เอ่ยปากบอกว่าเที่ยว อินเดีย… ใครๆก็คงรู้จัก ประเทศที่จะจัดอันดับอะไรซักอย่างขึ้นมาบนโลกใบนี้ รับรองว่ามักจะมีชื่อของประเทศนี้ติดอันดับโลกเสมอเช่น ในด้านศาสนาและวัฒนธรรมที่มีความเก่าแก่ที่สุด ของเอเชียหรือของโลก มีที่เที่ยวที่อยู่ใน 10 สิ่งมหัศจรรย์ ของโลกอย่าง ทัชมาฮาล หรือสถานที่ๆพุทธศาสนิกชนต้องรู้จักกันดีอย่าง สังเวชนีย์สถาน, ต้นศรีมหาโพธ์,หรือทิวเขาน้ำแข็งสุดสายตาอย่าง ลาดักห์ ฯลฯ
เห็นไหมครับ ประเทศนี้มีอะไรให้ค้นหาเยอะมาก และคนไทยเองปีๆนึงก็นิยมไปเที่ยวกันไม่น้อย
หากเจาะลึกเป็นรัฐๆกันไป “รัฐทมิฬนาฑู” ที่อยู่ทางตอนใต้ของอินเดีย บางคนอาจจะไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำว่ามันมีอะไรบ้าง แต่เชื่อไหมครับ รัฐนี้โดยเฉพาะเมือง เชนไน (Chennai)เคยเป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญของยุโรบในสมัยล่าอาณานิคมเพราะเป็น เมืองท่าที่ใช้ในการลำเลียงเครื่องเทศ ผ้าแพร ผ้าไหมและวัตถุดิบอีกมากมาย และรัฐนี้ยังเป็นเป็นแหล่งกำเนิดศาสนาฮินดูของประเทศอินเดียทั้งประเทศ นับจากบรรทัดนี้ไปผมจะพาคุณไปสัมผัสประสบการณ์ ที่สุดของทริบอินเดียใต้ของผมกันครับ
ผมจะขอแยกเป็นสัดเป็นส่วนง่ายๆให้สามารถสะดวกต่อการอ่านง่ายๆเพื่อที่จะได้สามารถเดินทางกันได้จริง เป็นการได้รู้จัก อินเดียใต้ไปพร้อมๆกันครับ เรามาเริ่มกันเลยดีไหม
เริ่มต้นกันที่การเตรียมพร้อมการเดินทางกันก่อน
อินเดียนั้นเวลาจะช้ากว่าไทย 1.30 ชั่วโมง
เพราะงั้นอย่าลืมปรับเวลานาฬิกากันด้วยนะครับ
และสำหรับคนไทยการจะเข้าไปเยือนแผ่นดินเค้าได้ นอกจากใช้ passport แล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำคือการขอ Visa ครับการทำวีซ่าเข้าประเทศอินเดียหลักฐานการยื่นขอ Visa แบบนักท่องเที่ยว มีดังนี้ครับ
- แบบฟอร์มขอวีซ่าที่กรอกเรียบร้อยแล้ว(จะกรอกตรงจากเว็บไซต์ของ อินเดียได้ครับ ที่นี่เลย https://indianvisaonline.gov.in/visa/ )
- หนังสือเดินทางที่มีอายุใช้การได้อย่างน้อย 6 เดือน ฉบับจริงพร้อมสำเนา 2 ชุด
- รูปถ่ายขนาด 2×2 นิ้ว จำนวน 2 รูป
- สำเนาบัตรประชาชนของผู้เดินทาง 1 ชุด
- ค่าธรรมเนียมการขอวีซ่า (ราคา คิดเป็นเหรียญเพราะฉะนั้น update ปัจจุบันกับทางเว็บด้านล่างดีกว่าครับ)
- หนังสือมอบอำนาจเป็นภาษาอังกฤษ (หากผู้เดินทางมิได้ยื่นเอกสารด้วยตนเอง)
- เคล็ดลับในการใช้กรอกใบสมัครต่างๆให้ใช้ปากกาดำในการกรอกเอกสารเท่านั้น
ไม่งั้นหากกรอกเป็นปากกาน้ำเงิน อาจจะต้องกรอกใหม่หมดครับ (อย่าถามว่าทำไมเพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แหะๆ) - สำเนาบัตรประชาชน พร้อมเซ็นต์รับรองสำเนาถูกต้อง 2 ชุด
- หากมีเด็กไปด้วย ต้องใช้ใบเกิดสูติบัตรถ่ายสำเนาไปด้วยนะครับ
การเดินทางไปทำ Visa ที่นี่เลยครับ
ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าเข้าประเทศอินเดีย ตั้งอยู่ที่ ห้อง 1503 ชั้น15 อาคารกลาสเฮาส์ เลขที่ 1 สุขุมวิท25 ถนนสุขุมวิท กรุงเทพฯ 10110
วันและเวลาทำการ หยุดวันเสาร์ และ อาทิตย์นะครับ
วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 08.30-14.00น.สำหรับยื่นวีซ่า
วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 14.00-17.00น. สำหรับรับหนังสือเดินทางคืน
ระยะเวลาในการพิจารณาและอนุมัติวีซ่า 3-7 วันทำการ
โทรศัพท์ : 02 6652968
โทรสาร : 02 2605829
อีเมล์ : [email protected]
เว็บไซต์ : http://www.ivac-th.com (เข้าจริงเข้าไม่ได้แหะตอนนี้ แต่เข้าได้ที่นี่ https://indianvisaonline.gov.in/visa/ มีเหมือนกันนะครับ)
สิ่งถัดมาอย่างที่เคยได้ยินมาอินเดียเป็นประเทศที่อาหารรสเข้มข้นและจัดจ้านกว่าเรามาก การเตรียม มาม่า ,อาหารกระป๋อง ไปเยอะๆช่วยทันได้หากเป็นคนกินยากหรือ ไม่ชินกับอาหารรสจัดจ้านของเค้าสมควรพกพาไปเยอะๆเลยครับและทริบนี้ทีมเราก็ขนมาเพียบ!
