สวัสดีครับ
เลยไปฮัก…รักไปเลย ชื่อทริปนี้คงไม่ต้องเดาให้เสียเวลาว่าวันนี้จะพาไปเที่ยวที่ไหน จังหวัด “เลย” ที่ใครๆก็น่าจะรู้จัก ทริปนี้เกิดขึ้นในช่วงปลายๆปีของปีที่ผ่านมา ถือเป็นการ “หนีลูกเที่ยว” (ปันตอนโตมาอ่านอย่างอนนะลูก) ก็ง่ายๆเลยครับปีที่ผ่านมาพาลูก(หนี)เที่ยวจนคุณครูเตือนแล้ว แต่ไหนๆก็จองตั๋วไว้แล้วก็เลยตัดสินใจมากันแค่สองคน แต่จริงๆแล้วผมเองก็ไม่ได้มีโอกาสพาแม่ปัน ไปเที่ยวไหนสองต่อสองมานานแล้ว (ตื่นเต้นดีเหมือนกัน) เลยจัดซะเลย เอาว่าอารัมภบทนานแล้ว มาเที่ยวด้วยกันเลยดีกว่าครับ
เริ่มกันตั้งแต่สนามบินเลย เอ้ย สนามบินดอนเมืองสิ เราเลือกเที่ยวบินช่วงเย็นและ รอบนี้ยังคงใช้บริการ นกแอร์ เจ้าประจำ ซึ่งมีวันละ 2 เที่ยวบิน ทั้งไปและกลับนะครับ เวลาก็โอเคเลยไปถึงเช้าและวันกลับก็กลับค่ำๆได้ นกแอร์บริการดีทีเดียวครับ
ทิวทัศน์ความงดงามของจังหวัดยามมองจากบนเครื่องสวยสวยงามจริงๆครับ ใครบินมาเลยอย่าลืมสังเกตุกันนะครับ
ระหว่างเครื่องกำลังลดระดับลง อยู่ๆแสงเทพ (แสงจากพระอาทิตย์ที่ทะลุลอดผ่านเมฆที่หนาแน่น ออกมาเป็นแสงกระทบลงพื้น คล้ายไฟสปอรต์ไลท์) ก็ลอดผ่านให้เห็น ผมนี้แทบคว้ากล้องเก็บภาพแทบไม่ทัน ถือเป็นฤกษ์ดีสำหรับทริปนี้แล้วละครับ
ใช้วลาแค่ 1ชมเศษ ก็มาถึงสนามบินจังหวัดเลย การเดินทางเที่ยวอาจจะยากสักหน่อยสำหรับคนที่ไม่เคยมา แนะนำให้เช่ารถครับ ซึ่งจริงๆเราก็เลือกเช่ารถขับซึ่งที่สนามบินจะมีผู้ประกอปการแบบในพื้นที่ให้บริการอยู่ 3-4 เจ้า หลังจากก่อนมาผมลองสำรวจดูและสอบถามราคาแล้วก็พบว่าเจ้า “วรรณนิศารถเช่า” ดูจะคุ้มค่าและให้ราคาดีสุด โดยเฉพาะเรื่องประกันกรณีมีอุบัติเหตุนะครับ อย่าลืมสอบถามกันก่อน แต่ละเจ้าหากเกิดเหตุการจ่ายจะไม่เท่ากัน เจ้านี้ผมอ่านจากในรีวิวที่เค้าไปใช้บริการมาก็ค่อนข้างจะดีและตกลงกันง่ายครับ
พ้นเรื่องรถเราบึ่งตรงจากสนามบินเลยไปยังทีแรก “ภูบ่อบิด” ก่อนมารู้คร่าวๆว่าเป็นภูเขาที่อยู่ในเมืองเลย สามารถขึ้นไปชมวิวเมืองเลยได้ทั้งจังหวัดและด้านบนก็มีถ้ำให้ชมไปด้วย เหมือนจะไปมาง่ายเลยเหมาเอาเองว่าจะขึ้นไปชมวิวง่ายไปด้วย ซึ่งจริงๆไม่ใช่เลย ฮ่า ฮ่า
หลังจอดรถเราเดินมาที่บริเวณทางขึ้นเจอป้ายก็ชักรู้แล้วว่าไม่ใช่เล่นๆแน่ เพราะจากพื้นขึ้นไปถึงยอดก็ 670 ม. ทีเดียวแต่ไหนๆมาแล้วก็ต้องเดินกันละนะ โชคยังดี เพราะกว่าเราจะมาถึงก็เริ่มเย็นมากแล้ว อากาศกำลังจะเย็นแล้ว การเดินขึ้นไปภูฯแม้บันไดจะค่อนข้างชันไปบ้างแต่สุดท้ายแรงฮึดก็พาเราทั้งคู่มาถึงจุดแรก “”ถ้ำพระ” ที่ความสูงระดับ 450 ม. มีถ้ำและพระพุทธรูปตั้งให้เรากราบไหว้ได้และอีกจุดนึงคือวิวครับ ณ.ตอนที่เรามาถึงฟ้าเริ่มมืดแล้วและคนเองก็หอบชุดใหญ่ทีเดียว
แแต่ความสวยงามและลมที่พัดโชยมากระทบร่างก็ช่วยให้ความเมื่อยล้าลดทอนไปตามเวลาที่ยืนชมวิวตรงหน้าไป อ่อที่นี่ถ้าไปจนถึงยอดเขายังเป็นจุดชมวิวเดียวของในเมืองเลยที่เห็ฯทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้ง่ายมากอีกด้วยครับ
