สวัสดีครับ รีวิวญี่ปุ่นรอบนี้จะพาคุณๆไปเที่ยวญี่ปุ่นในแบบ
Japan : Tohoku 11 คนตะลุยขับรถเที่ยวฤดูใบไม้ผลิ ภาคโทโฮคุ
และถือเป็นเป็นรีวิวแรกในซี่รี่ย์เส้นทางสายดอกไม้ที่มีโอกาสไปเที่ยวประเทศนี้มา ในภูมิภาคที่ถือเป็นเส้นทางขับรถเที่ยวชมธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น นั้นคือ ภูมิภาคโทโฮคุ หรือประมาณ ภาคอีสานของเค้านั้นล่ะฮะ
ภูมิภาคที่กว้างใหญ่ที่สุด กินพื้นที่ตอนบนของประเทศไว้ทั้งหมด (เว้นเกาะฮอกไกโดที่ถือว่าแยกเกาะออกไปเป็นภาคเหนือสุดของประเทศ) และรอบนี้ยังเป็นการกลับไปตระเวณขับรถเที่ยวเป็นครั้งที่สองในภูมิภาคนี้ เอาล่ะไปเที่ยวด้วยกันเลยดีกว่าอย่าเสียเวลาเนอะ ป่ะไปๆ
ญี่ปุ่นสำหรับคนไทยคงไม่ต้องเอ่ยถึงให้มากความจริงไหมฮะ เพราะมีรีวิวออกมาเยอะแยะให้เสพกันมากมาย เพราะฉะนั้นรีวิวนี้จะไม่เสียเวลาแนะนำอารัมภบทแต่จะขอพาทุกคนไปรู้จักเส้นทางที่น่าจะขับรถเที่ยวได้สนุกที่สุดเส้นนึงของประเทศนี้ โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิที่ดอกซากุระบานนั้นล่ะ เฉพาะภูมิภาคนี้ก็มีจุดที่ติดอันดับ 1 ใน10 จุดชมซากุระบานเกินครึ่งแล้ว แต่เห็นเยอะๆแบบนี้คนไทยกลับเที่ยวน้อยกว่าเขตคันโต(โตเกียวและรอบๆ) หรือ คันไซ (โอซาก้า,เกียวโต,นาราเป็นต้น) และมันมีธรรมชาติที่สวยงามสมดั่งคำร่ำลือจริงหรือไม่ มาดูกันที่แผนการเดินทางสำหรับทริปญี่ปุ่นรอบที่ 5 ของผมก่อนแล้วกันนะ
9วัน 3 ภูมิภาค 11 คน แห่งการตะลุยช่วงเวลาใบไม้ผลิ
ผมวางแผนแบ่งเส้นทางออกมาเป็น 3 ช่วง 3 เส้นทาง
เส้นทางแรก Tohoku จาก Iwate > Aomori 3 วัน
เส้นทางที่สอง Hokkaido จาก Aomori> Sapporo 3 วัน
เส้นทางที่สาม Tokyo จาก Tokyo>Fuji>Tokyo 3 วัน
จะว่าไปจะบอกว่าเป็นการขับรถเที่ยวล้วนๆก็อาจจะไม่ใช่เพราะ ระหว่างทางเรามีใช้รถไฟสลับกันด้วย แต่โดยรวมใช้รถค่อนข้างจะเยอะพอสมควรเกิน 60-70% ของทริปกันเลย และตอนนี้เป็นตอนแรกจะขอเริ่มที่ Tohoku กันเลยนะฮะ
The Big Family 11 ชีวิตตะลอนไปด้วยกันหมด
หนนี้เป็นการพาครอบครัวไปเที่ยวแบบกลุ่มใหญ่สุดตั้งแต่ตัวเองเคยไปมา ทำให้ต้องวางแผนกันล่วงหน้านานเลยทีเดียวเรียกว่าจองกันข้ามปีเลยก็ว่าได้ จนเราสรุปแผนการเดินทางมา ได้แบบนี้
เตรียมตัวก่อนเดินทางกันหน่อย
อย่างที่บอกไปรอบนี้เที่ยวจำนวนเยอะน้องๆทัวร์ย่อยๆ เราเลยตัองเตรียมการระดับนึงเลย จริงๆเราเคยเขียนเรื่องการเตรียมพร้อมหากจะพาเด็กเล็กไปเที่ยวต่างประเทศไปบ้างแล้วลองเข้าไปอ่านในรีวิวนี้ดูนะฮะ
รอบนี้ขออับเดตเรื่องที่ปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยขึ้นดีกว่าขอเน้นที่เรื่องการสื่อสารนะ เรื่องอื่นๆตาม link ไปอ่านกันดูนะ
Internet
หนนี้เราใช้บริการทั้ง Sim Roaming + Pocket Wifi อ่านถึงตรงนี้อาจจะสงสัยว่าทำไม
เอาง่ายๆเลยอยากทดสอบ+เพื่อความชัวร์พร้อมๆกัน
Sim ที่เราใช้รอบนี้เรียกว่าใหม่หมาดๆเลยกับค่าย ทรูมูฟเอช กับ Sim Travel Asia ที่ออกโปรมากระชากใจสุดด้วยราคา 399 บาท กับเน็ต 8 วัน 4 gb หากใช้หมดสามารถเติมวันเติมตังได้ สามารถใช้ได้กับประเทศในเอเชีย คือ เกาหลีใต้ จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฮ่องกง (ได้ข่าวกำลังเพิ่มประเทศอีกนะ) และที่สำคัญ roaming ใช้กับเบอร์หนึ่งของประเทศอย่าง NTT DOCOMO เน็ตดีมากอาจจะมีหลุดๆบ้างเวลาเข้าป่าเข้าพงแต่โดยรวมดีเสมอต้นเสมอปลาย
สำหรับการใช้งานงานซิมตัวนี้หลักๆ อย่าลืมลงทะเบียนซิมก่อนเดินทางนะฮะ อย่าพลาดเอาซิมไปต่างประเทศโดยยังไม่เปิดไม่งั้นมันจะกลายร่างเป็นซองกระดาษธรรมดาทันที ทับกระดาษยังไม่ได้เลยเบาไป 555
