เอ่ยถึง รีวิว จากนาโกย่าถึงไอจิ 13 ที่เที่ยวห้ามพลาดในภูมิภาคชูบุ รอบนี้เป็นรีวิวภูมิภาคใหม่ๆ ของตัวเอง ในจังหวัดใหม่ที่อยากไปมานานแล้วครับ กับจังหวัด ไอจิ เมืองเด่นที่คนไทยเคยได้ยินชื่อบ่อยๆ ก็คงไม่พ้น ภูเขาไฟฟูจิ ทะเลสาบคาวากูจิโกะ หรือเอ่ยถึง เมืองชิราคาวาโกะ ที่เป็นหมู่บ้านมรดกโลกสวยๆทุกคนก็คงร้องอ๋อกันแล้วทั้งหมดล้วนอยู่ในภูมิภาคนี้ด้วย แต่คนละจังหวัดกัน
และเมืองที่เรากำลังพูดถึงต่อไปนี้ นั้นคือ นาโกย่า นั้นเอง เมืองเอกอีกเมืองของจังหวัดไอจิ เอาล่ะ เกริ่นกันมาขนาดนี้ต้องอยากรู้จักกันแล้ว ตามเรามาเที่ยวด้วยกันเลยดีไหม มะตามมาครับ
เดินทางยังไง?
ปัจจุบันนี้การมาเที่ยวนาโกย่า ไม่ยากเลย มีเที่ยวบินๆตรงมาลงถึงเมืองนี้ และสายการบินที่เรากำลังจะพานั่งเครื่องเหินฟ้าไปด้วยกันนี้ก็คือ JAL หรือ Japan Airline นั้นเองครับ
ข้อดีคงไม่ต้องเอ่ยกันมาก หากว่ากันถึงสายการบินแห่งชาติญี่ปุ่นนี้ เค้ามีบินไป-กลับทุกวันๆละ 1 เที่ยว
ขาไปออกตอน 00.55 – 8.15 น. ทุกวัน ลงเครื่องเราก็เที่ยว
ขากลับ จะบินเช้าหน่อย 10.20 น.- 14.50 น.
ข้อดีสำหรับคนที่บินสายการบินนี้ตั้งแต่ระดับ Premium Economy ขึ้นไปสามารถเข้า Sakura Lounge ที่สุวรรณภูมิได้ อันนี้คือดีงามจริง เรามีโอกาสได้ลองเข้าไปสัมผัสกับตัวเองมา ไล่กันตั้งแต่ผ่านเข้าประตูมาจะเจอไลน์อาหารชุดใหญ่
ปรกติอาหารใน เลานจ์ จะต่างกันไปตามระดับของการบริการสายการบินไป เพราะฉะนั้นสิ่งนึงที่วัดระดับสายการบินได้ก็ดูกันตรงเลาน์จได้เช่นกัน
อาหารดีมากไลน์นับว่าเลิศ อาหารญี่ปุ่นมันก็ต้องมีเป็นธรรมดา แต่ระดับมันก็เห็นชัดเจน ตั้งแต่ไวน์ดี๊ดี ข้าวปั้นมี ขนมญี่ปุ่นและฝรั่งมีครบ ไหนจะเครื่องดื่มสารพัด โอ้ววดีจริงๆ
ข้าวแกงกระหรี่มีให้เลือกด้วยนะว่าเครื่องแกงมีเนื้อผสม กับแบบไม่มี เหมาะสำหรับคนไม่ทานเนื้อก็ทานได้ด้วย มีความใส่ใจดีจริง
แถมยังมีห้องอาบน้ำให้ใช้ด้วย พร้อมตู้ล็อกเกอร์ เก็บของ เอาว่าเริ่ดสุดๆ ในห้องอาบน้ำก็อุปกรณ์ครบมาก ไม่ต่างจากในโรงแรมดีๆเลย
สรุปว่าเริ่ดมากครับ
มาเที่ยวกันได้แล้ว
1.เริ่มที่แรกกันดีกว่ากับ พิพิธภัณฑ์สัตว์ทางทะเล Port of Nagoya Public Aquarium
วิธีเดินทาง:นั่งรถไฟจากสถานี Nagoya Station สาย Cho line มาลงสถานี Nagoyako Staiton เดินอีก 10 นาที ประมาณ 650 เมตรถึงเลยใช้เวลาจากสถานีแรกราว 30 นาที
ที่นี่เด็กๆชอบชัวร์ มีปลาวาฬออสก้าที่มีแค่2ที่ในญี่ปุ่นที่จะมีโชว์การแสดงแบบนี้ และโชคดีผมไปครบแล้ว ที่แรกที่เคยไปคือที่ Chiba มีโลมา มีปลาเยอะ เต่าก็มี เรียกว่ามาที่เดียวได้ดูครบๆ เลย ถือเป็นที่เหมาะกับเด็กยันแก่เลย ระหว่างที่เรามาเจอเด็กๆญี่ปุ่นมาทัศนศึกษากันเยอะเลย น่ารักมาก
เดินผ่านประตูเจอโครงกระดูกของเจ้าปลาวาฬแขวนโชว์ก็ตะลึงแล้ว เค้าทำดี๊ดีล่ะ เราเห็นยังชอบเลย
