เรื่องราวท่องเที่ยวหนนี้จะพาคุณๆเที่ยวกับครอบครัวเราอีกครั้ง รับวันแม่ที่กำลังมาถึง เป็นการเก็บประสบการณ์ข้ามปีที่ไปมาตั้งแต่ปีก่อนมาเล่าปีนี้ให้ใครที่ยังไมไ่ด้เที่ยวชมดอกกระเจียว ยังมีเวลาเหลือพอขอให้ใจเราพร้อม (ตังก็พร้อมด้วย)ทุกๆอย่างไม่ยากครับ หนนี้เรื่องเล่ายาวๆอีกรอบนะครับ อย่าพึ่งเบื่อกันก่อนนะ
เอาละไปกันดีกว่านะครับ ภาพทั้งหมดอยู่ใน Gallery ลำดับที่ 73 ครับ ไปชมกันได้เลย
http://blog.one22.com/pics/momtrips/krajiaofield
อีสานโซนที่สวยที่สุดแห่งนึงในฤดูนี้อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯและพาผู้ใหญ่ไปกันได้ ทริปนี้จึงต้องเก็บกระเป๋าสำหรับ 2 วัน 1 คืนครับ เพราะเป้าหมายครั้งนี้คือ ทุ่งดอกกระเจียว ที่ป่าหินงาม จ. ชัยภูมิ เหมาะกับการพาบุพการีไปชมดอกไม้บนเขา ต้อนรับหน้าฝน
(แผนที่จากเว็บไซต์อุทยานแห่งชาติครับ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดของอุทยานและจองบ้านพักกันได้ที่นี้เลย http://www.dnp.go.th/ )
หลังจากขึ้นทางด่วนสายบางปะอิน ที่แวะแรกของเราคือร้านครูต้อ ร้านอาหารสุดฮิตแถวมวกเหล็ก จ. สระบุรีจะตั้งอยู่ริมถนนมิตรภาพมีทั้งขาเข้าและขาออกทั้ง 2 ฝั่งถ้ามาจากกรุงเทพฯอยู่เลยโลตัสและแม็คโครมาไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงแล้วอยู่ก่อนทางเข้าอำเพอหมวกเหล็กนั้นเอง หาที่นั่งดีๆ ได้ ผมเริ่มสั่งสเต็กปลาแซลมอลและสเต็กหมู แต่ที่เป็นเมนูเด็ดแนะนำกันจริงๆ คงหนีไม่พ้นสเต็กเนื้อสัน มีทั้งแบบสันในสันนอก เห็นเนื้อนุ่มๆ ชวนน้ำลายสอ อิ่มจากอาหารจานหนัก เราก็แวะซื้อ กระหรี่ปั้บร้านครูต้อ ขนมขึ้นชื่อของสระบุรีไปกินเล่นในรถกันต่อ
ในฤดูฝนแบบนี้การขับรถชมวิวภูเขาจะดูชุ่มชื่นสวยกว่าที่คิดไว้เยอะ
จากที่เราแวะพักบ้างระหว่างทางรวมระยะทางเกือบจะ300กม.ใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมงได้
พวกเราก็มายืนอยู่หน้าที่พักที่ อ.เทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ
หลังจากเลี้ยวรถเข้า สะเลเต ชาเลต์ รีสอร์ท(อ่านรีวิวได้เลยครับตาม linkไปเลย)
ก็พบกับความร่มรื่น ตั้งแต่ทางเข้าแต่ที่ทำให้ติดใจก็คือวิวสวยๆ
