Journey of Western Europe
Episode 2 Spain Part 3 Madrid Zaragoza Barcelona
ความเดิมตอนที่แล้ว…
–> Portugal Part 1 Lisbon Sintra
–> Portugal Part 2 Tomar Port
–> Spain Part 1 Toledo Segovia
–> Spain Part 2 Cordoba Seville
สวัสดีเพื่อนๆอีกครั้งครับ สำหรับวันนี้ก็จะเป็นตอนสุดท้ายของการเดินทางในสเปนแล้วนะครับ
ซึ่งหลังจากสองตอนแรกที่ผมได้พาเพื่อนๆไปเที่ยวสเปนในภาพของอดีตในเมืองโบราณต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น โทเลโด ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของสเปนมาก่อน ชม Mezquita ที่เป็นทั้งมัสยิดและโบสถ์ร่วมกันในเมืองคอร์โดบา
พาไปเที่ยวเซบีย่าเมืองที่มีส่วนของเมืองเก่าที่ใหญ่ที่สุดในสเปนและเป็นอันดับสามในยุโรป
ในตอนสุดท้ายนี้ผมจะพาเพื่อนๆกลับมาเที่ยวเมืองใหญ่ของสเปน ไม่ว่าจะเป็นมาดริดซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองหลวง
และบาเซโลน่าที่เป็นเมืองหลวงของแค้วนคาตาลัน ซึ่งมีความพยายามในการแยกตัวไปปกครองตนเองอยู่ครับ
แต่ในความเป็นเมืองสมัยใหม่นั้นก็ยังคงแฝงไว้ถึงความงดงามในอดีตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละเมืองครับ
เอาล่ะครับ ไปรับชมพร้อมๆกันเลยดีกว่าครับ
มุ่งหน้าสู่ Madrid
หลังจากผมอยู่ทางใต้มาสามวันที่เมืองคอร์โดบาและเซบีย่าในวันที่ 6 ของการเดินทางในสเปน
คราวนี้ก็ถึงคราวที่ผมจะย้อนกลับขึ้นไปเที่ยวทางตอนกลางและตอนบนของสเปนอีกครั้งครับ
โดยที่วันที่ออกเดินทางก็เหมือนเดิมครับ ขับรถย้อนเส้นทางเดิม แค่วันนี้ไม่ได้แวะที่คอร์โดบาเท่านั้นเองครับ
ก็ใช้เวลาขับรถจริงๆประมาณ 6-7 ชม. เพราะมีแวะเข้าห้องน้ำด้วยครับ
แล้วก็ตอนขับรถออกจากเซบีย่าแล้วแวะห้องน้ำพบว่า ยางรถผมอยู่ๆก็แบนครับ
ตอนนั้นวัดลมยางได้แค่ 15 PSI เท่านั้นเองครับ เรียกว่าขับเร็วๆนี่เสี่ยงต่อยางระเบิดมาก
ก็แอบงงๆว่าลมยางมันหายไปไหน เพราะวันที่ได้รถมาเท่าที่ดูยางก็ยังปกติดีอยู่
ก็เลยเติมลมไปครับ แต่ว่าที่ยุโรปเค้าไม่ได้ใช้หน่วยวัดเป็น PSI ครับเค้าใช้เป็น BAR
ซึ่ง 1 BAR จะเท่ากับราวๆ 15 PSI ครับ ตอนเติมตอนแรกแอบงง ไปเข้าใจว่า 1 BAR คือ 10 PSI
จนเกือบจะเติมลมยางเกินซะแล้ว 555
สำหรับมาดริดนั้นผมมีเวลาอยู่ที่นี่ 2 คืนครับ (แอบรู้สึกว่าน้อยไปหน่อย)
ซึ่งผมเน้นการเดินเที่ยวในย่านกลางเมืองครับ ซึ่งถ้าจัดคอร์สเร่งด่วนเที่ยวแบบชะโงก 2 วันก็พอได้ครับ
แต่สำหรับผมที่เน้นไปถ่ายภาพจริงๆแล้วถ้าจะเที่ยวให้ครบๆซัก 3-4 วันน่าจะกำลังดี
อันนี้คือจุดเที่ยวที่ผมได้ไปมาในทริปนี้ครับ โดยผมพักที่โฮสเทลที่ SOL เลยครับ
Madrid SOL
GPS : N40°25.01778 W003°42.21042
Metro Station : SOL
สำหรับที่ Madrid นั้นผมพักที่โฮสเทล Pensión Apolo XI ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองที่ย่าน SOL เลยครับ
เดินแค่ 100 เมตรก็ถึงสถานีรถไฟใต้ดินหล่ะครับ ซึ่งที่พักที่นี่ถือว่าโอเคเลยครับ และราคาถูกมาก
3 คนสองคืนอยู่ที่ 90 EUR หรือประมาณ 4,000 บาทในตอนนั้นหรือคนละ 670 บาทต่อคนต่อคืนเท่านั้นเองครับ
แต่ผมพลาดไปอย่างหนึ่งคือเรื่องที่จอดรถที่โรงแรมไม่มีที่จอดรถให้
ผมต้องไปจอดที่จอดรถสาธารณะ ซึ่งกลางเมืองแบบนี้แพงนรกแตกมากครับ (ตอนดูในเว็บมันบอกว่าวันละ 1x EUR)
แต่ผมเจอค่าจอดไปวันละ 32 EUR จอดสองวันเจอไป 64 EUR เกือบๆ 3,000 บาท
เรียกว่าแพงที่สุดเท่าที่ผมเคยจอดมาหล่ะครับ
คุยกับเพื่อนที่ไปด้วยก็ก็ว่าผมพลาดไปนิดนึงที่ตอนมาจากโปรตุเกสควรเที่ยวมาดริดก่อนเลย
แล้วค่อยเอารถเพื่อไปเที่ยวเมืองอื่นๆ ก็ถือว่าจำไว้เป็นบทเรียนหล่ะครับ T___T
สำหรับที่ย่าน SOL นั้นก็เป็นเหมือนย่านกลางเมือง
ถ้าให้เปรียบก็คืออนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิที่บ้านเรานั่นหล่ะครับ
กม. 0 ของประเทศสเปนก็อยู่ที่นี่ครับ ที่กลางจตุรัสจะมีอนุเสาวรีย์ของ King Carlos III อยู่ครับ
แต่ที่ยุโรปในย่านกลางเมืองเก่านั้นส่วนมากจะเป็นจตุรัสให้คนเดินมากกว่าที่จะเป็นถนนครับ