จุดนี้จุดเดียวเล่นเราเข้าใจเลยว่าทำไมคนชอบเลี้ยงปลาถึงมีความสุขในการนั่งดูปลา ลองมาเจอที่นี่จะยิ่งชอบมากขึ้นไปอีกนะ ตอนปลาซาดีนแปลงขบวนไปมาสวยจนเพลินมากกับการนั่งมอง
ถ้ามาช่วงเค้ากำลังให้อาหารปลาแบบดำลงไปเราก็จะได้ดูโชว์ให้อาหารไปพร้อมๆกัน บรรยากาศเหล่าปลามารุมนักประดาน้ำมันก็เท่ไม่หยอกเลยนะแบบนี้
สุดท้ายนอกจากนี้ยังเจอฝูงเพนกวินสารพัดสายพันธ์ปิดท้ายก่อนเราจะออกมาด้วย มันน่ารักจริงๆ
โดยรวมบอกเลยว่าห้ามพลาดหากเป็นสาย อควอเรี่ยม ในประเทศญี่ปุ่นนะครับเริ่ดจริง
2. กินข้าวหน้าปลาไหล Unajyu ที่ รร Hotel Kokonoe
วิธีเดินทาง: จากสถานีรถไฟ Nagoya Station ใช้ JR นั่ง Shinkansen สาย Tokaido Shinkansen ยาวมาลงที่ สถานี Hamamatsu Station เดินออกมาหน้าสถานีรอที่ป้ายรถบัส ต่อรถบัสสาย 30 มาลงที่ป้าย Kanzanji Onsen เดินต่อมาอีก 5 นาทีจะเจอโรงแรมเลย ใช้เวลาโดยรวม ราว 1.30 นาทีจากต้นทาง
มาถิ่นปลาไหลที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งนึงของญี่ปุ่นจะให้พลาดได้ไงจริงไหมครับ เรามีโอากาสมากินปลาไหลที่ Kanzanji onsen Hotel Kokonoe เป็นโรงแรมนะครับเพราะมาพักันที่นี้ จริงๆร้านข้าวหน้าปลาไหลที่นี่เยอะมากจริงๆ นั่งรถออกจากสถานีรถไฟมาเจอป้ายร้านตามถนนเยอะมาก ถือเป็นของแนะนำของเมืองนาโกย่าก็ว่าได้ เพราะงั้นจะกินร้านไหนก็ได้แวะชิมกันได้เลย ส่วนที่เราแนะนำที่นี่เพราะบรรยากาศและตัวโรงแรมที่นี่ติดท่าเรือ ที่คนเค้ามากันเพื่อลงเรือเที่ยวในทะเลสาบ อันเป็นเป้าหมายถัดไปที่จะแนะนำ เลยทานกันที่นี่เลย
บรรยากาศโรงแรมเองก็ดีงามมากครับ เข้ามานั่งระหว่างรอทานข้าวก็ชิลใช้ได้เลย มองวิวทะเลสาบตรงหน้าเห็นเรือที่เราจะไปเที่ยวกันต่อได้ด้วย
ตัวข้าวหน้าปลาไหลอร่อยมาก เค้าเลือกปรุงให้ไม่หวานเกินไป ปรกติข้าวหน้าปลาไหลจะย่างมาสุกและราดน้ำจะอมหวานต่างกันไปตามแต่สูตรของแต่ละร้าน แต่ของที่นี่ไม่หวานเกิน ปลาก็ย่างสุกกำลังน่ากินรวมๆก็ฟินกันไปจ๊ะ
3.ล่องเรือชมทะเลสาบกับ Hamanako Evening Cruiseให้อาหารนกนางแอ่นกับมือเลย
วิธีเดินทาง: เหมือนกับข้อ 2 ทุกอย่างเพราะมาที่เดียวกัน
สำหรับค่าลงเรือต่อเที่ยว เริ่มต้นที่ 750 yen และเด็ก 380 yen สามารถดูราคาทั้งหมดได้ที่นี่เลย
http://hamanako-kanzanji.com/activity/hamanako-sightseeing-cruiser.html
เกริ่นไปบ้างจากข้อแรกก็คือการล่องเรือเทียวในทะเลสาบ… เรามาลองดูกัน บอกเลยว่าปรกติเราจะล่องเรือชมกันปรกติใช่ไหมครับ
แต่หนนี้นอกจากชมทิวทัศน์สวยๆรอบ ทะเลสาบแล้วยังสามารถให้อาหารนกที่มันกำลังบินๆอยู่เนี่ยละได้ด้วย เท่มาก
นกพวกนี้ก็คงชินกับการบินมาขนาบข้างให้คนโยนอาหารให้ ซึ่งก็มีขายบนเรือเลย เจ้านกพวกนี้ก็แสนรู้จริงๆ
คนก็เลยมีโอกาสได้เก็บภาพของพวกมันแบบใกล้ชิดได้เลยแบบนี้ละ
