สวัสดีครับ
ห่างหายหน้าไปเป็นสัปดาห์เลยสำหรับรีวิวฮันนีมูนทริบหนนี้ครับ หนีไปเที่ยวมาสองสัปดาห์ติดๆกัน กลับมาก็จะขอรีวิวกันต่อเลยดีกว่าครับเพราะยังเหลือทริบที่ไปมาตั้งแต่ปลายปีจนถึงตอนนี้อีกหลายทริบซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะรีิวิวได้หมดไหมน้อ แต่ยังไงๆก็จะพยายามเอามาฝากกันต่อขออย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนแล้วกันนะ
กลับสู่เรื่องราวหนนี้กันดีกว่านะ หลังจากออกจากลำปางกับฮันนีมูนทริบ@ลำปางในวันที่4-5
http://blog.one22.com/archives/category/long_trip/honeymoonnorth/honeymoon_lampang
ผมมุ่งหน้าขึ้นมาทางทิศตะวันออกเพื่อไปยังจังหวัดสุดท้ายของเขตแดนภาพเหนือต่อกับอีสาน “เมืองน่าน” เมืองที่มีวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันระหว่างเหนือและอีสานตอนบน เมืองที่หลายๆสำนักให้เป็นเมืองคู่แฝดของบ้านพี่เมืองน้องของไทยอย่าง “หลวงพระบาง ประเทศ สปป.ลาว” จากชื่อเสียงต่างๆที่เริ่มเป็นที่รู้จักและเป็นปลายทางของใครๆหลายคน รวมถึงหนนี้ของเราที่ถือว่าน่านจะเป็นจังหวัดสุดท้ายของฮันนีมูนทริบหนนี้แล้วด้วย
ภาพทั้งหมดเก็บใส่ Gallery ไว้ที่นี้แล้วเชิญชมกันเช่นเคยครับ
http://blog.one22.com/pics/longtrips/honeymoon-in-north-trip/honeymoon_nan1
ไปเที่ยวกันต่อดีกว่าครับ
หลังจากออกจากลำปางผมใช้เจ้า gps คู่ใจที่หอบหิ้วมาจากกรุงเทพฯ เช่นเคย ตั้งแต่ผมมีเจ้านี้นำทางเดี๋ยวนี้ติดนิสัยไม่จำเส้นทางกันเลย เพราะมันก็พาไปทุกๆที่ที่เราไปอยากไปอย่างซื่อสัตย์ดีทีเดียวแม้บางหนจะวน ออกนอกเส้นทางหรือไปไม่ถูกบ้างก็ตามแต่ยังไงก็ยังชอบที่จะใช้จริงๆครับ ใครที่คิดว่าเป็นคนหลงทิศหลงทางบ่อยๆ มีติดรถไว้ซักเครื่องผมว่าก็ไม่เลวเลยทีเดียวครับ
ผมมาถึงน่านโดยใช้เส้นทางทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน เช่นเดียวกับตอนขาเข้าลำปาง ออกจากลำปางวิ่งตรงขึ้นตะวันออกเ๊ฉียงเหนือผ่านพิชัย บ้านเสด็จ วิ่งตามเส้นทางมาเรื่อยๆครับถนนช่วงนี้วิ่งสบายทำไว้ดีไม่พบหลุมบ่อแต่อย่างใด เราสลับกันขับเมื่อตอนเข้าสู่บ้านโป่งและแวะทานข้าวกันที่นี้มาถึงก็เข้าบ่ายแก่ๆได้ หลังอิ่มกันดีล้อหมุนกันต่อช่วงนี้จะเข้าสู่ทางหลวงเส้น 103 กันต่อตรงแถวๆนี้พอดี จากนั้นก็ได้มุ่งลงทิศใต้จนมาเชื่อมสู่ทางหลวง 101 ตรงร้องกวางก็เป็นอันรู้ว่าเราเข้าสู่เขตรอยต่อของแพร่กับน่านกันแล้ว