คนมาเดินเล่นกันมหาศาลมากๆ และในจตุรัสนี้จะมีรูปปั้นหมีพู เอ้ยยย หมีปีนต้นไม้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกรุงมาดริดนี่แหละครับ
และที่จตุรัสนี้เองก็เป็นจุดที่คนในกรุงมาดริดใช้ในการเฉลิมฉลองงานต่างๆครับ
อย่างงาน Countdown ก็จัดขึ้นที่นี่เช่นกันครับ
Temple of Debod
GPS N40°25.44108 W003°43.06386
Metro Station – Plaza de España
สำหรับวันแรกที่ผมไปถึง Madrid ผมไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน เนื่องจากขับรถมาทั้งวันครับ
พอเช็คอินเสร็จก็พักแป๊บนึงแล้วออกไปถ่ายรูปช่วงเย็นๆเลยครับ โดยวันนี้ผมแพลนไปที่ Temple of Debod ครับ
Temple of Debod จะตั้งอยู่ตรง Oeste Park ครับโดยสามารถนั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่ Plaza de España ได้เลยครับ
จริงๆแล้วที่สถานีก็เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวครับคือ Plaza de Espana ตามชื่อสถานีนั่นหล่ะครับ
แต่ผมไปถึงช่วงเย็นที่ค่อนข้างย้อนแสงแล้วผมเลยยังไม่ได้แวะเที่ยวครับ เดินย้อนขึ้นไปที่ Temple of Debod ก่อนครับ
Temple of Debod เป็นวัดอียิปต์โบราณครับ
จริงๆแล้ววัดนี้เดิมทีเดียวตั้งอยู่ที่ทางใต้ของกรุง Aswan ในประเทศอียิปต์
แต่เมื่อมีการสร้างเขื่อนในเมือง Aswan ทำให้วัดดังกล่าวจะจมลงอยู่ใต้น้ำ
ทำให้ทางการอียิปต์ได้ยกวัดดังกล่าวให้กับสเปน
เพื่อเป็นการตอบแทนที่สเปนเคยช่วยปกปักษ์รักษาวัดอีกแห่งของอียิปต์เอาไว้ครับ
โดยที่ทางอียิปต์ได้มีการแยกชิ้นส่วนของวัดนี้และส่งมาที่สเปน
และได้มีการสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งครับ
ทำให้วัดแห่งนี้เป็นเสมือนสัญลักษณ์ความสัมพันธ์อันดีของประเทศสเปนและประเทศอียิปต์นั่นเองครับ
แต่การที่ผมมาที่ Temple of Debod จริงๆแล้วเป้าหมายหลักไม่ใช้การมาชม Temple of Debod หรอกครับ
แต่ว่าที่ตั้งของวัดนี้มันอยู่บนเนินเขาครับ ซึ่งจากริมเนินมันจะมองเห็นพระราชวังนั่นเองครับ
ผมก็มารอเพื่อที่จะเก็บแสงเย็นที่นี่แหละครับ แต่จากภาพที่ผมถ่ายมาที่ดูเว่อร์วังอลังกาลนั้นไม่ใช่ส่วนของพระราชวังนะครับ
แต่เป็นโบสถ์ครับ Almudena Cathedral ซึ่งเป็นโบสถ์ของวังที่ใช้ในงานพระราชพิธีของราชวงศ์นั่นเองครับ
ส่วนตัววังคืออาคารทรงสี่เหลี่ยมที่เห็นด้านล่างครับ
วังเห็นเล็กๆแบบนี้แต่ภายในนี่อลังกาลมากๆนะครับเรียกว่าแวร์ซายน์นี่ชิดซ้ายไปเลยครับ
ซึ่งผมเองมีแพลนที่จะไปเยี่ยมชมวังในวันรุ่งขึ้นครับ
Royal Palace of Madrid
GPS : N40°25.07796 W003°42.8598
Metro Station : Opera
Ticket : 10 EUR (2014)
วันรุ่งขึ้นช่วงเช้าผมก็ไปเดินชมพระราชวังของกรุงมาดริดกันครับ โดยการเดินทางก็ไม่ยากอะไรครับ
นั่ง Metro ไปลงที่สถานี Opera ครับแล้วเดินไปทางทิศตะวันตกอ้อมโรงละครโอเปราไป
จะผ่าน Plaza de Oriente เป็นสวนที่อยู่หน้าวังครับ
รูปทรงของวังจะเป็นสี่เหลี่ยมครับดูจากภายนอกแล้วไม่ได้เริ่หรูอลังกาลเท่าไหร่
พอเข้าไปด้านในจะเป็นลานกว้างๆครับไว้สำหรับทำพิธีต่างๆครับ
โดยที่อยู่ติดกันจะเป็น Almudena Cathedral ครับ
วังแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยอย่างเป็นทางการของราชวงศ์ของสเปนในกรุงมาดริดครับ
แต่ปัจจุบันนั้นใช้เพียงสำหรับการประกอบพิธีต่างๆของ King Felipe VI เท่านั้นครับ
โดยราชวงศ์นั้นปัจจุบันไปอาศัยอยู่ที่ Palacio de la Zarzuela ครับ
โดยทั่วไปแล้วพระราชวังนี้เปิดให้เข้าชมทุกวัน ยกเว้นมีพระราชกรณียกิจครับ
ซึ่งถ้าให้เปรียบกับบ้านเราก็คือพระบรมมหาราชวังที่วัดพระแก้วนั่นหล่ะครับ
สำหรับวังนี้ถ้านับเฉพาะพื้นที่วังแล้วถือเป็นวังที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปเลยครับ
การตกแต่งภายในต้องบอกว่าสวยงามอลังการมากๆไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพ
การแกะสลักล้วนอ่อนช้อยสวยงามอย่างมากครับ และที่สำคัญผมรู้สึกว่าวังแห่งนี้ยังเป็นวังที่มีชีวิต
ต่างจากพระราชวังอื่นๆหลายๆที่ที่ได้ไปชมมาเช่น พระราชวังแวร์ซายน์ที่แม้จะสวยงาม
