รีวิวแรกของปีหนนี้ one22 พาคุณๆไปเที่ยวรับลมหนาวกับที่ๆว่ากันว่า เป็นสวรรค์ของคนรักทะเลหมอก ใครก็สามารถจะชมทะเลหมอกได้ง่ายๆ เพียงแค่คุณชะโงกหน้าออกมาจากรถได้เลย
ที่ๆว่านี้จะเป็นที่ไหนไม่ได้ถ้าไม่ใช่ “เพชรบูรณ์” ที่เที่ยวจังหวัดนี้มีเยอะมากครับ ทั้งที่เที่ยวธรรมชาติและสถานที่สำคัญ
นี้คือที่มาของรีวิวหนนี้กับ “ภูทับเบิก” ยอดภูงามที่สูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 1447 เมตรในช่วงเวลาท้ายๆสุดของปี 2553 ที่ผ่านมา
ภาพถ่ายทั้งหมดคือบันทึกความประทับใจส่งท้ายปีพร้อมรับปีใหม่ 2554 นี้
ดูภาพทั้งหมดนอกจากในรีวิวนี้ได้ที่นี้นะครับ
http://blog.one22.com/pics/longtrips/phutubberk_gallery
เชิญติดตามเรื่องและภาพความประทับใจของผมกันได้ครับ
การเดินทา่งจากกรุงเทพฯจนถึงภูทับเบิกใช้เส้นทาง กรุงเทพฯ-เลี่ยงเมืองลพบุรี -ผ่านเส้นทางรอยต่อชัยภูมิและตรงยาวเข้าเพชรบูรณ์ ระยะทางกว่า 390 กิโลเมตร
นับเวลาได้ราวๆ 5 ชั่วโมงเศษๆเย็นๆผมก็มายืนชมอาทิตย์ตกดินอยู่บนยอดดอยสำ้เร็จ !
ที่ทับเบิกมีมุมเหงาๆให้คนช่างสังเกตุได้่ถ่ายรูปเยอะทีเดียว
แม้แสงแดดสุดท้ายของวันจะเร่งเร้าให้ผมหามุมให้ทันแต่…
สุดท้ายพระอาทิตย์คงจะขี้อายเกินกว่าจะยอมเผยตัว แต่สีฟ้าช่ำๆชวนให้อยากกินไอติมวนิลาสวยๆแบบนี้ก็ช่วยให้ผมสุขใจได้อยู่ดี
ความเป็นที่สุดของที่ท่องเที่ยวแต่ละที่ย่อมต้อมมี สำหรับภูทับเบิกที่ขึ้นชื่อที่สุดคือ “ไร่กระหล่ำปลี”
มีชื่อเสียงกันถึงระดับโลก ว่าที่นี้คือแหล่งปลูกกันมากที่สุดในโลก ว่ากันว่ากระหล่ำปลีที่ตลาดไท แถวรังสิตมาจากที่นี้เกือบทั้งหมด ไม่รู้ว่าจริงไม่จริงนะครับ
อากาศหนาวขึ้นทุกทีจนต้องพึ่งเสื้อกันหนาวหนาๆ เพื่อให้เรายังบู๊กันต่อไหว บนถนนคดเคี้ยวเบื้องล่าง ณ.จุดชมวิวสูงสุดของที่นี้
ผู้คนเริ่มบางตาลงบ้างตามแสงไฟ หลายๆคนเข้าเต๊นท์ที่พักทำธุระส่วนตัวกันแล้ว
ผมเดาจากอากาศที่ลดลงเรื่อยๆจนจะเหลือเลขตัวเดียวอยู่ร่อมร่อ ที่เห็นน่าจะเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน คือ คืนนี้ น้ำไมไ่ด้แอ้มชั้นหรอก ^0^
แสงไฟจากเต๊นท์ด้านล่างเริ่มเปิดไฟแข่งกันกับดวงดาวแล้วครับ เวลานี้แสงสีสวยจริงๆ
ไม่นานฟ้าก็ค่อยๆดับลง โชว์ดาวบนดินที่สว่างไสวแข่งกันกับดวงดาวบนฟ้าที่เส้นขั้นบางๆที่ค่อยๆจางลงดูกลมกลืนเข้าทุกที
ผมร่ำลาคืนหนาวๆหนีกลับเต๊นท์ที่พักด้านล่าง วันนี้อยากรีบนอนครับ เช้าพรุ่งนี้มีนัดกับดวงตะวันที่คงห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
ตี 5 นาฬิกาในมือถือร้องเตือน จริงๆผมนอนแทบไม่หลับเลยตลอดทั้งคืนไม่ใช่ว่ากลัวตื่นไม่ทัน
แต่เพราะอากาศที่หนาวเหน็บสุดใจขาด ขนาดผ้าหนวม 2 ผืนกับเสื้อกันหนาวตัวใหญ่กางเกงขายาวยังเอาไม่อยู่
จะบ้าตาย ผมสบถกับตัวเองในใจ
คิดได้ก็ต้องหันไปเรียกเจ้าน้องที่ขนมาด้วยกันให้ตื่นไปรับอรุณรุ่งได้แล้ว
หลังจัดการเอาน้ำลูบหน้าทั้งๆที่ไม่อยาก เหมือนหน้าจะแตกเป็นเลี่ยงๆเลยทีเดียว
หันไปเช็คจากปรอทตรงร้านอาหาร เส้นสีแดงไปหยุดลงที่ 8 องศา โอ้วหนาวได้อีก!!