แม้เส้นที่เราเลือกจะอ้อมหน่อยที่สำแต่ถนนหนทางดีตลอดทางอีกอย่างที่เลือกเส้นนี้ก็เพราะเจ้า gps ตัวดีเราตั้งให้แวะวัดพระธาตุแช่แห้งมันจึงคำนวนทางให้เราเสร็จเลย หลังขับสลับกันไปมา ผมดูเธอวันนี้อารมณ์ดีสงสัยเพราะนอนอิ่มดีแน่ๆ อากาศก็ไม่ร้อนมากนักเพราะช่วงที่เราไปอากาศกำลังหนาว
ขับอีกชั่วโมงกว่าๆรู้สึกตัวอีกที่ว่าเข้าน่านกันที่เวียงสาตอนเกือบ สี่โมงเย็นพอดีนับเวลาขับรถจากลำปางมาถึงน่าน4 ชั่วโมงเศษพอดี หลังจากปรึกษากันเราก็ได้ข้อสรุปว่าจะขอแวะเที่ยวกันก่อนเข้าที่พักเรา วันนี้ เราจึงแวะกันที่ “พระธาตุแช่แห้ง”
วัดพระธาตุแช่แห้ง ยามเย็นๆอากาศกำลังดีเราจอดด้านล่างเห็นองค์พระธาตุเด่นตั้งแต่เริ่มขึ้นบันไดมาเลยทีเดียว ยิ่งเมื่อได้เข้ามาในระยะใกล้ๆแล้วองค์พระธาตุสีทองตัดกับท้องฟ้าสีสดๆยิ่งสวยงามเข้าไปอีก
ผมเดินชมรอบๆอ่านประวัติขององค์พระธาตุยิ่งทำให้สนใจเข้าไปใหญ่ ภายในองค์พระธาตุฯบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากกรุงสุโขทัย สร้างขึ้นเมื่อ พศ. 1891 เพื่อกระชับไมตรีระหว่างสองแว้นแคว้นของสุโขทัยและน่านเอง ตัวองค์พระธาตุสีทองสุกปรั่งนี้บุด้วยทองเหลืองปิดทองคำเปลวหมดทั้งองค์
บริเวณภายในวัดประกอบไปด้วย วิหารพระนอน วิหารหลวง เจดีย์พระธาตุ แม้จะผ่านระยะเวลามากว่า 600 ปี และผ่านการบูรณะมาอย่างสม่ำเสมอ ตัวสิงห์ที่อยู่รอบๆองค์พระธาตุก็สวยงามไม่แพ้กัน
เดินจนได้เข้าไปในวิหารหลวง ได้กราบองค์พระประธานด้านใน เป็นอีกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญไม่แพ้กันครับ
พระธาตุแช่แห้งเป็นพระธาตุประจำปีเถาะอันเป็นปีพระราชสมภพของในหลวงของเราด้วยเช่นกัน ใครที่เกิดปีนี้สมควรมาแวะกราบซักครั้งก็น่าจะเป็นสิริมงคลกับตัวเอง
อยู่กันไม่นานก็ขับรถกลับออกมาเพื่อมุ่งหน้าเข้าตัวเมืองกันมีอีกหนึ่งจุดหมายที่เราอยากแวะไปก่อนเข้าที่พัก นั้นคือ “วัดพระธาตุเขาน้อย”
อันมี “พระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน” ซึ่งเป็น “พระพุทธรูปปางประทานพร” ยืนหันพระพักร์ออกไปทางทิศตะวันออก ตัววัดอยู่เป็นดอยเขาน้อย เป็นภูเขาขนาดไม่สูงมากนัก แต่วิวด้านบนต้องบอกว่าสุดยอดมากๆเลยทีเดียวเพราะมองเห็นเมืองน่านไปไกลสุดสายตาจริงๆ
เรามาถึงก็เย็นมากแล้วจึงรีบเข้าไปกราบองค์พระด้านใน ภายในโบสถ์เท่าที่ผมสังเกตุที่นี้ได้รับอิทธิพลจากศิลปะมาจากพม่าอย่างชัดเจน
สังเกตุได้จากลวยลายและพระประธานที่มีส่วนคล้ายจะผสมผสานเอาไว้ จนเข้าไปด้านในและได้อ่านประวัติจริงๆก็เป็นเช่นนั้น
เป็นช่างชาวพม่าที่เข้ามาบูรณะวัดแห่งนี้ไว้ช่วงปีพ.ศ. 2449-2454