ส่วนตัวเราว่ามันมีกิจกรรมให้ทำมากขึ้นดี และบรรยากาศรอบๆทะเลสาบก็สวยด้วย ถือเป็นกิจกรรมที่ดีทีเดียวละ
ช่วงเวลาดีๆกับครอบครัวมีได้เสมอ บรรยากาศช่วงเย็นๆเป็นเวลาที่ดีในการชมพระอาทิตย์ใกล้ตกขอบฟ้า
4. ชมสวนสวยพฤกษชาติ Hamamutsu Flower Park
วิธีเดินทาง: เพราะอยู่ใกล้ๆกันกับ จุดล่องเรือ นั่งรถบัสสาย 30 ต่อมาได้เลย มาลงที่ป้าย Hamamutsu Flower Park
ค่าเข้าชม: เริ่มที่ 500 yen เปลี่ยนไปตามฤดูกาลและช่วงเวลา ช่วงใบไม้ผลิจะแพงสุด
อีกกิจกรรมที่น่าจะเหมาะกับครอบครัวอีกอย่างคือการมาเดินชมพันธ์ดอกไม้นานาชาติ
ดอกทิวลิปสีสันสดใส สวยงามดี
มีกิจกรรมหลายอย่างเหมาะกับหนุ่มสาวหรือครอบครัวมาเดินชมกันได้ สวยอยู่ โดยมีตัวช่วยเป็นรถบัสวิ่งวนรอบสวนให้เราใช้บริการได้
ที่สวนแห่งนี้ ถ้ามาช่วงซากุระบานนะคุณเอ้ยยย ไม่อยากจะบอกแต่…
เมื่อมาช่วงใบไม้กำลังผลัดสีผลัดใบมันก็จะดูเหงาๆไปบ้างให้ใช้จินตนาการช่วยนี๊ดสส นึงนะเด็กๆ โฮะๆ
ความจริงดอกไม้มันสวยจริงจังอยู่นะ ส่วนตัวเราว่าข้างในการจัดสวนก็ดี การจัดดอกไม้ก็ดีหมด แค่มาให้ถูกช่วงเวลาเป็นพอจ๊ะ
ช่วงกลางเดือนมีนาถึงต้นเมษายนไปซากุระบานดีงามทั้งสวน ตอนนี้ชมดอกบ๊วยไปก่อนถ้าบานเต็มๆก็สวยไม่แพ้ซากุระเลย
5.ไปเที่ยววัดเมียวเก็น เซลฟี่เก๋ๆกันที่ศาลเทพเจ้าจิ้งจอกกัน Toyokawa Inari Shrine
วิธีเดินทาง : จากสถานีรถไฟ Nagoya Station ให้เดินออกจากสถานีเปลี่ยนมาขึ้นรถไฟเอกชนของ Meitetsu Nagoya Station นั่งยาวๆมาลงสถานี Odabuchi Station (บางขบวนต้องมาเปลี่ยนขบวนที่ สถานี Ko Station ก่อนแล้วต่อมา Odabuchi Station ให้ดูว่านั่งแบบ Limited Express มาหรือไม่)
วัดนี้เสน่ห์สำคัญที่สุดของเมืองนาโกย่า หลายๆคนคงคุ้นๆกับ ศาลเจ้าที่มีเสาโทโรอิเรียงต่อกันยาวๆ ของ Fushimi Inari Shine ที่อยู่เกียวโตกันใช่ไหมครับ ที่วัดนี้ก็มีศาลในนิกายชินโตเหมือนๆ กันต่างกันที่วัดนี้จะมีศาลเจ้าจิ้งจอกผูกผ้าพันคอสีแดงเป็นไฮไลท์มากกว่า
และไฮไลท์อีกอย่างที่ทำให้คนต้องแวะมาคือรูปปั้นหินเทพเจ้าแห่งโชคลาภที่คนรูปท้องกันจนยุบแบบนี้เลยจ้า ดูสิ มหัศจรรย์มาก อยู่ด้านหน้าก่อนเข้าทางเดินไปสุสาน
เสน่ห็สำคัญอย่างที่บอกไปอยู่ที่ด้านในสุดทางเดินเราจะเจอเหล่ารูปปั้นเทพเจ้าจิ้งจอกในศาลด้านในสุดที่เชื่อมต่อกันระหว่าง วัดเมียวเก็นไปถึงด้านหลังศาลาโอคุโนอิน ซึ่งมีเสาแกะสลักและเหล่าเทพเจ้าหมาจิ้งจอง เรโกะ-ซูกะ ฝูงหมาจิ้งจอกหินที่พันผ้าพันคอสีแดง ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าคือผู้นำสารขององค์เทพเจ้า
เอาจริงๆส่วนตัวเราว่ารูปปั้นเหล่านี้ใส่ผ้าสีแดงไว้รอบคอ ถ่ายรูปมาเก๋ไปนะ
มาวัดนี้แล้วอย่าพลาดเดินข้ามมาตลาดฝั่งตรงข้ามกันนะ เก๋มาก และเราก็ฝากท้องกันที่ร้านอาหารแถวๆนี้นั้นละ
