ประสบการณ์ใช้ประกันอุบัติเหตุเคลมการเดินทางในต่างประเทศได้ ใช้จริงเคลมจริง
อย่างที่จั่่วหัวเลยครับ เรื่องที่จะเล่าให้ฟังกันตอนนี้มาจากประสบการณ์ตัวเอง เห็นว่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่น ๆ ที่ยังไม่เคยนึกถึงการทำประกันอุบัติเหตุ และไม่เคยรู้ว่ามันใช้กับการเดินในต่างแดนได้ด้วยนะ
ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่คิดว่ามันใช้ได้ หรือกระทั่งใช้สำหรับรักษาตัวเข้าโรงพยาบาลจากการบาดเจ็บหนักก็เคยเช่นกัน
สำหรับหนนี้ เรื่องราวที่กำลังจะเล่าเป็นประสบการณ์ที่ผมลองใช้ประกันอุบัติเหตุมาทำการรักษา อุบัติเหตุจากการเดินทาง ซึ่งเกิดกับตัวเอง ลองอ่านกันดูผมอยากให้เกิดประโยชน์กับทุกคนครับ เพราะบางคนไม่เคยรู้ว่าเราสามารถใช้ประกันอุบัติเหตุกับ การเดินทางโดยเฉพาะหากเป็นการเดินทางในต่างประเทศด้วยได้ด้วย เอาละ ตามผมมาเลยดีกว่าครับ
เริ่มต้นยังไง
บอกก่อนว่าด้วยความที่งานของผมต้องเดินทางบ่อย โดยเฉพาะออกนอกประเทศในช่วง 5-6 ปีหลังมานี้ ผมเดินทางทุกปี จากที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการทำประกันมาแต่ไหนแต่ไรมากนัก คือก็มีซื้อประกันชีวิตเอาไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน รวมถึงทำประกันอุบัติเหตุไว้พร้อมกัน จากนั้นก็ไม่ได้สนใจ เพราะคงไม่มีใครอยากจะใช้ประกันทั้งสองแบบนี้แน่ ๆ
ตอนทำประกันอุบัติเหตุครั้งแรกทำไปแบบเพื่อนเชียร์ (คือเพื่อนขายประกันนั้นเอง)คือคิดเองเผื่อ ๆ ว่าไว้ป้องกันหากเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่รถ แล้วต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจริง ๆ ก็ใช้เจ้าตัวนี้ละ (ย้อนไป 8-9 ปีก่อนเคยเจออุบัติเหตุรถยนต์จนต้องนอน โรงพยาบาลเป็นครั้งแรกในชีวิตมาแล้วนั้นเอง) แต่ไม่คิดว่ามันจะต้องเอามาใช้จากการเดินทางไกล โดยเฉพาะในต่างประเทศได้ด้วย และแน่นอน คิดเองเออเองว่ามันใช้ไม่ได้ด้วยซ้ำ (นี่ละเค้าถึงให้อ่านกรมธรรม์ดี ๆ เวลาทำประกันไง)
ตอนเจออุบัติเหตุในครั้งนั้น จึงเป็นครั้งแรกที่รู้จักการใช้ประกันอุบัติเหตุรักษาตัวเป็นครั้งแรก แบบไม่อยากใช้แต่ก็ต้องใช้
ประกันอุบัติเหตุ ของผมทั้ง 2 สัญญา