เราขับรถฝ่าหมอกขาวๆ และคาวมหนาวตรงออกมาจากในภูเพื่อจะออกมาทางเข้าอุทยาน
จุดชมอรุณแรกวันก่อนสิ้นปีของเราไม่ใช่ที่จุดชมวิวเมื่อคืน แต่เป็นอีกที่ๆพี่ที่ร้านโรงเตี๊ยม แกแนะนำมาว่าที่นี้สวยกว่ามากมายนัก
และหลังจอดรถไว้ด้านล่างและเดินขึ้นทางลูกรังไปอีกราวๆ 5-447 เมตร แบบทางชันตลอด พวกเราก็มาถึง “ภูแผงม้า”
จุดชมวิวที่เตรียมรอประกาศอย่างเป็นทางการจากอุทยานให้เป็นจุดชมพรอาทิตย์ขึ้นและตกที่สวยงามที่สุดบนนี้
หลังบากบั่นจนถึงผมก็พบว่า….
ไม่มีใครอยู่ตรงนี้เลยนอกจากพวกเรา โอ้ววว ไม่น่าเชื่อในคืนวันที่ 30 ธันวาคม โอเคล่ะแม้จะไม่ใช่คืนวันส่งท้ายปีเก่าจริงๆ
แต่นี้มันก็ออกจะเกินไปนะเนี่ย ที่บนจุดเชมวิวที่คนท้องถิ่นบอกเราว่าสวยงามห้ามพลาด มีเพียงพวกเรา 3 คนเท่านั้นจริงๆ
ภาพรอบๆกับเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องกันดังระงม อากาศที่หนาวได้ใจ ทุกๆอย่างดูช่างเหมาะเจาะไปหมด
ผมค่อยๆทยอย บันทึกภาพตรงหน้าอย่างช้าๆ ภาพดวงตะวันที่แสงแตะเส้นขอบฟ้าค่อยๆแบ่งดินและดาวออกจากกัน
พระอาทิตย์ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างซื่อตรงเสมอ
หลังเวลาผ่านไปไ่ม่นาน แสงสีเหลืองอำพันก็ค่อยๆ เผยแสงที่ริมขอบฟ้า…ชัดมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าน้องตากล้องก็เก็บภาพอยู่ด้านบนผมเลยขอเก็บภาพเค้าต่ออีกที
วินาทีต่อวินาทีทีเดียวที่ผมเร่งกดภาพออกไป แข่งกับแสงแดดที่ค่อยๆเผยออกมาเรื่อยๆ
สีท้องฟ้าเกินบรรยายผมเองไปจุดชมวิวยามเช้ามาก็หลายที่ แต่หนนี้บอกได้เลยครับว่าประทับใจที่สุดเพราะ ทุกๆครั้งมันไม่เคยเป็นจุดชมวิวของ “ผม” อย่างหนนี้มาก่อนเลย
เรามักจะต้องแชร์พระอาทิตย์ร่วมกันกับเพื่อนนักเดินทางคนอื่นๆ เสียงลั่นชัตเตอร์ แสงแฟลชที่กระพริบเป็นระยะๆ จนชินแต่หนนี้ไม่มีเลยครับ มีแค่ พวกเราเท่านั้นเลยจนฟ้าสว่าง
มีนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆ เริ่มทยอยขึ้นมาอยู่ด้วยกัน ไม่ให้ไม่เหงาเกินไปแล้ว
ช่วยสร้างบรรยากาศได้บ้างแล้วล่ะครับ
แต่ยังไงก็ยังนับว่าน้อยๆมากๆ จนผมไม่แน่ใจว่าคืนวันถัดๆไป ที่เป็นคืนสิ้นปีจะมีใครมาที่นี้อีกบ้างไหม
ผมเก็บภาพนี้สุดท้าย ก่อนจะเก็บความประทับใจแบบพองๆ ใส่กระเป๋าเดินลงมากับนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆ แม้วันนี้ทะเลหมอกที่ตั้งใจจะมาชมจะไม่เห็น
แต่ภาพแสงและสีในหลายๆบรรยากาศก็ทำให้ผมประทับใจและสัญญาว่าจะกลับมาอีกแน่ๆเชียว
ก่อนกลับไปยังที่ัพักหลังเดินลงมาเริ่มหิวๆ ผมแวะจุดพักรถที่ใครมาก็คงแวะกันทั้งนั้นด้วยวิวระดับนี้ และร้านรวงที่เปิดอยู่เรียงติดกันมากมาย
“เมื่อก่อนตรงนี้ไม่มีเลยพี่ นี่เค้าคงมาถมและปรับให้เป็นร้านอาหารน่ะ” เจ้าน้องคนถิ่นบอกผมหลังจากที่ร้องถามไป