การเดินทาง: ทำไมมาอินเดียต้อง Back Pack อย่างเดียวล่ะ
ด้วยโปรของ Airasia ที่ออกมาทำให้เราสามารถจะเดินทางได้ง่ายมาก เพราะมีเที่ยวบินบินตรงทุกวันไปกลับ ดอนเมือง-เชนไน วันละ 1 เที่ยวบิน
ดอนเมือง>เชนไน 19.35 (DMK) – 21.30 (MAA)
เชนไน>ดอนเมือง 22.15 (MAA)-03.10 (DMK) (+1 วัน)
ระยะเวลา: 4 วัน 3 คืน (ด้านท้ายจะเป็นแผนการเดินทางของเรา)
ทริบทำความรู้จักอินเดียใต้ซัก 3 เมืองใช้เวลา 4 วัน 3 คืน กำลังดี เริ่มต้นที่คืนวันแรกที่เดินทางไปถึง Chennai วันที่2ไปเมือง Kanchipuram และ วันที่ 3 เมือง Mahabalipuram ก่อนจะกลับมาวันสุดท้ายเที่ยว Chennai และบินกลับเมืองไทย
เอาเร็วและสนุกเพลิดเพลินตลอดการเดินทาง “เช่ารถคือคำตอบ”
ขอไม่เหนื่อยไม่เพลีย แต่เที่ยวสนุกได้ไหม ไหนๆก็มาเมืองที่ความเจริญก้าวเข้ามาไม่แพ้เมืองหลวงของ ประเทศ เราจึงเลือกใช้บริการ “เช่ารถพร้อมคนขับ” เราติดต่อกันตั้งแต่กรุงเทพฯเลยครับให้ เอเย่นทัวร์ของไทยที่ดีลกับทางอินเดียเป็นคนหาให้ สำหรับรถเช่าพร้อมคนขับ ราคาประเมินแล้วรับได้มากัน หลายคนหารแล้วโอเค กับราคา 8,500บาท
ด้วยเวลาที่เดินทางเป็นช่วงหัวค่ำ เราเลยสั่งอาหารบนเครื่องไว้ก่อนตั้งแต่จองเที่ยวบินกับ Airasia แถมเครื่องที่บินจากเมืองไทย(FD ทั้งหลาย)อาหารทุกอย่าจัดมาจากเราครับ
เมนูต่างๆจึงรสชาติแบบบ้านเราแน่นอน
เมนูที่เราสั่งก็มี นี่ครับ
เมนูแรกข้าวกับแกงเขียวหวานไก่ รสชาติผ่านมาก อุ่นร้อนมาหอมฉุย
เมนูที่สอง ข้าวหน้าไก่อันนี้ขอแอบชิมของเพื่อนที่ไปด้วยกันอร่อยเหมือนกันนะครับ
เมนูที่สามข้าวกระเพราไก่ รสชาติมาตรฐานไทยแลนด์ อร่อยดีครับ
และมีคนขอลองของลองสั่งเมนู มังสวิรัติ์ มาลอง รสชาติผมขอชิมแล้วใครชอบสไตล์กลิ่นออกเครื่องเทศหน่อยๆ กับข้าวกล้อง ก็โอนะครับ
แต่ผมขอเป็น ที่สั่งมาwork สุดอร่อยแบบไทยๆมื้อสุดท้ายก่อนจะไปเจออาหารอินเดียแบบ original
หลับกันไปร่วม 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ได้สัมผัสสนามบินนานาชาติเชนไน (มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า Anna International Airport ) ดูจากสภาพรอบๆเป็นสนามบินใหญ่ทีเดียวครับ ขนาดใกล้เคียงกับดอนเมืองเรา และทราบมาว่าเค้ากำลังปรับปรุงให้ยิ่งใหญ่พอๆกับสนามบินอื่นๆของอินเดียให้สมกับเป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญใหญ่อันดับ 4 ของอินเดีย
หลังจากรับกระเป๋า เดินออกมาเราก็ได้เจอกับ ชายหนุ้มผิวคล้ำสูงไม่เกิน 165 ซ.ม เค้าชื่อ “Linggum” คนขับรถและไกด์ไปพร้อมๆกันที่จะช่วยพาเราไปที่ต่างๆ ตลอด 4 วันนี้นะครับ ลิงกัมเป็นคนพูดเก่งและที่เก่งไม่แพ้กันคือขับรถครับ ลิงกัมขับรถได้ผิดแผกและแตกต่างจากคนอินเดียทั่วๆไปมาก อันนี้ผมสรุปได้หลังจากที่เดินทางร่วมกันตลอดทริบมา
หากใครพอทราบมาบ้าง วัฒนธรรมการขับรถของคนอินเดียขึ้นชื่อที่สุดคือ “กดแตร” มันเข้าไปครับ ขนาดผมมาถึงมันก็สี่ทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว หลังออกจากสนามบิน ก็เจอบรรดาเสียงแตรทุก Size ทุกขนาด ทุกโทนเสียงต้อนรับตลอดทาง ไปเวียตนามมา ถือว่าสูสีคู่คี่กันแบบ เข้าเส้นชัยใช้กล้องพิสูจน์กันเลย
ที่พัก
เราเลือกใช้ 3 ที่ตามเมืองที่เราเดินทาง Agoda จึงเป็นคำตอบที่ในการหาที่พักหากคุณไม่รู้จะตัดสินใจยังไงขอให้พิจารณาที่ Comment/Review ในแต่ละโรงแรมเป็นหลัก เพราะนั้นคือข้อมูลจริงที่แขกไปมาหรือจะตามไปอ่านใน Tripadvisor.co.th ก็เป็นอีกทางเลือก หากอยากได้คำตอบที่ชัดเจนจากคนที่เคยไปมาแล้ว
คืนแรกที่ เมือง Chennai
อย่างที่บอกไปครับเราเลือกจองมากับ Agoda ด้วยรายละเอียดและการเดินทางที่วางไว้คือ นอนคืนแรกที่ Chennai เราเลือกที่นี่ครับ Hotel shri Devi Park เหตุผลคืออยู่กลางเมืองน่าจะเดินทางง่าย ราคา เราเลือกแบบห้องเตียงคู่ 2 คนบวกเตียงเสริม 1 เตียง รวมแล้วตีเป็นเงินไทยประมาณ 1,500 บาท แต่ไม่รวมอาหารเช้านะครับ
ราคาประมาณนี้เราคิดกันเอาเองว่าน่าจะได้ห้องไม่เลวทีเดียว บวกกับในเว็บแจ้งไว้ว่าอยู่ ตรงกลางเมืองจินตนาการเราก็ทำงานทันทีว่าน่าจะไปมาสะดวก และสุดท้ายสิ่งที่ได้มาคือ ห้องพักที่สกปรกมาก ไปถึงค่ำแล้ว Checkin กันก็เหนื่อยพอควร ไปเจอห้องพักขนาดที่เห็นเนี่ยละครับ เตียงเสริมก็ไม่ให้บอกว่าต้องจ่ายเพิ่ม อ้าวววก็โวยกันสิครับ เพราะอย่างที่เราจองมากับ Agoda มันรวมเตียงไว้หมดแล้ว
