#Summerต่างแดนไม่ยากอย่างที่คิด
#เมื่อวันที่คิดส่งลูก 7 ขวบไปซัมเมอร์ไกลถึงเมืองจีน
อะไรคือของ #ปันต้องมี ถ้าจะไปซัมเมอร์ครั้งแรก
เราต้องทำอะไรบ้าง ครั้งนี้ผมตั้งใจเขียนจากประสบการณ์จริงๆ
ที่ส่งปันไปซัมเมอร์ไกลๆบ้าน เป็นครั้งแรก
ก็ต้องบอกเลยว่าใช้คำว่า “ตัดใจ” กันทีเดียว
เพราะจะยังไงลูกก็ยังคงเด็กในสายตาพ่อแม่เสมอ จริงไหม
และ 7 ขวบก็เด็กจริงๆนั้นละจ๊ะ
มีเวลาตัดสินใจสั้นมากด้วย แต่เมื่อตกลงปลงใจกันทั้งบ้าน
รวมถึงเจ้าตัวเค้าเองแล้ว ก็ลุยกันเลยลูก GO!!!
รีวิวนี้ อยากให้มีประโยชน์กับพ่อแม่ทุกคนที่อยากให้ลูกมีประสบการณ์
ในการใช้เวลาว่างช่วงปิดเทอมในต่างประเทศกันดูสักครั้ง
อะไรต้องมี อะไรต้องเตรียม สำหรับการส่งเด็กไปหาประสบการณ์ยังประเทศจีนบ้าง
รวมถึงที่มาที่ไปกว่าจะตัดสินใจ จะเขียนให้เข้าใจง่าย และยินดีจะตอบข้อสงสัยสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่อยากจะรู้หรือกำลังตัดสินใจ ที่จะลองส่งลูกไปสัมผัสประสบการณ์ในต่างแดนเพื่อให้เค้ามีประสบการณ์ช่วยเหลือตัวเองได้
โดยที่เราไม่สามารถจะยื่นมือเข้าไปช่วยได้เหมือนทุกครั้ง ถือว่าบทความนี้เป็นเพียงประสบการณ์บ้านเราเท่านั้น เราไม่ใช่คนที่รู้ดีที่สุด แต่เราพยายามทำดีที่สุด และนำเรื่องราวมาแบ่งปันนะครับ#แค่อยากให้ลูกออกไปเจอโลกกว้าง #one22family
ทำไมต้องจีนและไปมายังไง
มันก็เริ่มจากที่ทุกๆปีโรงเรียนปันจะเชิญเหล่าซือ(ครูสอนภาษาจีน)จากประเทศจีนมาสอนภาษาจีนที่โรงเรียน ทำให้เด็กๆ มีความคุ้นเคยกับการเรียนภาษาจีนทุกสัปดาห์ และโรงเรียนก็มีการติดต่อกับโรงเรียนที่เมืองจีนเมือง Qujing ซึ่งมีโครงการให้เด็กนักเรียนในประถมวัยไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมช่วงหยุดปิดเทอมกันทุกปีครับ เพื่อให้เด็กๆได้รู้จักการเรียนรู้แบบลงภาคสนามด้วยตัวเอง และยังเป็นการให้เด็กๆได้ฝึกที่จะช่วยเหลือตัวเองด้วย เราเห็นว่ามันเป็นโครงการที่ดีน่าจะเหมาะกับปันเพราะเอาจริง ปันนี้ลูกหลานแดนมังกรของแท้เลยจ๊ะ บ้านเราใช้เวลาตัดสินใจน้อยมาก เพราะกว่าเราจะรู้ก็เหลือเวลาแค่ 2 วันเท่านั้นก่อนโครงการจะปิดรับสมัคร หลังจากมองหน้ากันไปมา