ร้านนี้ชื่อ Matsuya Restaurant เป็นร้านที่ขายอาหารญี่ปุ่น แบบออริจินอล และยังคงมีซุป มิโซะแดง เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองด้วยถือว่าอาหารที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญของภูมิภาคและเมืองนี้ด้วย จากในภาพด้านบนเดินเข้าไป 100 เมตรร้านอยู่ซ้ายมือนะ หาง่ายเพราะอยู่ฝั่งตรงข้ามทางเข้าวัดเลย และโฉมหน้าอาหารก็ประมาณนี้เราสั่งเป็น Set มาก็
6. ชมวิวบน 1 ใน 12 ปราสาทดั้งเดิม อายุกว่า 600 ปีกับวิวแจ่มๆที่ปราสาท Inuyama Castle
วิธีเดินทาง: จากสถานีรถไฟ Nagoya Station เดินออกจากสถานีเปลี่ยนมาขึ้นรถไฟเอกชนของ Meitetsu Nagoya Station นั่งมา 5 ป้ายลงที่สถานี Inuyama Station เดินยาวๆมา 1.4 กิโลเมตร อันนี้บังคับเพราะตัววัดจะอยู่บนเขายังไงก็ต้องเดินเท่านั้น แต่รับรองเดินขึ้นมาบนนี้คุ้มค่าจริงๆ หรือถ้าขี้เกียจก็นั่งแท๊กซี่มาลงที่ตีนเขาแล้วค่อยเดินขึ้นก็ได้
เดินมาจะเจอเสาโทโรอิเรียงรายขึ้นไปด้วยแวะถ่ายรูปกันได้
มาถึงเมือง Inuyama ทั้งทีอย่าพลาดมาชมปราสาทแบบดั่งเดิมที่ยังคงรักษาเอาไว้ได้แบบ 100% ไม่ถูกทำลายจากไฟสงคราม และเป็น 1 ใน 12ปราสาทดั่งเดิมที่ยังรักษาความดั่งเดิมเอาไว้ได้อย่างดีมาก คือดีมากของผมคือมันสมบูรณ์ ดูเก่าแก่ แต่รักษามาระดับ 600 กว่าปีผ่านช่วงสงครามมาได้อย่างสมบูรณ์แบบขนาดนี้มันก็สมควรยกย่อง
รอบปราสาทเองก็มีต้นซากุระล้อมรอบถ้ามาถูกเวลาที่นี่ก็จะสวยงามมากกับการถ่ายภาพ
เราเดินขึ้นไปชมการจะขึ้นำไปจำเป็นต้องถอดรองเท้านะครับเค้าจะมีถุงไว้ให้เราใส่ และเวลาเดินมันก็จะเอี๊ยดๆ อ๊าดๆ หน่อยๆตามประสาปราสาทไม้ทั้งหลังที่เก่ามาก
ขึ้นมาแล้วเจอวิวรอบๆปราสาทมันสวยจับใจทีเดียวละ เพราะงั้นอย่าพลาดขึ้นไปชมกันนะ
ก่อนกลับหากเจอสาวๆใส่ชุดกิโมโน ถ้าเดินไปขอเค้าถ่ายรูปหรือแนะนำตัวช่วยเค้าถ่ายรูปให้ เค้าก็ใจดีให้เราถ่ายเค้ากลับมาแบบนี้เลยละ ถือเป็นความน่ารักของสาวๆญี่ปุ่นนะเออ แฮ่มมๆ แม่ปันไม่ว่าไรใช่ไหมฮะ >_<
7. Tea House urakuen ชมสวนสวยและพิธีชงชาแบบดั่งเดิม
วิธีเดินทาง :เหมือนกับการมาปราสาท Inuyama ทุกอย่างเพราะไม่ไกลกันเลย เดินต่อผ่านถนนจากหน้าทางเข้าปราสาทไปไม่ถึง 700 เมตรก็ถึงแล้ว
พ้นจากตัวปราสาทเราสามารถเดินออกมาเพื่อตรงเข้ามาชมหมู่บ้านซามูไร และที่หมู่บ้านนี้ เค้าปรับเปลี่ยนเป็นบ้านสอนการชงชาแบบดั้งเดิมและเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเรียนรู้วิธีชงชาแบบญี่ปุ่นด้วย
บ้านสวยมาก เราเดินเข้ามาข้างในสัมผัสได้เลยว่าเค้าดูแลรักษาบ้านอายุเป็นร้อยๆปีนี้อย่างดี
ถ้าสังเกตุดีๆหน้าทางเข้า หน้าต่างบ้านจะมีการวางก้อนหินที่มัดเชือกวางไว้ข้างหน้า เราสงสัยเลยถามได้ความว่าถ้านำหินที่มัดเชือกเหล่านี้วางตรงไหนของบ้านแปลว่าตรงนั้นห้ามเข้าไป เสมือนเป็นป้ายห้ามเข้าประมาณนี้เลย เป็นวิธีการจัดการแบบมารยาทดีสไตล์ญี่ปุ่นจริงๆเลย นะ