ตลอดเวลาที่ใช้งานบอกเลยประทับใจมาก เพราะเน็ตดีมาก test แล้วเล่นไปทั่วโดยเฉพาะภูมิภาคนี้ด้วยแล้ว ลองดูผล speedtest เอาเองเลยฮะ อันนี้ test จริงๆ
มาถึงฝั่ง Pocket Wifi บ้างครับรอบนี้ผมสอยโปร วันละ 100 บาทมาของ Tripizee ทำให้สอยมาใช้แบบไม่ถามมากความ
บริการเค้าก็ดีนะมีคิดค่าจัดส่งหากไม่มารับที่จุดรับก็ใช้เสียเงิน 50 บาทจัดส่งได้ แถมก็ไม่ต้องกังวลเปิดปุ๊บใช้ได้เลยที่ญี่ปุ่น
ส่วนการใช้งานก็ดีเช่นกัน ยิ่งถ้าอยู่ในเมืองนี้สัญญานดีไม่มีปัญหาเท่าที่หาข้อมูลมาจะใช้ของ Softbank ก็ดีเช่นกัน
โดยรวมที่ขอชมหน่อยคือตัวเครื่องรุ่นนี้ผมเห็นใช้กันเยอะหลายๆเจ้า ที่ให้บริการในเมืองไทยเครื่องเหมาะดีมากใช้ได้เต็มวันหรืออย่างน้อย 6-8 ชม. (ผมต่อแค่ 2 เครื่องนะ) เอาอยู่และนี่คือตอนใช้แล้ว test speed เช่นกัน ดีใช้ได้เลยฮะ ยิ่งเจอโปรวันละ 100 บาทด้วยยิ่งดีใหญ่
Day 1 จากโตเกียว นั่งรถไฟชินคันเซ็น ไปลง จังหวัด Iwate เข้าพักที่ Shizukuishi Prince Hotel
วันแรกนี้เป็นวันแห่งการเดินทางโดยแท้ เพราะเราเริ่มต้นทริปที่สนามบินดอนเมืองตอน 00.45 น. เพื่อมาถึง โตเกียว ตอน 7.00 น.กับคณะที่มีตั้งแต่ 4 ขวบจนถึง 79 ขวบ มันก็ไม่ธรรมดาจริงไหมฮะ
หลังจากผ่านตม.ญี่ปุ่นมาแบบง่ายมาก เจ้าหน้าที่น่ารัก เป็นมิตรและพูดภาษาอังกฤษได้หมด ช่วยให้เราใช้เวลาไม่มากก็ผ่าน ตม.ได้ ใช้เวลาประมาณ ไม่ถึง 30 นาที ทุกคนก็ผ่านเข้ามายืนในสนามบินNarita Terminal 2 กันได้หมดแล้ว
เมื่อเข้ามาสิ่งแรกที่เราต้องจัดการทันทีคือการเปลี่ยนใบจองตั๋ว JR Pass ที่เราจองมา ให้กลายเป็นตั๋วที่ใช้เดินทางจริงๆ โดย Pass ที่เราเลือกใช้เป็น Pass ใหม่ที่เพิ่งออกมาปีก่อน( 1 เมษายน 2016)นั้นคือ JR East-South Hokkaido Pass แบบ 6 day
ราคาตั๋ว JR East-South Hokkaido Rail Pass แบบ 6 day (วันไม่ต้องต่อเนื่อง)
ซื้อภายในประเทศญี่ปุ่น ผู้ใหญ่ 27,000 เยน (12ปีขึ้นไป) / เด็ก 13,500 เยน (อายุ 6-11ปี)
ซื้อนอกประเทศญี่ปุ่น ผู้ใหญ่ 26,000 เยน (12ปีขึ้นไป) / เด็ก 13,000 เยน (อายุ 6-11ปี)
สามารถใช้ได้แบบวันไม่ต่อเนื่อง ถือเป็น Pass ที่ดีและเหมาะกับเรามากๆ เพราะแผนการเดินทางเราอย่างที่บอกใช้ รถเช่าขับทำให้หากเราใช้ pass แบบที่วันต่อเนื่องติดกัน (เช่น JR All Pass แบบ 7 วันติดกัน) ตัวอื่นก็ดูจะไม่เหมาะนักเพราะมันจะกลายเป็นขาดทุนทันทีสำหรับวันที่เราขับรถทั้งวัน หลังจากได้ตั๋วมาแล้วอย่าลืมทุกคนควรจองที่นั่งไปเลยจากตรงจุดเปลี่ยนตั๋วนะฮะ เพราะการนั่งรถไฟจาก สนามบิน Narita เข้าไปในตัวเมืองโตเกียว ตัว JR Pass สามารถใช้นั่งขบวน Narita Express ได้แต่ถ้าไม่จองเราต้องเดินลากกระเป๋าไปที่ตู้แบบไม่ระบุที่นั่งซึ่งมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้นั่งด้วยกัน เพราะฉะนั้นเมื่อเปลี่ยนเป็นตั๋วจริงแล้วให้จองไปเลยดีที่สุด อย่างเราหนนี้ก็จองตั้งแต่ Narita ไปจนถึงขบวนที่ออกจากโตเกี่ยวเพื่อไปยัง Iwate เลย สะดวกดีมาก
หลังลูกทริปทั้งหมดนั่งกระจองอแงกันพอหอมปากหอมคอ พวกเราทุกคนก็มายืนที่สถานี Tokyo Station อันเป็นสถานีใหญ่ที่สุดของโตเกียวและชวนเวียนหัวสับสนที่สุดแล้ว ไหนจะขบวนผู้คนเดินกันขวักไขว่ ไปมา ป้ายสีบอกขบวนรถ ลูกศรชวนงง ทั้งหลายมาได้ เราก็มายืนที่รอพร้อมกระเป๋าอีกครอบครัวละ 3 ใบรวมแล้ว 9 ใบพอดิบพอดี รถไฟจะใช้เวลา 2 ชั่วโมง 13 นาที ก็จะถึงสถานี Morioka Station
link google map นะ
นั่งหลับกันยาวไป เพราะเพลียจากการเดินทางยาวๆ
เราก็มาถึงสถานี Morioka ที่นี่ละ สำหรับ Road Trip Japan เริ่มจริงๆแล้วละครับ