หลังจากผมไปหาหมอที่ โรงพยาบาลแห่งนึงยื่นบัตรประกันอุบัติเหตุให้เจ้าหน้าที่ หลังซักประวัติ process ต่าง ๆ ก็เริ่มตามกระบวนการตรวจและรักษา พร้อมกับที่ผมต้องประหลาดใจทีเดียวเพราะประกันอุบัติเหตุที่ผมซื้อไว้มันไม่ได้แพงอะไรเลย แต่สุดท้ายมันกำลังช่วยรักษาการบาดเจ็บครั้งนั้นจนหายดีโดยไม่ต้องควักเงินสดจ่ายเลย ตอนนั้นคิดในใจว่า เออดีเนอะ จ่ายมาไม่กี่พันแต่รักษาตัวเรา หลักหลายหมื่นได้หมด คุ้มดี หลังจากครั้งนั้นผ่านมาอีกหลายปี ผมมีอุบัติเหตุอีกครั้งจากการเล่นกีฬา และก็มีโอกาสได้ใช้ประกันตัวนี้อีก และหนนี้รักษาตัวหลายรอบ ไปหาหมอที่โรงพยาบาลหลายครั้งติดต่อกัน
จนทำให้ สังเกตุเห็นประกันอุบัติเหตุตัวแรกของผม มันมีข้อจำกัดนึงที่ผมพิจารณาแล้ว อาจจะเป็นข้อจำกัดที่ทำให้การรักษาต่อเนื่องอาจจะไม่ Work กับตัวเองนัก ข้อจำกัดนั้นคือ “ระยะเวลา” นั้นเองครับ
ประสบการณ์ใช้ประกันอุบัติเหตุเคลมการเดินทางในต่างประเทศได้
ช่วงต้นปี 2562 ผมเริ่มรู้ว่าตัวเองจะมีทริปไปต่างประเทศแน่นอนแล้ว 2-3 ทริป ทั้งญี่ปุ่น ทั้ง ไต้หวัน ยุโรป แน่นอนพอรู้ว่ามีการเดินทางบ่อย ปีนี้ผมเลยเปลี่ยนมาซื้อประกันการเดินทางรายปีคำนวนดูแล้วก็เออ คุ้มค่าดีเพราะถ้าเดินทางกันระดับ เกิน 4-5 ครั้งต่อปีแล้ว ราคาที่เราจ่ายคุ้มแน่นอน ผมก็เลยเลือกที่เราดูแล้วครอบคลุมทุกอย่างหมดแล้วทั้งกระเป๋า ทั้งตกไฟล์ทบิน ทั้งดีเลย์ ร่วมถึงเจ็บป่วยสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ผมคิดว่ามันใช้ได้ครบแน่นอน หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไรอีก เพราะเราก็เซพความสบายใจของตัวเองได้เรียบร้อย
หลังจากมีประกันทุกอย่างครบหมดแล้ว ผมค่อนข้างสบายใจเพราะอย่างที่บอกมันครอบคลุมทุกอย่างที่จำเป็นไว้หมดแล้ว และผมก็มีทริปแรกเริ่มตั้งแต่ต้นปี ทริปช่วงแรก ก็ราบรื่นดีทุกอย่าง จนผ่านมาถึงทริปท้าย ๆ แล้วของผม ช่วงเกือบจะปลายปี เป็นทริปแห่งมหากาพย์การเคลมประกันที่ใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้ เหตุการณ์มันเกิดจาก อุบัติเหตุตอนเที่ยวที่ต่างประเทศ ทำให้เจ็บที่บริเวณก้นกบ และที่เท้า เจ็บมาก เจ็บสุด ๆ เรียกว่า เจ็บจนน้ำตาเล็ด ขาชาไปราว ๆ 1-2 นาที เลยก็ว่าได้ สุดท้ายต้องนั่งพักแล้วรอจนเท้ามันรู้สึกค่อยยังชั่วก่อน ตอนนั้นก็ยังไม่คิดอะไรมาก เพราะคิดว่ามันคงหายเองได้ กลับมาก็เลยไม่เคลมประกันทันที คิดเองว่าสักพักก็คงหาย และเอาจริง ๆ ส่วนตัวคิดว่าการไปหาหมอจากอุบัติเหตุ บาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ ดูมันจะเว่อร์ไปหน่อย แลดูอ่อนแอไรแบบนั้นเลย ซึ่งบื้อมากครับ (ทั้ง ๆ ที่ประกันเค้าก็ครอบคลุมให้ไปก็ได้นะ)