สุดท้ายแขกเจอไทยโวยหนักๆเข้าเลยย้ายห้องให้เราเป็น Type Business Room แต่อย่าให้ชื่อ Type มันหลอกได้นะครับ ห้องมันใหญ่กว่าอีกนิดเดียว วางเตียงไปติดกับแอร์ที่วางแปลกมากๆเลยวางอยู่ในแนวพื้นห้อง ปรับไรมากไม่ได้นัก ที่สำคัญหมอนมีคราบที่ซักมาไม่สะอาดนัก กลิ่นก็มี โอ้ววว ถึงอินเดียแล้วครับ ผมอุทานในใจ คนที่นอนฟูกเสริม ต้องโอน้อยออกกันเลยเชียวล่ะ และแน่นอนผมไม่ได้นอนครับ55
คืนนั้นเราใช้น้ำดื่มที่พกมาแปรงฟันครับ อย่าหาว่าเราเรื่องมากเหยียบขี้ไก่ไม่ฟอเลย คือน้ำมันเหลืองจนเราไม่กล้าจะล้างหน้าด้วยซ้ำครับอย่าว่าแต่เอาใส่ปากกันเลย
สอบถามได้ความว่าที่นี่ใช้น้ำบาดาล มาบริการแขก ไม่ได้ใช้น้ำประปา แต่อย่างใด ซึ่งตรงแถวๆที่เราพักส่วนใหญ่ก็ใช้แบบเดียวกัน
มองหน้ากันไปมาคืนนี้สามัคคีล้างหน้าแปรงฟันกันถ้วนหน้า 555 อาบน้ำว่ากันที่โรงแรมพรุ่งนี้กันดีกว่า
อ่อที่นี่เค้าจะมีก๊อกน้ำเตี้ยๆไว้ให้แขกใช้ครับทุกๆโรงแรมที่เราพักทั้ง 3 โรงแรมมีเหมือนกันหมดสงสัยคนอินเดียจะนิยมใช้ถังน้ำอาบน้ำมากกว่าใช้ฟักบัว
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น วิวยามเช้าบนชั้นบนสุดของโรงแรมก็ทำให้ผมได้ภาพยามเช้าแรกของอินเดีย บรรยากาศยามอาทิตย์ขึ้นที่อะไรๆที่คิดว่ามันไม่ Work ก็ดูธรรมดาไปทันทีเลย
คืนที่สองที่เมือง Kanchipuram
คืนที่สองวันนี้เราเลือกที่พักราคาสูงขึ้นมาอีกหน่อยที่ GRT Regency Hotel ห้อง Type Superior ซึ่งเป็น Type เริ่มต้นของที่นี่แน่นอนเราจองพร้อมเตียงเสริมได้ราคาอยู่ที่ 1700 กว่าบาท ราคานี้รวมอาหารเช้าแล้วด้วย ห้องพักว่ากันจริงๆไม่ได้หวือหวาอะไร แต่บริการที่อยู่ในมาตรฐานก็ทำให้เราได้รับความสะดวกและสบายอยู่ระดับนึง ที่สำคัญโรงแรมอยู่กลางย่านช้อปปิ้งและซื้อของของเมือง ทำให้เดินไปมาได้สะดวก เราซื้อของฝากกันที่นี่เลยครับ
รวมๆผมเองอาจจะได้พักอยู่นานกว่าใครเพราะ จากคืนแรกที่อาจจะเหนื่อยๆและเพลียจนทำให้เป็นไข้เลยได้นอนอยู่นานกว่าใครครับ
สรุปง่ายๆคืนนี้ที่พักโอเค น่านอน เสียอย่างเดียววันที่เราเข้าพัก เน็ตโรงแรมเสีย ทำให้อดเล่นเน็ตกันหมด อ่ออาหารเช้าที่นี้รวมทั้งอาหารค่ำอร่อยครับ เป็นอาหารอินเดียแบบกึ่ง Fusion คือ มีเมนูทั่วๆไปอยู่บ้างแต่หลักๆก็เป็นอาหารอินเดียแบบดังเดิมผสมกับอาหารฝรั่งบางอย่าง รสชาติเผ็ดจัดจ้านสมกับเป็นอาหารอินเดียจริงๆ
คืนที่ 3 ที่เมือง Mahabalipuram
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เราพักและที่พักเราถือว่าราคาย่อมเยาที่สุด ถูกที่สุดใน 3 คืน ที่Mamalla Heritage Mamallapuram Hotel ความวิตกกังวลแบบคืนแรกมาเยือนอีกครา ขนาดหลักพันกลางๆยังได้แค่นั้นแล้วนี้หลักร้อยปลายๆจะเป็นยังไง แต่เมื่อมาถึงและเข้าห้องพักก็ต้องโล่งใจ ห้องพักสะอาดสะอ้านใช้ได้แม้จะเก่าไปบ้าง แต่ก็นับว่าเป็นห้องใหญ่มากที่สุดใน 3 คืน Type Standard double room ราคารวมเตียงเสริมอยู่ที่ 1,200 กว่าบาทแถมรวมอาหารเช้าไว้ด้วย มันไม่ธรรมดาเลยครับ
ที่ตั้งของโรงแรมแม้จะไม่อยู่ติดชายหาดหรือทะเล ระยะห่างออกมาราวๆ 1 กิโลเมตร ผมลองเดินกัน ไม่ได้เดินเหนื่อยเท่าไหร่นะครับ เดินไปเก็บภาพอาทิตย์ขึ้นกันไม่ยากเลย ราว 15 นาทีก็ถึงแล้วครับ
แม้จะต้องเสียเงินกับค่าเน็ตที่ไม่มีบริการฟรีแต่คิดเป็นรายชั่วโมง กับรายวัน อาจจะด้วยเพราะพวกเราขาดเน็ตมาหลายวัน พวกเราเลยซื้อกันทุกคนครับ แบบรายวันตีเป็นเงินไทยก็เพียง 100 บาท ต่อวันเล่นกันได้จริง คุ้มครับ
สำคัญห้องน้ำห้องท่าใหญ่และที่เห็นจะขาดกันไม่ได้ก็คือมีถังน้ำกับก๊อกเตี้ยๆสูงจากพื้นไม่เกิน 80 เซ็นครับวางให้แขกใช้กัน
แต่ที่นี่มีฟักบัวให้ใช้นะครับ รวมๆชอบที่นี่ที่สุดใน 3 คืนห้องดีราคาถูกแถม มีสระว่ายน้ำให้ว่ายกันด้วย ดูฝรั่งที่มาพักจะชอบมานอนอาบแดดกันทุกคน
กติกาที่ต้องรู้ก่อนเข้าชมวัดในทุกๆเมือง
วัดที่ยังมีการประกอปพิธีกรรมอยู่จะปิดเปิดเป็นเวลาครับ ส่วนใหญ่เปิดกันตั้งแต6โมงเช้าแต่จะปิดกันประมาณเที่ยง และจะเปิดอีกทีตอน 4 โมงเย็น ที่เป็นแบบนี้เพราะเค้าถือว่าหลังอาหารยามบ่ายเป็นเวลาที่เหล่าเทพทั้งหลาย พักผ่อนนอนหลับจึงไม่สมควรจะประกอปพิธีใดๆเป็นการรบกวนองค์เทพทั้งหลายนั้น เอง เพราะฉะนั้นใครจะไปชมปราสาท วัดทั้งหลายที่ยังมีการประกอปพิธีต่างๆควรคำนวนเวลาเข้าชมให้ดีๆนะครับ
ที่เที่ยวใน Chennai
เมืองเชนไน เดิมเมืองแห่งนี้ชื่อ มัทราส (Mandras) ซึ่งก็เป็นเมืองหลวงของรัฐทมิฬนาฑู และใหญ่ เป็นอันดับ 4 ของอินเดีย สำรวจรอบๆเมือง Chennai คนที่นี่ หรือจะเหมาทั้งอินเดียใต้ก็ได้มีผิวดำสนิทแต่อัธยาศัยนั้นน่ารัก ยิ้มแย้มอย่างที่บอกเห็นทีไรก็นึกถึงข้างกล่องยาสีฟันดาร์ลี่สมัยเด็กๆ พอสบตายกกล้องขึ้นมาปั้บเห็นยิ้มฟันขาวกันทุกคน ชาวเมืองส่วนใหญ่เป็นคน Tamillians นับถือฮินดูและพูดภาษาทมิฬหรือที่เรียกว่า Tamil กันมากที่สุด