หลังจากยืนหอบ เอ้ยยืนชมวิวเก็บภาพกันแล้วผมเห็นเวลาชักมืดค่ำเลยหยุดที่จะขึ้นไปจนถึงยอดก่อนเพราะดูแล้วก็อาจจะมืดค่ำและอีกอย่างที่พักเราคืนแรกนี้ค่อนข้างจะห่างออกนอกเมืองไปหลายสิบกิโลเมตรเลยสามัคคีกันจูงมือลงโดยง่าย (จริงๆคือเมื่อยด้วยอ่ะนะครับ >0< ) ฝาภาพวิวจากถ้ำพระอันเป็นจุดแรกของการขึ้น ภูบ่อบิด นี้ไว้นะครับใครมาเที่ยวก็เลือกช่วงเวลาสัก 4 -5 โมงเย็นกำลังดีครับ
หลังจากบึ่งรถมาอีกราวชม.เศษเราก็มาถึงที่พักคืนแรกกันแล้ว ที่ ” ม่านเมฆ ทะเลหมอก ” มาถึงก็มืดมากแล้วยังไม่ได้ชมวิวใดๆที่เค้าว่าที่นี่สวยงามไม่แพ้ใครเลย ก็ต้องรีบเข้านอนแล้วละครับเพราะภารกิจถัดไปของเราทั้งสองคือ ตีตั้งแต่ตี 5 เพื่อไปปีน ภูที่สองกันต่อ นั้นคือ ” ภูป่าเปาะ “นั้นเอง
เวลาเช้ามาถึง…กุลีกุจอตื่นแล้วรีบบึ่งรถฝ่าลมหนามระดับ 15 องศาไป ยังภูที่เราตั้งใจจะมาชมกันให้ได้ วิธ๊การเดินทางมาง่ายมากจากจุดที่พักที่เราอยู่เพราะเหตุผลนึงที่เลือกที่นี่ก็เพราะรีสอร์ทนี้อยู่ใกล้ๆกันแค่ขับรถ 10 นาทีก็ถึงแล้วละครับ หันไปมองคนข้างๆหน้าตายังง่วงอยู่มากเลย เหมืนอจะรู้หันมามองหน้าผม ยิ้มสู้ใช้ได้เลย
การขึ้นไปชม “ภูป่าเปาะ” นั้นง่ายมากเพราะเดี๋ยวนี้เค้ามีให้บริการรถท้องถิ่นสุดเก๋ไก๋ ไม่เหมือนใคร ด้วย ” รถอีแต๊ก ” ฟังชื่ออาจจะงงว่ามันคือรถอะไร ว่ากันง่ายๆคือรถไถพรวนดินของชาวบ้าน เป็นรถเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรของชาวบ้าน ที่เค้าดัดแปลงให้กลายมาเป็นรถรับส่งวางเบาะนั่งทั้งด้านหน้าและหลัง เพื่อให้สามารถขึ้นไปยังจุดชมวิวต่างๆของภูป่าเปาะ ทั้ง 4 จุดได้ คือได้บรรยากาศกันตั้งแต่รถที่พาไปแล้วละครับ
สาเหตุที่ทำให้เอารถขึ้นไม่ได้ส่วนตัวผมมองว่ามี 3 เหตุผลหลัก
1 คือในยามหน้าฝนถนนที่ใช้ในการเดินทางไม่เหมาะแน่ๆที่จะฝ่าดินเลนที่แฉะการเดินทางก็จะยุ่งยาก
2.ส่วนอีกเหตุผลนึงการจัดการทุกอย่างทำง่ายกว่าที่สำคัญบนยอดภูทั้งสี่จุดจอดรถต่างๆไม่พอเพียงจะให้เราไปกันได้หมด
3.เหตุผลสุดท้าย เพื่อเป็นรายได้ของเกษตรกรในการพาขึ้นไปชมและให้บรรยากาศยากที่นักท่องเที่ยวเราๆจะได้สัมผัสซึ่งผมก็เห็นด้วยมาก วันที่ไปถึงการจัดการและราคา 60 บาทต่อคนคุ้มทุกบาทเลยครับ จะอยู่บนนั้นนานแค่ไหนก็ได้ ที่สำคัญอยากรู้อะไรพี่ๆคนขับอธิบายได้หมดด้วย ถือเป็นการอุดหนุนพี่ๆเค้ากันนะครับพี่ๆเค้าจะได้มีรายได้และจริงๆแล้วบริการก็ดีทุกอย่างเลยทีเดียวละ
วิธีการขึ้นไปชมเราจะขึ้นไปที่จุดที่ 4 ก่อนและค่อยๆไล่ลงมา ซึ่งจุดที่ 4 นี่ก็ถือเป็นจุดที่สวยงามที่สุดด้วยเพราะเราสามารถมองเห็นวิว 360 องศาบนยอดภูได้เลย สวยงามมาก