จนกระทั้งสุดท้ายหลังผมกลับมาประเทศไทย ได้ 3 วัน และอาการจากทริปล่าสุดยังมีอยู่โดยเฉพาะที่เท้า จนแน่ใจว่า ไม่หายเองแน่ ๆ แล้วเพราะอาการมันคือลงน้ำหนักที่เท้าแล้วก้าว จะเจ็บปลายเท้าตลอดเวลา และเวลานั่งนานจะเจ็บบริเวณก้นกบ ผมเลยตัดสินใจไปหาหมอ ตอนไปถึง รพ.ครั้งแรก และนี้คือบทสนทนาระหว่างเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลกับผม ที่ทำให้ผมได้เบิกเนตรตัวเองเกี่ยวกับการเคลมประกันตัวนี้
เจ้าหน้าที่ “มีเบิกประกันใด ไหมคะ”
เออ เรามีประกันอยู่นี่หว่า เลยถามเจ้าหน้าที่กลับไปว่า “ผมใช้ประกันเดินทางได้ไหมครับ ”
พยาบาลก็ตอบว่า “ถ้าคนไข้ทำไว้ก็สามารถลองยื่นบัตรได้คะ คนไข้เกิดเหตุมากี่วันแล้วคะ”
ฟังเสร็จผมก็นึกได้ เอ รวมเวลามันน่าจะเกิน 24 ชม. แล้วนี่หว่า แบบนี้จะใช้ได้ไหมนะ
แต่ฉุกคิดได้ นอกจากประกันเดินทาง เรามีประกันอุบัติเหตุด้วยนี่หว่า “แล้วถ้าเป็นประกันอุบัติเหตุละครับใช้ได้ไหม”
พยาบาล “ใช้ได้นี่คะถ้าคนไข้ประสบอุบัติเหตุมาก็น่าจะใช้ได้นะ คนไข้จะลองยื่นบัตรก่อนไหมคะ”
ผม “ได้ครับ” เอ้ย เออ เราใช้เคลมเหตุการณ์ อุบัติเหตุจากต่างประเทศแบบนี้ได้ด้วยแหะ
ผมก็ยื่นบัตรประกันของตัวเองให้เค้าไป จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการรักษา
มาถึงคำถามสำคัญที่ทำให้ผมเริ่มคิดเองว่า เออ ประกันอุบัติเหตุมันใช้กับการเดินทางในต่างประเทศได้ด้วยเหรอนี่
คำตอบลอยมาจากไหนไม่รู้มาเข้าหูตัวเองว่า “ได้สิ ” “ก็มันนับเป็นอุบัติเหตุเหมือนกันนี่หว่า”
และที่ดีขึ้นไปอีกคือ ผมซื้อประกันอุบัติเหตุเพิ่มมาอีก 1 ตัว เพราะจากเหตุการณ์ที่เคลมครั้งแรก ทำให้ผมเจอจุดอ่อนสำคัญคือ “ระยะเวลาในการรับการรักษา”
ทำไมถึงทำประกันอุบัติเหตุอีกทั้งที่มีแล้ว
อย่างที่บอกครั้งแรกที่ซื้อ คือซื้อเผื่อไว้สำหรับอุบัติเหตุทางรถยนต์มากกว่าจะคิดถึงอย่างอื่น ไม่ได้คิดเยอะถึงเหตุการณ์ทำนองนี้เลย และตารางด้านล่างคือเหตุผลลองอ่านดูครับ
ผมขอเปรียบเทียบ 2 ประกันอุบัติเหตุ และ 1 ประกันการเดินทาง ให้เห็นเพิ่มด้วยเพื่อให้เข้าใจทั้งหมดมากขึ้น ลองดูในตารางที่ผมทำเองเพื่อเปรียบเทียบกรณีที่เราต้องการเคลมประกันเรา