เข้ามาในบ้านทางเจ้าหน้าที่จะเกริ่นแนะนำเป็นภาษาญี่ปุ่นนั้นละ ก็ฟังไม่ออกอยู่ดีแต่เค้าจะมีเจ้าหน้าที่ช่วยแปลให้เราเข้าใจอยู่นะ
พิธีชงชาถือเป็นพิธีสำคัญที่เป็นการนำเสนอแนวคิดการใช้ชีวิตแบบคนญี่ปุ่นกับขนบธรรมเนียมประเพณีเข้าไปด้วย ตั้งแต่วิธีการนั่ง การจับถ้วยชา การโค้งคำนับ โอ้ยทุกอย่างแลดูถูกคิดโดยมีเป้าหมายสอดคล้องบุคลิกการใช้ชีวิตของคนโบราณจริงๆ เราเองมานั่งฟังและลองปฎิบัติ มันทำให้รู้สึกใส่ใจจากทีแรกเฉยๆ จนตอนหลังมันรู้สึกว่ามันพิเศษ และพิถีพิถันมากครับ
สำหรับใครที่สนใจจะเข้ามาในพิธีนี้เค้าจะขายอยู่ตรงทางเข้าเลย ราคาต่างกันระหว่างการเข้ามาชมบ้านเฉยๆ กับการเรียนรู้พิธีชงชานะครับ ส่วนตัวเราประทับใจมากเลย ไม่คิดเลยว่าแค่การกินชามันมี story ต่างๆสอดแทรกเข้าไปได้ละเอียดปานนี้ ต้องลองๆ
8.เดินล่องชมถนนโบราณสมัยโชวะ (ยุคโชกุน) รอบปราสาท Inuyama Castle Town Showa Alley
วิธีเดินทาง: เดินต่อมาจากหมู่บ้านซามูไร เลียบริมแม่น้ำมาราวๆ 1 กิโลเมตรก็เจอแล้วหาไม่ยาก ใครๆก็เดินมาทางเดียวกันตามเค้ามาได้เลย
ถ้ามาข้อ 7-8 แล้วก็ต้องบอกเลยว่าห้ามพลาดมาเดินย่านรอบปราสาท Inuyama เป็นอันขาดและจะให้ดีควรใช้บริการเช่าชุดกิมโมโนเดินเที่ยวไปด้วย อย่างในภาพจะเห็นเลยว่าคนญี่ปุ่นเองก็ยังนิยมมาก
การเดินเที่ยวแบบ 4 สี่เหลี่ยมก่อนจะวนกลับไปขึ้นรถไฟกลับเป็นความเพลิดเพลินมาก เพราะรอบๆร้านในถนนคนเดินเค้าจัดร้านได้ดูกลมกลืนกับบ้านไม้โบราณดีมาก
เดินเพลินๆจนเจ้าพิพิธภัณฑ์หุ่นกระบอกของเค้า และด้านในยังมีที่เก็บรถสำหรับงานเฉลิมฉลองประจำปีสำคัญของเมืองนี้อยู่อย่างในเทศกาล Inuyama festival ที่เป็นพิธีเฉลิมฉลองสำคัญของเมืองนี้จัดขึ้นทุกปี
เรามีโอกาสเดินเข้าไปชมด้านในที่เป็นโรงเก็บรถในพิธีเห็นของจริงเราว่ามันใหญ่ดีจริงๆ
รอบๆก็มีของขายพื้นเมืองเยอะ รวมไปถึงผลไม้ต่างๆ เราว่าส่วนตัวการเดินชิลๆในละแวกนี้ก็เพลินดีระดับนึงละ
9.รวมที่พักทั้งแบบ Onsen Hotel Wellseason Hamanako จนถึงวิวดีบนตึกสูงชั้น 38 กับ Nagoya Prince Hotel
วิธีเดินทาง: Hotel Wellseason Hamanako มาเหมือนกันกับ ข้อ 2,3 แค่เดินถัดมาอีก 5 นาที ถึงเลย
ว่ากันถึงที่พักตลอดทริปนี้บ้างครับ คืนแรกเราพักกันที่ … ซึ่งเป็นที่พักแนวโรงแรมแบบกึ่ง Traditional Japan คือมีห้องพักแบบทันสมัยสลับกับแบบดั้งเดิมคือนอนบนฟูก ปูบนเสื่อ Tatami และที่สำคัญโรงแรมสไตล์นี้จะมีบ่อออนเซ็นให้เราได้แช่ตัวด้วยซึ่งที่นี่ก็เช่นกัน บ่อรวมเค้าก็ใช้ได้เลย
ห้องพักใหญ่สไตล์ตามโรงแรมที่อยู่ต่างจังหวัด วางเตียงขนาดควีนไซต์ได้สามเตียงเลย
ห้องกว้างดีครับผมนอนเดี่ยวนะเนี่ย กลางคืนต้องเอากระเป๋าวางไว้ข้างๆ อุ่นใจดี ฮ่า ฮ่า
มาถึงโรงแรมในเมืองของนาโกย่าบ้างกับ Nagoya Prince Hotel เป็นโรงแรมใหม่กริ๊บๆอยู่กลางเมือง มีทางเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟของ… เดินออกจากสถานีเชื่อมมาได้เลย
