อยากพลาดก็เข้าไปดูโปรดีๆกันได้ที่ แฟนเพจของ DusitD2 กันครับกดตาม link ไปเลยนะ
ก่อนจาก ขอหยิบเอาภาพจาก รีวิวหน้ามาแพมให้เห็นกันหน่อย ภาคสองของรีวิวนี้จะพาไปชมแหล่งเที่ยวชมดอกไม้สีชมพู หลายที่ทั้งแหล่งใหม่และเก่าแต่ก็ยังน่าไปทุกครั้ง ดอกไม้ที่ใครๆทั้งโลกก็ต่างตกหลุมรัก กันทั้งนั้น แม้บ้านเราจะไม่ใช่สายพันธ์ตรงๆแบบซากุระเดียวกับของญี่ปุ่นเค้าก็ตาม แต่ก็ต้องถือว่าเป็นหนึ่งใน Hilight ระดับประเทศเช่นกันนะคร้าบบบ ลากันตรงนี้ก่อนจะพบกันใหม่นะคร้าบบ
สวัสดีครับ ^_^
1 Comments
ลุ้ย
น่านอนมากจริงๆ