เราหันไปถามเจ้าตัวว่ากลัวไหมคับ อยากไปไหม ปันทำหน้าลังเลพักนึงก่อนจะตอบมาว่าปันลังเลละพ่อ ปันแสดงสีหน้ากังวลแบบเด็กๆให้เรารู้สึกต้องเอ่ยอะไรออกไปช่วยเค้านิดนึง
ผมเลยเอ่ยปากไปว่า ปันจะได้ออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ครั้งแรกเลยนะ ไม่อยากไปเหรอ (ในใจพ่อมันอ่ะไม่อยากเล้ยยย) ไปดูต้นกำเนิดตระกูลของเราด้วยนะ(โม้ไปงั้นเลย) ไม่อยากรู้เหรอว่าเมืองจีนเป็นยังไง
ผมว่าวินาทีที่เค้าได้ยินจากปากผม เค้าคงเหมือนจะได้ยินคำว่า “อิสระ” ครั้งแรกจากปากพ่อ และคงต้องรวมจากแม่เย่นด้วย
ปันหันมาตกลง ตอบ #เอาพ่อ เรามองหน้ากันก่อนจะตอบที่โรงเรียนในวันถัดมาว่าโอเค
หวังว่าการตัดสินใจส่งลูกออกจากอ้อมอกพ่อแม่ครั้งแรก ให้ไปรับผิดชอบชีวิตตัวเองครั้งนี้ คงจะมีอะไรดีๆ เป็นบทเรียนให้ตัวเค้า แม้วันมันจะไม่นาน แต่มันคือความกล้าของทุกคนในครอบครัว โดยเฉพาะเอาจริงๆ นับตั้งแต่วันที่เค้าตัดสินใจง่ายๆว่า “เอาพ่อ” พวกเราในครอบครัวรู้อย่างนึงแล้วว่า
#ลูกก้าวล่วงหน้าพ่อกับแม่ไปอีกก้าวแล้ว
#จะไปจีนแบบลุยเดี่ยว(จริงๆก็มีเพื่อนๆไปด้วย) ต้องเตรียมอะไรบ้าง ทั้งหมดนี้เรามีภารกิจต้องสอน และให้ทดลองทำและใช้ด้วยตัวเองให้เป็นก่อนไปไม่งั้นเหนื่อยแน่ๆลูกเอ้ย
ทำpassport , Visa ต้องมีแบบไปเดี่ยวพ่อแม่ไม่ได้ไปด้วย (อันนี้ต้องทำให้แต่โรงเรียนมีจดหมายเชิญ)
-
- การทำวีซ่าจีนแบบพ่อแม่ไม่ได้ไปด้วยต้องมีอะไรบ้าง
- ยาสารพัดที่ต้องใช้ไว้ป้องกันหากเค้าไปป่วยเล็กๆ น้อยๆ ที่นั้น รวมถึงวิธีการใช้ด้วยตัวเอง (อันนี้สำคัญมากใช้เองไม่เป็นคือแย่แน่ๆ)
- จัดกระเป๋าตัวเองยังไงให้มันใส่กลับมาได้ (ไปกลับมาให้กลับมาครบนั้นเอง)
- ติดต่อสื่อสารกันยังไงดีจีนยากอยู่น้าาา
- วิธีใช้เงินหยวน บวกลบ คูณหารยังไง (สำคัญเลยไม่งั้นซื้อของไม่ได้)
- มารยาทเวลาเจอคนต่างแดนควรทำยังไง (อันนี้เพื่อให้ทำความรู้จักเพื่อนในต่างแดนได้ดีขึ้น)
การทำวีซ่าจีนแบบพ่อแม่ไม่ได้ไปด้วยต้องมีอะไรบ้าง
ทำ วีซ่า จีน ต้องมีสิ่งเหล่านี้ซึ่งเอาจริงๆเราก็ว่าไม่ได้เยอะเลยนะ โดยเฉพาะเมื่อเด็กเล็กไปเองโดยไม่มีผู้ปกครอง
1. รูปถ่ายพื้นขาวขนาด 2 นิ้ว 2 ใบ รูปต้องเห็นหูทั้งสองข้างด้วยนะ ไม่เห็นหูไม่ได้ถ้าผมยาวเค้าให้เอาผมทัดหูไว้จ๊ะ