แต่ที่นั่นมันดูไม่มีชีวิตเท่าไหร่… ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะพระราชวังมาดริดนั้นยังใช้งานอยู่จริงๆ
แม้จะไม่ได้เป็นที่อยู่อาศัยในปัจจุบันแล้วก็ตาม จึงต่างจากวังในประเทศอื่นๆ ที่ดูเป็นพิพิทธภัณฑ์มากกว่าดูเป็นที่อยู่อาศัยครับ
แต่น่าเสียดายที่พระราชวังนี้ห้ามถ่ายรูปอย่างเด็ดขาดครับ
จริงๆผมก็อ่านข้อมูลที่คนเคยรีวิวมาแล้วหล่ะครับ
แต่วันไปก็เสี่ยงเอาเพราะเค้าไม่ได้มีป้ายห้ามอย่างเป็นทางการ
ผมถ่ายมาได้ 1 รูปตรงบันไดทางขึ้นวัง เพราะเห็นหลายๆคนถ่ายภาพ เลยเอาบ้าง
ซึ่งพอขึ้นไปบนบันไดปุ๊บ ก็มีเจ้าหน้าที่ของวังมาแจ้งทันทีครับว่าที่นี่ห้ามถ่ายรูป
เลยไม่สามารถเอาภาพสวยๆจากในวังมาฝากเพื่อนๆได้ครับ
แต่ผมยังคงยืนยันอยู่ว่า พระราชวังที่นี่เป็นวังที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลยครับ
ถ้าใครมีโอกาสไปที่สเปนที่มาดริด ต้องบอกว่าเป็นสถานที่เที่ยวต้องห้ามพลาดเลยครับ
อ้อจริงๆแล้วหลังพระราชวังจะมีสวนให้เดินด้วยนะครับ
แต่จะไม่ได้ใหญ่เท่าสวนที่แวร์ซายน์ครับ
ตอนเดินออกมาจากวังแวะถ่ายรูป Almudena Cathedral มาอีกรูปนึงครับ
จริงแล้วที่ Almudena Cathedral ก็สามารถเข้าไปชมได้นะครับเปิด 10:00-14:30 ทุกวันยกเว้นวันอาทิตย์ครับ
Plaza de Espana
GPS N40°25.40238 W003°42.73428
Metro Station – Plaza de España
หลังจากเดินเที่ยวที่วังเสร็จผมเดินต่อไปทางเหนือของวังประมาณ 200 เมตรก็จะเป็นที่ตั้งของ Plaza de España
ที่ผมผ่านมาเมื่อวานแต่ยังไม่ได้ถ่ายรูปครับ วันนี้เลยแวะมาเพื่อมาเก็บภาพนิดนึงครับ
Plaza de España ตั้งอยู่ปลายสุดถนน Gran Via ซึ่งเป็นถนนชื่อดังเก่าแก่และเป็นแหล่ง Shopping สำคัญของกรุงมาดริดครับ
ตรงกลางจตุรัสจะมีรูปปั้นของ Miguel de Cervantes Saavedra ซึ่งเป็นนักกวีผู้เขียนบทประพันทธ์ และบทละครชื่อดังของสเปนครับ
Plaza Mayor
GPS N40°24.93168 W003°42.44508
Metro Station – Opera / SOL
บริเวณใกล้ๆกับ SOL จะมีจตุรัสชื่อดังอีกที่หนึ่งคือ Plaza Mayor ครับ
ซึ่งจตุรัสนี้สร้างตั้งแต่สมัย King Phillip III ในราวๆปี 1600 เพื่อเป็นศูนย์กลางทางการค้าของกรุงมาดริดครับ
โดยจตุรัสนี้จะมีตึกเก่าสามชั้นล้อมรอบอยู่โดยหันหน้าเข้ากลางจตุรัสทั้งหมด 237 ห้อง
ซึ่งจตุรัสแห่งนี้ถูกเปลี่ยนชื่อไปมากมายหลายครั้งตามเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสเปนครับ
โดยชื่อแรกสุดชื่อว่า Plaza del Arrabal
แล้วก็เปลี่ยนเป็นชื่อ Plaza de la Constitución ในช่วงการทำรัฐธรรมนูญของสเปน
ซึ่งระหว่างนั้นก็มีการเปลี่ยนใช้ชื่อหลายชื่อมากอาทิ Plaza Real, Plaza de la República
จนสุดท้ายมากลายเป็นชื่อ Plaza Mayor หลังจากจบสงครามกลางเมืองในปี 1939 ครับ
อ้อรูปปั้นกลางจตุรัสที่เห็นนั้นเป็นรูปปั้นของ King Phillip III ครับ
Botin Restaurant , the oldest Restaurant in the world
GPS N40°24.85572 W003°42.46956
Metro Station – Opera / SOL
จาก Plaza Mayor เดินทางมาทางใต้ประมาณ 200 เมตร
เราจะเจอกับร้านอาหารที่เก่าที่สุดของโลกตั้งอยู่ครับ
โดยคำว่าร้านอาหารที่เก่าที่สุดของโลกนั้นทาง Guinness World Records
ให้การรับรองและให้คำจำกัดความว่าเป็นร้านอาหารที่เปิดและยังไม่เคยปิดตัวลงเลยจนกระทั่งปัจจุบันครับ
ซึ่งปัจจุบันยังมีการใช้งานเตาแบบดั้งเดิมตั้งแต่เปิดร้านในปี 1725 อยู่ครับ
ราคาอาหารที่นี่ก็ไม่ได้แพงแบบเวอร์วังครับ
แต่ผมไม่ได้ทานเพราะคนต่อคิวยาวมากๆครับ
ที่หน้าร้านเค้าจะมีโมเดลของภายในร้านด้วยครับน่ารักเชียว
Madrid, the Capital of Protest
ช่วงบ่ายเพื่อนผมคนนึงกลับไปนอนพักที่ห้องเนื่องจากหลังเดี้ยงจากการแบกกล้องเที่ยวมาตลอด 2 อาทิตย์ครับ
ส่วนผมก็เดินเก็บภาพในเมืองไปเรื่อยๆครับ
จนประมาณ บ่ายสามโมงผมนั่ง Metro ไปที่ Banco de España เพื่อเตรียมไปหามุมถ่ายภาพช่วงเย็น
ผมก็เจอกลุ่มคนมารวมตัวประท้วงกันครับ
สเปนนั้นได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีการประท้วงกันมากที่สุดในโลก