ในวันที่อากาศเย็นและชื้นดีพอเราจะเห็นทะเลหมอกทอดตัวยาวไปไกล และ อีกจุดหมายสำคัญที่เค้ามากันบนนี้คือเพื่อ มาชม “ภูหอ” หรือที่เรียกกันติดปากว่า ฟูจิเมืองเลย นั้นเอง จะเพราะด้วยรูปทรงของ ภูหอ ที่ปลายยอดจะเป็นณูปทรงตัดจนแบนราบมองไปคล้ายๆภูเขาไฟฟูจิ ของญี่ปุ่นนั้นล่ะครับ ตรงนี้ก็ใช้จินตนาการกันแต่เอาจริงๆผมว่าถึงเราจะไม่ไปเทียบกับภูเขาต่างประเทศ ตัว ภูหอเองก็สวยงามพอครับ
อากาศบนนี้เช้าๆลมแรงแต่ก็สวยงาม เราทั้งคู่นั่งรอพระอาทิตย์เช้าแรกของทริปนี้ค่อยๆเผยออกมาอย่างใจจดจ่อ
ระหว่างรอผมก็เก็บภาพนางแบบหนึ่งเดียวของทริปนี้ไปพลาง พบว่ามองจากข้างหลังก็ยังสวยพอนะเออ ฮ่า ฮ่า ๆวิวเช้าๆแบบนี้อะไรๆก็ดูดีแม้จะเป็นแผ่นหลังที่แสนคุ้นเคยของภรรยาก็ตาม วิวในยามนี้สวยงามครับ
และไม่นานพระอาทิตย์ก็เผยตัวออกมาเป็นดวงกลมโตอย่างใจคาดไว้ แสงอาทิตย์แรกของวันใหม่มาและก็ยังสวยงามน่าพิศมัยเหมือนเช่นทุกเช้าที่ผ่านมา
ไม่นานเราก็ขยับลงมาจุดที่สองกันต่อครับจุดนี้คือที่นั่งรถผ่านมาเมื่อเช้า เราลงมาไม่ถึงสองร้อยเมตรก็ถึง ยามเมื่อพระอาทิตย์สาดแสงลงมาแล้ววิวตรงจุดชมวิวนี้ยิ่งสวยงามเข้าไปอีก แม้แต่เด็กน้อยที่มากับครอบครัวที่มาไล่ๆกันยังชมชอบเลย
มาถึงจุดที่สามอันเป็นจุดที่เห็นภูหอ ได้ง่ายดายมาก วิวตรงหน้าสวยงามมากทีเดียว วิวข้างๆดอกไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มได้ใจมากครับ ถือเป็นจุดที่มาง่ายไปง่าย เอาจริงๆก็ไปง่ายตั้งแต่บนสุดลงมาแล้วล่ะครับ เพราะพี่ๆคนขับรถพามาทุกจุดเลยพร้อมเล่าเรื่องต่างๆให้เราฟังเยอะเลยทีเดียวครับ
จุดสุดท้ายเราพอแล้วครับ เพราะดูแล้วก็คล้ายๆจุดที่สาม จากนี้ก็ลงมายังลานจอดแล้วก็ต้องบึ่งรถกลับมายังที่พักแล้ว ที่พักเราจากเมื่อคืนที่มองไรไม่เห็นเพราะมืดแล้วเช้านี้อากาศแจ่มใส่เห็น ม่านเมฆ ทะเลหมอก รีสอร์ทชัดแจ๋วเลย สวยอย่างที่คิดจริงๆด้วย
อาณาบริเวณกว้างขว้างหลายไร่ และบ้านพักเองก็ปลูกลดหลั่นลงมาจากเนิน มองไปก็มีต้นไม้ร่มรื่นดีใช้ได้เลยครับ
มองจากด้านบนลงมาเห็นวิวเขาไกลๆไปสวยงาม และที่เราติดใจจริงๆคือบ้านพัก แบบใหม่ที่รีสอร์ททำออกมาแต่ยังไม่ได้ขายเป็นหลัก ผมเรียกเอาเองว่า บ้าน ฮอบบิท เพราะตัวบ้านจะสร้างอยู่ในเนินดินมองไปให้นึกถึงหนังฮิตเรื่องนั้นได้ไม่ยาก
ขนาดบ้านก็ไม่เล็กไม่ใหญ่มีหญ้าปกคลุมหลังคามองแล้วสวยสบายตามากทีเดียว
ภายในก็ตกแต่งเรียบๆครับแต่ก็สวยแล้วล่ะ ส่วนตัวชอบบ้านแบบนี้มาก หากมาอีกจะขอนอนบ้านแบบนี้เลย
หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อยเป้าหมายถัดมาของเราใกล้ๆกันมากเพราะเป็นทางผ่านที่เข้ามายังรีสอร์ทและภูป่าเปาะ อยู่แล้ว “สวนหินผางาม” หรืออีกชื่อที่เปรียบเปรยกับสวนหินที่ใหญ่โตอย่าง “กุ้ยหลินเมืองเลย” สวนหินที่วิวตอนมาถึงผมว่ามันก็สวยดีนะแต่ยังไม่ได้รู้สึกว่ามันจะแตกต่างอะไรมาก ยิ่งไปเทียบกับกุ้ยหลินยิ่งแล้วใหญ่เลยเก็บความสงสัยไว้แล้วเดินลงจากรถไปเก็บภาพสวยตรงหน้า
หลังจากลงรถและเดินถ่ายภาพสวนที่จัดแต่งให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันได้หลายจุด