2.หนังสือรับรองจากผู้ปกครองที่เซ็นรับรองทั้งพ่อแม่ว่าอนุญาติให้เดินทางออกนอกประเทศได้ (อันนี้มอบให้โรงเรียนไปดำเนินการตอนขอวีซ่า)
3.สน.ทะเบียนบ้านของพ่อ แม่และลูก
4.สน.บัตรปชช.ของแม่ พ่อและลูก
5.สน.สูจิบัตรลูก
6.ใบสมรส ใบหย่า หรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี)
7.ใบเปลี่ยนชื่อ สกุล (ถ้ามี)
**เพิ่มเติม กรณีไปยื่นด้วยตัวเอง สำหรับค่าใช้จ่ายทำวีซ่าปีนี้สำหรับบุคคลทั่วไป 2019
ถ้าด่วนภายใน 2 วันได้เลยจ่ายเพิ่มอีก 1,000 บาท ปรกติจะได้ภายใน 4 วัน ทั้งคู่นับจากวันที่ไปยื่นเอกสารครับ แนะนำให้ไปก่อน 11.30 สำหรับแบบด่วน
หลักๆมีแค่นี้เอง ไม่ได้เยอะหรือยากมากมาย ส่วนกติกาการยื่นขอวีซ่าถ้าเป็นเคสไปเพื่อการศึกษาทางโรงเรียนจะเป็นคนจัดการให้ทั้งหมดครับ สำหรับลูกๆเราเตรียมไปให้กับโรงเรียนเท่านี้ นอกจากค่าใช้จ่ายที่โรงเรียนจะกำหนดมาให้ อันนี้ก็ว่ากันไปตามแต่ละโรงเรียน
สำหรับการเตรียมตัวอื่นๆ ก็จะเป็นเงื่อนไขของแต่ละโรงเรียนไปไม่เหมือนกันเช่นของโรงเรียนปันก็จะเป็นชุดไทยบ้าง ของฝากเพื่อนนักเรียนที่จะไปเจอบ้าง อันนี้คงแล้วแต่โรงเรียนกันไปครับ
ข้อมูลเรื่องวีซ่าเข้าจีนที่ถูกต้องที่สุด https://www.visaforchina.org/BKK_TH/
ยาสารพัดที่ต้องมี
รอบนี้ปันไปคนเดียวสิ่งที่เราทั้งสองคนต้องคิดคือ ยาอะไรเค้ากินเองได้ ปัจจุบันปันสามารถกินยาเม็ดได้แล้วและการกินยาเม็ดสำหรับเด็กแบบนี้ได้คือสวรรค์สำหรับพ่อแม่เลยจริงๆ เพราะมันลดขนาดและของที่ต้องใส่ลงในกระเป๋าเค้าไปได้เยอะ และยาที่เราเอาไปก็เป็นยาสามัญประจำบ้านไป ที่รักษาเบื้องต้นได้ เพราะเค้าไปกับโรงเรียนยังไงก็มีคุณครูช่วยดูแลระดับนึง แต่ยังไงก็ต้องหัดเรียนรู้การกินยาเองให้ได้ด้วย เราเลยต้องลองให้เค้าทำด้วยตัวเองให้ได้ก่อน
รอบนี้เรามีตัวช่วยอีกอย่างตั้งแต่ทริปญี่ปุ่นครั้งก่อนพกไปแล้วติดใจคือ แผ่นเจลให้ความเย็นตราเสือ Tiger Balm Fever Patch
อันนี้ปันดูจะยังใช้เองไม่เป็น เราก็เลยต้องสอนปันใช้กันหน่อย มะดูวิธีการใช้กัน มันต้องสอนกันเป็นเสต็บๆไป ให้เค้าทดลองจริงด้วยตัวเองดีที่สุด
เริ่มตั้งแต่แกะซองกันเลย แกะมาเจอแผ่นเจลที่เป็นลักษณะนี้