วิธีเดินทาง: จากสถานีรถไฟ Nogoya Station ออกมาต่อรถไฟใต้ดิน สาย Aonami Line ของ JR ด้วยกัน 1 ป้าย มาลงสถานี Sasashima-Raibu Station เดินออกมาชั้นสองมีทางเชื่อมต่อเข้ามาที่โรงแรมได้เลย สะดวกมาก
เข้ามาด้านในเราจะต้องไปเช็คอินที่ชั้น 35 วิวดีสุด ๆด้วยความที่ผมเคยพักโรงแรมในเครือนี้ค่อนข้างบ่อยๆ และติดใจในการบริการ และสไตล์ของเค้า ที่นี่เน้นวิว Cityscape ที่สวยเห็นทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้เลย
ห้องพักเราวิวดีมากห้องก็สวยทีเดียวยิ่งพอยามเย็นๆนะ เริ่ดจริงๆ
วิวตอนพระอาทิตย์ขึ้นและตกสวยบาดใจจริงๆ
ห้องอาหารก็ดีนะครับเสียดายตอนผมไปคนเยอะไปหน่อยไม่ได้เก็บภาพมาฝาก แต่เฟริมว่าวิวเลิศมากกระจกรอบเลย อ่ออีกนิดเค้าทำโปรร่วมกันกับ LegoLand จองที่พักกับที่นี่ได้ส่วนลดเข้า Legoland ราวๆ 1,000 Yen อีกด้วยลองเข้าไปดูโปรเค้าได้ที่นี่เลย คุ้มมากหากเราจะไปอยู่แล้ว
10 LegoLand Nagoya สำหรับเหล่าแฟนๆเลโก้ที่นี่คือถูกทุกข้อ
วิธีเดินทาง: จากสถานีรถไฟ Nagoya Station เดินลงมาชั้นใต้ดินต่อใต้ดิน สาย Aonami Line ของ JR ด้วยกัน วิ่ง 10 ป้ายมาลงสถานี Kinjofuto Station เดินตามป้ายจากหน้าสถานีมาราว 800 เมตรก็ถึงเลย
ใช่เลยประเทศนี้ช่างน่าอิจฉาหนักมาก เวลามีสวนสนุกระดับโลกจะหาโลเกชั่นเปิดญี่ปุ่นมักเป็นคำตอบแรกๆเสมอ ที่นี่ก็เช่นกัน ถือเป็น Lego Land ที่ใหญ่สุดในเอเชีย มีพื้นทีเหลือเฟือและปัจจุบันยังเปิดไม่ครบเลย โดยเฉพาะโซนสวยน้ำยังไม่เรียบร้อยคาดว่าปี 2018 นี่ละครับ
เข้ามาเจอเหล่าตัวละครคุ้นเคยของปันเต็มไปหมด มีโซนแยกๆกันไปตามของเล่นเลโก้ผลิตมานั้นละนะ
โซนที่ต้องมีคือ Miniland และของที่นาโกย่าก็เน้นจุดเที่ยวสำคัญของญี่ปุ่นมารวมกันไว้ เก๋มาก เช่น ฟูจิซัง
หอคอย Tokyo เลยมาถึง โกเบทาวน์เวอร์ ก็มี
หรืออย่างโซนเครื่องเล่นที่เห็นเป็นไฮไลท์ก็อย่างล่องเรือนี่ก็ใช่เลย เราว่าเด็กๆโดยเฉพาะเด็กเล็กถูกใจแน่ๆ
อันนี้โซน Kingdom โซนปราสาทอัศวินทั้งหลายก็รองรับกับซี่รี่ยตัวต่อเซ็ทนี้ทั้งหมดนั้นละนะ
โดยรวมต้องบอกว่าห้ามพลาดที่นี่ถ้ามานาโกย่า และถ้าคุณๆพ่อแม่ทั้งหลายโตมาก้บเลโก้แล้วมันก็จะสนุกกันกับลูกๆได้เต็มที่เลยละ นี่นึกถึงปันตลอดเวลาที่เข้ามาเลยนะ
โซนใหม่ครับโซน Lost Kingdom อารมณ์อียิบต์มาเต็มๆ
11. Nabanano-sato illumination 2017-2018 ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
วิธีเดินทาง: จากสถานีรถไฟ Nagoya Station นั่ง JR ไปลงที่สถานี Nagashima Station จากนั้นต่อบัส เดินออกมาจากสถานีให้มองตรงๆจะเจอป้ายรถเมล์อยู่เยื้องๆกันฝั่งตรงข้ามให้ไปรอจุดรถบัสของ Nabanano- sato เลยเค้าจะมีบริการรับส่งจากตรงนี้แนะนำให้ซื้อตั๋วไป-กลับไว้เลยครับ รอบรถจะมีทุก 30 นาทีนะ