มากจนมีคนตั้งสมยานามเก๋ๆให้ว่า the Capital of Protest กันเลยทีเดียวครับ
ซึ่งผมอยู่ที่สเปนมา 2 อาทิตย์ในวันเสาร์ทั้งสองวันที่อยู่ผมก็เจอการประท้วงตลอดครับ
ซึ่งในช่วงที่ผมไปมีกลุ่มชนกลุ่มหนึ่งที่ต่อต้านราชวงศ์สเปนครับ
พยายามประท้วงและรณรงค์ให้เกิดการทำประชามติเกี่ยวกับราชวงศ์ว่าจะไม่เอาราชวงศ์อีกต่อไปครับ
แต่เท่าที่ทราบการประท้วงนั้นก็ยังไม่สำเร็จครับ ยังคงไม่เกิดการทำประชามติในเรื่องดังกล่าว
Plaza de Cibeles
GPS : N40°25.1601 W003°41.59602
Metro Station : Banco de España
หลังจากไปถ่ายรูปกลุ่มที่เค้าประท้วงกันแว๊บนึงผมก็เดินต่อไปที่ Plaza de Cibeles
เพื่อสำรวจมุมที่จะถ่ายภาพช่วงเย็นครับ เพราะเอาจริงๆแล้วที่มาดริดมีมุมให้ถ่ายภาพเยอะมากแต่ผมมีเวลาแค่ 2 คืน
เลยพยายามหามุมที่จะถ่ายภาพได้เยอะนิดนึงครับ
ที่ Plaza de Cibeles จะมี Landmark ที่สำคัญของกรุงมาดริดคือ The Cybele Palace และ Cybele’s Fountain ครับ
ตัว The Cybele Palace นั้นเดิมทีเป็นไปรษณีย์กลางของมาดริดครับ
ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ในย่าน SOL และเปลี่ยนที่นี่เป็น City Hall แทนในปัจจุบันครับ
วันที่ผมไปน่าเสียดายมากที่มีการประท้วงทางการเลยมีการเอารั้วเหล็กมากั้นตรงน้ำพุครับ
แต่ในความโชคร้ายก็มีโชคดีอยู่บ้างคือเค้าปิดถนนครับ ทำให้ผทแอบเดินข้ามถนนไปตรงน้ำพุได้เลยเลยได้ถ่ายภาพระยะใกล้มาแว๊บนึงครับ
ก่อนที่ตำรวจจะมาบอกว่าไม่ให้ถ่าย 555
จุดนี้เป็นจุดที่ผมรอถ่ายช่วง Twilight ครับ
ซึ่งก็สวยงามตามที่คาดหวังจริงๆครับ
แอบเสียดายที่เข้าไปจ่อถ่ายตรงน้ำพุไปได้เหมือนเมื่อตอนบ่ายแล้ว 555
Puerta de Alcalá
GPS : N40°25.1997 W003°41.32392
Metro Station : Retiro
ถัดจาก Plaza de Cibeles ไปอีกประมาณ 500 เมตรจะมีอีก Landmark หนึ่งของมาดริดคือ Puerta de Alcalá
เป็นเสมือนประตูเมืองครับ ตั้งอยู่ที่ Independence Square ประตูเมืองแห่งนี้สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Neo-Classical
และถัดจากประตูเมืองไปไม่ไกลตรงหน้าสถานี Metro Retiro จะเป็นสวนสาธารณะ Parque del Buen Retiro ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าไปถ่ายรูปเล่นครับ
แต่ผมมีเวลาไม่พอเลยได้แค่ถ่ายรูปประตูเมืองอย่างเดียวครับ ซึ่งหลังจากถ่ายรูปนี้เสร็จผมก็ต้องรีบวิ่งไปถ่าย Plaza de Cibeles ต่ออีกครับ
Gran Via Shopping Street
จุดท่องเที่ยวที่เป็นเสมือนสัญญลักษณ์ของกรุงมาดริด ที่บริษัททัวร์ต่างๆนำไปใช้โฆษณาหาใช่วังหรืออนุเสาวรีย์ครับ
แต่เป็นถนน Gran Via นี่แหละครับ ด้วยการที่ที่นี่เป็นแหล่งช๊อปปิ้ง และตัวสถาปัตยกรรมตึกที่ออกแบบได้อย่างสวยงามลงตัว
ทำให้หัวถนนที่นี่เป็นวิวที่บ่งบอกถึงความเป็นเมืองหลวงของสเปนได้อย่างดีที่สุดครับ
คำว่า Gran Via แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Great Way ครับซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
เพราะมีร้านรวงแบรนด์เนมดังๆมากมายมาเปิดขายที่นี่ครับ และที่นี่นอกจากจะมีแหล่งช้อปปิ้งแล้ว
ยังมีโรงละครจำนวนมากเปิดอยู่ในถนนสายนี้ ซึ่งก็เป็นเสมือน Broadway แห่งสเปนนั่นเองครับ
และที่ Gran Via จะมีจุดชมวิวมุมสูงอยู่ด้วยนะครับ โดยสามารถขึ้นตึก Círculo de Bellas Artes เพื่อถ่ายรูปมุมสูงได้ครับ
ค่าขึ้นแสนถูกเพียง 3 EUR เท่านั้นเองครับ สามารถใช้ขาตั้งกล้องได้ แต่ว่าจุดที่จะถ่ายรูปได้นั้นขาตั้งกล้องไหนก็เอาไม่อยู่ครับ
เพราะกำแพงเค้าทำเฉียงเข้าตึก สูงประมาณ 1.5 เมตรตั้งขาสูงสุดแล้วมุมถ่ายก็ยังไม่ได้ครับ
อย่างภาพนี้ผมเอาขาตั้งกล้องมาเป็นเป็นไม้เซลฟี่แล้วยกสูงจากพื้นประมาณ 2.5 เมตรเพื่อถ่ายให้ได้มุมนี้มาครับ
ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีภาพมุมนี้ที่เป็นช่วงเย็นเท่าไหร่นั่นเองครับ
มุ่งหน้าสู่ Zaragoza
หลังจากจ่ายค่าที่จอดรถอันแสนแพงที่มาดริดไปแล้ววันที่ 8 ในสเปน