เราพากันเดินออกมากราบองค์พระธาตุที่อยู่ด้านหน้าบริเวณทางขึ้นเขา ส่วนสำคัญนอกจากตัวองค์พระปางประทานพรแล้ว
ที่พระธาตุก็เป็นจุดที่ใครมาสมควรมากราบไหว้ด้วยเช่นกัน เพราะภายในบรรจุพระเกศาธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาไว้
ผมเดินย้อนกลับไปที่ตรงพระปางประทานพร เพื่อชมวิวเมืองน่านทั้งเมือง สามารถมาให้เราได้เห็นตรงหน้า
จะว่ามีความคล้ายคลึงกันกับหลวงพระบางอย่างที่เคยมีคนบอกไว้ ผมว่าก็น่าจะมีส่วนถูก เมืองน่านเมืองเล็กๆไม่ใหญ่มีวัดวาอารามขึ้นอยู่โดยรอบมองเห็นพระธาตุแช่แห้งที่เราพึ่งแวะกันอยู่ไม่ไกล
องค์พระปางก็เด่นเป็นสง่าราศีอยู่คู่บ้านคู่เมืองน่านมาตั้งแต่เมื่อจัดสร้างขึ้นในปีพศ. 2542 นับเวลาสิบปีพอดี
สร้างขึ้นเพื่อเป็นการเทอดพระเกียรติในวโรกาศ องค์พ่อหลวงของเราทรงครองราชครบรอบ 72 พรรษาขึ้นในปีนั้น แม้ตัวองค์พระจะมีการผุกร่อนตามเวลา ทางวัดเองก็ไม่นิ่งนอนใจ พยายามจะบูรณะเอาไว้ แต่กำลังทรัพย์ก็ไม่พอจึงมีการตั้งตู้บริจาคไว้ในบริเวณองค์พระปางฯ ด้วยเช่นกัน ใครแวะมาเที่ยวชมวิวรอบเมืองอย่าลืมทำบุญกันนะครับ เพื่อช่วยให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมกันต่อๆไป
ใกล้ค่ำแล้วไม่อยากจะเข้าที่พักกันมืดเกินไปเราจึงขับลงเขากันมาเพื่อไปยังที่พักของเราคืนนี้ “ศศิดารา รีสอร์ท” รีสอร์ทเก๋ๆที่ผมได้แรงบันดาลใจมาจากคุณ มาเรีย ณ.ไกลบ้าน ต้องขอบคุณที่รีวิวให้ผมได้มาตามรอยครับ เดี๋ยวจะรีวิวที่นี่ในมุมมองของผมให้อ่านกันบ้างนะ
เก็บเข้าห้องพักเราปรึกษาว่าจะอยู่ในโรงแรมแล้วเที่ยวดี สุดท้ายเราเลือกจะเข้าเมืองเที่ยวชมยามค่ำในเมืองน่าน กันดีกว่าจะนั่งๆนอนๆในโรงแรม สอบถามเจ้าหน้าที่ถึงร้านน่าทานในเมืองก็ได้คำแนะนำจากโรงแรมเราจึงได้มายังร้านริมน้ำที่ ” ร้านเจ้านาง ” ร้านติดริมน้ำ
วันที่เราไปอากาศเย็นทีเดียว หลังจากได้โต๊ะนั่งผมสังเกตุรอบๆดูวันนี้แม้จะเป็นวันธรรมดาคนก็ยังคึกคักใช้ได้น่าจะเป็นร้านมีชื่อเสียงดีทีเดียว อาหารที่เราสั่งมาทานก็เสริฟเร็วดีครับไม่รอนาน ถึงแม้จะมืดจนชมวิวแม่น้ำไม่ได้แต่ทั้งอากาศและบรรยากาศผมว่าก็ไม่เลวเลย
อิ่มกันดีเราจึงเข้าเมืองไปเที่ยวแบบไม่ค่อยรู้ทิศรู้ทางนักแวะถามคนน่าน ก็แสนจะใจดีแนะนำร้านขนมอร่อยๆ อย่าง “ร้านขนมป้านิ่ม” ร้านอยู่ตรงแถวๆสี่แยกเต้งไตรรัตน์ อยู่ข้างๆปั๊มเชลล์ตรงสี่แยกเลย ถ้าไปไม่เป็นผมลองค้นเบอร์โทรมาให้ตามนี้เลยนะครับ 085-0366108
ร้า้นขนมที่พี่ๆเค้าว่าคนน่านรู้จักกันดี ของทานเล่นก็มีทั้ง ขนมไทย ไอติม เค้ก และกาแฟเครื่องดื่มต่างๆ