รวมถึงเราก็เก็บภาพกันบ้าง ระหว่างเพลินกับการแอ๊คท่าถ่ายภาพไปเรื่อยๆ จนได้ยินประกาศจากทางจุดท่องเที่ยวว่าใครที่อยากเข้าไปชมสวนหินขอให้มาซื้อบัตรนั่งรถ อีแต๊ก กันที่จุดบริการกันได้ ผมจึงถึงบางอ้อว่าเรานี่น้อยังมาไม่ถึงที่เลย ทำเป็นบ่นไป
ราคาค่านั่งรถอีแต๊กพาไปชมจะแค่ 50 บาทเท่านั้น แต่ถ้าอยากจะเดินชมเข้าไปในป่าเขาวงกต ก็ได้เช่นกันแต่ทางศูนย์ก็แนะนำให้ใช้ไกด์พาไป ระยะเวลาในการชมทั้งสองแบบจะต่างกันสำหรับการเดินเข้าไปในป่าเขาวงกตจะใช้เวลาราว 60 นาทีกับการเดินแต่ถ้านั่งรถจะ 20นาทีเท่านั้นและจะพาไปยังจุดชมวิวได้เลยไม่ต้องฝ่าไปในป่าหิน ระหว่างฟังเจ้าหน้าทีอธิบาย และพูดยังไม่ทันสิ้นคำดี ก็เด็กผู้หญิงทะมัดทะแมงมายืนรอแล้ว เราสองคนก็มองหน้ากันไปมาเลยเลือกจะขอใช้บริการไกด์รุ่นเยาว์คนนี้ทันที
ไกด์เยาวชนนี้ได้รับการฝึกมาดีมากครับ น้องจะคอยบอกเล่าเรื่องราวและยังคอยสอดใส่มุกให้เราเพลิดเพลินตั้งแต่นั่งอยู่บนรถอีแต๊กแล้ว
ผมเลือกที่จะนั่งรถก่อน ส่วนตัวยังติดใจตั้งแต่เช้าที่นั่งขึ้นไปบนภูป่าเปาะ และก็ไม่ผิดหวังนะครับ ผ่านจุดแรกเราจะเจอเขาทะลุ ก่อนรถก็พาจอดให้ถ่ายภาพได้
นั่งต่อมาอีกแป๊บเดียวก็ถึงจุดจอดแล้วครับ ไกด์น้อยๆก็พาเราขึ้นไปชมยังจุดชมวิว ซึ่งเค้าก็ทำเป็นบันไดเดินไม่ยากแต่ก็ชันระดับนึง เพราะงั้นหากรู้ว่าเข่าไม่ดีไม่แนะนำนะครับคนแก่ๆ สูงวัยถ้าไม่เจ็บปวยหัวเข่าแข้งขาก็มาได้ครับ
หอบกันชุดใหญ่ก็มาถึงแล้วจุดชมวิวตรงนี้ให้ความรู้สึกคล้ายกุ้ยหลินจริงๆด้วยสิครับ ขาดก็แต่ทะเลสาบด้านล่างเท่านั้น มองไปไกลๆน้องไกด์ก็บอกว่าจะเจอหินทรงอะไรบ้าง ใช้จินตนาการตามไม่ยาก อย่างหินกดไลค์ นี้ต้องเพ่งกันนานหน่อยแต่พอเห็นแล้วก็ต้องอมยิ้มเลยทีเดียว ลองมาดูกันนะครับทั้งไกด์ที่น่ารักและผาหินงามสมชื่อเลย
ผมลงมาแล้วนั่งรถอีแต๊กกลับมายังจุดเริ่มต้น ผมเอ่ยปากว่าอยากเดินเข้าไปตรงทางเข้าป่าเขาวงกตน้องไกด์น่ารักนะครับ น้องก็ยินดีกุลีกุจอพาไปทันที
ตัวป่าเขาวงกตเองสมชื่อมากๆ เพราะหากเราไม่มีไกด์นำนี้หลงแน่ๆครับเดินวนไปวนมาเจอหินไปหมดแต่เมื่อฟังเรื่องเล่าของไกด์ไปด้วยก็เพลิดเพลินดีเชียวละครับ ใครไปอย่าลืมอุดหนุนน้องๆเค้านะครับ วันนึงๆได้กันไม่กี่รอบ สตังก็แล้วแต่เราจะให้ด้วย ทิบกันเยอะๆนะน้องๆเค้าเอาไปเรียนหนังสือกันครับ
ใช้เวลาหมดไปร่วมสองชั่วโมง กองทัพมันต้องเดินด้วยท้องเป้าหมายถัดไปเราตั้งใจจะมานั่งรับลมเย็นริมน้ำ และล่องแพกันที่นี่ครับ “อ่างเก็บน้ำห้วยตาหมาน” อยู่ไม่ไกลกันขับอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึง อยู่ที่ ต.น้ำหมาน
สำหรับที่นี่เป็นอ่างเก็บน้ำที่ใช้สำหรับอุปโภคและบริโภคของชาวเมืองเลย ก็ว่าได้นะครับ เพราะสามารถเก็บน้ำไว้ใช้ได้ทั้งปีของคนในตัวจังหวัดเลยทั้งหมดและที่นี่ยังเป็นที่พักผ่อนริมน้ำของทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเมืองทีเดียว สวยตัวมาถึงชอบมาก ชอบอะไรไทยๆแบบนี้ละครับ ไม่ต้องมีแพยางแพงๆ หรือเรือเร็วทั้งหลาย ได้อารมณ์แบบไทยๆที่ชาวโลกอยากมากันแบบนี้ละดีงามแล้ว