ผมก็ขับรถออกจากรุงมาดริดไปยังเมืองซาราโกซ่า ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ตรงกลางระหว่าง มาดริดกับบาเซโลน่าครับ
เมืองซาราโกซ่านั้นอยู่กลางทะเลทรายทำให้แถวนี้อากาศค่อนข้างร้อนครับ (เอาจริงๆแล้วสเปนก็ร้อนทั้งประเทศ 555)
ผมออกจากมาดริดประมาณเที่ยงครับก็ไปถึงซาราโกซ่าราราวๆบ่ายสามกว่าๆ
ที่ซาราโกซ่าผมพักที่โรงแรม Hotel Paris Centro ซึ่งถือว่าถูกมาก
เป็นโรงแรมมีที่จอดรถใต้ดิน (ต้องเอารถลงลิฟท์) ในราคา 3 คน 57 EUR หรือคนละ 800 บาทเท่านั้นเองครับ
สำหรับที่ซาราโกซ่านั้นผมเที่ยวหลักๆ 2 ที่คือ
พระราชวัง Aljafería Palace และ Basilica of Our Lady of the Pillar ครับ
แล้วก็มีเดินเล่นแถวจตุรัสในเมืองเล็กน้อยครับ
เมืองซาราโกซ่าที่ผมเห็นนั้นเป็นเมืองที่มีผู้สูงอายุอาศัยอยู่จำนวนมากครับ
อารมณ์ Slow life สุดๆครับ แต่ผมไม่ชอบเพราะมันร้อน 55555
พระราชวัง Aljafería Palace
GPS N41°39.38658 W000°53.8305
Ticket 5 EUR
หลังจากผมเก็บของแล้วผมก็นั่งรถบัสไปที่พระราชวัง Aljafería Palace ครับ
ซึ่งจากแถวนั้นสามารถนั่งรถบัสสาย 32/33 ได้ครับ
วันที่ผมไปเป็นวันอาทิตย์ซึ่งที่ Aljafería Palace ให้เข้าฟรีครับ
ช่วงที่ผมไปช่วงบ่ายย้อนแสงอย่างเต็มๆเลยครับเลยไม่ได้ถ่ายภาพด้านนอกมาครับ
ปราสาทนี้เป็นปราสาทที่สร้างตั้งแต่สมัยแขกมัวร์ยังคงเรืองอำนาจอยู่เช่นเดียวกับหลายๆปราสาทในสเปนครับ
ดังนั้นสถาปัตยกรรมของปราสาทจึงเป็นออกแนวแขกๆครับอันนี้เป็นภาพในสวนที่อยู่ภายในปราสาทครับ
อันนี้เป็นภาพภายในโถงด้านในครับ
และเช่นเดียวกันกับที่วังอื่นๆคือที่ห้องโถงพระโรงจะหรูหรามากครับ
โดยเฉพาะในส่วนเพดานจะมีลวดลายแกะสลักไว้สวยงาม
Catedral del Salvador de Zaragoza
หลังจากเดินเล่นในพระราชวังเสร็จผมแวะไปเอาขาตั้งกล้องที่โรงแรม
แล้วก็ไปเดินเล่นแถวโบสถ์ประจำเมืองครับ
ที่ซาราโกซ่านั้น โบสถ์ประจำเมืองกลับไม่ใช่โบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดของเมืองครับ
เพราะที่นี่มีโบสถ์อีกแห่งหนึ่งคือ Basilica of Our Lady of the Pillar ครับ
แต่โบสถ์ทั้งสองแห่งนี้อยู่ใกล้ๆกันครับ
แต่ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงเย็นแล้วครับโบสถ์เลยปิดแล้วครับ
เลยถ่ายรูปเล่นแถวหน้าโบสถ์มาแทนครับ
Basilica of Our Lady of the Pillar
พอช่วงเย็นใกล้ๆพระอาทิตย์ตกผมก็ไปถ่าย Basilica of Our Lady of the Pillar ครับ
ซึ่งสามารถเดินถ่ายได้จากฝั่งตรงข้ามแม่น้ำครับ ที่โบสถ์แห่งนี้เข้าฟรีนะครับ แต่ผมว่าข้างในไม่สวยเท่าไหร่
เรียกว่าสู้โบสถ์ที่ผมไปเที่ยวทางตอนใต้ของสเปนมาไม่ได้เลยครับ
โดยผมเดินถ่ายไล่จากสะพาน Puente de Santiago ผ่าน Macanaz Park ไปยังสะพาน Puente de Piedra
วันรุ่งขึ้นที่ผมจะเดินทางไปยังบาเซโลน่าช่วงเช้าผมเดินออกมาถ่ายโบสถ์และเดินเล่นในโบสถ์อีกรอบนึงครับ
แล้วก็ไปเก็บของมุ่งหน้าไปยังบาเซโลน่าที่เป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของประเทศสเปนครับ
มุ่งหน้าสู่ Barcelona เมืองหลวงแห่งแคว้นคาตาลัน
วันที่ 9 ของการอยู่ในสเปนวันนี้ผมขับรถไปที่เมืองใหญ่อีกเมืองหนึ่งนั่นคือเมืองบาเซโลน่าครับ
โดยจากซาราโกซ่าขับรถไปราวๆ 300 กม.ครับ
แรกทีเดียวก่อนเข้าที่พักผมแพลนว่าจะขับรถขึ้นไปบนเขา
ที่จุดชมวิวครับ แต่ว่าพอมาใกล้ๆเมืองผมรู้สึกว่าร่างกายล้ามากเลยครับ
เลยตัดสินใจไม่ไปครับตรงเข้าที่พักไปเลยครับ
โดยที่บาเซโลน่าผมจัดโปรแกรมไปเที่ยวตามนี้ครับ
Parc Guell
Familia Sagrada
Plaza De Catalunya (la rambla Street)
Ciutadella Park
Mont Juic
Olympic Park
Espana Plaza
Font Magica Montjuic
ซึ่งตอนแรกกะว่าจะจัดชิวๆเที่ยวช่วงสายๆ แล้วกลับมาพักที่ห้องพักแล้วค่อยไปเก็บแสงตอนเย็น
แต่ผมพลาดตอนจองที่พักที่บาเซโลน่าครับ เพราะที่พักในเมืองราคาค่อนข้างสูง
ผมเลยจองไปที่ใกล้ๆกับ Parc Guell ครับเห็นว่าไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้ามาก (ประมาณ ครึ่งกิโลเมตร)