ผมสั่งมา 2 อย่างทั้งขนมไทยและไอศครีม เค้ก อย่างในภาพจะเป็นข้ามเหนียวดำรสชาติละมุนด้วยน้ำกะทิ หอมกำลังดี อร่อมทีเดียว ส่วนเธอสั่งกาแฟร้อนมาชิมก็บอกว่าใช้ได้
มองรอบๆร้านมีหลายๆครอบครัวพากันนั่งทานนับเป็นร้านที่น่ารักดีที เดียวครับ
หลังจากอิ่มทั้งคาวหวานดีแล้ว เพื่อไม่ใช้ค่ำคืนนี้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เราเลือกจะขับรถชมเมืองกันเป็นการย่อยอาหารไปในตัว
น่านในค่ำคืนวันธรรมดาแบบนี้เงียบสงบมากๆ รถราน้อย ไม่มีเสียงบีบแตรดังไล่หลังรถข้างหน้าให้ได้ยินแม้แต่น้อย
ไม่เหมาะสำหรับใครๆที่ติดแสงสีในเมืองหลวงเป็นอย่างยิ่ง มีแต่วัดวาสวยๆต้องกับแสงไฟยามค่ำ
โดยเฉพาะบริเวณแถวๆศาลหลักเมืองที่มีวัดสำคัญๆอยู่หลายๆที่ พรุ่งนี้เราคงได้มาสำรวจกันอีกที
ผมขับมาเรื่อยๆจนผ่านสังเกตุร้านข้างๆทางเปิดอยู่ดูน่าสนใจจึงไม่พลาดจะจอดรถชิดทันที เดินย้อนกลับมาจนถึง “Milk Club”หรืออีกป้ายหน้าร้านติดไว้ “ใจ๋เมือง”
ร้านชื่อเก๋ๆที่น่าเข้าไปสำรวจเราทั้งคู่จึงเดินเข้าไปด้านในกัน ร้านขายเครื่องดื่มเก๋ๆแบบนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่ในเมืองที่แสนสงบอย่างน่านได้
เข้ามาข้างในร้านตกแต่งได้เท่อย่าบอกใคร อย่างมุมแรกของที่ระลึกเสื้อยืดลายเก๋ๆ
หรือมุมน่านั่งด้านในตกแต่งด้วยรูปภาพ เฟอร์์นิเจอร์ไม้เก๋าๆจัดวางได้ลงตัว ตกแต่งมุมให้น่าสนใจด้วย รถเวสป้าเท่ๆตัดกันสีสันฉูดฉาดใช่ย่อย
มุมเฟอร์เก๋ๆยังไม่หมดแค่นั้นหันมาอีกด้านผมก็อดยกกล้องขึ้นมาลั่นชัตเตอร์ไว้ไมไ่ด้่ เฟอร์นิเจอร์สวยๆเหล่านี้ช่วยให้ตึกห้องแถว 2 ชั้นไม่ธรรมดาขึ้นมาอย่าน่าสนใจ
เจ้าของน่าจะเป็นคนที่ใส่ใจน่าดูและจบทางอาร์ตมาแน่ๆ ถึงทำให้ร้านขายเครื่องดื่มนมน่าสนใจแบบนี้ได้ ผมชอบสไตล์การตกแต่งของร้านนี้จริงๆครับ
ดูรกแบบเข้ากันดียังไงไม่รู้ ไม่นานหลังจากสงสัยอยู่นานก็ได้คำตอบจากโปสเตอร์และรายละเอียดจากข่าวที่ร้านนำมาแปะให้ได้อ่านกัน
เจ้าของร้านชื่อคุณติ่งและคุณจิ๊บ เป็นคนจบอาร์ตมาทั้งคู่หลังจากท่องเที่ยวมาทั่วประเทศ สุดท้ายมาตกหลุมรักและประทับใจในเมืองน่านจนสุดท้ายได้เปิดร้านน่ารักๆแห่งนี้กลางเมือง นั้นเอง
ร้านแบ่งเป็น 2 ส่วนชั้นล่างเป็นร้านขายอาหารและเครื่องดื่มปลอดแอลกอฮอล์ ส่วนชั้นบนเปิดเป็น Gallery เล็กๆและสอนศิลปะให้กับเด็กๆและผู้สนใจ ดูผลงานของเด็กๆที่นำมาจัดวางรอบๆชั้นบนก็อดอมยิ้มไมไ่ด้ ต้องขอชมทั้งคุณจิ๊บและคุณติ่งทั้งคู่ที่กล้าทำร้านออกมาแนวนี้ได้ ครับ
จึงไม่แปลกอะไรที่การตกแต่งจะดูเท่และแตกต่างจากร้านทั่วๆไปได้แบบนี้ อย่างโคมไฟที่ห้อยลงมาจากชั้นบนนี้ผมชอบเป็นพิเศษรวมถึงตรงบันไดทางขึ้นก็ด้วยเก๋ดีครับ