ประกันอุบัติเหตุตัวที่ 1(AIA) ลิมิตเรื่องการเคลมประกันต่อเนื่องที่เกิน 45 วันหากเกินต้องเบิกจ่ายกับประกัน + กรณีหมอวินิจฉัยเป็นอาการเรื้อรังจะไม่สามารถใช้เคลมประกันได้ + จำกัดวงเงินการรักษา ขึ้นอยู่กับวงเงินประกัน ฯ ที่เราเลือก(ข้อนี้ก็เป็นปรกติทุกเจ้าเหมือนกัน)
ประกันอุบัติเหตุตัวที่ 2 (FWD) ไม่มีลิมิตเวลาในการรักษาและการวินิจฉัยของหมอ +จำกัดวงเงินในการรักษา ขึ้นอยู่กับวงเงินประกัน ฯ ที่เราเลือก (ข้อนี้ก็เป็นปรกติทุกเจ้าเหมือนกัน กรณีโรงพยาบาล B ต้องทำเรื่องเบิกเคลมเองและ โรงพยาบาล C มีลิมิตเรื่องการรักษาต่อเนื่อง พ้น 45 วันต้องทำเรื่องเบิกเคลมเอง)
ประกันการเดินทาง จะครอบคลุมเมื่อเราเดินทางเท่านั้น ทั้งในและต่างประเทศ และวัตถุประสงค์การซื้อ จึงต่างออกไป ส่วนใหญ่คนซื้อเพราะรู้ตัวว่าต้องเดินทาง และตัวประกันเองหากไม่ใช่อุบัติเหตุจากการเดินทางจะไม่คุ้มครองและเคลมไม่ได้
ปฎิบัติการณ์ 1 เคสหลายโรงพยาบาล จะทำได้ไหม ?
ทำได้ ทำมาแล้วด้วย อย่างที่เล่าไปนะ ครับ ผมซื้อประกันตัวที่สองเผื่อไว้เพราะจากการเคลมครั้งหลังสุดจากอุบติเหตุทางการเล่นกีฬา ที่มีการลิมิตเรื่องระยะเวลาในการรักษาต่อเนื่องไม่เกิน 45 วันหลังจากนั้นต้องเบิกจ่ายเอง ผมจึงหาตัวใหม่ที่ปลดล็อคเงื่อนไขนี้ และพอเกิดเหตุดังกล่าวก็ลองใช้เลย โดยที่ผมไปหาหมอที่ โรงพยาบาลถึง 3 แห่ง!!! จากเหตุการณ์อุบัติเหตุเดียว
ครั้งแรก ที่ โรงพยาบาล A (ขอไม่เอ่ยชื่อ โรงพยาบาลทั้งหมดนะครับ)เป็นโรงพยาบาลรัฐแห่งนึง การไปตรวจรักษาผมก็เริ่มต้นด้วยการสอบถามก่อนเลยว่าสามารถใช้สิทธิรักษาจากอุบัติเหตุได้หรือไม่ ทางโรงพยาบาลก็แจ้งว่า สามารถใช้ได้แต่คนไข้ต้องเอาใบเสร็จไปยื่นเบิกเองในภายหลัง หลังจากนั้นผมก็รักษาไป แต่มีความรู้สึกว่ายังวางใจไม่ได้นักเพราะหลังจากหมอวินิจฉัยแล้วดูจะใช้เวลาในการรักษานานกว่าที่คิด เพราะมีทั้งให้ทำกายภาพและสั่งยามากิน ตอนนั้นตัวเองจะต้องมีทริปเดินทาง ทั้งในประเทศและต่างประเทศอีก มันจะส่งผลต่อระยะเวลาการรักษาแน่นอน ในวันถัดมาจึงเริ่มมองหา รพ.ใหม่ เพิ่มช่องทางการทำให้ตัวเองหายเร็วขึ้น แต่ก็มีความลังเลว่าจะสามารถเคลมเคสเดียวกันแต่ต่างโรงพยาบาลได้ไหม