แต่ปรากฎว่าเป็นครึ่งกิโลเมตรที่ต้องเดินลงเขา นั่นแปลว่าตอนขากลับผมจะต้องเดินขึ้นเขาประมาณครึ่งกิโลเมตรเพื่อกลับที่พักครับ
และที่น่าตบกระโหลกที่พักอีกอย่างหนึ่งคือโฆษณาว่าห่างจาก Parc Guell เพียง 400 เมตร
แต่มันเป็ระยะกระจัดการจะเดินไปจะต้องเดินอ้อมเขาราวๆ 1 กม. แถมต้องขึ้นเขาลงเขาอีกตะหากครับ
และอีกเรื่องที่ผมจะไม่ไปพักที่ Luxury Parc Guell อีกเลยครับ
ผมโดนโกงค่ามัดจำโรงแรมครับ เนื่องจากที่นี่เป็นลักษณะอพาร์ทเม้นท์ให้เช่า
ซึ่งเค้าคิดค่ามัดจำไปประมาณ 80 EUR แต่ในวันที่ผมออกนั้นตัวเจ้าของไม่ได้มาเองแต่ส่งแม่บ้านมา
แล้วพอโทรติดต่อเค้าก็บอกว่าจะโอนเงินมาให้แทน
ซึ่งพอกลับมาพวกผมยังไม่ได้เงิน พอตามไปก็เรื่องมากสุดๆ
บอกว่าโอนวิธีนั้นวิธีนี้ไม่ได้ แถมพอเรารีวิวลง Booking.com ว่าบริการที่พักไม่ดีก็มาว่าเรา
สุดท้ายก็ไม่ยอมโอนเงินค่ามัดจำคืนมาให้ครับ
เลยขอประจานตรงนี้ว่า Luxury Parc Guell ที่บาเซโลน่าไม่คืนเงินมัดจำให้ผม
ใครจะไปพักกรุณาคิดให้ดีๆและรอบคอบก่อนจองนะครับ
Familia Sagrada
GPS : N41°24.2166 E002°10.46166
Metro Station : Sagrada Família (L2, L5)
Ticket : 15 EUR
สำหรับรีวิวที่บาเซโลน่าผมคงไม่ได้รีวิวเรื่องเส้นทางในแต่ละวันนะครับ
เพราะว่าสะเปะสะปะมากครับ ด้วยความที่อากาศร้อนมาก และร่างกายเหนื่อยจัดจึงไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมาจริงจังเท่าไหร่ครับ
เน้นไปเที่ยวเดินเล่นเสียมากกว่าครับ
Familai Sagrada ปัจจุบันน่าจะถือว่าเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองบาเซโลน่า
แต่ไม่ใช่ Cathedral ครับเพราะว่าโบสถ์ที่ยี่ยังสร้างไม่เสร็จ และไม่เคยมีบิชอฟมาอาศัยอยู่
(ปกติแล้วโบสถ์ประจำเมืองที่จะได้ใช้คำว่า Cathedral นั้นจะเป็นโบสถ์หลักที่มีบิชอฟมาอาศัยอยู่ในนั้นครับ)
โบสถ์แห่งนี้เริ่มสร้างในปี 1882 และมีศิลปินเอกของเมืองคือเกาดี้เป็นผู้ออกแบบครับ
ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันเกาดี้จะตายไปแล้ว.. โดยที่โบสถ์ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์
แต่ในทุกวันนี้โบสถ์ก็ยังคงก่อสร้างไปตามที่เกาดี้ได้เป็นผู้ออกแบบไว้ครับ
จากภาพจะเห็นว่าเครนกำลังทำงานอย่างแข็งขันเลยทีเดียวครับ 555
ส่วนหนึ่งที่สร้างได้ช้านั้นก็เป็นเพราะเกาดี้ได้ออกแบบลายละเอียดไว้อย่างมากครับ
โดยเป็นที่คาดการณ์กันว่าโบสถ์แห่งนี้จะเสร็จราวปี 2026 หรือในวันครบรอบ 100 ปีของการจากไปของเกาดี้นั่นเองครับ
เราก็ต้องมาลุ้นกันหล่ะครับว่าโบสถ์จะเสร็จได้ตามที่ตั้งใจไว้หรือไม่ครับ
เนื่องจากที่นี่ถือเป็นไฮไลท์หลักของเมืองบาเซโลน่าซึ่งนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาเที่ยวที่นี่ครับ
ทำให้ที่นี่นักท่องเที่ยวมาต่อแถวกันยาวมากครับ ผมแนะนำให้จองมาล่วงหน้าก่อนมาซัก 1 วันครับ
เอาจริงๆก่อนถึงซัก 2 ชม.ก็ได้ เพราะตอนที่ผมไปพารู้ว่าต่อแถวนานมากผมเลยเข้าเว็บไปจองคิวในอีก 2 ชม. ข้างหน้า
แล้วไปกินข้าวกลางวันก่อนครับ
แต่บอกได้เลยว่าอย่าตัดใจจากการเยี่ยมชมที่นี่นะครับ
เพราะภายในดูอลังมากครับ และเกาดี้ได้ใส่จินตนาการของแกลงไปอย่างสุดๆจริงๆครับ
รูปอาจจะเยอะนิดนึงนะครับ แต่อยากให้เห็นจริงๆครับ กับจินตนากาลสุดล้ำของเกาดี้
ปล. ผมดูภาพแล้วนึกถึงการ์ตูนประมาณดาร์กอนบอลยังไงไม่รู้
แบบว่าเหมือนเป็นสถาปัตยกรรมจากดาวนาเม็กอะไรอย่างนั้น 555
Barcelona Cathedral
GPS : N41°23.03844 E002°10.57422
Metro Station : Jaume I (L4)
โบสถ์หลักของเมืองสร้างขึ้นตั้งแต่ราวๆ 800 ปีที่แล้วครับ
แต่ที่นี่ผมไม่ได้เข้าไปด้านในมาครับ ได้แต่ถ่ายรูปแต่ด้านนอกมาครับ
Ciutadella Park
GPS : N41°23.28936 E002°11.15964
Metro Station :Ciutadella | Vila Olímpica (L4)
ที่นี่ผมไปเที่ยวหลังจากเดินเล่นที่ Familia Sagrada เสร็จครับ
สามารถเดินไปได้เลยโดยไม่ต้องนั่ง Metro ไปครับ
ซึ่งที่สวนแห่งนี้สร้างตั้งแต่ราวๆปี 1850 ครับ
เมื่อก่อนถือเป็นสวนสาธารณะเพียงสวนเดียวในบาเซโลน่าครับ
ปัจจุบันที่นี่เป้นที่ตั้งของสวนสัตว์ด้วยครับ