ผมได้คุยกับน้องๆที่ดูแลร้านยังดูเด็กๆกันอยู่้เลยแต่ก็ต้อนรับขับสู้แขก ต่างบ้านต่างเมืองอย่างเราทั้งคู่อย่างดี สอบถามอะไรก็ยิ้มแย้มแจ่มใส
ถึงแม้ผมจะไม่ได้สั่งเครื่องดื่มมาลองชิมแต่ก็ได้เสื้อยืดลายเก่ๆกลับออกมากันทั้งคู่ น้องๆเล่าว่าเสาร์อาทิตย์จะมีบรรยากาศของครอบครัวมากกว่านี้เพราะจะมีคุณพ่อคุณแม่พาลูกมาเรียนศิลปะหรือนั่งทานเครื่องดื่ม กันเยอะนับเป็นแหล่งที่แวะของครอบครัวได้อย่างดีทีเดียว ฟังแล้วก็รู้สึกดี และแอบสนับสนุนในใจให้ทำแบบนี้ต่อๆไปนะครับ โอกาสหน้าจะกลับมาแวะทานเครื่องดื่มให้ได้ครับ
สำหรับตัวร้านอยู่ใกล้ๆกับวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหารถ้าขับรถผ่านหน้าวัดไม่ ไกลก็เจอครับ เลยสี่แยกปั้มเชลล์มาไม่ไกลครับ อยู่ตรงข้ามกับคุ้มเจ้าราชบุตร หาไม่ยากเลย
หลังออกจากร้านไม่นานผมวนรถรถออกมาแถวๆกลางเมืองอีกรอบครับบอกคนข้างๆอยากถ่ายรูปแถวๆสี่แยกหน่อยเพราะเห็นอะไรเก๋ๆเข้า
เธอทำหน้างงๆเพราะนอกจากวัดที่ปิดแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเลย สุดท้ายหลังจากลงรถมาด้วยกันผมชี้ให้เธอดูสัญญาณจราจรครับ
ผมว่ามันเก๋ไม่เหมือนใครดีจังดูชาวเมืองน่าจะเป็นคนรักศิลปะใช่เล่นแม้ แต่สัญญาไฟยังทำให้เข้ากับตัวเมืองวัดวาอารมรอบๆเลยทีเดียวที่สำคัญแถวๆนี้ มีเลนจักรยานรอบเมืองด้วยนะ
ก่อนจากเลยเก็บภาพ “วัดพระธาตุช้างค้ำ” สุดท้ายก่อนจะลาตัวเมืองน่านยามค่ำด้วยรูปนี้ครับถ่ายกลางคืนไม่ได้พกขาตั้งมาแบบนี้รูปอาจจะเบลอๆบ้างก็ขออภัยนะครับ
สำหรับวันแรกของเมืองน่านคงต้องลากันด้วยภาพนี้ครับ พรุ่งนี้จะมาชวนคุณๆไปเที่ยวต่อกับเรา
วันแรกกับเวลาค่อนๆวันถึงไม่ทำให้เรารู้จักน่านดีเท่าไหร่นัก แต่ก็สร้างความประทับใจในความน่ารักของเมืองเล็กๆแห่งนี้ให้เราทั้งคู่พอสมควรทีเดียว
พรุ่งนี้เรามีแผนการเที่ยวอีกเยอะมากๆ ยังไง อย่าเพิ่งเบื่อกันนะจ๊ะคนรีวิวช้าอย่าใจร้อน เร็วๆนี้จะกลับมาพาเที่ยวเมืองน่านกันต่อครับ
แล้วพบกันตอนหน้าครับ
3 Comments
เมืองน่านข้าวหลามแจ้ง
ผมดีใจนะครับ ที่หลายท่านอยากไปเที่ยวและสัมผัส เมืองน่าน บ้านเกิดผม
แต่ผมขอฝากไว้นิดนึง คือ อยากให้เที่ยวอย่างคำนึงการไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
และวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นน่ะครับ @_@
projectone
เห็นด้วยกับคุณเมืองน่านข้าวหลามแจ้งครับ
คนน่าน
คนเมืองน่าน ยินดีเจ้า เห็นด้วยกับคุณขาวหลามแจ้งจ้า ^^