ลงแพพร้อมสั่งอาหารอีสานแล้วก็นั่งรอครับ คนเรือจะเป็นคนหอบหิ้วอาหารลงมาให้เราเอง
พร้อมสรรพก็ได้เวลาออกแพแล้ว วิธีการล่องแพเค้าก็ง่ายๆเลยใช้เรือเล็กดันแพออกไปหากเราจะล่องไปจุดสุดทางที่ห้วยกระทิงก็ต้องแจ้งก่อนนะครับเพราะระยะเวลาไปกลับก็คือ 2 ชั่วโมงแต่เราเลือกแค่อยากออกมาจากฝั่งนั่งทานอาหารรับลมเย็นๆโชยมาสำหรับเราทั้งคู่แค่นี้ เพียงพอแล้ว
วิวตรงหน้าสวยงาม เอาเท้าแตะๆน้ำและปล่อยให้แพลอยล่องไปตามลม โอ้ยย สุขสุดๆครับ อ่อคนเรือเค้าจะปล่อยให้เราล่องไปเรื่อยๆนะครับ น้ำในอ่างเก็บน้ำจะนิ่งและใสมากไม่ต้องกังวลใดๆ อยากกลับเมื่อไหร่ก็โทรตามพี่เค้าจะมาพาเราเข้าฝั่งเองครับ
เวลาดีๆที่พ่อแม่สักคู่นึงจะมีให้กันได้ เราทั้งคู่ตั้งแต่มีปันมา ก็ไม่ค่อยจะมีเวลาได้ไปไหนมาไหนกันเองแบบนี้นัก นั่งคุยกัน แหย่กันเหมือนตอนยังไม่มีเค้าก็ทำให้นึกถึงช่วงเวลาก่อนแต่งงานกันได้ เวลาแบบนี้ถือว่าดีงามสำหรับผมและสุดท้ายก็ยังนึกถึงเด็กน้อยอยู่ดี พูดกันไปมาก็อยากให้เค้ามาด้วยอยู่ดี นี่ละนะพ่อแม่ลูกอ่อนทั้งหลาย ไม่ต่างกันแน่ๆเลย ฮ่า ฮ่า
สักพักเราก็โทรตามพี่เค้ามารับแล้วอาหารรสชาติอาจจะธรรมดาแต่เมื่อให้เวลากับธรรมชาติและสองเราอะไรๆก็ไม่ธรรมดาดอกนัก ฮิ้วววว
ใช้เวลาขับรถอีกราวๆเกือบสองชั่วโมงเราก็มาถึงเป้าหมายสุดท้ายของวันนี้แล้ว ซึ่งก็คงเดากันไม่ยากหากใครมาเลยแล้วไม่ถึง “เชียงคาน” ก็ไม่น่าจะเรียกว่ามาถึงเลยได้เลยจริงไหมครับ
ช่วงเวลาที่เรามาเชียงคานเป็นต้นหนาวแล้วแต่คนก็ยังน้อยมาก อาจจะเพราะยังไม่ใช่ช่วงเวลาหยุดยาวๆ ผมเองเคยมาเชียงคานครั้งนึงเมื่อหลายปีก่อน มาอีกครั้งเห็นอะไรเปลี่ยนไปพอควรโดยเฉพาะความเจริญ ซึ่งก็เดากันไม่ยากอยู่แล้วครับ แต่ที่เห็นว่ายังไม่เปลี่ยนแปลงไปมากมายก็คือ วิวริมน้ำโขงด้านหลังบ้านเรือนริวน้ำที่ยังไงก็ยังสวยไม่เปลี่ยนทีเดียว
วิวยามเย็นพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าแบบนี้สวยงามมากมายครับ และหลังจากเราเข้าที่พัก “มุ้ยฟัง เกสท์เฮาส์ ” ที่จองมาจากกรุงเทพฯ พบว่าที่นี่น่ารักมาก เห็นในเว็บแล้วมาเองก็ยังใกล้เคียงกัน แม้ห้องที่เราได้จะไม่ติดริมน้ำเพราะเต็มแล้ว แต่วิวริมถนนคนเดินหรือ ถนนศรีเชียงคาน ก็สวยอยู่ดี
ห้องพักที่นี่ดีและตกแต่งมีสไตล์กลิ่นอายดิบๆของปูนเปลือยผสมกับความเป็นตึกแถวบ้านไม้แบบเดิมๆผสมกันเท่ดี ซึ่งส่วนใหญ่ที่พักตลอดเส้นนี้ก็พยายามเก็บกลิ่นอายของบ้านไม้สีน้ำตาลกันไว้แทบทั้งนั้น
หลังจากเก็บข้าวของอาบน้ำอาบท่ากันเรียบร้อยก็พร้อมจะจู๋จี๋ เอ้ย ไม่ใช่ๆ ( ^___< ) พร้อมจะ ออกไปหาร้านริมโขงบรรยากาศดีๆปิดท้ายมื้อค่ำวันนี้กัน