อีกวิธี จากสถานี Nagoya Station เดินออกมาจะเจอป้ายรถบัสใหญ่ๆเลยเป็นของ Meitetsu Bus Center จะออกทุก 30 นาที มาลงที่ป้าย Nabana No Sato (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที) ซื้อตั๋วไป-กลับไว้ได้เลย ติดต่อสอบถามที่บัสได้เลยครับ
จะมีจุดขายตั๋วรถบัสไป-กลับให้ซื้อไว้เลยครับจะได้ไม่ต้องมาซื้ออีกตอนจะกลับ เค้าจะมีออกทุกชั่วโมงนะ หน้าตารถบัสก็แบบนี้เลย
ค่าใช้จ่าย: ค่าเข้าเริ่มที่ 1,600 yen ถ้าซื้อมาเป็นกรุ๊ปก็จะลดได้อีก สามารถดูรายละเอียดทั้งหมดได้ที่นี่ http://www.nagashima-onsen.co.jp:8010/page.jsp?id=13894
งานแสงสีประเทศนี้เป็นงานท่ีจัดเล็กๆกันไม่เป็น โคตรมานะอุตสาหะในการตกแต่งไฟ ดาวล้านดวงจริงๆ อยู่ในพื้นที่ Nagashima Resort ในเมืองคุวานะ (Kuwana) ของจังหวัดมิเอะ (Mie) ซึ่งเอาจริงๆมันก็ข้ามภูมิภาคแล้วเพราะจังหวัดนี้อยู่ในภูมิภาคคันไซแต่เพราะมันอยู่ปลายๆแล้ววิธีเดินทางใกล้สุดคือมาทางจังหวัดไอจิ ออกมาจากนาโกย่าก็ได้ยังสะดวกกว่าอย่างที่บอกไป
เรามาถึงตั้งแต่ยังไม่เริ่มเปิดไฟที่นี่จะเป็นอารมณ์สวนดอกไม้ในตอนกลางวัน ถ้ามาช่วงซากุระต้องสวยมากๆแน่เลย เพราะวันที่เราไปดอกมันก็เริ่มตูมเล็กๆแล้วละ
อ่อราคาของตั๋วเข้าจะต่างไปตามช่วงเวลาเหมือนกันนะแต่หลักๆถ้ามาช่วงงานแสงสีแบบนี้เข้าไปเถอะคุ้มอยู่แล้ว ราคาก็ตามที่บอกไปตอนต้นนะครับ
เราเข้ามานั่งกินข้าวรอในร้านอาหารข้างในกันก่อน อาหารที่เลือกมาจะเป็น set นะครับ ของผมเป็น Seafood Set รสชาติดีทีเดียว ปรกติเรามาญี่ปุ่นจะไม่พ้นอาหารทะเลหรอกนะ แต่รอบนี้มันมีความเป็นอาหารทะเลแบบนิ่งๆผสมต้มมากกว่าจะมาในแบบดิบๆที่คุ้นเคย รสชาติอร่อยดีโดยเฉพาะข้าวจะหุงมากับหอยลายด้วยนะ ได้กลิ่มหอมของข้าวคลุกเคล้ากับกลิ่นหอมๆของหอยทำให้เป็นข้าวนิ่ง Seafood ที่แปลกใหม่สำหรับเรามากเลย
เอาละอิ่มกันดีแล้วก็ได้เวลาออกมาชมไฟกันดีกว่า บรรยากาศตอนนี้อากาศเย็นลงมากเลย หนาวทีเดียว ยิ่งมืดมากลงเรื่อยๆก็ไฟก็ยิ่งชัดและสวยงามทีเดียว โดยเฉพาะตรงอุโมงค์ไฟที่เปลี่ยนสีไปได้เรื่อยๆ สวยมาก
และยังมีตรงอาคารหลังใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆกับทะเลสาบสวยงามสุดๆไปเรื่อยเวลาที่เงาตกลงในน้ำแบบนี้
สวนเองพอเปิดไฟก็สว่างไสวสวยละลานตาจริงๆ เสียดายตรงต้นไม้ที่ไร้ดอกไม่งั้นมันจะยิ่งสวยกว่านี้หลายเท่าแน่ๆ
ไฮไลท์ก็อยู่ที่ปีนี้เค้าเอาเจ้าหมีดำ จากโซนคิวชูหยิบมาเล่าเป็นเรื่องเป็นราวเป็นตัวเอกในโขว์สุดอลังการของงานปีนี้
เจ้าหมีจึงกลายเป็นพระเอกสำคัญไปเลย ในฉากสวยงามทั้งหลายเวลาที่มันปรากฎตัวก็อลังการจริงๆ
โดยรวมต้องบอกเลยว่าใครเป็นคนชอบดูโชวก็ดี ดูไฟสวยๆอย่าพลาดช่วงเวลาตั้งแต่ 19.00 เป็นต้นไปนะครับ
ดูรายละเอียดของเวลาเปิดปิด
ปรกติจะ 9.00-21.00 และวันหยุด จะปิด 22.00 น.