จากสถานีเราจองรถเช่าผ่านเว็บไซต์ https://www2.tocoo.jp/en/ จริงๆเว็บนี้เราใช้มานานแล้วตั้งแต่สมัยมาขับรถเที่ยวครั้งแรกที่ญี่ปุ่น เหตุผลเลยคือ บริษัทนี้เปรียบไปก็เหมือนเอเจ๊นท์ที่จะดีลกับบริษัทเช่ารถทั่วประเทศของญี่ปุ่นที่น่าจะครอบคลุมทั้งหมด และเรื่องราคาก็ถือว่าถูกใช้ได้ อย่างที่เรามารับหนนี้ก็เป็นของ Nippon Rent a car ใช้รถทั้งหมด 3 คัน ราคาเช่าช่วงที่เราไปแลดูจะสูงขึ้นมาเล็กน้อยถ้าเทียบกับปีก่อน น่าจะเพราะเราไปช่วงใกล้วันหยุดยาวของเค้าพอดี (Golden Week ) แต่ก็ยังถูกกว่าเช่าตรงกับบริษัทรถเช่าอื่นๆ หลังรับรถเรามีการซื้อประกันแยกต่างหากเผื่อไว้ด้วย ตรงนี้อยากจะบอกว่าให้ใครก็ตามที่อยากไปขับรถเที่ยวที่ญี่ปุ่นควรใส่ใจนะฮะ เพราะหากเรามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นที่นู้นจะยุ่งยากมาก และสำหรับผมเองหนนี้ก็เจอเช่นกันแต่ เดี๋ยวขอเก็บไว้ก่อนดีกว่าเพราะมันไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดช่วงแรกนี้ ค่อยๆเที่ยวไปด้วยกันนะฮะ แล้วจะเล่าให้ฟังนะ
สำหรับรถที่เราเลือกใช้จะเป็น size middle ซึ่งก็ประมาณ altis , civic บ้านเรานั้นเอง รุ่นที่ผมได้เลยคือ Subaru อันนี้เป็นหนึางในรถที่อยากขับที่สุดตอนจองเห็นล่ะแต่ในเว็บบอกไม่สามารถระบุได้ว่าเราจะได้รถอะไรก็แอบหวังนะพอมาเจอจริงๆนี่แทบกรี๊ดเลย เคล็ดลับง่ายๆสำหรับการเลือกรถในเว็บจองทุกเว็บคือให้คุณตรวจสอบข้อมูลรถเช่าเล็กน้อยว่ารองรับกระเป๋าลากได้ขนาดไหน ใส่ได้กี่ใบ เพราะไม่งั้นมันจะนำมาซึ่งความลำบากเพราะคุณอาจจะต้องเอากระเป๋าที่ลากมายัดเข้าไปไว้ในรถด้วยอันนี้ก็น่าอึดอัดอยู่ เพราะงั้นเช็คกันดีๆนะฮะ
เราใช้เวลาร่วม 1 ชม.กับการสื่อสารและจัดการเอกสารต่างๆ อ่อสิ่งที่เราควรเตรียมตัวก่อนเดินทางสำหรับการจะไปขับรถต่างแดน หลักๆไม่ยากเลย ใช้แค่ใบขับขี่สากล ซึ่งหน้าตาก็ประมาณนี้ฮะ
มันจะมีอายุ 1 ปีสำหรับการทำ 1 ครั้ง และวิธีการไปทำก็ง่ายมาก ใช้เวลาแค่ไม่ถึง 10 นาที ไม่ต้องสอบใหม่ (กรณีมีใบขับขี่ปรกติอยู่แล้ว) แค่ไปยื่นเอกสาร และจ่ายเงินแค่ 505 บาท ก็จบแล้วไปทำที่ขนส่งที่ใกล้บ้านคุณได้เลยทุกที่
เอาล่ะกลับมาต่อ ผมลองจิ้ม google Map เราจะใช้เวลาขับรถกันราวๆประมาณ 45 นาทีจากสถานีรถไฟ Morioka Station > ไปถึงโรงแรม Shizukuishi Prince Hotel ที่เราประทับใจตั้งแต่ทริปที่แล้วหนนี้ค้นๆจากในเว็บเค้าจนเจอว่ามีอยู่ที่ Iwate ด้วยก็จองแบบไม่ต้องคิดมากแต่อย่างใด ระหว่างทางผมค้นๆเจอว่าที่เมืองนี้มีจุดชมซากุระที่สวยและอยู่กลางใจเมืองอยู่ด้วย เลยลองขับพาคณะวนมาดูกัน แม้จะเริ่มเย็นๆแล้วก็ตาม
และสุดท้ายเมื่อพาคณะเดินขึ้นตามปราสาทจนถึงด้านบนภาพที่ไม่คาดคิดก็เบิกเนตรเราจนร้อง ว้าววว ก็หมดเลยทีเดียว เพราะ…
มันคือภาพดอกไม้สีขาวนวลตาบานสะพรั่งไปทั่วทั้งถนนรอบปราสาท มันคือ first Impression โดยแท้จริง เพราะความตั้งใจเราจริงๆคือการมาชมซากุระนั้นสำเร็จตั้งแต่วันแรกที่เท้าเหยียบเข้าประเทศนี้แล้ว
จะว่าไปผมเคยมาที่นี่ครั้งนึงเมื่อสองปีก่อนตอนที่มาเพื่อเขียนหนังสือ Japan Diary : เมือใบไม้เปลี่ยนสี นั้นเอง และตอนนั้นก็มีเวลาแค่ช่วงเย็นๆแบบนี้เท่านั้นเช่นกัน การกลับมาอีกครั้งที่เดิมมันช่างทำให้เราคุ้นตาจริงๆ แต่ด้วยบรรยากาศของฤดูและความบานสะพรั่งไปทั่วของซากุระ ทำให้ความรู้สึกทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด ผมค่อยๆพาชาวคณะเดินเข้าไปเรื่อยๆ เก็บภาพไปพลาง ชื่นชมไปพลาง ด้วยความหนาวเย็นระดับ ไม่ถึง 10 องศายิ่งทำให้บรรยากาศมันได้อารมณ์เข้าไปอีก