และหลังจากกวาดตาหามุมไปมาก็ไปจับภาพน่ารักๆแบบนี้เข้าจนได้ ใครกินกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล เห็นภาพนี้อาจจะหวานเกิ๊น นะจ๊ะ หุหุ
เรากลับมายังร้านโรงเตี๊ยม จุดดีของทีนี้ เป็นทั้งร้านอาหารและที่พักแทบจะหนึ่งเดียวในเวลานี้ที่มีห้องพักและห้องน้ำในตัว ที่สำคัญเพิ่งเปิดมาได้เดือนเดียวเองครับ
บรรยากาศในร้านใครมาก็คงอยากนั่ง มีวิวไรกระหล่ำปลี อยู่ตรงหน้า นั่งจิบชาก้านอ่อนเบอร์ 12 หอมๆ อุ่นดีจริงๆ ช่วยกระตุ้นให้เราตื่นตัวขึ้นมาทันใด
ดอกไม้ในแดนหนาวดูไงก็สวยกว่ากรุงเทพมากทีเดียว ทั้งๆที่มันก็ดอกไม้ประเภทเดียวกัน
หรือเพราะผมเป็นคนปลูกอะไรให้งอกงามได้ยาก ก็อาจจะใช่ ด้วยดอกกุหลาบที่บ้านมันไม่ยักจะถ่ายมาได้เหมือนที่นี้
สุดท้ายก่ิอนลาไปชมวิวอีกมุมเขา…
ผมเดินเก็บภาพจนเจอเด็กน้อยชาวม้งที่ทำไร่กระหล่ำปลี เด็กน้อยกับแววตาใสๆที่กรุงเทพฯคงหาได้ยากยิ่ง
เพียงรอยยิ้มของเธอก็บอกเล่าความงามของที่นี่ได้อย่างดี
หนูน้อยกำลังสนุกกับการเล่นอยู่ข้างๆแม่ของเธอ ผมพยายามจะแอบถ่ายแต่เธอก็รู้ตัวจนได้ในทีหลัง
ความใสและซื่อของเด็กๆของที่นี้ ผมคิดเล่นๆเอาเองว่าวันเด็กของน้องๆหนูๆที่นี้คงไม่ต่างอะไรมากนักกับวันธรรมดาวันนึง ของพวกเค้า…
ความสุขของเด็กพื้นราบกับความสุขของเด็กบนภูสูงกว่า 1447 เมตร จะต่างกันมากไหม น้อ….ขอให้มีไออุ่นและความอบอุ่นจากครอบครัวของหนูๆก็คงสุขใจ
แม้ความยากไร้ก็คงไม่อาจจะพรากสิ่งนี้ไปจากหนูๆได้…
น้ำอดน้ำทนของคนไม่มีวันเท่ากัน แต่ภาพนี้ผมต้องตอบกับตัวเองจริงๆว่า ความอดทนเราคงสู้ชาวเขาที่นี้ไม่ได้แน่ๆ
ราคากระหล่ำฯ ที่เธอเเบกมาขาย กับราคาที่ผ่านพ่อค้าคนกลางในตลาดบ้านเรา
…
คงต่างกันมากแน่ๆ น้ำแรงกับน้ำมันผลตอบแทนไม่เท่าจริงๆ…
สุดท้ายก่อนลงพวกเราตั้งใจจะขึ้นไปนมัสการกราบไหว้พระที่วัดป่าภูทับเบิก
มีพระสังฆจายที่คุ้นเคยกันดี
ทางวัดกำลังจัดสร้างพระมหาเจดีย์เพชรอยู่ ยังต้องการปัจจัยอีกมากใครไปทับเบิกอย่าลืมแวะไปทำบุญกันนะครับ ^__^
กราบพระเสร็จเราก็ลากลับกันแล้ว ก่อนลาจาก เราเก็บวิวทุ่งกระหล่ำสลับซับซ้อน มากมายตรงหน้าิ
เป็นวิวที่ประทับใจได้ไม่ยากเลย
ภาพวิวงามๆเหล่านี้คงจัดเก็บลง “ใจ” ใครๆได้บ้างใช่ไหมครับ
ก่อนลงมาพื้นราบ ลากันด้วยภาพดอกกระหล่ำปลี งามๆจากยอดภูที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนจริงๆ “ภูทับเบิก”
ผมเองก็คงได้เพียงเก็บทั้งภาพและรอยยิ้มของหนูๆเหล่านี้มาฝากทุกๆคนได้เท่านั้น และ
หวังให้พวกเราทุกๆคนเวลาไปเที่ยวช่วยกันเก็บธรรมชาติ และความบริสุทธิ์เหล่านี้…
เก็บไว้ให้คนต่อๆไปได้ชื่นชมกันนะ….
(^___^ )
มีโอกาสคงได้กลับไป / Fin.
1 Comments
เสกสิทธิ์ ทองชุ่ม
สวยมากเลย