ผมเดินออกจากที่พักไม่กี่ก้าวเจอสนามกีฬาขนาดใหญ่มาก ทำให้เราได้เห็นกีฬาสำคัญที่ได้รับอิทธิพลจากอังกฤษในสมัยที่ยังตกเป็นเมืองอาณานิคม คือ คริกเก็ตครับ ผู้ชายชาวอินเดียดูจะชอบ เล่นกันมากๆครับ มีเล่นแยกกันเป็นกลุ่มย่อยๆกระจายตัวอยู่รอบสนามนับ 10 กลุ่มทีเดียว
ปลายสนามอีกด้านมีโรงยิมขนาดย่อมๆให้มาออกกำลังกายกัน และคนก็เยอะใข้ได้เลย และอีกเช่นกันพี่เค้าก็มักจะกวักมือเรียกไปถ่ายรูปให้ตลอด เค้าจะคิดซักนิดไหมว่าเราจะเอารูปไปทำอะไรต่อไหมเนี่ย 555 รวมๆอัธยาศัยใจคอคนอินเดียน่ารักกว่าที่เราคิดไว้เยอะครับ
หลัง Linggum มารับตามที่นัดกันไว้คือ 8 โมงครึ่งเราก็มีเป้าหมายแรกที่จะไปกันคือวัด kapaleeshwar Temple วัดใหญ่สำคัญที่สุดแห่งนึงของที่นี่
ใครมาเที่ยวไม่มาแวะวัดนี้เหมือนมาไม่ถึงเชนไนนะครับ วัดนี้อยู่กลางเมือง ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองนี้
ชื่อและประวัติความเป็นมาของวัด
กาปาลีสวาราร์ Kapaleeshwar มาจากคำว่า Kapalam แปลว่ากบาลหรือหัวกระโหลก +อิศวร รวมความได้ว่าพระอิศวรผู้ห้อยสร้ายหัวกระโหลก
เขียนแบบไทยจะเขียนว่าวัดกปาลีศวร เป็นวัดของพระอิศวร (eswarar) ตั้งอยู่ในเขตไมลาปอร์ใจกลางเมืองเชนไน สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 7 โดย กษัตริย์ปัลลาวานัยนามารส์ ในราชวงศ์ปัลลาวา ยุคที่รุ่งเรืองสูงสุดสมัยหนึ่งของอินเดียใต้
ผมว่าวัดนี้งดงามมาก เทียบๆดูคล้ายวัดแขกสีลมบ้านเรา แต่ใหญ่กว่ามาก ตัวโคปุรัม (Gopuram ซุ้มประตูทางเข้า) ดูยิ่งใหญ่งานแกะสลักละเอียดละออ ใครมาเมืองนี้ไม่ควรพลาดเข้ามาเยี่ยมชมครับ
ด้านหน้ามีขายพวงมาลัยให้นำเข้าไปไหว้ได้ราคาเทียบกับขนาดไม่แพงเลยพวงใหญ่มากมีสีดอกไม้หลายสีทีเดียว ราคาประมาณ 80 บาทขึ้นไป ใครไปซื้อเข้าไปไหว้ก็เป็นสิริมงคลกับตัวเองนะครับ
ก่อนเข้าเค้าให้ฝากรองเท้ากันก่อนด้วย ตรงด้านหน้า ตอนฝากไม่บอกว่าเสียตังแต่ตอนไปรับคืน คิดตังนะครับ แต่เป็นแบบแล้วแต่เราให้ไป
ภายในเค้าให้ถ่ายภาพได้แต่ต้องเป็นรอบนอก วิหารกับโบสถ์ครับ และที่สำคัญต้องเสียตังค่าถ่ายภาพด้วยราวๆ 80 รูปี เก็บค่าถ่ายภาพก่อนถึงจะถ่ายกันได้ครับ
ชาวบ้านบางคนก็นั่งอยู่ตรงซุ้มประตูกันเลย พอเห็นเราถ่ายภาพก็เช่นเคยหันมาส่งยิ้มให้เราเพืื่อถ่ายภาพเค้า อารมณ์ดีมากๆเลยเจอที่ไหนก็คล้ายๆกันอย่างที่บอกครับ
ไปกันต่อจุดที่สองที่ใกล้ๆกัน เป็น โบสถ์เซนต์โธมัส (International Shirine of St.Thomas Basilica) โบสถ์สำคัญที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ฝังศพและเป็นที่ระลึกถึงสาวกของ
พระเยซู ที่สำคัญที่นี่ได้รับการรับรองจาก ทางรัฐวาติกันว่าเป็นที่ฝังศพของเซนต์โธมัส ตัวจริง และมีเพียว 3 แห่งในโลกเท่านั้น และที่นี่คือ 1ใน 3
แห่งแรกคือโบสถ์เซนต์เจมส์ ที่ประเทศ สเปน
แห่งที่สองคือ โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ที่โรม
และที่สุดท้ายก็คือ โบสถ์เซนต์โธมัส ที่เมืองเชนไนนี่เอง
อนุญาติให้เก็บภาพแค่จากภายนอกเท่านั้นภายในห้ามถ่าย โบสถ์สีขาวตั้งเด่นเป็นสง่าตัดกับท้องฟ้าในวันที่ฟ้าเข้มได้ใจ มีตำนานกล่าวว่าที่เซนต์โทมัสเป็นบาทหลวงคนแรก ที่มาถึงอินเดียล่องเรือมาและมาขึ้นฝั่งที่เมืองนี้ และเริ่มต้นเผยแพร่หลักคำสอนในศาสนา แต่เพราะมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับท่าน สุดท้ายจึงโดนลอบสังหารลงที่นี่นั้นเอง เหล่าลูกศิษย์จึงได้นำร่างของท่านมาฝังไว้ยังเมืองๆนี้และสร้างเป็นโบสถ์อย่างที่เห็นกันจนถึงทุกวันนี้
ผมมีโอกาสลงไปชมในพิพิธภัณฑ์ของที่นี่ ส่วนใหญ่คือภาพและเรื่องราวในของเซนต์โธมัสเอง รวมถึงมีภาพจำลองเหตุการณ์ในช่วงที่ท่านถูกลอบสังหารเอาไว้เพื่อให้คนระลึกถึง
รวมถึงมีเรื่องราวของเหล่าสาวกทั้งหลายของพระเยซู พื้นที่ห้ามถ่ายภาพอีกเช่นกัน
และที่เที่ยวท้ายสุดของ Chennai ที่มีโอกาสได้สัมผัสในวันสุดท้ายก่อนจะลากลับ ก็คือ Marina Beach (หาดมารีน่า) เป็นหาดที่ติดอันดับโลก ในเรื่องความยาวเพราะยาวถึง 13 กม. กันเลย
หาดมารีน่า (Marina Beach)
หาดมารีน่า (Marina Beach) หาดสีทองเหลืองอร่ามดูสะดุดตา ด้วยความเรียบและยาวของชายหาด อยู่ห่างจากหาดออกไปราวๆ 300 เมตร-1กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับจังหวะน้ำขึ้นน้ำลง
ส่วนใหญ่คนอินเดียจะมานั่งชมวิวยามเย็นกันมากกว่า