ภาพผู้คนที่มานั่งสังสรรค์กันใต้ต้นซากุระรอบๆ มันช่างแสนคุ้นตาเพราะฝันอยากมาเดินเล่นใต้ต้นซากุระแบบนี้ตั้งแต่สมัยเด็กๆที่นั่งดูการ์ตูนในช่อง 9 อสมท จะมีภาพแบบนี้ให้เห็นจนติดตา นี่สินะที่เค้าว่าการ์ตูนมันสร้างความคุ้นชินทางวัฒนธรรมให้เด็กในร่างผู้ใหญ่ของเราได้จริงๆ
ผมก็มีโอกาสเก็บภาพครอบครัวของตัวเองไปพร้อมๆกันเพราะรอบนี้มีโอกาสพาคุณยายของปันมาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกไปด้วยถ้าดูจากภาพก็ตีเอาเองว่าแกมีความสุขที่ได้มาด้วยกันกับเรานะ
เราเดินไปเก็บภาพไป เรื่อยๆ จนหนำใจ ผมเลยตามคณะพ่อลูกสาวที่พากันมาญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นครั้งแรกมาจนถึงด้านบนสุดของฐานปราสาท ที่นี่ผมเคยให้ฉายาไว้เองว่าเป็น ปราสาทล่องหน ส่วนเหตุผลนั้นขอยกให้คนขี้สงสัยตามไปอ่านกันดูจากรีวิวที่แล้วนะฮะ ตามlink ไปดูว่าทำไม ภาพพ่อลูกเดินพากันถ่ายรูปชมดอกไม้มันก็ดูอบอุ่นดีนะ
มีคนญี่ปุ่นมากมายที่มานั่งชมวิว และถ่ายรูปเช่นกัน บรรยากาศในยามเย็นยิ่งสวยงาม
เก็บภาพกันแล้วก็ไปกันต่อครับระหว่างทางเราไม่แวะใดๆอีกเพราะกลัวจะเข้าโรงแรมดึกเกินไปจนคณะทุกคนขับรถมาถึงโรงแรมราวๆเกือบสองทุ่ม และ SHizukuishi Prince Hotel ก็อยู่ในภูเขาด้วย ยิ่งขับเข้าไปอากาศก็ยิ่งเย็นลงเรื่อยๆจำได้ว่าอากาศตอนนั้นอยู่ราวๆ 4-5 องศาแล้ว
มาถึงพวกเราก็ไปรวมกันที่ห้องอาหารโรงแรมกันก่อนเลยเพราะก็หิวกันมาทุกคนที่โรงแรมจะมีบุฟเฟ่ต์มือเย็นไว้ด้วยก็ไม่ลังเลกันเลยซักคนข้อดีคืออาหารวันนี้มีขาปูยักษ์เสริฟไม่อั้นด้วยไหนจะกุ้งอีกล่ะ อ่ามันโอเลยนะ
นอกจากนี้แม่ปันและเพื่อนๆร่วมทริปของปันยังมีเซอร์ไพรส์เล็กๆให้ปันด้วยการมาเป่าเทียนวันเกิดให้เด็กน้อยด้วยเพราะวันที่มาถึงนี่เป็นวันเกิดของปันพอดิบพอดี พ่อแม่ รวมถึงเพื่อนๆเค้าก็เลยมาล้อมวงกันตรงนี้อวยพรกันจนเค้กนี่เละกันเลย ถือเป็นวันเกิดที่ไฮโซที่สุดของปันแล้วละมาเป่ากันถึงญี่ปุ่นเลย ดูคลิปเด็กๆเฮฮานะฮะ
หลังแยกย้ายกันพวกเราทุกคนเข้าห้องพักตอนจองผมแจ้งกับทางโรงแรมไว้แล้วว่าขอ Extra Bed เสริมตอนเข้ามา ห้องเลยดูแน่นๆหน่อย
แต่เรื่องการจัดการพื้นที่ของโรงแรมขอยกให้ญี่ปุ่นเลย การวางทุกอย่างแม้จะมีเตียงเสริมก็ไม่ถึงกลับลำบากห้องของเราเป็น Type Standard Twin Room
อุปกรณ์ของห้องพักก็ครบถ้วนดี ที่สำคัญมีน้ำให้ด้วยนะ อันนี้อาจจะว่าแปลกๆแค่มีน้ำต้องมาอวด แต่จะบอกว่าที่ญี่ปุ่นโรงแรมทั่วไปเค้าจะไม่มีน้ำวางในห้องให้ เพราะงั้นที่นี่โอมากๆ สมมาตรฐานที่เคยพักของ prince มาหลายที่
ห้องน้ำก็มาตรฐานครับ น้ำอุ่นน้ำร้อนนี้ดีมากขอชมเรื่องนี้ทุกโรงแรมที่ญี่ปุ่นเรื่องน้ำนี่ไวใจได้เลย
และมีผ้าเปลี่ยนให้ด้วยสำหรับการไปแช่ออนเซ็นและชุดนอนเปลี่ยนให้ด้วย
โดยรวมถือว่าเป็นห้องพันที่ดีแต่จริงๆมันดีกว่านี้อีกในยามเช้าไปดูกันครับ คืนนั้นทั้งผมทั้งปันลงไปใช้บริการ น้ำพุร้อนของโรงแรมฟินมากๆเลย
Day 2 Iwate กับถนนสายซากุระแสนสวย
เมื่อยามเช้ามาถึงสิ ความหายเหนื่อย เมื่อยล้ามลายหายไปหมดเมื่อเจอวิวตรงหน้าแบบนี้
มันสวยมากกก สวยใจละลาย สวยวัวตายกันไปเลยคือเสียดายวันนั้นอากาศตอนเช้าไม่ดีถ้าแดดดีๆแจ่มๆนี่จะสวยยิ่งกว่านี้
วิวแบบนี้สิถึงคุ้มค่ากับการบินข้ามน้ำข้ามทะเลมานอนหนาวๆกัน และสำหรับที่พักเราที่นี่มีดีอีกอย่างอันเป็นเอกลักษณ์ของ Prince Hotel คือถ้าเว้น โรงแรมตามหัวเมืองใหญ่แล้วเครือนี้เค้าจะมี ออนเซ็นไว้ทุกที่และที่นี่ก็เช่นกันมีออนเซ็นค่าาาา
บริเวณโรงแรมรอบๆอยู่ท่ามกลางธรรมชาติดีๆ นี่ถ้ามาฤดูใบไม้เปลี่ยนสีต้องสวยแน่ๆเลย