http://
ปิดท้ายด้วย ที่นี่เป็นของแถมเผื่อคนสนใจอยากได้ของกินของฝากต้นตำรับ นั้นคือ Unagi Pie Factory
วิธีเดินทาง: จากสถานีรถไฟ Nagoya Station ใช้ JR นั่ง Shinkansen สาย Tokaido Shinkansen ยาวมาลงที่ สถานี Hamamatsu Station เดินออกมาหน้าสถานีรอที่ป้ายรถบัส ต่อรถบัสสาย 20 นั่งมาเรื่อยๆมาลงที่ป้าย 志都呂東(バス) เดินต่ออีก 2.2 km หรือเรียก taxi บอกไปโรงงานนี้ก็ได้เช่นกัน
ที่นี่เป็นโรงงานผลิตขนมเข้ามาเจอโบว์ชัวร์ก็อมยิ้มแล้ว แม้รู้เลยว่าคนไทยมากันเยอะแน่ๆเนอะว่าไหม
ตัวโรงงานก็เป็นมาตรฐานของญี่ปุ่นนั้นเองก็โชว์การผลิตแบบอุตสาหกรรมให้เราได้เห็น ดูมีมาตรฐานชัดเจน ตัวขนมอุนางิ มีส่วนผสมของปลาไหลญี่ปุ่นนะครับ เพราะงั้นคนกินเจงดนะจ๊ะ
เค้ามีหนังโฆษณาให้เราดูถึงที่มาที่ไปและมีsubthai ด้วยนะเออ ก็เข้าใจไม่ยากทันที
ตัวรสชาติก็คือขนมกรอบแบบญี่ปุ่นน่ะนะ บอกบรรยายไม่ถูกเหมือนกันมันเป็นเรื่องรสนิยม แต่ที่เราถูกใจคือเค้ามีร้านขายอยู่ในโรงงานเราเลยสั่งแบบปรุงกับไอศครีมมาด้วยกัน อันนี้อร่อยจริงๆ หน้าตาก็แบบนี้เลย
รวมๆก็คงขึ้นอยู่กับความชอบแต่ละคนแล้วละ หากชอบขนมอบกรอบสไตล์ญี่ปุ่นก็เลี้ยวมาได้เลย ใครไม่ชอบก็ผ่านไปเลยครับ
จบล่ะนะ ส่วนตัวคิดว่ายังเที่ยวตกๆหล่นๆอีกเยอะเลย มีโอากาสจะกลับไปอีกโดยเฉพาะฤดูใบไม้เปลี่ยนสีหรือใบไม้ผลิเมืองนาโกย่ายังมีดีอีกมากมาย ที่เรายังไม่เจอ หรือไปยังไม่ครบให้ดี เที่ยวอย่างน้อย 4-5วันน่าจะครบทั้งแบบเมืองและธรรมชาติ ทั้งนี้ขอให้รีวิวนี้เป็นเพียงตัวกระตุ้นต่อมความอยากของคุณๆให้พาตัวเองมารู้จักอีกภูมิภาคที่อาจจะไม่ฮิตเท่า คันโต(โตเกียว) หรือ คันไซ (โอซาก้า) แต่ก็มีที่เที่ยวดีๆเยอะเลย
จนกว่าจะพบกันอีกหากใครอยากรู้จักเรามากขึ้นแนะนำให้ไป follow กันต่อที่เพจเราเลยจ๊ะ –> https://www.facebook.com/one22family/
สวัสดีจนกว่าจะพบกันใหม่ทริปหน้าครับ
one22family