และทะเลหมอก บ้านพักเป็นบ้านดิน ตั้งอยู่บนเนินเขาหันหน้ารับลมจากหุบเขา อากาศจึงเย็นตลอดทั้งปี
หลังจัดของเข้าที่พักแล้ว ผมออกมาเก็บภาพสวยๆ และ ดอกกระเจียวแรกที่ผมได้พบก็อยู่ที่นี่ด้วย
เมื่อสมาชิกพร้อมกันที่รถ เราก็มุ่งสู่จุดหมายหนึ่งเดียวของวันนี้ วัดเขาประตูชุมพล
เข้ามาในบริเวณวัด จะพบหอระฆังสูงตะหง่านตั้งอยู่ด้านหน้า
ส่วนภายในดูสงบและร่มรื่นมาก
พวกเราเดินเข้าไปในศาลาทรงสูง เพื่อกราบพระ
และก็ประหลาดใจ ที่เห็นผู้หญิงแต่งชุดน้ำตาลเข้ม เหมือนสีของจีวรพระ แต่ปลงผมแบบแม่ชี
หลังจากได้สอบถาม จึงทราบว่าวัดนี้มีแม่ชีอยู่ถึง 90 คนทีเดียว
และที่ต้องแต่งชุดน้ำตาลเข้มๆ เพราะ สภาพแวดล้อมของวัด ที่เป็นป่าและดินลูกรัง
แถมต้องทำงาน ดูแลความสะอาดในวัดกันด้วย
แม่ชีแนะ ให้ไปไหว้องค์หลวงพ่อโตที่ประดิษฐ์สถานอยู่ตรงทางเข้าด้านหน้าและเริ่มเดินเข้าไปที่ ประตูชุมพล ซึ่ง เป็นผาหินถูกเจาะรูไว้ ตั้งอยู่บนเนินหินที่ทับถมกันมาเป็นพันๆ ปี
ประตูนี้สูงโดยประมาณ 2 เมตรเศษๆ
นับเป็นงานศิลปะจากธรรมชาติจริงๆ
ทั้งพวงมาลัย และดอกไม้บริเวณใกล้ๆ ยิ่งทำให้ดูน่าเลื่อมใส และศรัทธายิ่งขึ้น
พวกเรากราบพระและเดินลอดผ่านประตู จากนั้นก็พากันไปกราบลาพระ และแม่ชีเพื่อกลับที่พักของเรา
มื้อค่ำวันนี้ เคล้าบรรยากาศสุดแสนโรแมนติก ณ ร้านอาหารของที่พัก
มีวิวภูเขาในหมอก รับลมเย็นๆ ซึ่งพัดมาตลอด อาหารรสเลิศ
ทั้งยำรวมมิตร ต้มยำปลากระบอก (อร่อยมากๆ ) ผัดผักรวมมิตรกุ้ง
และ ปิดท้ายที่ไข่เจียวปลาเค็ม
สำหรับใครที่อยากทำบาร์บีคิว
ผมสังเกตว่ามีเตาให้ใช้ด้วย คงต้องสอบถาม กันก่อนมานะครับ
ที่นี่ไม่ต้องการแอร์ใดๆ อากาศเย็นถึงเย็นมากตลอดทั้งปี
คืนนั้นเราหลับฝันดี ซุกตัวในผ้าห่มสบายตลอดทั้งคืน
เอก อิ เอ้ก เอ้กก…เสียงไก่ของชาวบ้านแถวนั้นปลุกให้เราตื่นตั้งแต่ตี 5 ก่อนนาฬิกาปลุกด้วยซ้ำ
เป้าหมายวันนี้จะเป็นที่ไหนไปได้ถ้าไม่ใช่ อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม
——————————————————————————–
ดอกกระเจียวจ๋าพวกเรามาแล้ว โชคดีที่อยู่ใกล้ๆกับอุทยานออกจากสะเลเตฯ
ไม่ถึง10 นาทีก็มาถึงป้ายทางเข้าอุทยาน นับว่าใกล้มากๆเลยทีเดียว
ในเขตอุทยาน สองข้างทางเต็มไปด้วยสินค้าและบู๊ทของแม่ค้าขายของที่ระลึก