ครั้งที่สอง โรงพยาบาล B วันถัดมา หนนี้เป็นโรงพยาบาลเอกชน ที่ตัวผมเองมองว่าว่าน่าจะมีหมอเฉพาะทางที่เก่ง อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน โดยที่ก่อนจะไป เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมจึงโทรสอบทางกับทาง รพ. ก่อนเดินทางไปว่า สามารถจะเบิกประกันได้หรือไม่ ทางโรงพาบาล ก็แจ้งกลับมาว่าได้ ผมจึงไปครั้งนี้เป็นคุณหมอที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโดยตรงที่เท้าของผมเลย(ทำการบ้านก่อนไปเรียบร้อย) เพราะรู้สึกว่ามันน่าจะเน้นที่เราจะต้องใช้งานหนัก ในอนาคตให้หายก่อน
หลังพบคุณหมอและวินิจฉัย ก็มีการตรวจต่าง ๆ ตามขั้นตอนและ หมอมีแจ้งระยะเวลารอตรวจครั้งต่อไปว่าอีก 1 เดือนค่อยกลับมาตรวจอีก ผมฟังดังนั้นก็รู้สึกเองว่า เออ มันนานไปเนอะ 555 เราอยากหายไว ๆ ทำไงดีละ เอ๊ะ หรือจะอีกสัก รพ. ไหม ไปหา โรงพยาบาลที่เราเคยรักษาตอนครั้งแรกที่เราเคยเท้าแพลงสมัยแรก ๆ ดูแล้วประกันจะยังใช้ได้ไหมน้อ เอา ๆ ลองดูดีกว่า
ครั้งที่สาม โรงพยาบาล C เว้นไป 2 วัน ผมก็มาที่นี่ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่เคยมารักษาตอนอุบัติเหตุจากการเล่นกีฬา ผมมีประวัติรักษาเรียบร้อย เลยไม่ต้องทำประวัติใหม่ และก่อนมา ผมก็โทรนัดหมายกับทางเจ้าหน้าที่ก่อนเรียบร้อย มาถึงก็แค่ยื่นบัตรแล้วก็นั่งรอตรวจเลย จากนั้น ก็เข้ากระบวนการตรวจรักษา สุดท้าย ที่นี่ คุณหมอก็นัดทำกายภาพ และ นัดตรวจติดตามผลอีก 1 เดือน(อยู่ดีนั้นล่ะ) แต่คุณหมอแจ้งเผื่อไว้ถ้าอาการหลังทำกายภาพแล้วไม่รู้สึกดีขึ้น ก็ให้นัดกับทางเจ้าหน้าที่ขอเจอหมอก่อนได้เลย (อันนี้ดีเพราะเราอยากแน่ใจว่ามันจะหายไว ๆ ใจร้อนเนอะผม)
สุดท้ายทั้ง 3 รพ ผมใช้วิธีการยื่นประกันอุบัติเหตุหมดทั้ง 3 ครั้ง และจนถึงวันนี้ก็เคลมได้หมด แม้จะเป็นการรักษาจากเหตุการณ์เดียวกันหมดทั้ง 3 โรงพยาบาล จนถึงตอนนี้ผมยังมีการไปรักษาต่อเนื่อง กับ รพ C อยู่และ นัดตรวจกับคุณหมอ ทั้ง โรงพยาบาล B,C ข้อแตกต่างระหว่างสอง รพ. ก็คือ โรงพยาบาล B เวลาผมไปหาหมอผมต้องเก็บใบเสร็จ แล้วรวบรวมส่งเคลมกับประกันเอง แต่กับ โรงพยาบาล C แค่ยื่นบัตรตรวจค่ารักษาจะเคลมตรงกับบริษัทประกันเองหมด ผมไม่ต้องทำอะไร
การเคลมประกันต่อเนื่องทำได้จริงหรือไม่
มาถึงส่วนของสาระสำคัญและเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพื่อหวังจะให้ทุกคนลองดูว่า นอกจากการใช้ประกันเดินทางแล้ว ประกันอุบัติเหตุ ก็สำคัญถือว่า สองอย่างนี้หากมีไว้ทั้งคู่ ถึงเวลาจะใช้เวลาที่มันเกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์นึงขึ้นมา มันจะครอบคลุมทุกอย่างไว้สำหรับเราหมด ทั้งการเดินทางในประเทศ และในต่างประเทศ และยังครอบคลุมอุบัติเหตุในการเดินทางทุกประเภทไว้ด้วย เท่ากับหากเกิดเหตุใดขึ้นมา ก็สบายใจได้ไปเปราะนึงแล้ว