ที่กลางสวนจะมีน้ำพุสวยงามเลยครับ
Arco de Triunfo de Barcelona
GPS : N41°23.46252 E002°10.83864
Metro Station :Arc de Triomf (L1)
ประตูชัยที่บาเซโลน่าถูกสร้างขึ้นในสมัยที่มีการจัดงาน 1888 World Fair ที่จัดขึ้นที่บาเซโลน่าครับ
ซึ่งตั้งอยู่ติดกับสวน Ciutadella เลยครับ
Montjuic
GPS : N41°21.84384 E002°10.04958
Metro Station :Plaza Espanya (L1 L3 L8) แล้วต่อรถเมล์สาย 150
อีกจุดที่เป็นสถานที่ยอดฮิตในการมาเที่ยวซึ่งต้องมีเวลาซักครึ่งวันจึงจะเดินหมดคือที่ Montjuic ครับ
Montjuic เป็นเนินเขาที่อยู่ติดทะลเครับซึ่งไม่มีรถไฟ Metro ไปถึงโดยเราจะต้องนั่ง Metro มาลงที่สถานี Plaza Espanya
เพื่อต่อรถเมล์สาย 150 ครับ โดยที่ Plaza Espana เองก็ถือเป็นจตุรัสใหญ่ที่สำคัญของเมืองบาเซโลน่าเช่นกันครับ
จริงๆแล้วที่ผมจะไป Montjuic นั้นก็เพื่อจะไปหามุมถ่าเมืองบาเซโลน่าในมุมสูงครับ
ซึ่งตอนแรกผมเข้าใจว่าถ่ายมาจากสุดสายที่ Montjuic ครับ แต่ไม่ใช่ครับ
และตอนที่ผมไปตอนเย็นในส่วนปราสาทของ Montjuic ก็ปิดไปแล้วด้วยครับ
ซึ่งที่ Montjuic ในสมัยก่อนเป็นปราสาทป้อมปราการครับใช้ในการป้องกันภัยทางทะเล
แต่ในปัจจุบันในฝั่งทะเลได้กลายเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรปไปแล้วครับ
ซึ่งบริเวณรอบๆก็จะมีพื้นที่ให้เดินไปจุดชมวิวท่าเรือได้ครับ ซึ่งมีคนจำนวนมากมานั่งเล่นปิคนิคแถวๆนี้ครับ
Olympic Park
GPS : N41°21.88872 E002°9.33624
Metro Station :Plaza Espanya (L1 L3 L8) แล้วต่อรถเมล์สาย 150 (อยู่กลางทางก่อนถึง Montjuic)
เมื่อปี 1994 บาเซโลน่าได้เป็นเจ้าภาพในการจัดกีฬาโอลิมปิคครับ
ครั้งที่ใช้การยิงธนูในการจุดคบเพลิงนั่นหล่ะครับ ซึ่งได้มีการสร้างสนามกีฬา และศูนย์ Press ขึ้นที่ Montjuic นี่ครับ
โดย Landmark หลักๆของที่นี่คือเสาโทรคมนาคมที่ใช้ในการสื่อสารในสมัยนั้น
และสนามกีฬาโอลิมปิคนี่แหละครับ
ปัจจุบันที่นี่กลายเป็นเสมือนสวนสาธารณะที่คนมาวิ่งออกกำลังกายกันครับ
National Art Museum of Catalonia / Font Magica Montjuic
GPS : N41°22.1061 E002°9.21564
Metro Station :Plaza Espanya (L1 L3 L8) แล้วเดินหรือนั่งรถเมล์สาย 150 ไปที่ Olympic Park แล้วเดินลงมา
บริเวณส่วนล่างของ Montjuic จะมีที่เที่ยวอีก 2-3 จุดครับนั้นคือ National Art Museum of Catalunya ครับ
ซึ่งบริเวณนี้นี่แหละครับที่เป็นจุดที่สามารถถ่ายวิวเมืองบาเซโลน่าได้ครับ โดยหากเราไปเที่ยวที่ Olypic Park แล้วจะสามารถเดินลงมาได้ครับ
มันจะมีทางเชื่อมอยู่เป็นบันไดเลื่อนครับ หรือจริงๆแล้วเราอาจจะนั่ง Metro มาลงที่ Plaza Espanya แล้วเดินมาก็ได้ครับ
ระยะเดินประมาณครึ่งกิโลเมตรครับ จากนั้นจะเป็นบันไดเลื่อนขึ้นไปเรื่อยๆครับ ภาพนี้เป็นภาพที่ถ่ายมาจาก Plaza Espanya ครับ
จริงแล้วตรงทางขึ้นนั้นจะมีน้ำพุอยู่ครับชื่อว่า Font Magica Montjuic แต่วันที่ผมไปเป็นช่วงเย็นซึ่งเค้าปิดน้ำพุไปแล้วครับ
เลยอดได้ภาพสวยๆเลยครับ
บริเวณนี้ช่วงเย็นๆจะมีชาวคาตาลันจำนวนมามานั่งเล่น นั่งร้องเพลงกันครับ วันที่ผมไปมีชาวแขกพาลูกมาพยายามถ่ายแบบด้วยครับ
แต่ดูแล้วเด็กไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าไหร่ 555 ผมก็รอให้เค้าถ่ายไปครับ เพราะเค้ามาถ่ายในมุมที่ผมเล็งจะมาเก็บแสงช่วง Twilight พอดีครับ
ด้านล่างสุดของบริเวณนนี้จะมีเสาโรมันอยู่ 4 ต้นครับ ซึ่งเป็น Background ของน้ำพุที่ผมตั้งใจจะมาดูในตอนแรกครับ
แล้วพอเลยขึ้นไปจะมีส่วนของน้ำตกที่ไหลลงมาจากพิพิทธภัณฑ์ครับ
ซึ่งก็เช่นกันตอนผมไปเค้าปิดน้ำตกไปเรียบร้อยแล้วแต่ก็ดีครับทำให้ผมได้ถ่ายภาพมุมสะท้อนน้ำแทน 555
ส่วนภาพนี้เป็นภาพที่ถ่ายจากหน้าพิพิทธภัณฑ์ครับ
มองลงไปข้างล่างจะเห็นเสาโรมัน และเห็นไกลไปถึง Plaza Espanya เลยครับ
แล้วจากหน้าพิพิทธภัณฑ์ถ้าเราหันหน้าเข้าให้เดินไปทางซ้ายก็จะเป็นจุดชมวิวเมืองบาเซโลน่าครับ
มองไปจะเห็นโบสถ์ Familia Sagarada โดดเด่นเป็นสง่าอยู่ในเมืองครับ
Parc Guell
GPS : N41°24.87012 E002°9.1623