เดินไปจนถึงจุดผ่านทาง เราเสียเงินค่าผ่านเข้าสู่อุทยานคนละ 20 บาท
และค่ารถบริการไป-กลับทุ่งดอกกระเจียวอีกคนละ 40 บาท ตลอดทางไกด์จะคอยแนะนำถึงจุดแวะต่างๆ
ไม่นานหมอกก็ค่อยๆ เผยตัวออกมาให้เราสัมผัสอย่างน่าตื่นเต้น
พวกเราลงเดินจากจุดจอดรถ
ไม่น่าเชื่อเลยครับ! ว่าระยะเพียง 5 เมตรจากสายตาของเรา ก็ไม่สามารถมองเห็นคนรอบข้างได้แล้ว
ผมพาทั้งคู่ค่อยๆ เดินขึ้นไปเรื่อยๆ
จนพบทางแยกเราเลือกไปทางด้านขวาก่อน
เพื่อไปจุดชมวิวสุดของแผ่นดิน ซึ่งมีลักษณะเป็นผายื่นออกไป
เก็บภาพประทับใจแล้ว ก็เดินย้อนลงมาเพื่อเลี้ยวขึ้นทุ่งดอกกระเจียว
การที่มีทางราบคั่นเป็นช่วง ๆ ทำให้ทางขึ้นนั้นง่ายสำหรับผู้สูงวัยที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับขาหรือเข่า
——————————————————————
เดินตามผู้คนไปสักพักก็ค่อยๆเห็นดอกกระเจียวสีชมพู
ไม่นานพวกเราทุกคนก็อยู่ในวงล้อมของดอกกระเจียวบานเต็มทุ่ง แม่ดูจะเพลิดเพลินกับทิวทัศน์รอบๆ จนลืมเหนื่อย
การเดินเที่ยวในนี้ง่ายมาก เพราะเป็นการเดินลงเขาตามทางที่อุทยานทำไว้ให้
มีป้ายบอกข้อห้ามอยู่ชัดเจนข้อที่สำคัญที่สุด ก็คือ
ห้ามฝ่าฝืนลงไปเดินเหยียบพื้นดินนอกเส้นทางเพราะอาจจะทำให้ต้นอ่อนไม่สามารถงอกออกมาให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมอีกก็ได้
หลังจากนั้นรถนำเที่ยวก็พามาป่าหินงาม ที่มีหินรูปร่างแปลกๆ มากมาย
ลดหลั่นกันไปตามหุบเขา
ทางเดินเป็นหินที่ต้องปีนป่ายสลับกันกับทางเดินที่อุทยานทำไว้ ทำให้ผมต้องคอยดูแม่เป็นระยะ
เพียงไม่กี่นาทีเราก็มาถึงหินปราสาท ซึ่งเป็นหินชุดแรก มีโครงสร้างเป็นเสา ด้านบนมีหินคล้ายหลังคา ปราสาท
อยู่ไม่ไกลจะเป็นหินชุดใหญ่ใกล้ๆ ลำดับต่อมาคือหินปู่ มีลักษณะคล้ายหินตาที่สมุย
ตลอดการเดินขึ้นไปเรื่อยๆ
พวกเราอยู่กลางหมอกอากาศเย็น
นับเป็นการชมทิวทัศน์ที่แปลกตาในบรรยากาศที่แปลกไปจากปรกติจริงๆ
การเดินหาหินรูปร่างๆต่างๆไม่ยากเลยครับมีป้ายบอกจุดต่างๆให้เราเดินได้ถูกต้องเสมอ
ต่อไปนับเป็นหินไฮไลท์ที่สุดแห่งหนึ่งของที่นี่ เพราะเหมือนถ้วยบอลโลกจริงๆ
เราเดินขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงหินเรดาห์ รูปทรงคล้ายเสาสัญญานเรดาห์
เด็กๆ ชอบกันมาก ปืนป่ายกันใหญ่ ผมชวนทุกคนขึ้นต่ออีก