จากนั้นให้ปันลองลอกแผ่นเจลออกมา มันไม่มีการแต่งสีใดๆ ตัวแผ่นปิดบางดีมากไม่เหนียวเนอะ ปันไม่รู้สึกว่าเหนียวติดมือ (ก็คือเด็กมักจะไม่ชอบอะไรเหนียวๆติดมือ) ทำจากวัสดุคุณภาพดี และที่กล่องติดไว้ว่า Made in Japan ด้วย
ลอกมาก็ให้ใช้ตัวแผ่นเจลสีขาว พลิกด้านที่มีความเหนียว แปะไปตรงหน้าสักพักปันบอกเย็นๆดีพ่อ นั้นล่ะเค้าชอบแล้วครับ
แบบนี้เลยเค้าทำถูกต้องแล้ว มันง่ายๆแบบนี้ละ
เสร็จแล้ว!!! เย้ ปันใช้เป็นแล้ว รอดแล้วลูก (ดีใจประหนึ่งว่าปันสอบอะไรสักอย่างผ่านกันทีเดียวแม่ลูก)
แผ่นเจลนี้สุดท้ายปันก็ได้ใช้จริงครับ สองวันสุดท้ายก่อนกลับ ปันมีน้ำมูกไหล และมีไข้นิดหน่อย เพราะที่จีนอากาศเย็นมาก ทำให้มีอาการไอผสมด้วย คุณครูเลยให้ปันอยู่แต่ในห้อง หลังกินยาแล้วปันค่อยๆ ดีขึ้น คืนสุดท้ายก่อนกลับผมเลยให้เค้าติด Tiger balm Fever Path ที่หน้าผากไว้ก่อนเข้านอน อ่านที่ข้างกล่องบอกไว้ออกฤทธิ์นาน 8 ชม. อ่อนโยนต่อผิวหนัง ให้แปะไปตลอดทั้งคืนก็หลับสนิทสบายอย่างที่เห็นในภาพเลยครับ ใครสนใจก็ลองเข้าไปอ่านรายละเอียดที่เว็บเค้าได้ พกพาไว้ไม่เสียหลายเพราะถือเป็นอีกตัวช่วยสำหรับเด็กๆ ที่ไม่ชอบทายาได้ดี กลิ่นก็ไม่ได้แรงครับเด็กอย่างปันยังใช้ได้เลย ก็หาซื้อก็ได้ไม่ยาก ร้านขายยาชั้นนำทั่วไป หรือที่เราซื้อมาก็ ใน 7-11 ใน Boots,Watson,Pure ก็น่าจะมีหมดครับ
สำหรับยาต่างๆเช่น ยาแก้ไอ ยาแก้หวัด ยาแก้ท้องเสีย ยาแก้ปวดหัว ยาแก้อักเสบ ยาทั้งหมดเป็นยาเม็ดที่ปันกินเป็นแล้ว และเราเขียนไว้ข้างซองให้เห็นชัดๆว่ายาแต่ละตัวกินยังไง ตอนไหน และให้เค้าอ่านอีกรอบ อันนี้ไม่ต้องสอน
แต่ที่สอนคือ ให้จับคู่กันยาใช้งานได้เช่น หากเกิดหกล้มเป็นแผลขึ้นมา หลังร้องไห้เสร็จดีแล้ว T_T อย่าลืมทายา และปิดด้วยพลาสเตอร์นะคร้าบบบ แบบในภาพเลย
แต่เพื่อความชัวร์เราเลยกำชับคุณครูให้ช่วยดูตามอาการอีกรอบจะกินยาอะไรให้คุณครูช่วยบอกอีกครั้งก่อนกิน เพราะฉะนั้นผ่านนนน ไม่ต้องซ้อมกินแต่อย่างใด >_<
จัดกระเป๋าตัวเองยังไงให้มันใส่กลับมาได้ (ไปกลับมาแล้วของยังอยู่ครบพ่อแม่พอใจแย้ว)
อันนี้ละน่าปวดหัวที่สุด เพราะทุกทริปที่เราเดินทางกันที่ผ่านมา พ่อแม่จัดให้หมด!!! รอบนี้เลยต้องซ้อมกันหนักเลย
อุปกรณ์ตัวช่วยคือ บรรดากระเป๋าจัดระเบียบการเดินทางที่เราได้มาจากที่ต่างๆ อันนี้ช่วยได้จริงครับ