อย่างที่เห็นตามภาพนะครับ (ขออนุญาติเซ็นเซอร์ข้อมูลบางอย่างไว้นะครับ) ผมเคลมรายการที่ใช้กับโรงพยาบาล B นะครับ ที่ผมต้องสำลองจ่ายไปก่อน ผมรอจนครบ 1 เดือนก็ส่งใบเสร็จและเอกสารตัวจริงทั้งหมดจากโรงพยาบาล(พวกใบรับรองแพทย์ ใบเสร็จที่เราจ่ายไปก่อน) ส่งไปให้กับทางตัวแทนที่ผมซื้อประกันของ FWD (ประกันอุบัติเหตุตัวที่ 2) ไว้ จากนั้นไม่ถึง สองสัปดาห์ดี ตัวแทนประกันของผมก็โทรมาแจ้งว่าจะโอนเงินเข้าบัญชีผมก่อน และไม่ถึงสิ้นเดือน ก็ส่งใบเสร็จตามภาพนี้กลับมาให้ทราบในรายละเอียดทั้งหมด ก็ถือว่ารวดเร็วทันใจทุกอย่างเสร็จสิ้นกระบวนการภายใน 1 เดือนนับจากวันรับการรักษาครับ
สำหรับตัวนี้เป็นใบเสร็จจากที่ผมไปรักษาตัวต่อเนื่องในโรงพยาบาล C ซึ่งสะดวกดีที่ไม่ต้องสำลองจ่ายก็ยื่นบัตรครั้งแรกจากนั้นก็แจ้งชื่ออย่างเดียวเวลาไปรักษา เท่านั้น
จนถึงตอนนี้ ผมลองรวมค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ ในการรักษาตัวครั้งนี้ไปแล้วอยู่ที่ราว 4 หมื่นกว่าบาท และยังคงอยู่ในการรักษาตัวต่อเนื่อง ยังคงนัดหมอตรวจรักษาอยู่ นับเวลารักษามาก็เกิน 40 วันแล้ว สบายใจขึ้นมากเพราะไม่มีลิมิตในด้านเงื่อนไขของเวลามาเป็นตัวกำหนด
ลำดับเหตุการณ์อีกครั้งนะครับเพื่อกันงง
1.ผมไปมีอุบัติเหตุในต่างประเทศทำให้กลับมาต้องเข้ารับการรักษา
2.ผมมีประกันสำหรับเคลมอุบัติเหตุและการเดินทางไว้ทั้งหมด 3 ตัว(จะเยอะไปไหนเนอะ 555) คือ ประกันอุบัติเหตุ 2 ตัว ประกันการเดินทาง 1 ตัว ทั้งหมดใช้เคลมอุบัติเหตุได้หมดแต่มีความต่างกันในรายละเอียด
2.1ตัวแรก ผมซื้อของ AIA (ตามรูปแรกด้านบน) มีข้อลิมิตที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเราคงต้องหามาเพิ่มแล้ว เพราะมันไม่ครอบคลุมเรื่องระยะเวลาในการรับการรักษา กรณีของผมประกันอุบัติเหตุตัวนี้จำกัดการรักษาจากอุบัติเหตุไว้ ไม่เกิน 45 วันหากเกิดเราต้องจ่ายแล้วนำมาเบิกเคลมทีหลัง และ หากหมอวินิจฉัยอาการเราเป็นอาการรักษาเรื้อรัง ประกันจะใช้ไม่ได้