เด็กก็สนุกสนานกันก่อนจะเดินทางไฮไลท์ก็อยู่ตรงที่มันมีพื้นที่ให้เด็กๆวิ่งเล่นกันได้ แม้จะไม่เยอะแต่ทริปแบบนี้ความสนุกของเด็กๆก็อยู่ที่เค้ามีเพื่อนๆมาด้วยกันเนี่ยละฮะ
ความน่าเสียดายอยู่ตรงนี้ที่เราไม่สามารถเอากล้องเข้าไปถ่ายรูปออนเซ็นได้เพราะเค้าห้ามอยู่นะ งั้นเอาภาพจากโรงแรมในเว็บมาให้ดูแล้วกันนะ ซึ่งเอาจริงๆมันไม่ต่างจากของจริงเลยนะเห็นยังไงก็ตามนั้น ขอบคุณภาพจากโรงแรมนะครับ ใครสนใจตามไปจองกันได้ที่นี่ หรืออยากหาข้อมูลห้องพักจากเว็บโรงแรมโดยตรงก็ไปที่นี่นะ
อาหารเช้าที่นี่ไม่ได้ขี้เหร่อะไร ก็มีทุกอย่างครบถ้วนแต่อาจจะไม่เริ่ดเหมือนตอนเราไปทานกันที่โตเกียวกับ ที่ Shinagawa Prince Hotel ลองดูรีวิวกันได้ที่นี่เลยนะ มันเริดทั้งวิวทั้งอาหารงานดีมีคุณภาพคับแก้วมาก
หลังจบมื้อเช้าก็ได้เวลาเคลื่อนขบวนแล้วละครับ ส่วนใหญ่ทุกวันแห่งการเดินทางสูตรเวลาของเราจะออกมาเป็น 7-8-9 เสมอ หมายถึง ตื่น 7 โมง กินข้าว 8 โมง ออกเดินทาง 9 โมง เป็นแบบนี้ซะส่วนใหญ่สำหรับครอบครัวเด็กเล็กๆแล้วนี่คือเวลาที่เหมาะสมแล้วเพราะจะต้องจัดการกับตัวเองยังไม่พอ ยังต้องมะรุมมะตุ้มรุมกับเด็กน้อยด้วย แต่เราโชคดีที่ปันเองเริ่มจะดูแลตัวเองได้แล้วตามวัย 6 ขวบของเค้า ทำให้ครอบครัวเราทุกคนรักษาเวลากันได้ดีเยี่ยมมาก
ที่แรกที่เรามุ่งมากันคือที่นี่เลย Koiwa Farm ฟาร์มที่ว่ากันว่ามีต้นซากุระเดี่ยวๆกลางทุ่งหญ้าที่สวยงามที่สุดโดดเด่นเป็นสง่าราศี
แต่น่าเสียดายวันที่เรามามันยังไม่ออกดอกให้เห็นเลย ปีนี้เป็นปีที่ซากุระบานช้ากว่าทุกปีในภูมิภาคนี้ปรกติเวลานี้จะบานไปแล้วแต่ก็ไม่เป็นไร เก็บภาพไว้ดูมีโอกาสมาอีกเมื่อไหร่เจอกันแต่เพราะหากมันบานจริงๆมันก็จะสวยสมคำร่ำรือแน่ๆ
จากนั้นพวกเราก็มุ่งหน้าไปที่ฟาร์มกัน วันนี้คนน้อยกว่าที่คิดแต่ด้วยอาณาบริเวณของฟาร์มที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคนี้แถมมีเบื้องหลังเป็นภูเขาอิวาเตะ (Mt. Iwate) ก็ทำให้สวยงามน่ามอง แถมท้ายด้วยอากาศหนาวๆระดับ 10 องศาเศษๆด้วยแล้วเราหนีเดือนที่ร้อนที่สุดของปีจากไทยมาถูกที่ถูกเวลาแล้วล่ะนะ
กิจกรรมในฟาร์มนี้เราจะเล่นอะไรต้องเสียเงินเพิ่มเติมนะ เพราะค่าเข้านั้นเฉพาะค่าผ่านประตูล้วนๆ เข้ามาก็จะเหมือนเดินเล่นอยู่ในฟาร์มผสมสวนสนุกกลางแจ้งประมาณนั้นเลย
กิจกรรมส่วนใหญ่ในฟาร์มนี้จะเป็นกิจกรรมกลางแจ้ง แต่จะเสริมพวกโรงภาพยนต์ 4 d เข้ามาด้วย แต่ใจเราอยากพาเด็กๆเล่นกิจกรรมกลางแจ้งกันมากกว่า ที่สำคัญที่นี่มองเห็น Mt.Iwate ได้ชัดเจนเลย ถ่ายรูปกันได้ง่ายๆมาก
ทั้งขี้ม้าแคระ หรือไม่แคระ เด็กๆชอบกันทุกคน ปันจัดซะสองรอบเลย
มีสไลด์ ม้าหมุน หรือเครื่องเล่นเบสิคให้ฟรี มีพวกกิจกรรมอื่นๆเช่นยิงธนู อันนี้พ่อปันได้เล่นด้วยนะแต่ยิ่งไม่เข้าเป้ากันเลย นอกจากนี้ก็มีพวกนั่งรถรางพาชม แต่เราไม่ได้ขึ้นนะเน้นเดินกันมากกว่า เล่นๆกันอยู่แป๊บๆฝนก็เทลงมาจนต้องเข้าไปหลบในร้านของฝากก็เสียทรัพย์กันไปหอมปากหอมคอ
หลังฝนซา คณะ Big Family ก็ย้ายมาเที่ยวกันต่อที่เป้าหมายถัดมาอย่างที่บอกไปแล้วทริปชมดอกไม้จะเป็นที่ไหนไปได้ถ้าไม่ใช่แหล่งชมดอกไม้อย่างที่ Kitakami Tenshoji Park หรือจะเรียกว่า ถนนเลียบริมน้ำ Tenshoji
อันนี้คือเส้นทางขับรถของเราที่ GPS ทั้งในรถและในมือถือพาเรามา ทำให้ไว้นะฮะเผื่อใครจะเอาไปใช้ต่อได้ เป็นวงกลมพอดี
ใช้เวลาร่วมๆชั่วโมงคณะเราก็พาตัวเองมาถึงเมือง Kitakami ในจังหวัด Iwate แล้ว
แค่ตอนขับรถเข้ามาจนเห็นสะพาน เห็นแม่น้ำก็ร้องว้าวว มาก มันเห็นต้นซากุระเรียงรายเรียบริมน้ำนี่ไม่ธรรมดาเลยนะ