แม่เย่นลองทำให้ปันดูก่อน จากนั้นก็รื้อออกมาให้ปันลองเก็บเอง ทำงี้เป็นชม.เลย จนหนูน้อยร้องโอ๊ดครวญ ว่าได้แล้วววว 555
สุดท้ายเอาจริงๆ เราก็แค่อยากให้เจ้าตัวเค้ารู้ว่าอะไรต้องอยู่ไหนและสุดท้ายเอากลับมาให้หมดนะลูกนะ ^_^
ติดต่อสื่อสารกันยังไงดีจีนยากอยู่น้าาา
สำหรับจีนแล้ว การติดต่อสื่อสารอาจจะเหมือนไม่ลำบากแต่ก็ลำบากสำหรับคนไทยใช้ Socialแบบเราๆ อ้าว อ่านแล้วอาจจะงง ว่านี้ที่เขียนหมายถึงอะไร คือ เราทั้งสองคนคิดกันอยู่นานว่าควรจะให้มือถือลูกไปใช้ดีไหม เพราะเอาจริงๆ เราเป็นพ่อแม่อีกครอบครัวนึงที่ไม่ต้องการให้ลูกเล็กๆ ติดมือถือ เพราะมันเป็นลบมากกว่าบวกสำหรับเด็กวัยนี้
เราเลยคิดกันอยู่นาน สุดท้ายเมื่อตัดสินใจว่าการสื่อสารระหว่างเราสำคัญเพราะหากเค้าอยากติดต่อเราแล้วคุยกัน หรือสื่อสารกันผ่านครูอย่างเดียวมันก็อาจจะลำบากเพราะคุณครูเองก็ต้องดูแลเด็กทุกคน เราเลยตัดสินใจให้มือถือเครื่องที่ราคาไม่แพงเกินไป ไม่ดูหรูหราแต่พอใช้งานเท่าที่จำเป็นได้ หลังจากนั้นก็มาถึงจุดที่ต้องมาทั้งสอนใช้งาน เพราะเมืองจีนเค้าไม่ให้ใช้โปรแกรมฮิตๆ อย่าง Line & Facebook (อันหลังก็ไม่อนุญาติให้เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี ใช้อยู่แล้วด้วย ) บวกกับทางโรงเรียนก็แนะนำให้เราใช้ Wechat มากกว่า ก็ต้องมาลงกันสมัครใช้กันซึ่งบอกจริงๆ โปรแกรมนี้ก็ไม่ได้ง่ายนัก
และก็มา ถึงเรื่องทำยังไงไม่ให้ปันติดเกมส์ในมือถือ หรือเอาแต่เล่น เราเลยค้นจนเจอว่า ตัว Android & Google เองก็มีตัว Program Parental ไว้สำหรับเด็กเล็กด้วยเช่นกันเราเลยสมัคร Google Account ในนามปัน และตัวโปรแกรมเองก็ต้องให้ผู้ใหญ่รับรองการใช้งานด้วย ก็ตรงใจเราแล้ว เป็น Program การป้องกันสำหรับเด็กของ Google ถือว่าดีทีเดียว นั้นคือ Google Family Link มันคือโปรแกรมที่จะคอยสกรีนการลงโปรแกรมต่างๆลงในมือถือเครื่องที่เด็กอายุยังไม่ถึงเกณฑ์การใช้งานในแต่ละประเทศ มาตรฐานคือต่ำกว่า 13 ปีนั้นเอง ข้อดีคือ ถ้าเด็กจะลงโปรแกรมอะไรก็ตามในเครื่องจะต้องขออนุญาตจากผู้ใหญ่ก่อนทุกครั้งถ้าเราไม่ใส่พาสเวิลด์ของเราเข้าไปให้เค้าก็จะใช้งานไม่ได้เลย จบ!!!