และที่นี้ก็เป็นที่ๆเห็นคู่รักหลายๆคู่มานั่งหาวิวดีๆ มุมงามๆอยู่ด้วยกัน
กิจกรรม ยามว่างของผู้คนทั่วไปก็คือ นั่งทานอาหารหรือชมวิวอย่างที่บอกไป เราจึงเห็นเพิงอาหารเอาเก้าอี้มาตั้งเรียงกันเป็นย่อมๆไปทั่วหาด
ดูๆไปทำให้นึกถึงบ้านเราขึ้นมาคือจะคล้ายๆร้านขนมจีนที่ตั้งอยู่ตรงรอบๆสนามหลวง ยามค่ำเลยครับ
(^___^)
ที่เที่ยวในเมือง กาญจีปุรัม ( Kanchipuram )
มาถึงเมืองที่สองกัน เมืองนี้มีวัดวาอารามอยู่หลายแห่ง กาญจีปุรัม มีชื่อเสียงเลื่องลือเกี่ยวกับวัดที่มีกว่า 1,000 แห่ง จนได้ชื่อว่า “นครพันวัด” ถือเป็นหนึ่งในเมืองศักดิ์สิทธิ์ 7 เมืองของอินเดีย ที่ใครมาเยือนไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง ซึ่งชาวอินเดียถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่เมืองพาราณสี และยังเป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดทางภาคใต้ของอินเดียอีกด้วย
ประวัติโดยคร่าวคือ
เมืองกาญจีปุรัม รัฐทมิฬนาฑู เคยเป็นศูนย์กลางอาณาจักรปัลลวะในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ -๑๓ ก่อนที่ราชวงศ์โจฬะ ราชวงศ์วิชัยนคร และอังกฤษจะเข้าครอบครอง ครั้งกาญจีปุรัมเป็นศูนย์กลางของราชวงศ์ปัลลวะ มีกองทัพเรือที่เกริกไกร ติดต่อสัมพันธ์กับนานาประเทศ โดยมีมาลัลละปุรัมเป็นเมืองท่าสำคัญ ไปครับไปเที่ยวกันต่อเลย
ที่แรกที่เราควรไปคือ Sri Ekambaranathar (เทวาลัยเอกัมพเรศวร)
สำหรับวิหารแห่งนี้อายุราว 1200 ปี เริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่สมัยราขวงศ์ปัลลวะ โคปุระ หรือซุ้มประตูทางเข้า มีความสูงถึงเกือบ 60 เมตร ใหญ่มากกว่าที่เราชมมาแล้วที่ Chennai
ก่อนเข้าที่นี่ต้องเสียค่าถ่ายภาพกล้องละ 20 รูปี
สามารถถอดรองเท้าไว้หน้าวัดได้เลย ไม่มีที่ฝากรองเท้า แต่ดูๆก็ไม่หายนะครับ
นอกจากเรื่องราวในเชิงประวัติศาสตร์แล้วยังมีตำนานเรื่องต้นมะม่วงต้นใหญ่ที่อยู่ในพื้นที่ของวัด ว่ากันว่าพระนางมเหสีปารวตี นึกสนุกอยากหยอกล้อสามีคือพระศิวะ การหยอกล้อนั้นคือการปิดตา แต่หารู้ไม่ว่าการปิดตานั้นทำให้เกิด ความมืดมนไปทั่ว การกระทำครั้งนี้ ทำให้พระศิวะโมโห เป็นผลให้ พระศิวะ สาปนางปารวตีและไล่ไปอยู่ที่โลกมนุษย์ แต่ด้วยความรัก พระนางปารวตีได้ก่อ ศิวลึงค์ แทนตัวพระศิวะขึ้นมา เพื่อกราบไหว้ บูชา แต่กระนั้น พระศิวะได้ทดสอบและลองใจอยู่หลายครั้ง จนสุดท้ายยอมใจอ่อน กลับมาสมรสกับนางที่ใต้ต้นมะม่วงนี้ และรับพระนางกลับขึ้นสวรรค์ จึงเป็นที่มา ในปัจจุบัน
วัดที่สองที่มีโอกาสได้สัมผัสก็คือ Kailasanatha (เทวาลัยไกรลาสนาถ )
โบราณสถานสำคัญจากยุคปัลลวะในเมืองกาญจีปุรัม แปลตรงตัวว่า ผู้เป็นใหญ่แห่งเขาไกรลาส ซึ่งก็หมายถึงพระศิวะนั้นเอง ผู้สถิตอยู่ ณ จอมเขาไกรลาส
เทวาลัยไกลาสนาถ เป็น เทวาลัยที่เก่าที่สุดในเมือง มีอายุ ราวๆ 1200-1300ปี ก่อสร้างด้วยหินทราย ภายในมีรูปปั้นแกะสลักมากมาย ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับเทพทั้งหลายของศาสนา
ด้านหน้าทางเข้าจะมีพระโคนอนมอบอยู่ชื่อพระโคคือ พระโคนนทิ เป็นพาหนะของพระศิวะ หมอบเฝ้ารอถวายงานอยู่หน้าเทวาลัยไกลาสนาถ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระโคมาเล่าให้ฟังครับ เนื่องจากเราให้ไกด์นำเที่ยวเค้าจึงอธิบายทุกๆอย่างได้ดีมากเรื่องราวการที่ปั้นพระโคให้นอนหมอบนี้ก็เป็นเพราะว่า ถ้าเป็นวัวยืน คนอินเดีย ต้องปั้นสองตัว แยกเพศ แต่ถ้านั่งจะไม่จำเป็นต้องปั้นสองตัว วัวนั่งเราจะไม่เห็นอวัยวะเพศ ครับ ถือเป็นความเชื่อของบุคคลทั่วไปฟังแล้วก็ดูฉลาดดีนะครับ ไม่เสียแรงไปเปล่าๆ
ด้านในกำแพงรอบตัวเทวสถานแต่ละหลังจะปั้นรูปประดิษฐานภาพสลักพระศิวะในปางต่างๆไปตามความเชื่อและตำนานต่างๆ บางจุดอยู่ในซอกหลืบมองๆดูมีปูนฉาบทับไปบ้าง และบางซุ้มก็ยังหลงเหลือภาพเขียนโบราณให้เราเห็น และอาจทำให้นึกย้อนกลับไปยังเทวาลัยฮินดูที่เรียกกันว่า “ปราสาทหิน” ทั้งในเมืองไทยแลเขมรได้ นี่ก็คือความเกี่ยวโยงกันอย่างที่บอกไว้ตอนต้นนะครับ วัฒนธรรมพราหม์ฮินดูถือเป็นส่วนนึงในชีวิตประจำวันของคนไทยไปแล้ว
เทวาลัยไกลาสนาถเป็นโบราณสถานที่อยู่ในความดูแลของกรมโบราณคดีอินเดีย (Archaeological Survey of India) รั้วประดับตัวอักษรย่อ ASI บ่งบอกไว้ให้ทราบ
มาเดินดูรอบๆกันครับเรื่องราวของเทพเจ้าสอดแทรกอยู่ในทุกๆส่วนของกำแพงสลักหิน ดูผ่านก็แค่สวยงามหากสอบถามจากเจ้าหน้าที่เสียเงินแค่ 100รูปีและภาษาอังกฤษคุณไม่แย่เกินไปจะฟังเข้าใจก็มีประโยชน์มหาศาลเลยทีเดียวเค้าจะเป็นไกด์พาเราเดินชมและเล่าประวัติต่างๆได้หมดเช่น