เราไม่เสียเวลานานหาที่จอดกันได้ก็กุลีกุจอเดินไปยังเป้าหมายเลย ส่วนตัวผมค่อนข้างตื่นเต้นมากหากเทียบกับวันแรกที่ไปบน Morioka Park แล้วอันนี้ตื่นตากว่ากันมาก
อาจจะเพราะมันมาเต็มทั้งบรรยากาศเวลากลางวัน แดดสวย และธงปลาคาร์พ ที่โบกปลิมไสวตามแรงลมมันช่างสวยจริงๆ ช่วงเวลาที่เราไปคือปลายเดือน เมษายน กำลังเข้าสู่ช่วงวันเด็กผู้ชายของประเทศญี่ปุ่น เราจึงเห็นธงปลาคาร์พอันเป็นสัญลักษณ์ของเด็กผู้ชายโบกกันสวยงามไปกับทิวต้นซากุระที่โปรยกลีบสวยๆปลิวไปทั่ว
ที่ Kitakami นี่เป็นถนนเลียบริมแม่น้ำมีต้นซากุระปลูกนับพันต้นทีเดียว คณะเราจึงค่อยๆเดินชมบรรยากาศดอกซากุระปลิว มีพายุหมุนเล็กๆที่หมุนไปมาสวยงามมาก คือผมเองก็ไม่คาดว่าจะได้มาเห็นดอกซากุระสวยๆได้ขนาดนี้
ระหว่างเดินกันไปเรื่อยๆเก็บภาพไปเรื่อยๆผมก็เจอกับ Hilight สำคัญของทีนี่คือ รถม้าสีแดง ฮะ เป็นรถม้าที่ลากบรรทุกนักท่องเที่ยวพานั่งชมมาตามถนน โอ้ยอันนี้พี๊คจริงๆ เพราะผมเห็นภาพนี้จากโปสเตอร์การท่องเที่ยวเมื่อปีก่อนเลยตั้งใจไว้ว่ากลับมาที่โทโฮคุเมื่อไหร่มีโอกาสจะมาเก็บภาพนี้ให้ได้ และภาพนั้นก็ปรากฎตรงหน้าผมอยู่ในเวลานี้เลย
ผมกดไม่ยั้งเลยทีเดียว มันช่างน่าตื่นตาจริงๆ เหล่านักท่องเที่ยวก็ดูมีความสุขบนรถลากที่เจ้าม้าแสนกำยำตัวนี้พาทุกคนนั่งชมซากุระจากสองข้างทางไปตลอดทั้งขาไปขากลับแลดูเริ่ดๆกันอยู่นะ
ที่ใกล้ๆสะพานมีเครื่องเล่นเด็กวางอยู่ไม่ใหญ่แต่ก็ดึงดูดเด็กๆวิ่งไปเล่นกันทุกคน ความสนุกของเด็กๆก็เท่านี้เองฮะ ผู้ใหญ่อย่างเราๆต่างหากที่ความสนุกช่างใหญ่โตและคาดหวังกว่าเด็กเยอะมาก
เก็บเกี่ยวภาพกันอีกพักใหญ่ก็ได้เวลากลับกันแล้ว จากเดิมที่วางแผนจะไปอีกที่ๆเป็นจุดชมซากุระพันธ์ระย้าก็ต้องเปลี่ยนแผนเพราะเราใช้เวลากับที่นี่ค่อนข้างนาน บางทีสโลว์ไลฟ์บ้างก็ช่วยให้ชีวิตมันเสพอะไรได้มากขึ้นเยอะเลย
วันนั้นขบวนพวกเราก็ชวนกันหาอะไรกินในเมืองก่อนจะเข้าโรงแรมกันและแวะช้อปปิ้งกันอีกเล็กๆให้คุณแม่ทั้งหลายได้บริหารจิตใจที่อ่อนล้าจากการเดินทางกับการบริหารกระเป๋าสตางกันพอหอมปากหอมคอก็กลับเข้าโรงแรมกันและแน่นอนผมกลับปันก็ไม่พลาดจะพาตัวเองไปนั่งนอนแช่ออนเซ็นของโรงแรมนี้ มันช่างแสนฟินจริงๆ เด็กน้อยก็ชอบมากถึงขนาดชักชวนลากผมลงมาไวๆกันเลย
คืนที่สองของครอบครัวเราก็จบด้วยการนอนหลับเป็นตายไปทั้งคืนจนถึงเช้าเลย…
Day 3 จากยอดเขาอันเหน็บหนาวจรดปราสาทโอซาก้าพี่มากันแล้วนะ
เข้าสู่วันที่สามแล้ว เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาเสพวิวตรงหน้าอีกครั้งรู้สึกรักเมืองนี้ กับที่นี้ก็ตรงตืนนอนมาเจอวิวแบบนี้นั้นล่ะ แต่เอาเถอะวันนี้เราต้องเก็บข้าวของย้ายกันแล้วเพื่อไปยังเมืองบนสุดของภูมิภาคนี้ เลยไม่อิดออดให้มากความ สูตร 7-8-9 ยังคงใช้ได้ดี เราออกกันตรงเวลาดีมาก เช้าวันนี้เรามีภารกิจกันหลายที่ก่อนจะเข้าสู่ที่พักอีกแห่งตอนค่ำที่ ทะเลสาบโทวาดะ ที่ผมเคยมาตอนใบไม้แดงแล้วนั้นเอง
ขบวนรถทั้งสามคันล้อหมุนกันตรงเวลา วันนี้เรามีนัดตอนเช้ากันที่ กำแพงหิมะ บนเทือกเขา Hachimandaira Aspite Line เส้นทางขับรถเที่ยวชมกำแพงหิมะแสนสวยกัน
ตามแผนเดิมพวกเราจะไม่ขับรถขึ้นมาแต่จะนั่งรถบัสแต่หลังจากผมมาหาข้อมูลดูแล้วก็รู้ว่าเราสามารถขับรถเพื่อมาเที่ยวกันได้ เลยเปลี่ยนแผนเป็นขับรถกันขึ้นมาเลย ใช้เวลาราวๆ 1.30 นาทีพวกเราก็มาถึงบริเวณตีนเขาแล้ว
เส้นทางขับรถสองข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากวิวต้นไม้แห้งๆเป็นต้นไม้ที่มีหิมะปกคลุมไปทั่ว
เราขับกันมาเรื่อยๆจนถึงจุดแวะที่รถทั้งสามคันเราจอดกันได้ เพื่อเก็บภาพกัน บรรยากาศวันนี้ช่างต่างจาก 2 วันแรกที่ผ่านมามากสองข้างทางเต็มไปด้วยหิมะและหิมะมากๆ