ความบันเทิงอย่างเดียวที่เราลงให้คือ Youtube Kids ข้อดีของโปรแกรมนี้คือมันจะจัดประเภท vdo และการใช้งาน Browser ทั้งหมดที่เด็กจะดูได้ตามช่วงอายุของการสมัครสมาชิกของ Google แล้วมันจะช่วยกรอง VDO หรือเว็บไซต์ ที่เด็กไม่สมควรดูออกจนหมด เราเองก็ทดลองใช้งานอยู่หลายวันจนมั่นใจแล้ว จึงให้ปันลองใช้เองดู ทีแรกก็โอดครวญว่าไม่มีคลิป VDO นู้นนี่นั้นให้ปันดูเลย สุดท้าย ด้วยคำขู่ของพ่อและแม่ว่าถ้าไม่เอาก็ลบนะ ปันก็ยอมรับแต่โดยดี เรื่องมือถือแต่ละบ้านอาจจะดูแลไม่เหมือนกันแต่กับบ้านเราเองแล้ว ปันจะไม่สามารถใช้ได้เลยถ้าเราทั้งสองคนไม่อนุญาติ ความตั้งใจเราคือจนกว่าเค้าจะรับผิดชอบได้ แม้จะได้ยินเสียงบ่นออกมาแต่แววตาเด็กน้อยก็ลิงโลดที่เป็นครั้งแรกที่พ่อแม่อนุญาติให้มีมือถือของตัวเองจริงๆแม้จะแค่ 10 กว่าวันก็ตาม
ใครอยากรู้หลายละเอียดของ youtube kids https://play.google.com/store/apps/details?id=com.google.android.apps.youtube.kids&hl=th
กับ Family Link ไปอ่านกันได้ https://families.google.com/intl/th/familylink/
วิธีใช้เงินหยวน บวกลบ คูณหารยังไง (สำคัญเลยไม่งั้นซื้อของไม่ได้)
อันนี้ละจริงจังที่สุดครับ เพราะเงินมันสำคัญและกับเด็กอายุแค่นี้เอาจริงๆ ต้องกลับไปดูเรื่องคณิตศาสตร์ที่เค้าเรียนในเวลานี้เลยว่าสอนกันถึงไหนแล้วปรากฎว่าชั้นปอ 2 ของปันเรียนถึงบวกลบคูณหารแล้ว ใช้ได้ลูกงั้นเราก็มาเริ่มกันที่สอนอัตราแลกเปลี่ยนเปรียบเทียบค่าเงินบาทให้เค้าเข้าใจง่ายๆว่า 1 หยวน เท่ากับ 5 บาท จะให้อะไรให้ท่องแม่ห้าเอาไว้
ปันก็เริ่มที่นับเงินที่เราแลกมาให้เค้าแยกแบงค์ออกมาก่อน ให้เข้าใจว่าแบ็งค์อะไรเป็นอะไร เทียบเป็นเงินไทยแล้วเท่ากับกี่บาท ท่องจำกันอยู่นานเลย
ผมเจตนาที่จะแลกเงินมาให้ปันใช้ไม่เกินแบ็งค์ 50 หยวนและจงใจแลกแบงค์เล็กๆ อย่าง 5 -20 หยวนมาให้เยอะพอที่เค้าจะคำนวนง่ายบวกลบง่าย จะได้รับเงินทอนเป็นเวลาใช้จ่ายจริง เราวนถามบวกลบคูณกันไปมาพักใหญ่จนหน้าตาเด็กน้อยเริ่มเบื่อ ทีเดียว ผมก็ค่อยๆสอนค่อยบอกกันอยู่หลายวัน เพื่อให้เค้าเข้าใจ