2.2ตัวที่สอง ซื้อปีที่ผ่านมา 2019 ประกันการเดินทางของทิพยะประกันภัย ตัวนี้ครอบคลุมการรักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุเหมือนกัน แต่ไม่ครอบคลุมเรื่องระยะเวลาในการรักษาเช่นกัน ข้อดีคือครอบคลุมทุกอย่างทั้งการเดินทางในและต่างประเทศ กระเป๋า ไฟล์ทดีเลย์หรือ อุบัติเหตุ แต่ก็ยังลิมิตระยะเวลาการรักษาต่อเนื่องไม่เกิน 21 วันหลังจากเกิดเหตุอยู่ดีและต้องเข้ารักษาตัวทันทีหลังจากเกิดเหตุไม่เกิน 7 วัน
2.3ตัวสุดท้าย ผมซื้อของ FWD เป็นประกันอุบัติเหตุ ชื่อ ประกันคนกล้า ตัวนี้ ซึ่งดีมาก มาช่วยแก้โจทย์ และปิดรอยรั่วของสองตัวแรกของผมเองคือ ไม่มีลิมิตเรื่องระยะเวลาในการรักษา และ ระยะเวลาภายหลังเกิดอุบัติเหตุ ตราบใดที่เรายังมีอาการ หรือร่องรอยที่เกิดจากอุบัติเหตุ ทำให้ผมสามารถใช้ตัวนี้ในการรักษาระยะยาวได้ อย่างในเคสที่ผมเข้ารักษาในโรงพยาบาล C เพราะจากเหตุการณ์ที่เล่ามา จนถึงวันนี้เกิน 40 วัน แล้ว หลังจากเกิดเหตุมา ผมยังคงรักษาได้อย่างต่อเนื่อง ตามวงเงินทุนประกันที่เราซื้อไว้ เช่นหากเราซื้อไว้ทุนประกันการรักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ ต่อครั้ง ไม่เกิน 100,000 บาท ผมก็ใช้รักษาจะกี่ครั้งก็ได้ กี่โรงพยาบาลก็ได้ ถ้าผมยังใช้วงเงินไม่เต็มจำนวนในการรักษา ก็ทำได้ ซึ่งตอนนี้ก็ยังทำอยู่ ผมจึงว่าประกันตัวนี้คุ้มค่ามาก เพราะหากนับการรักษาตัวตอนนี้ของผม ทะลุ 4 หมื่นบาทไปเรียบร้อยแล้ว มาจากการรักษาจาก โรงพยาบาล B และ C รวมกัน แถมมีค่ารักษารายการหนัก ๆ อย่างการทำ MRI SCAN ด้วย ไม่คิดว่ามันจะเคลมประกันได้เลย แต่ก็ทำได้ด้วย เซอร์ไพรส์มากครับ และยังมีโอกาสจะเสียเพิ่มอีกเพราะยังอยู่ในระหว่างการรักษาและติดตามผลอยู่
ในเคสของ โรงพยาบาล B ผมอาจจะต้องมารวบรวมแล้วยื่นเคลมทีหลัง มีเรื่องการส่งเอกสารนิดนึง แต่เพราะผมทำประกันผ่านตัวแทนก็เลยให้ตัวแทนของผม ดำเนินการให้ ไม่ต้องวุ่นวายติดต่อเอง ก็ลดขั้นตอนลงได้เยอะ แม้จะต้องรอหน่อยก็ตาม เพราะเท่าที่ถามจากทางโรงพยาบาลเค้าก็บอกไว้ว่าเงื่อนไขสำรองจ่ายใช้กับทุกบริษัทประกันหมด งั้นก็เสมอกันถ้วนหน้าไม่ว่าเจ้าไหนก็ตาม
ผมใส่ LINK ข้อมูลของประกันตัวนี้ไว้ที่นี่นะครับ https://bit.ly/2Kl0eQ2
ใครสนใจเข้าไปอ่านกันเองและติดต่อกันเองได้เลยผมไม่ได้ขายประกันนะ ซื้อจากผมไม่ได้ครับ ซื้อตรงกับทางบริษัทเองหรือจะหาข้อมูลเพิ่มเติมก็ทำได้เลย
สรุปสุดท้ายกันก่อน