ร้านที่เราเลือกมามีเพื่อนๆแนะนำกันไว้ว่าว่านอกจาก อาหารจะเลิศรส แต่บรรยากาศริมน้ำก็เลิศเลอไม่แพ้กัน เราจึงมาที่ร้าน “ครัวนุชา” ร้านเป็นส่วนนึงของรีสอร์ท เชียงคานฮิลล์
ด้วยทำเลที่ดีมากเพราะอยู่สุดปลายแก่งคุดคู้ ใครที่มาเที่ยวที่นี่ซึ่งก็อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงคานมาราว สิบกิโลเมตร แต่ขับมาง่ายครับออกจากถนนเชียงคานตรงเลียบริมน้ำมาเรื่อยๆก็จะเจอป้ายบอกไม่ยากเลย ที่แนะนำกันร้านนี้เพราะรสชาติอาหารและวิว ดีมากโดยเฉพาะเมนูปลาแม่น้ำโขงทั้งหลายอร่อยทีเดียว
วิวยามใกล้ค่ำบรรยากาศดีมาก วิวตรงแก่งฯเองก็สวยงามทีเดียว
อาหารสั่งไม่นานก็มาเสริฟครับ มีเมนูเด็กๆอย่างไข่เจียวมาเสริฟอันนี้คงติดเคยจากที่มีเด็กน้อยมาด้วย แต่เค้าทำอร่อยทีเดียวนะ
รวมๆอาหารอร่อยและวิวสวยงามเหมาะกับการมานั่งชิลๆยามค่ำชมแก่งคุดคู้
หลังอิ่มกันดีได้เวลาเดินย่อยกับถนนสายฮิต อย่าง ” ถนนคนเดินเชียงคาน “ก็อย่างที่เราเคยพบเห็นกันมาครับ เต็มไปด้วยของขายทั้งกิน ทั้งของใช้ ของที่ระลึกที่ฮิตที่สุดจะเป็นอะไรไม่ได้นอกจาก เสื้อยืด ที่สกรีนลายสารพัดที่ขึ้นและลงด้วยคำว่า เชียงคาน นั้นเอง จำนวนผู้คนที่เดินไปมาในคืนวันอาทิตย์ในเดือนเกือบท้ายของปีแบบนี้น้อยกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลย
ข้าวของที่วางขายกันส่วนใหญ่นอกจากเสื้อยืดแล้วก็จะเป็นของกินประจำจังหวัด ร้านอาหารที่เปิดกันตลอดสองข้างทาง และก็ของตกแต่งกิ๊บๆเก๋ๆ หรือการแสดงทั้งดนตรี ทั้งโชว์ มีให้ดูกันตลอดทาง
เราเดินกันอีกพักใหญ่จนเกือบสุดถนนแล้วก็เลยเดินกลับ บรรยากาศคืนนั้นเย็นกำลังดีเลย ผมเดินไปก็นึกถึงครั้งแรกที่เคยมาเยี่ยมเยียนเชียงคานครั้งแรกไม่ได้ ครั้งนั้นคึกคักกว่าครั้งนี้เยอะอาจจะเพราะเป็นช่วงเวลาด้วยก็ได้ หันไปถามคนข้างๆว่าชอบไหมเค้าพยักหน้ารวมๆทุกอย่างไม่เปลี่ยน เชียงคานที่ผมเคยมายังไงก็ยังเป็นแบบนั้น และแบบนี้ก็เป็นแบบที่คนที่มาท่องเที่ยวเองก็คงอยากเห็นด้วยเช่นกันครับ
คืนนั้นเราเข้านอนดูทีวีกันสองคน ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ไม่ค่อยคุ้นนักเพราะตรงกลางระหว่างเราจะมีเจ้าหนูตัวน้อยนอนกรนเบาๆให้ได้ยินเสมอ คืนนี้ขาดเด็กน้อยไปแต่ก็รู้ว่าสบายดีเพราะโทรไปคุยเล่นก็สนุกสนานกับคุณตา-คุณยายดี หลังคุยกันไม่นานเราก็หลับกันไปทั้งคู่
ก่อนที่เช้ามาจะรู้ตัวอีกทีว่าเรานอนกอดภรรยาอยู่ตลอดคืนทีเดียว…
05.30 น. ยามเช้าตรู่
ทริปนี้มานอนเลย สองคืน ต้องตื่นเช้าตรู่มากๆทั้งสองคืน อย่างคืนนี้มีนัดกับการทำบุญ ตักบาตรแต่เช้า อย่างที่รู้กันมาเชียงคานทุกคนต้องมา ” ตักบาตรข้าวเหนียว” กันแทบทั้งนั้นซึ่งเดี๋ยวนี้กิจกรรมทำบุญแบบนี้ เป็นหนึ่งในกิจกรรมทำดี สร้างบุญของนักท่องเที่ยว ที่ล้วนแต่มุ่งหมายจะมาทำที่เชียงคานกันแทบทั้งนั้น ซึ่งคุณๆไม่ต้องเตรียมมาเอง เช้าๆจะมีแม่ค้าและจากโรงแรมที่เราพักจัดเตรียมไว้ขายให้เราเสร็จสรรพพร้อมแล้ว