แนวกำแพงทั้งหมดที่เห็น ตัวเป็นม้า หัวเป็นสิงห์ เค้าเรียก “วยาล” ถือเป็นสัตว์เทวบาล ตลอดแนวรั้วรอบในและรอบนอกเป็นแนวเสาสิงห์ เป็นสัตว์ในตำนานปรัมปราของศาสนาฮินดู อยู่เคียงข้างกับทวารบาลตามซุ้มประตู ดูผ่านๆสวยงาม ยิ่งพิศใกล้ๆแล้วจินตนาการว่าช่างใน 1,000กว่าปีที่ผ่านมาสามารถใช้ลิ่มและค้อนแก้สลักออกมาได้ขนาดนี้ ชู 2 Thumb ให้เลย และในทุกๆจุดจะเรื่งราวองค์พระศิวะในทุกๆปาง บ่งบอกความเคารพนับถือของชาวอินเดียที่มีต่อองค์เทพของเค้าครับ
ตรงนี้เป็นด้านในที่ประกอบพิธีของพราหมณ์ คนทั่วไปหรือนอกศาสนาเข้าไปถ่ายภาพหรือชมไม่ได้เลยได้แต่เก็บภาพรอบๆมา เสาหินต่างๆนอกจากตรงนี้หากเรียบๆไม่ได้เลยนะครับ
หรืออย่างหญิงสาวคนนี้มายืนลูปท้องวยาล สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก็ทราบว่าหากอยากได้ทรัพย์ และความอุดมสมบูรณ์การสวดมนต์และอธิฐานไปควบคู่กับลูกบริเวณท้อง จะทำให้สำริดผล ได้ หลังหญิงคนนี้ไปผมก็เลยเดินไปลูบและอธิฐานดูบ้าง ได้ผลกับจิตใจดีครับ
และแล้วก็เจอองค์เทพที่ผมเคารพและไหว้มานานแล้วถือเป็นครูบาอาจารย์ของตัวเอง ก็คือ พระพิฆเนศ ครับ เห็นร่องรอยที่น่าจะอดีตเคยสวยมาก่อน
คนบูรณะดูจะมีความตั้งใจแต่ขาดประสบการณ์อยู่พอควรครับเพราะร่องรอยของใหม่เก่าไม่เป็นเนื้อเดียวกันอย่างเห็นได้ชัดเลย
จริงๆยังมีเทวาลัยอีกแห่งที่ตั้งใจจะไปชมแต่ผมป่วยจนต้องนอนพะงาบที่โรงแรมเลยไม่ได้ไป ใครอยากชมเทวาลัยอีกแห่งตามไปชมที่ Khong รีวิวไว้แล้วที่นี้เลยครับ
ที่เที่ยวในเมือง Mahabalipuram (มหาบาลีปุรัม)
มาถึงเมืองสุดท้ายที่ห้ามพลาด เมืองนี้อยู่ห่างจาก Kanchipuram มารวมๆ 70 กิโลเมตร ชื่อเมืองอ่านตามแบบสากลได้ว่า มหาพาลีปุรัม หรือเรียกตามแบบชาวอินเดียใต้ว่า มามัลละปุรัม ติดอยู่กับริมทะเลที่มีสถาปัตยกรรมโบราณสถานที่ได้รับการขึ้นเป็นมรดกโลก จากองค์การยูเนสโก้ ถือเป็น 1 ใน 7 เมืองใหญ่สุดของ อินเดียเช่นกัน เคยเป็นเมืองท่าและเมืองหลวงแห่งที่ 2 ของราชวงศ์ปัลวะ (Pallava Dynasty) ที่รุ่งเรืองในศตวรรษที่ 7-8 เป็นสถาปัตยกรรมที่เป็นวัดต้นแบบดราวิเดรียนซึ่งเกิดจากการสลักหินเป็นวัด ที่บูชาเทพเจ้า เช่น พระศิวะ พระวิษณุ พื้นที่ของโบราณ กินพื้นที่กว้างใหญ่จนติดทะเล วัดแต่ละแห่งจะกระจายกันอยู่จะไปได้เดินไม่ไหวนะครับนั่งรถกันอย่างเดียว
เป็นเมืองแห่งการแกะสลักหินโดยแท้ แทบจะทุกบ้านเรือนที่นี้อาชีพหลักคือการแกะสลักหิน เพื่อส่งออกทั่วประเทศ สำหรับราคาก็ขึ้นอยู่กับขนาดและความละเอียดในงานแกะ แต่บอกตรงๆงานแกะสลักหินที่นี่งดงามมากที่สุดตั้งแต่เคยเที่ยวชมมา ผมหมดเงินค่าของฝากกับที่นี่ไปกับงานแกะหินเนี่ยละครับ
ที่แรกที่ถือเป็นออเดริฟของที่นี่ได้แก่ Tiger Cave (ถ้ำเสือ)
ก่อนจะถึงเมืองมีสถานที่ๆน่าแวะเที่ยวกันก่อนเเป็นถ้ำที่ขุดเจาะเข้าไปในเขา ตัว Tiger Cave เป็นการสร้างโดยหินทั้งก้อนถูกสลักจากหินขนาดใหญ่ก้อนเดียว สร้างเป็นรูปหัวเสือ ตอนไปคนอินเดียปีนป่ายกันขึ้นไปถ่ายรูปกันสนุกสนานน่าดูถือเป็นจุดขายอีกแห่งของเมืองนี้ ที่นี่ตอนแรกเหมือนจะเสียค่าเข้าชมแต่พอถึงเวลาคนเก็บเงินหายไปไหนไม่รู้ก็เลยเข้าฟรีครับ ผมพยายามหาข้อมูลมาบอกเล่าที่มาที่ไปของที่นี้ต้องขออภัยหาไม่เจอเลย ยังไงชมภาพกันดูนะครับ
ผมว่าความอลังการก็อยู่ตรงแกะสลักหัวเสือนั้นละครับ เรายืนถ่ายภาพกันพักใหญ่เลยเดินไปด้านหลัง ทะลุไปถึงชายหาด อย่างที่บอกเทวาลัยที่นี่สร้างชิดติดทะเลตลอดแนวหากไม่มีรถขับมาเองก็อาจจะเที่ยวแวะตามใจชอบได้ยากหน่อยครับ
ชายหาดด้านนี้ทะเลไม่สวยงามเท่าไหร่ ทรายจะสีเข้มอมน้ำตาลไหม้แถมมีคลื่นลมทะเลพัดคลื่นลูกค่อนข้างใหญ๋ แต่คนอินเดียหาได้หวั่นใจแต่อย่างใด เจอเด็กๆกลุ่มนึงกำลังเล่นน้ำกันตัวดำยืนยิ้มฟันขาวเรียกให้เราไปถ่ายรูปให้เช่นเคย คนที่นี่ยืนยันว่าอารมณ์ดีกันมากๆยิ่งไม่ค่อยเจอคนไทย
ที่ห้ามพลาด ถือเป็น Hilight ของเมืองเลยนั้นคือ Shore Temple ( วัด ชอร์)
ตัววัดสร้าง ขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 700-728 ด้วยการแกะสลักหินแกรนิตทั้งหลัง โดยชื่อของวัดพ้องกับตำแหน่งที่ตั้งของวัด ที่ตั้งอยู่ริมทะเลของอ่าวเบงกอล (คำว่าชอร์ Shore ในภาษาอังกฤษ แปลว่า ทะเลหรืออ่าว) และวัดนี้รวมถึงวัดอื่นๆ ในเมืองมหาบาลีปุราม ได้ถูกประกาศเป็น มรดกโลก โดยองค์การ ยูเนสโก (UNESCO) เมื่อปี พ.ศ. 2526