และผลลัพธ์ก็ออกดอกออกผลดีงามเมื่อวันนึงตอนที่เค้าไปได้กลางทริปแล้ว โทรมาบอกว่าเค้าซื้อของได้แล้วนะ แต่เค้ารู้สึกว่าราคาที่ซื้อไม่ถูก (สงสัยเจอเพื่อนซื้อมาถูกกว่า) เค้าเลยหมายมั่นว่าถ้าคุณครูพาไปช้อปปิ้งอีก จะซื้อและต่อราคาดู สุดท้ายปันต่อราคาได้จริง นำมาซึ่งความภูมิใจยิ่งหนัก เพราะเอาจริงๆครับ ตัวผมเองกว่าจะกล้าหัดต่อราคาข้าวของได้ก็ล่วงเลยมา 14-15 นู้นแล้วก่อนหน้านั้นไม่กล้าเลย ไม่รู้ทำไม มันคงน่าอายสำหรับเด็กวัยรุ่นอย่างเรา ฮ่า ฮา ใครเป็นเหมือนกันบ้าง
สิ่งที่ได้รับรู้คือปันพูดจาฉะฉานมากขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างรู้สึกได้เลย นี่ละที่พ่ออยากให้ปันได้รับจริงๆ เพราะงั้นทุกคนอย่าลืมสอนเด็กๆนะครับเอาจริงๆวัยนี้เค้าความจำดีมากอยู่แล้วครับ
มารยาทเวลาเจอคนต่างแดนควรทำยังไง (อันนี้เพื่อให้ทำความรู้จักเพื่อนในต่างแดนได้ดีขึ้น)
อันนี้เราอยากให้เค้าเอาวัฒนธรรมการไหว้แบบไทยๆไปใช้เวลาไปต่างประเทศนั้นละครับ ฮ่าฮา อาจจะดู เอ้ยไม่เห็นแปลกเลย แต่ๆ ผมเชื่อว่าทั้งเด็กและทั้งผู้ใหญ่ชาวจีน ถ้ารู้จักการไหว้แบบไทยๆของเราเค้าจะประทับใจแน่ๆ การไหว้ของเรามันสื่อสารง่ายและปันเองก็เป็นเด็กมือไม้อ่อนผมจะย้ำให้เค้ารู้จักการขอโทษ ขอบคุณคนเป็น ก็ช่วยให้เค้าน่าจะเข้าถึงทุกคนแม้จะสื่อสารกันยากเพราะต่างภาษาแต่ก็เข้าใจกันได้ด้วยภาษากายง่ายๆแบบนี้นั้นเองครับ แค่ไหว้แล้วตามด้วยคำง่ายๆ อย่าง ขอบคุณ ก็พอแล้ว
วันที่ไปและกลับมาเจอกัน..อีกครั้ง
ภาพนี้เป็นวันที่ เราไปส่งเค้าที่สนามบิน อื้อฮือ ไม่คิดเลยว่าเวลาที่เราจะอยู่ห่างคนที่เรารักและเป็นห่วงเป็นใยลูก
วันที่ไปเราไปรับกลับกันที่สนามบิน มันตื่นเต้นใช้ได้อยู่นะเนี่ย เด็กน้อยยิ้มมาแต่ไกล ด้วยความคิดถึงกันและกัน เรากอดกันกลมเลยทีเดียวครับ มองไปทางไหนก็เจอพ่อแม่ของเด็กๆยิ้มแย้มชื่นใจที่ได้เจอลูกๆกันทุกคน
จบแล้วสำหรับบ้านเราในการเตรียมความพร้อมก่อนส่งปันไปซัมเมอร์เมืองจีน หลังจากที่เค้ากลับมาผมสังเกตุได้อย่างนึงว่าเค้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดจาฉะฉานมากขึ้นสนุกสนานกับการเจอเพื่อนได้มากกว่าแต่ก่อน ไม่มาฟ้องเรื่องเพื่อนบ่อยๆ เหมือนแต่ก่อน เอาจริงๆ การไปอยู่ร่วมกันทุกวันแบบนี้ก็คือการสลายพฤติกรรม ทำลายกำแพงของกันและกันได้อย่างดี ยิ่งเป็นเด็กๆด้วยแล้ว เค้าไม่มีกำแพงแบบผู้ใหญ่ยิ่งง่ายขึ้นไปอีก สำหรับบทความนี้คงต้องจบกันตรงนี้ก่อน ถือเป็นการการแชร์ประสบการณ์ของครอบครัวเราครั้งแรก
รีวิวเที่ยวจีนเราก็เคยไปมานะ หนที่แล้วไปเมืองนานกิง สนใจไปอ่านกันได้ครับที่นี่เลย