หลังจากรอพระไม่นาน สำรับอาหารอันประกอปด้วย กระติบข้าวเหนียว ดอกไม้ ของแห้ง รวมถึงมาม่า ขนมทั้งหลายก็จัดวางเตรียมให้พวกเราใส่บาตรกันแล้ว รอไม่นานพระท่านก็เดินบิณฑบาตรกันมาแล้ว วิธีการไม่ยากเราแค่จับข้าวเหนียวแบบพอดีคำไม่ต้องขย้ำนะครับ เดี๋ยวพระท่านฉันท์ไม่ได้นะเออ จากนั้นค่อยตามด้วยของแห้งที่เตรียมมากันครับ สำหรับของคาวไม่ต้องกังวลว่าท่านจะฉันท์ข้าวเหนียวกับอะไร เพราะชาวบ้านจะตามไปที่วัดเพื่อตักบาตรอาหารคาวกันต่อ
หลังใส่บาตรผมเดินโฉบออกมาตรงริมน้ำโขง เพื่อชมวิว เช้าๆแบบนี้วิวสวยงามและสงบเงียบมากครับ
เก็บภาพไม่นานผมก็พาคุณภรรยาไปชมวิวทะเลหมอกที่ว่ากันว่าเห็นง่ายที่สุดแห่งนึงของประเทศไทยและเป็นภูสุดท้ายของทริปนี้ “ภูทอก” วิธีการเดินทางหลังจากไปถึงบริเวณตีนเขา เค้าจะให้ทุกคนขึ้นรถกระบะท้องถิ่นอีกเช่นกันเพื่อขึ้นไปด้านบน และเส้นทางนี้ไม่อนุญาติให้รถทั่วไปขึ้นได้เช่นกันครับ
ใช้เวลาไม่ถึง 10นาทีก็มาถึงยอดภูแล้ว วิวทะเลหมอกใกล้ๆทำให้เรารีบเดินไปที่วิวตรงหน้า
ทะเลหมอกผืนใหญ่ก็เผยโฉมให้เห็นท้าทายกับแสงแดดยามเช้า ดูแล้วสวยงามมาก ไม่ต้องบรรยายกันมากชมกันเองได้เลยครับ ที่นี่เป็นเหมือนที่พิเศษสำหรับทะเลหมอก ไม่ว่าจะหนาวมากหรือน้อยก็ตามมาเราจะได้เจอกันแน่ๆ ผมมาสองครั้งเจอทั้งคู่อย่างที่บอกครับที่นี่เห็นง่ายมากๆ
ใช้เวลาอีกพักใหญ่เก็บภาพมุมสวยงามต่างๆ บนนี้นอกจากมีวิวสวยงามยังมีพระพุทธรูปให้ทำบุญกันได้
บรรยากาศระหว่างรอรถกลับลงมาผมก็เก็บภาพไปเรื่อยโดยเฉพาะเด็กๆน่ารักมากครับ
ลงมาท้องก็หิวได้ที่ มาถึงเชียงคานไม่ชิมอาหารที่มีแค่ที่นี่ได้ไง กับ ปาท่องโก๋ยัดไส้ยัดไส้ ลุงมุข ร้านดังในตลาดเทศบาล รู้สึกว่าตอนนี้จะมีขายในถนนคนเดินด้วยเลยเช่นกัน
มีหลากหลายไส้ให้เลือกสั่ง รสชาติก็อร่อยดีนะครับ
ใช้เวลาไม่นานเราก็กลับจากภูทอกเข้าที่พักเก็บข้าวของ วันนี้จะตระเวณเที่ยวตลอดทางก่อนจะกลับเข้าเมืองกันแล้วล่ะครับ
ในบริเวณใกล้ๆกันมีวัดสำคัญหลายแห่งเราเลือกวัดที่มีรอยพระพุทธบาทอยู่ในโบสถ์ “วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน” วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองเชียงคานมานาน วัดอายุกว่า 200 ปีสร้างมาตั้งแต่ปี พศ. 2300 นอกจากวิวที่สวยงามเมื่อมายังวัดฯ ยังมีพระพุทธบาทให้ได้เข้ามาทำบุญกันด้วย
และมาถึงที่เที่ยวสุดท้ายก่อนจะกลับเข้าเมืองกันแล้ว ผมขับรถตั้งใจจะมาไหว้พระธาตุงค์สำคัญอีกองค์คือ “พระธาตุสัจจะ” ที่วัดลาดปู่ทรงธรรม อ.ท่าลี่ อย่างที่รู้กันว่าที่นี่มีหนึ่งในสะพานมิตรภาพไทยลาว เชื่อมสองประเทศเข้าหากันไปมาหาสู่กันมานานแล้ว
วัดที่มีสิ่งศักดิ์ที่เสมือนเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างองค์พระธาตุ