ด้วยความที่ตั้งอยู่ริมชายหาดถอยหลังกลับไปหลายปี สึนามิเมื่อปี 47 ยังคงค้นพบ ฐานรากของเทวาลัยขนาดใหญ่ ที่จมอยู่ใต้หาดทรายอีก เพราะโดนสินามิพัดขึ้นฝั่งจนเห็นได้มากขึ้น เนื่องจากเป็นวัดที่ตั้งอยู่ริมชายหาด สร้างขึ้นบนแหลมยื่นออกไปในอ่าวเบงกอล สามารถมองเห้นและชมวิวได้หากไปยืนอยู่ที่เทวาลัย และวัดนี้ยังเป็นวัดที่มีความแตกต่างไปจากอนุสาวรีย์อื่นๆ เนื่องจากเป็นวัดเดียวที่ไม่ได้สร้างจากหินแกะสลัก และยังเป็นวัดที่มีความเก่าแก่มากที่สุดที่ค้นเจอ คือมาก 1,400 ปี
ในปัจจุบันวัดแห่งนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม มากที่สุดแห่งหนึ่งด้วยและด้วยที่ผ่านกระแสลมและทะเลมานาน รูปสลักตามผนังและรูปปั้นต่างๆเลือนหายไปตามกาลเวลา เหลือตัวโครงหลักที่ยังยืนท้าแดดลมฝนต่อไป
ตอนผมไปช่วง บ่าย2-3โมงอยากแนะนำว่าไม่ควรไปเพราะอากาศร้อนสุดๆเลยครับ ไปช่วงเย็นๆสัก 4-5 โมงจะสวยกว่าทั้งบรรยากาศและไม่ร้อนอย่างที่เราไป
ชายหาดของที่นี่คล้ายๆกับที่ตอนแวะ ถ้ำเสือ และชาวบ้านก็นิยมมาพักผ่อนกันมากมาย
มีซุ้มขายของที่ระลึกเรียงมตลอดแนวถึงสุดทางเดิน แต่ก็ยังมีเพิงขายของกินที่ดูจากสีแล้วรสจัดแน่ๆ และก็จริงๆด้วยผมชิมแล้วเผ็ดร้อนใช้ได้ ทั้งปลา กุ้ง หอย สมกับเมืองชายหาดจริงๆ
นอกจากเพิงขายของที่ระลึกแล้ว ยังมีสวนสนุกขนาดย่อมๆอยู่เป็นจุดๆ ในบริเวณใกล้ๆกันด้วย อย่างม้าหมุนที่นี่ก็เล่นง่ายมากๆครับ คือเค้าให้เด็กขึ้นไปนั่งบนม้าหมุนขนาดย่อมๆและก็ใช้เเรงเหวี่ยงจากคนนี่ละครับเป็นคนหมุนตัวม้า
แต่ถ้าใหญหน่อยก็เป็นเครื่องจักรปรกติ แต่บอกตรงๆแดดที่ร้อนขนาดอุณหภูมิวัดได้ประมาณ 40 องศาขนาดนี้ เด็กๆเค้าเล่นได้ไงน้อ ผู้ใหญ่อย่างเรายังขอยอมแพ้เลย
และก็เพราะอุณหภูมิที่ร้อนขนาดนี้ เราจึงพบร้านที่ขายไอศครีมวางขายอยู่ยึดแนวตลอดหาดทรายอยู่หลายร้านทีเดียว ไม่แปลกเลยครับที่จะขายดี หรือยิงเป้าก็มียิงมันกลางแดดร้อนๆเนี่ยละ คนอินเดียเก่งมากๆเลยทนแดดดีเกิ๊น
มีเพิงขายของ กิน ของฝาก จะมีเพิงขายภาพที่ระลึกอยู่ก็ไม่แปลกนะครับ ที่นี้เค้ามีเพิงถ่ายรูปกับดารายอดนิยมของ เค้าอยู่ด้วยเค้าจะทำเป็น stand ขนาดเท่าตัวจริงของดาราหรือนักร้องที่กำลังเป็นที่นิยมของเค้า
แลัวให้เราถ่ายรูปคู่ได้สนนราคาก็อยู่ที่ตกลงกันละครับว่าจะถ่ายกันกี่คนๆละกี่รูปเป็นธุรกิจง่ายๆที่ผมเองไม่คิดเลยว่าจะมีอยู่ในชายหาดได้ เห็นแล้วขอปรกมือให้กับไอเดียพี่เค้าจริงๆ
พูดถึงดาราเราก็คุ้นเคยกันมาบ้างกับหนังและภาพยนต์อินเดียใช่ไหมครับที่เค้าจะร้องจะเต้นกันจากตีนเขาไปถึงยอดเขได้เลย ที่นี้ภาพยนต์ถือเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่มาก ขยายตัวเร็วมากๆ สำหรับเราอาจจะเคยได้ยินคำว่า”บอลลีวู้ด” มาบ้าง อย่าเข้าใจเป็นการเหมารวมว่าหมายถึงวงการภาพยนต์ทั้งหมดของทั้งประเทศนะครับเค้าแบ่งแยกกันชัดเจนระหว่างอินเดียเหนือคือบอลลีวู้ดเท่านั้น เพราะทางอินเดียใต้เองก็มีวงการภาพยนต์ของตัวเองที่เรียกว่า “กอลลีวู้ด” ครับ อย่างน้องพิงคกี้ที่เป็นดาราไทยบ้านเราที่บอกโกอินเตอร์มาเล่นหนังอินเดียจริงๆก็คือมาที่อินเดียใต้เนี่ยละครับ
ที่ห้ามพลาด2 รธะ ทั้ง 5 (Five Rathas)
สำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว ถ้าใครจะไปชมสถานที่สำคัญ รอบเมือง เค้าจะมีตั๋วสำหรับชม Five Rathas ในราคา250 รูปปีเท่านั้นซื้อแล้วใช้ได้ทั้งวันครับ
สำหรับที่นี้ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างสถาปัตยกรรม สร้างขึ้นจากหินตัดอินเดีย (Indian rock-cut architecture) สร้างขึ้นช่วงปลายศตวรรษที่ 7 มีลักษณะเป็นภาพสลักนูนต่ำบนผนังหินกลางแจ้ง ที่สร้างจากหินจนาดใหญ่เพียงก้อนเดียว โดยสิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คงจะเป็น รูปปั้นช้าง และ รูปปั้นสิงโต เป็นต้น ที่นี่หากจะเข้าถ้าซื้อตั๋วตั้งแต่วัดชอร์ สามารถนำมาใช้ต่อได้เลย ครับประกอบกับหนังสือเดินทางก็เข้าไปถ่ายรูปหรือได้แล้ว แต่หากไม่มีแม้คุณจะซื้อตั๋วแล้วก็ยังเข้าไม่ได้อยู่ดีครับ
มาถึงที่อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันคือ Arjuna’s Penance (ภาพแกะสลักอรชุน)
ภาพแกะสลัก การบำเพ็ญตบะของอรชุณ (Arjuna’s Penance) ได้รับการยอมรับว่าเป็นภาพสลักนูนต่ำชิ้นเอกที่มีความสมบูรณ์ที่สุดชิ้นนึงของอินเดีย
ภาพแกะสลักนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะทางถือเป็นเทวาลัยที่สลักจากหินขนาดใหญ่ทั้งก้อนแล้วค่อยๆเจาะแกะสลักลงไป เหมือนกันกับรธะทั้ง 5 เช่นกัน ดูๆไปก็น่าทึ่งกับฝีมือและความวิริยะอุตส่าหะของช่างยุคโบราณจริงๆ สำคัญอย่างที่เขียนไว้ด้านบนขอให้คิดว่าอุปกรณ์การแกะสลักเมื่อพันกว่าปีก่อนมันมีไม่กี่อย่างเองนะครับ