และมันก็สวยสุดๆไปเลย กับกำแพงหิมะที่ค่อยๆสูงชันขึ้นไปทั้งสองด้าน
เก็บภาพแล้วเราก็ขับรถไปกันต่อ จนถึงอีกจุดที่เป็นจุดแวะข้างทาง เราพากันเดินลงมาเพื่อเก็บภาพกันแบบลังเลอยู่สักหน่อย เหตุผลเพราะก่อนมาที่นี่พยายามหาข้อมูลจากรีวิวต่างๆก็หาได้น้อยมากจริงๆเนื่องจากเส้นทางกำแพงหิมะที่คนไทยรู้จักกันดีนั้นอยู่ใกล้ๆกับโตเกียวนั้นคือที่ Tateyama Kurobe Alpine Route ที่เราเคยเห็นจะเป็นกำแพงหิมะสูงท่วมหัวและคนสามารถเดินเล่นกันได้ไม่มีรถราวิ่งไปมา แต่กับที่นี่ Hachimandaira Aspite Line มันจะเป็นเส้นทางขับรถมากกว่าและมีจุดแวะพักให้เราลงมาเดินเล่นได้สั้นๆในบริเวณจุดจอดรถนั้นเอง มันจะต่างกันออกไป แต่เอาเถอะไหนๆมากันแล้วก็ต้องเก็บภาพกันสักหน่อย
สำหรับกำแพงหิมะสองข้างทางนั้นตรงจุดจอดรถที่เราแวะจะไม่สูงมากนักหากเทียบกับที่ดูภาพที่ Tateyama (ไปจากโตเกียวไม่ไกล)จุดที่เราขับเข้ามาก่อนถึงจะสูงใกล้ๆเคียงกับภาพที่เราเคยเห็นแต่ก็หาจุดจอดยากกว่า แถมวันนั้นธรรมชาติก็จัดเต็มส่งฝนลงมาปรอยๆได้สักพักก็เปลี่ยนเป็น หิมะปรอยแทน โอ้ววว มันมหัศจรรย์สุดๆเลยมาดูดอกไม้ก็ได้เจอหิมะตกโปรยลงมาอีกพีคแต่เช้าเลยฮะ
เลยกลายเป็นการเก็บภาพ กางร่ม ท่ามกลางหิมะไป ตามนี้เลย ทุกบ้านได้หมด
เก็บจนหน่ำใจและเวลาต้องไปต่อทุกคันก็พร้อมออกเดินทางต่อแล้ว
ขาลงหลังจากขับออกมาเส้นทางข้างหน้าค่อนข้างอันตรายแล้วเพราะหิมะเริ่มตกถี่เรื่อยๆทำให้เราต้องขับกันช้าลงมากๆ เพราะมองอะไรข้างหน้าไม่เกิน 5 เมตรได้เลย
หลังจากงมๆกันสักพักก็พ้นออกมากันสำเร็จปลอดภัยหมด บอกเลยว่าการอยู่ในรถท่ามกลางหิมะโปรยนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของเราแต่เป็นครั้งแรกที่ต้องนั่งหลังพวงมาลัยขับเองแบบนี้ลุ้นทุกนาทีเลยฮะ เป็นได้อย่าเสี่ยงดีสุดนะ
หลังพ้นมาเราก็ได้เวลาไปต่อแล้วละเป้าหมายของเราวันนี้คือที่สุดเป็น 1 ใน 5 ที่ว่ากันว่าเป็นแหล่งชมซากุระที่สวยสุดของประเทศนี้เลย จะเป็นที่ไหนไปได้ถ้าไม่ใช่ “Hirosaki Park (สวนฮิโรซากิ)” อันเป็นที่ตั้งของ Hirosaki Castle (ปราสาทฮิโรซากิ) แต่เนื่องจากมาช่วงหยุดยาวๆของบ้านเค้ารถก็ติดพอดู กว่าจะหาที่จอดได้แต่ละคันก็แยกหายกันไปคนละทิศแล้ว เลยกลายเป็นแยกบ้านกันเที่ยวชั่วคราวกัน ไป อ่อ ที่จอดรถรอบๆปราสาทค่าที่จอดก็ไม่ถูกล่ะนะ (1000 yen/day )แต่ก็อย่าเสียเวลาคิดเลย จ่ายและจอดเถอะ
ด้วยขนาดอาณาบริเวณของสวนแห่งนี้ที่กว้างระดับหลักหลายร้อยไร่ และมีซากุระปลูกอยู่โดยรอบมากกว่า 2500 ต้น จาก 52 สายพันธ์ และไหนจะมี ปู่ซากุระอายุเกิน 100 ปี อีกหลายร้อยต้น แค่เดินเข้ามารอบๆปราสาทก็เจอซากุระแล้วละ มันสวยสุดๆเลยนี่แค่ทางเดินรอบนอกเองละนะ แถมปีนี้เป็นปีที่ครบรอบ 100 ปีของสวนแห่งนี้ด้วย
จริงๆแล้วที่นี่ก็เป็นที่ๆเคยมาครั้งนึงเมื่อตอนใบไม้เปลี่ยนสี ที่นี่ก็สวยไม่แพ้ฤดูใบไม้ผลิตอนนี้เช่นกัน
กลับมารอบนี้อบอุ่นกว่าที่เคยเพราะมีโอกาสพาปัน และคุณยายมาเที่ยวด้วยกัน เลยเก็บภาพกันเต็มที่เลย ด้วยบรรยากาศที่สวยจนเกินบรรยายต้อนรับตั้งแต่รอบนอกแค่เห็นกลีบดอกซากุระโปรยจนเต็มคลองรอบปราสาทเปลี่ยนสีน้ำย้อมด้วยกลีบดอกซากุระจนเป็นสีขาวอมชมพูไปทั่ว โอ้ยยย สวยตายไปข้างเลย
แต่ด้วยปริมาณนักท่องเที่ยวที่ต่างก็มุ่งหน้ามาที่เดียวกันมันก็ยากจะหลบหลีกไปได้ในการถ่ายภาพ ผมเลยพากันเดินเข้าไปด้านใน ด้านในก็ยังสวยมากแม้คนจะเยอะ รอบๆปราสาทมีทั้งรถเข็นที่มาขายของ และร้านรวงที่มาออกร้านกัน ก็มีความคล้ายๆกันกับบ้านเราเวลางานวัดประมาณนั้นแต่ก็ดูดีในแบบสไตล์ญี่ปุ่นนั้นล่ะ