Metro Station : Lesseps (L3) หรือ Vallcarca (L3) แล้วเดินไปอีกประมาณ 1.5 km (จะมีบันไดเลื่อนขึ้นเนินให้ครับ)
Ticket : 7 EUR
Parc Guell เป็นสวนสาธารณะบนเนินครับซึ่งที่แห่งนี้ก็จะมีอาคารที่เกาดี้เป็นผู้ออกแบบอีกเช่นเคยครับ
ซึ่งด้วยรูปทรงและจินตนาการในการออกแบบของเกาดี้ก็ทำให้ที่นี่เป็นอีกที่ที่นักท่องเที่ยวตำนวนมาหลั่งไหลมาเที่ยวกันครับ
โดยที่นี่ควรจองตั๋วออนไลน์มาครับ เนื่องจากเค้ามีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวให้เข้า 400 คนทุกครึ่งชั่วโมงครับ
ซึ่งช่วงที่ผมไปผมไม่ได้จองทำให้ผผมต้องรอเพื่อเข้าที่นี่นานประมาณเกือบๆ 2 ชม.เลยครับ
ตึกทรงแบบนี้นี่แหละครับเป็นสัญลักษณ์ของเกาดี้เค้าเลย
แต่วันที่ไปที่นี่ผมค่อนข้างเหนื่อยมากครับ แถมแดดยังแรงอีกด้วยครับ
เลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมาเท่าไหร่ แต่ที่นี่ก็ถือเป็นสถานที่นึงที่มีจุดให้ถ่า Protrair ได้เยอะเลยครับ
วันที่ไปผมเห็นคนมาถ่ายภาพ Pre Wedding กันด้วยครับ
บทสรุปประเทศสเปนและค่าใช้จ่ายต่างๆ
ทั้งหมดนี้คือสถานที่เที่ยวในประเทศสเปนที่ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวมาในช่วงเวลาประมาณ 12 วันครับ
ซึ่งความรู้สึกส่วนตัวแล้วผมว่าสเปนเป็นประเทศที่น่าทึ่งนะครับ จากเดิมทีที่คนส่วนมากรวมทั้งผมเองด้วย
จะคิดว่าประเทศในยุโรปที่สวยๆนั้นต้องไปเที่ยวอิตาลี ฝรั่งเศส เป็นหลัก แต่หลักจากการที่ผมได้มาเที่ยวที่สเปนแล้ว
ผมกลับรู้สึกว่าด้วยประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมและอารยธรรมต่างๆแล้ว ประเทศสเปนมีอยู่ครบถ้วนจริงๆครับ
ส่วนตัวแล้วโดยภาพรวมผมว่าที่เที่ยวสวยและเยอะกว่าฝรั่งเศสอีกครับ
ยกตัวอย่างเช่นพระราชวังที่มาดริดก็สวยงามชนะเลิศกินขาดพระราชวังแวร์ซายน์ไปเยอะเลยครับ
แต่ฝรั่งเศสนั้นมีดีที่มีหอไอเฟล และมีพิพิทธภัณฑ์ลูฟเป็นจุดเด่นให้คนอยากไปครับ
สำหรับค่าใช้จ่ายไม่รวมตั๋วเครื่องบินที่ประเทศสเปน 11 วันกว่าๆ ทั้งหมดก็อยู่ที่ 43,000 บาท
ซึ่งถ้าหักค่ารถแบ่งไปเป็นค่าใช้จ่ายของตอนอยู่ที่ฝรั่งเศสด้วยก็จะอยู่ที่ราวๆ 38,000 บาท (ตอนที่ไป EUR ละ 45 บาท)
(ผมเช่ารถช่วงนี้ 20 วันใช้ทั้งสเปนและฝรั่งเศส) หรือถ้าเช่ารถแล้วคืนรถในสเปนเองด้วยจะยิ่งถูกไปกว่านี้
เพราะว่าผมโดนค่าคืนรถต่างประเทศไปหลายบาทอยู่ครับ
ซึ่งถ้าเราเที่ยวเฉพาะสเปนในระยะเวลา 12 วันแล้วรวมค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับผมคิดว่าไม่เกิน 55,000 บาท
สามารถเที่ยวได้อย่างสบายๆเลยหล่ะครับ ซึ่งถือว่าถูกมากสำหรับการเที่ยวในยุโรปครับ
สำหรับวันนี้ต้องขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ติดตามรับชมรีวิว ชุด Journey of Western Europe มาตลอดทั้ง 5 ตอนครับ
ซึ่งจริงๆแล้วทริปนี้ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ฝรั่งเศสด้วยครับ
แต่สำหรับฝรั่งเศสนั้นเป็นประเทศที่ผมได้มีโอกาสไปมาหลายครั้งครับ
แต่ส่วนมากแต่ละครั้งจะอยู่ไม่นานเท่าไหร่
หรืออยู่นานก็เป็นลักษณะเที่ยวแบบ Slow Life ชิวๆแทน ไว้ผมจะมารีวิวแบบรวบยอดอีกทีนึงนะครับ
หวังว่ารีวิวทั้ง 5 ตอนนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อนๆได้ออกไปชมโลกกว้างสีน้ำเงินใบนี้ในเร็ววันนะครับ
และหวังว่าประเทศสเปนและโปรตุเกสจะเป็นประเทศทางเลือกให้เพื่อนไปเที่ยวในการเดินทางไปเที่ยวยุโรปครับ
เพราะ 2 ประเทศนี้ก็ถือว่าเป็นประเทศที่ค่าครองชีพค่อนข้างถูกครับ
เรียกว่าถ้านับๆรวมกันแล้วผมเที่ยวที่ประเทศสเปนและโปรตุเกส 19 วัน
ผมใช้เงินไปเพียง 56,000 บาท ถ้าสามารถหาโปรตั๋วเครื่องบินซักหมื่นกลางๆ
ก็เท่ากับว่า 19 วันใน 2 ประเทศนี้จะใช้เงินเพียง 70,000 บาทเท่านั้นครับ
ซึ่งนี่เป็นราคาสมัยที่ EUR ละ 45 บาทนะครับ
แต่ปัจจุบัน EUR ตอนนี้ตกเพียง 37 บาทหรือถูกไปจากนี้ราว 15% เลยครับ
สำหรับวันนี้ขอลาไปแต่เพียงเท่านี้
ขอบคุณ และ สวัสดีครับ
1 Comments
Inint Intrawut Simapichet
ภาพสวย ใจแตกอยากไปสเปนเลยครับ