แต่แม่ยกมือขอบายแล้ว
หินนี้จึงเป็นจุดสุดท้ายสำหรับเราทั้งๆที่ยังเหลือหิน ช้างอีกก้อน
โชคดีระหว่างทางจะเจอหินแม่ไก่ให้ได้ดูก่อนกลับ ทางลงจะเดินได้ง่ายกว่า ไม่จำเป็นจะต้องย้อนทางเก่า หลังจากลงมาพวกเราเดินช้อปปิ้ง ทั้ง 2 ฝั่งทางเดินจะเต็มไปด้วยสิ่งของที่ระลึก ที่เกี่ยวกับดอกกระเจียวมากมายทั้ง เสื้อยืดลายดอก เสื้อเชิรต์ พวงกุญแจ อาหารผลิตภัณฑ์ โอท็อปพื้นบ้าน แม่เองได้ดอกกระเจียวประดิษฐ์เอาไปปักแจกันที่บ้านด้วย
ร้านครัวไทยอีสาน เป็นร้านที่เราฝากท้องมื้อเที่ยง
อยู่ริมถนนจากอุทยานลงมาประมาณ 5 กิโลเมตร
บรรยากาศในร้านสบายๆ ให้เลือกนั่งได้ทั้งด้านในหรือด้านนอก
มาอีสานทั้งทีก็ต้องลองชิมอาหารอีสานกันหน่อยแล้ว
ไก่ย่าง ปลาเผา
ส้มตำของโปรดของแม่
ต้มแซ่บกระดูกอ่อน ข้าวเหนียวร้อนๆ เสริฟพร้อมกับผักนานาชนิด หลังจากอิ่มกันสุดๆ
ผมขับรถย้อนมาซื้อดอกกระเจียวที่มีขายตลอดสองข้างทาง เพื่อนำกลับไปลงดินที่บ้าน
ทั้ง2คนแอบงีบเอาแรงระหว่างทางไปน้ำตกตาดโตน จากอ.เทพสถิตย์
เราใช้เส้นทางวิ่งไปตามทางหลวงหมายเลข 2173
จะพบป้ายทางแยกจากเข้าทางหลวงหมายเลข 217 เข้าไปประมาณ 6 กิโลเมตรก็ถึงครับ
หน้าฝนแบบนี้ปริมาณน้ำเยอะใช้ได้ มีคนมาดำผุดดำว่าย บ้างก็ปีนและเดินตามแนวขอบน้ำตกก็มี
เรานั่งดูและถ่ายรูปกันพักหนึ่ง และมุ่งหน้าต่อไปยัง วัดศิลาอาสน์ ภูพระ นับเป็นวัดสำคัญของชัยภูมิ
เป็นที่ประดิษฐานของพระเจ้าองค์ตื้อ
พระพุทธรูปหินแกะสลักท่าปางสมาธิ และพระสาวกอีก 7 องค์
ซึ่งเป็นที่เคารพเลื่อมใสของคนในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง
ตามประวัติเล่าว่ามักจะมีคนมาบนบานองค์หลวงพ่อตื้อ เพื่อขอลูกชายและส่วนใหญ่ก็สมหวัง
ว่ากันว่าข้าราชการในจังหวัดทุกวันนี้ ล้วนเป็นลูกหลานที่เกิดจากการขอพรท่านทั้งนั้น
บริเวณด้านในศาลาที่สร้างครอบองค์หลวงพ่อ มีน้ำอบ น้ำปรุง ให้อาบองค์ท่านพร้อมดอกไม้ธูปเทียน
มารดาขอสวดมนต์ชุดใหญ่เช่นเคย พร้อมกับโบกมือ ให้เราไปเดินเที่ยวรอบๆ
มีเณรมาคอยอธิบายและเป็นไกด์พาเที่ยว เริ่มจากถ้ำพระยานาค
ซึ่งก็คือปฎิมากรรมพระยานาคครอบอยู่ปากทางเข้าถ้ำ
ถ้ำนี้มีอายุไล่เลี่ยกับวัด ไม่สามารถระบุวันแน่นอนได้