สำหรับบทความครั้งนี้ ประสบการณ์ใช้ประกันอุบัติเหตุเคลมการเดินทางในต่างประเทศได้ ใช้จริงเคลมจริง เป็นประสบการณ์ตรงกับตัวเองอีกครั้งที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กันกับคนอื่นนะครับ
จากที่เล่ามาทั้งหมดผมอยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ในการเลือกทำประกันอะไรก็แล้วแต่ อย่างกรณีผม ไม่ได้คิดวางแผนใด ๆ ไว้ว่าจะต้องใช้ประกันอุบัติเหตุในการรักษาอาการบาดเจ็บยาว ๆ แต่ก็ได้ใช้ พอใช้ถึงค่อยมาศึกษาทีหลัง เป็นบทเรียนทำให้เราเลยมีประกันอุบัติเหตุสองตัวโดยใช่เหตุ จริง ๆ ซื้อตัวเดียวก็พอแล้วในเคสแบบผม เพราะมันก็ครอบคลุมทั้งหมดแล้ว เพราะถึงเวลาเราใช้สิทธิจากอุบัติเหตุใดก็ตามสามารถยื่นเคลมได้ทีละประกันเท่านั้น ไม่สามารถเคลมรวมประกันได้ จะต่างจากประกันสุขภาพที่สามารถเคลมสิทธิ์ค่ารักษาพยาบาลได้ หากเงินทุนประกันตัวแรกหมด ก็ไปเคลมต่อตัวที่สองได้เลย
ยังไงสำหรับคนที่ออกทริปบ่อย ผมอยากแนะนำให้เราซื้อประกันอุบัติเหตุไว้ด้วย เพราะนอกจากประโยชน์อื่น ๆ ที่ได้เช่นจากอุบัติเหตุทุกชนิดแล้ว ในเคสนี้ผมยังใช้ในต่างประเทศแล้วกลับมาเคลมได้อีกด้วย อีกอย่างมันครอบคลุมระยะเวลา 1 ปีเพราะงั้นให้เราเดินทางได้สบายใจดีทั้งทางรถ ทางเรือ ทางเครื่องบิน หรือไปเกิดเหตุต่างประเทศกลับมาก็ยังใช้ได้ (ข้อนี้ละที่ทำให้ผมอยากเขียนครั้งนี้) สำหรับประกันการเดินทางนั้นก็ใช้ได้เช่นกันแต่ก็ไม่สามารถครอบคลุมระยะเวลาการรักษาต่อเนื่องยาว ๆ ได้อยู่ดีเพราะงั้นการถือประกันอุบัติเหตุเท่ากับเป็นการปิดรอยต่อสำหรับการรักษาที่มากขึ้นได้นั้นเอง
ทั้งนี้ให้ดีที่สุดหวังว่าเราจะไม่ต้องใช้ประกันทั้งหลายทั้งปวงใด ๆ เป็นดีที่สุดครับ เพราะก็ไม่มีใครอยากเจออุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยระหว่างเดินทางแน่นอน จริงไหมครับ
จนกว่าจะพบกันใหม่ในโลกสีฟ้าสวย ๆ แห่งนี้ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมมาทักถามคุยกันได้ที่หน้าเพจของเรา ได้เลยนะครับ
สวัสดีครับ
==================================
สำหรับเพื่อนใหม่ที่พึ่งเจอกัน
ถ้าชอบรีวิวของเรา ฝากกด Like
เพจ อยากรู้จักโลกกว้าง
http://bit.ly/2G06JVD
และอย่าลืมเปลี่ยนสถานะ follow (ติดตาม)
เป็นSee first (เห็นก่อน) ไว้เลย
สำหรับคนที่อยากหาข้อมู, ทิป เทคนิค บทความสำหรับการเดินทางของผมทั้งหมด ผมเขียนแนะนำไว้แล้วที่นี่เลยครับ