ผมเดินกันมาเรื่อยๆจนถึงทางเข้าตัวปราสาทด้านในจะมีสะพานแดงเชื่อมเข้าสู้โซนด้านในจากทั้งสี่มุม คนก็มหาศาลตามระเบียบละฮะ
หามุมถ่ายรูปกัน ภาพชุดนี้ปันถ่ายเองหมดเลยพ่อมีหน้าที่แค่ปรับแสงให้เท่านั้นเลย อันนี้สินะที่เค้าว่ากันว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เห็นแล้วก็ปลื้มสุดๆเลย
มุมสงบๆก็ต้องหาเอานะ กลับมาครั้งนี้ตัวปราสาทยังอยู่ในระหว่างการซ่อมแซมตัวฐานทำให้มีการย้ายปราสาทมาไว้ข้างๆ เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมฐานได้ง่าย แตเรื่องหามุมคงไม่ใช่ปัญหา เพราะก็เห็นนักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันมุ้งมิ้ง ตะมุตะมิกันไปหมดเลย
ที่นี่เลยกลายเป็นที่เที่ยวสำหรับทุกเพศวัยที่อยากมาชมดอกไม้และต้นไม้สวยๆกัน ดูแล้วเพลินสำหรับเรามาก
ตัวปราสาทยังสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้อยู่ สนนราคาค่าเข้าไปชมในตัวปราสาทก็ตามภาพเลยครับ แต่ด้วยเวลาและดูแล้วคนคงเข้าคิวกันยาวๆเราเห็นตรงกันว่าจะไม่เข้าไปชมดีกว่าขอชมซากุระรอบๆ และหากมีโอกาสที่ซ่อมปรับปรุงเสร็จจริงๆแล้วเราจะกลับมาเก็บภาพปราสาทในฤดูสวยๆแบบนี้อีกครั้งละนะ
มุมนี้เก๋มากคิดว่าน่าจะเป็นธรรมชาติสร้างมากเห็นที่แรกคนมุงถ่ายอะไรกันเลยเดินเข้าไปดูหันมองเงยขึ้นไปถึงบางอ้อเลย มันเกิดจากกิ่งก้านจากต้นยื่นกันมาจนเกิดเป็นรูปทรงตรงกลางเป็นรูปหัวใจแบบในภาพเลย เกร๋ๆไปนะ
หันมองมุมสวยๆเก็บบรรยากาศก่อนจากก็ได้เวลากันตามนัดกับบ้านอื่นๆ เราตั้งใจจะไปจบกันที่สุดท้ายที่ “Morioka Bay” โดยที่มีตึก A Factory เป็นแลนด์มารค์สุดท้ายของวันนี้ ด้วยความที่กะเวลากันหมื่นเหม่ใช้วลาขับรถกันราวๆ 1.30 นาที คณะเราก็มาถึง
ตัวตึก A Factory จะเป็นอาคารสองชั้นทรงโกดังที่ดัดแปลงมาทำเป็นร้านอาหารและแหล่งขายของฝากเก๋ๆ ดูจากภายนอกมันก็สวยดีและที่จะมากันรอบนี้เพราะเรามีแผนจะมาจองตั๋วรถไฟในวันรุ่งขึ้นด้วยเพราะเรามีแผนออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่เลยมาจัดการซะให้เรียบร้อยไป
เดินเที่ยวรอบๆมันก็สวย ถ่ายรูปเอาเก๋ๆได้อยู่แต่ ก็ยังไม่มีอะไรมากนัก แต่ถ้าจะเอาเน้นกินของทะเลสด ก็คือมันอยู่ใกล้ๆกันกับ ตลาดปลา Auga Fish แต่เสียดายจริงๆ ที่เรามาช้าตลาดปิดตอน 5 โมงเย็นพอดีเพราะงั้นใครจะมาคำนวนเวลาดีๆนะ
วันนี้ก็จะเหนื่อยเล็กน้อย เพราะแต่ละจุดที่ไปค่อนข้างขับรถเกิน 1 ชม.ทั้งหมด เหมือนๆขับรถเก็บ RC ประมาณนั้นเลย สุดท้ายพวกเราเก็บภาพ จัดการตั๋วเรียบร้อยก็หาอะไรทานกันรอบๆ ร้านรวงแถวๆนี้ไม่เยอะนักแต่ก็มีเสียงหัวเราะ รอยยิ้มของเด็กๆที่มาด้วยกันทำให้บรรยากาศหนาวๆมีความสนุกไปพร้อมๆกัน โดยที่เสียงหัวเราะต่อกระซิบในวันส่งท้ายการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้จะเป็นเสียงหัวเราะท้ายๆก่อนจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับครอบเราในวันถัดไป
รีวิวหน้าอาจจะไม่เหมือนรีวิวปรกติของครอบครัว one22family แบบที่เคยมา เพราะมีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นโดยที่พวกเราทั้งหมดไม่รู้เลยว่าหลังจากวันนี้จะมีเหตุการณ์ที่เปลี่ยนทริปของพวกเราไปแบบไม่คาดฝัน และต่อให้วางแผนมาดีแค่ไหนก็ไม่สามารถจะรับมือกับเหตุการณ์หลังจากนี้ได้ง่ายๆเลย
สำหรับครอบครัวไหนก็ตามที่มีแผนเดินทางจะท่องเที่ยวต่างประเทศอย่าพลาดนะครับ ประสบการณ์จริงๆที่อยากจะเล่าให้ทุกคนฟังครับ
โปรดติดตามตอนหน้า… Japan 3 ภูมิภาค 9 วัน 11 คนตะลุยภาคฮอกไกโด ในวันที่คาดไม่ถึง