ทุกวันนี้ไม่เปิดให้คนลงไปได้เพราะมีน้ำขังอยู่ตลอด
เณรพาเดินต่อมาถึงจุดชมวิวเป็นผาหินไม่สูงมากนัก ยื่นแหลมออกไปดูแปลกตาเหมือนกัน
พระอาทิตย์เริ่มคล้อย
จุดแวะต่อไปจึงเป็นจุดสุดท้ายก่อนกลับบ้าน
เราวิ่งตามป้ายบอกทาง มุ่งตรงเข้าเส้นตัวเมือง เพื่อแวะ ศาลเจ้าพ่อพระยาแล***
บริเวณผนังภายในศาล จะมีทั้งประวัติของท่าน และประวัติเมืองเมื่อครั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน
มารดายืนอ่านประวัติ และมีน้ำเสียงชื่นชมองค์ท่านตลอดเวลา
หลังจากทำบุญกันแล้วก็เดินกลับออกมากันด้วยความอิ่มใจ
หันมามองหน้ากันเป็นอันเข้าใจว่า trip ปีนป่ายเขาชมดอกกระเจียววันนี้ได้จบสมบูรณ์ลงแล้วที่นี้นั้นเองครับ
ระหว่างทางกลับที่พักผมก็ถามมารดาว่าสนุกไหม
ชอบรึเปล่า
แกตอบยิ้มๆว่า “สนุกสิ ก็ชั้นมากับลูกๆชั้นนี้ แกพาชั้นไปไหนก็สนุกทั้งนั้นละ”
ผมฟังแล้วก็ยิ้มรับ พร้อมกับอธิษฐานในใจให้แม่แข็งแรงแบบนี้นานๆ
เพราะยังมีอีกหลายร้อย trip รอพามารดาไปด้วยกันนั้นเอง
Mom Stations
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่สูงวัยมากๆจนไม่สามารถจะปีนเขากับลูกๆได้
จุดที่รถนำเที่ยวแวะจะมีศาลานั่งพักและมีของที่ระลึกเกี่ยวกับดอกกระเจียวขาย
เฉพาะที่ตรงทางขึ้นป่าหินงาม จะมีอาคารรับรองที่เป็นศูนย์วิจัยพันธ์ไม้ให้ได้เดินชมเป็นข้อมูล
รวมถึงมีดอกกระเจียวให้ได้ชมเช่นกัน
จากตรงจุดจอดรถนี้ให้ได้เดินย้อนกลับมาประมาณ ไม่ถึง100 เมตร
จะมีทุ่งกระเจียวขนาดย่อมๆที่เดินง่ายเพราะขึ้นริมถนนกันเลย
สามารถชมและถ่ายภาพได้ใกล้ๆไม่มีใครห้ามครับ เท่านี้ก็ไม่ต้องเสียดายที่อดดูกันแล้วครับ
แนะนำกันหน่อย
ศาลเจ้าพ่อพระยาแล ตั้งอยู่ริมหนองปลาเฒ่า
อยู่ก่อนถึงตัวเมืองชัยภูมิ ประมาณ 3 กม.ที่ริมน้ำแห่งนี้มีต้นมะขามใหญ่
ที่ว่ากันว่าเจ้าพระยาแลถูกเจ้าอนุวงค์แห่งเวียงจันทร์ ประหารที่นี่ เมื่อปี พ.ศ. 2369
เนื่องจากท่านไม่ยอมร่วมมือในการก่อการกบฎในยุครัชสมัยรัชกาลที่ 3
พระองค์ท่านจึงโปรดให้สร้างศาลด้วยไม้ตั้งอยู่ใต้ต้นมะขาม
ต่อมาในปี พ.ศ. 2511
ชาวจังหวัดชัยภูมิได้พร้อมใจกันสร้างศาลพระยาภักดีชุมพล(พระยาแล) ขึ้นประดิษฐานรูปหล่อของท่านไว้ภายใน
เพื่อเป็น ที่เคารพสักการะบูชาของชาวเมืองชัยภูมิ