ผมเดินขึ้นไปเพื่อกราบไหว้องค์พระธาตุอ่านประวัติที่มาจึงทราบว่า องค์พระธาตุสัจจะนั้นสร้างขึ้นเพื่อต่อดวงชะตาของพระธาตุพนมของจังหวัดนครพนมในอดีตที่ปริแตกและล้มลงมาในอดีต จนเป็นเรื่องเล่าและตำนานเล่าขานกันไปต่างๆนานา จึงมีการสร้างองค์พระธาตุนี้ขึ้นมาในปี 2018 และใช้เวลากว่า 4 ปีจึงแล้วเสร็จ โดยภายในยังเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันต์ธาตุ และพระปถวีธาตุพนม (ดินจากพระธาตุพนมองค์เก่า)อยู่ข้างใน
นอกจากนี้ในบริเวณเดียวกันยังมีรูปปั้นขนาดใหญ่ของ พระโพธิสัตว์กวนอิมตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ไม่ไกลกันนัก เดินไปขอพรกันได้นะครับ
มิน่าหลังจากอ่านเสร็จผมถึงว่าองค์พระธาตุดูคล้ายองค์พระธาตุพนมจริงๆด้วยนอกเหนือจากขนาดที่ไม่เท่ากันแล้วเท่านั้นเอง
ใช้เวลากราบพระธาตุและองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมกันเสร็จสิ้นก็ได้เวลากลับแล้วละครับ
จากนี้ผมก็เข้าเมืองกันแล้ว ที่แรกหลังจากมาถึงในเมือง คือร้านอาหารที่ชื่อเสียงของเจ้าของร้านโด่งดังไปไกลไม่ผ่านรสชาติอาหาร อย่าง ข้าวเปียก ปากหมา ร้านดังในตัวจังหวัด ร้านขายข้ามเปียก หรือ ก๋วยจั๋บญวนอันเลื่องชื่อ
ว่ากันว่าสาเหตุที่ได้รับสมญานี้มาจากเสียงของเจ้าของร้านคือเฮียวิรุฬ ที่เวลาพูดจาออกมาเสียงจะดังและชัดถ้อยชัดคำ สมญานี้ได้มาจากการที่เฮียแกเคยดุลูกค้าที่เอาพริกแดงของแกใส่เล่นลงในชาม หลังจากนั้นมาก็เลยมีคนให้สมญานามนี้กับแกมาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ครั้นรู้ถึงตัวแกเลยเอามาตั้งเป็นชื่อร้านให้คนทั่วไปเห็นแล้วจำได้ แต่เอาจริงๆนะผมว่าตัวจริงแกใจดีและมีความเป็นมิตรกับลูกค้าทุกคนสูงด้วยซ้ำครับ มาแล้วจะประทับใจเอาแน่ๆ ลองแวะเวียนมาชิมอาหารกันเองนะ
มาว่ากันถึงรสชาติกันบ้างข้ามเปียกของเฮียฯแกรสชาติดีมาก เรียกว่าผมกินก๋วยจั้บญวนมาไม่เคยเจอร้านไหนอร่อยเท่าร้านนี้ ไม่งั้นคนคงไม่แวะเวียนกันมาทานจนแน่นอยู่ตลอดเวลา
ก่อนจากขอแกถ่ายภาพ แกบอกเสียงดังฟังชัดว่ารอสักครู่นะครับจะแอ๊กท่าสวยๆให้เลย ขอทำให้ลูกค้าก่อน และสักพักเราก็ได้ภาพนี้จากเฮียฯแกมาครับ ถือเป็นความน่ารักในแบบเฉพาะตัวของร้านนี้เลย
หมดจากนี้เราก็ได้เวลากลับแล้วละครับ บึ่งรถตรงไปเติมน้ำมันใกล้ๆสนามบินและตรงดิ่งเข้าสนามบินกันเลย
ถือเป็นการปิดทริปที่สนุกสนานและ เหมือนเติมความหวานให้แก่กันและกันในบรรยากาศที่หายไปนานของเราทั้งสอง เพราะอย่างที่บอกไว้แต่แรกไม่บ่อยนักที่จะได้หนีลูกเที่ยวกันมาพร้อมกันทั้งสองคนแบบนี้ ในช่วงหลายปีหลัง
รูปสุดท้ายนี้ก่อนจะขึ้นเครื่อง Q400 ของนกแอร์บินกลับมายังเมืองหลวงถือเป็นการปิดทริปแบบสมบูรณ์ของเราครับ ท้ายนี้หวังว่าจะมีความสุขไปพร้อมๆกันกับเรากับจังหวัดที่เต็มไปด้วยสรรพสิ่งที่สวยงามทั้งธรรมชาติ อาหารเลิศรส และบรรยากาศอีสานตอนเหนือที่สวยงาม
ทิ้งท้ายไว้เป็นที่ระทึก สำหรับภาพคู่ ภาพเดียว ที่เรามีจากทริปนี้ครับ จนกว่าจะพบกันใหม่ที่ใดสักที่ในโลกสีฟ้าแห่งนี้
สวัสดีครับ