ไปต่อที่ Varaha Cave Temple (วัดถ้ำวราหะ)
เป็นอีกหนึ่งวัดที่ถือว่าเป็นตัวอย่างที่โดดเด่น ของสถาปัตยกรรมหินตัด อินเดียเช่นกัน (Indian rock-cut architecture) วัดถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 7 เป็นวัดถ้ำหินตัดที่ยังคงมีลวดลายหินแกะสลักที่ยังคงสมบูรณ์และมีความงดงาม ไม่แพ้ที่อื่นๆโดยเฉพาะรูปปันนูนสูงรูปช้างโดดเด่นมากๆครับ เเกะสลักได้งดงามสมกับที่มาอยู่ใน Five Rathas
บางส่วนของงานอาจจะยังไม่สมบูรณ์ครบถ้วนนัก เพราะช่างที่ทำไม่ได้ทำต่อแล้วครับจะเหตุผลใดๆแต่ความละเอียดละออและความตั้งใจของช่างก็ปรากฎเป็นหลักฐานอยู่ตอนนี้ แค่คิดก็ทำให้ทึ่งได้แล้วครับ
ถัดมาอีกสิ่งมหัศจรรย์ของที่นี่ Krishna’s Butterball (ก้อนเนยของพระกฤษณะ)
มีลักษณะ เป็นก้อนหินทรงรี ขนาดใหญ่มากอยู่บนเนินเขาในบริเวณเดียวกับ Varaha Cave Temple ดูเหมือนมันน่าจะกลิ้งตกลงมา แต่ก็ไม่ตก
วางอยู่แบบนี้มาเป็นพันๆปี เก่าแก่กว่าสถาปัตยกรรมทั้งหมด ที่อยู่ในบริเวณเดียวกันด้วยซ้ำถือเป็นงานประติมากรรมที่รังสรรค์จากฝีมือธรรมชาติโดยแท้ ดูไปแล้วทำให้นึกถึง พระธาตุอินแขวนของพม่าเลยครับ
ปราสาทหิน“คเณศรถะ”
เดินถัดมาอีกนิดในบริเวณเดียวกันกับ ก้อนเนยของพระกฤษณะ เป็นปราสาทหินที่แกะสลักจากหินเพียงก้อนเดียว ถวายแด่พระพิฆเนศร์
ขนาดไม่ใหญ่เป็นการแกะหินทั้งก้อนให้กลายเป็นปราสาท ความสวยงามถือว่าดีกว่าบางกลุ่มโบราณสถานบางชิ้นด้วยซ้ำเพราะความสมบูรณ์ของปราสาทนั่นเอง
มาปิดท้ายกันที่บริเวณหอประภาคารครับ
ถ้าขึ้นไปถึงยอดแล้วจะชมวิวของเมืองได้ทั่วเลยทีเดียวจากที่พักเราก็สามารถมองเห็นหอประภาคารนี้ได้ อยู่ในกลุ่มอุทยานหินแถวๆนี้ระยะห่างไม่ไกลกันนักเดินถึงกันได้ วันที่ผมไปเป็นช่วงเย็นแล้ว
ความตั้งใจเราคือจะถ่ายพระอาทิตย์ตกที่นี่ละ แต่พอไปถึงหลัง 5 โมงเค้าจะปิดประตูทางขึ้นไม่สามารถขึ้นไปบนประภาคารได้ สุดท้ายเราเลยมาขึ้นทีปราสาทหินที่อยู่ในระยะไม่ห่างกันมากซึ่งก็ถือว่าโชคดีมากเพราะวิวที่ได้ไม่แตกต่างกันมากนักแต่เราสามารถเก็บวิวประภาคารไว้ได้ด้วยนี่สิ
เพราะยามเย็นที่นี่ถือว่างดงามที่สุดแห่งนึงของเมืองนี้ ลองชมบรรยากาศรอบๆดูครับ จะเห็นว่าเมืองนี้ยังมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มากทีเดียว
สำหรับที่เที่ยวที่น่าสนใจของทุกเมืองหมดแล้วละครับทริบนี้ชมปราสาท วัดวาคุ้มค่าสมความตั้งใจ หากใครอยากรู้ที่มาที่ไปของตำนานต่างๆและเป็นคนชอบวัฒนธรรมมาที่นี่คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์เหล่านี้จากอินเดียได้หมดผมเองเวลา 4 วันที่ได้มาถือว่าคุ้มค่าแม้จะมีป่วยระหว่างทางไปบ้างก็ยังได้เก็บที่สำคัญๆเอาไว้หมด แต่…อย่าพึ่งคิดว่าทริบนี้หมดแล้ว ยังครับเดี๋ยวจะพาไปเก็บตกที่ประทับใจ และประสบการณ์ห้ามพลาดในอินเดียกันว่าแล้วมาต่อกันเลยดีกว่า
อาหารอินเดีย
ใครอาจจะมีจินตนาการอาหารอินเดียไปต่างๆนาๆ แต่สำหรับผมบอกได้เลยว่าตอนอยู่เมืองไทยเคยสัมผัสอาหารอินเดียไม่กี่ครั้ง แต่ไม่มีความประทับใจเลย จนกังวลอยู่เหมือนกันว่าทริบนี้จะสามารถหาอะไรกินได้ถูกปากรึเปล่า พอมาจริงๆอาหารอินเดียใช้ได้เลยครับ ใช้ได้จริงๆนะครับ บางเมนูอร่อยมากเดี๋ยวพาไปชิมดู ยิ่งเราเป็นคนกินรสจัดละก็ถือว่ามาถูกที่แล้ว
เริ่มกันที่อาหารทานเล่นเวลาที่เรารออาหารโรงแรมเค้าเสริฟแผ่นแป้งหอมๆพริกไทยที่เรียกว่า ปาปัด (Papad) เป็นข้าวเกรียบชนิดหนึ่งทอดในน้ำมันร้อนเป็นแผ่นๆถือเป็นออร์เดิร์ฟ มักเสิร์ฟก่อนอาหารหลักอื่นๆ
มาพร้อมซอลเค้มเปรี้ยวและซอสพริก อันที่สีเขียวนั้นละครับเผ็ดมากๆแบบลืมซอสพริกที่เผ็ดที่สุดที่ผมเคยกินมาได้เลย
อย่างเมนูยามเช้าของคนอินเดียเค้าจะเริ่มกันที่ แป้ง กับแกง ครับ มีชื่อว่า (อิดลี) idli เป็นแป้งสีขาวขุ่นรสชาติอมเปร้ียวนิดๆ เวลากินจะเสิร์ฟคู่กับน้ำราดแบบต่างๆ ได้แก่ Sambhar และ Nariyal cyutney (ทำมาจากมะพร้าว) และต้องทานขณะร้อนๆ ถึงจะอร่อย คือทานเป็นรสหวาน ดูๆไปคล้ายขนถ้วยฟูบ้านเรา เมนูนี้ห้ามพลาดนะครับ เพราะจะมันๆนิดๆ หอมหวานอร่อยขึ้นอยู่น้ำราดที่คุณเลือกแบบหลังที่ทำจากมะพร้าวดูเข้ากันสุดสำหรับผมนะครับ
ยังมีแป้งอีกแบบอันนี้คล้ายโดนัท มีสีน้ำตาล แต่มีรสเค็ม ชื่อ วาดะ (vada) เค้าจะทอดแล้วนำมากินกับน้ำราดเช่นเดียวกับ อิดลี ได้ส่วนใหญ่จะมาคู่กันนะครับ คนอินเดียจะกินไปพร้อมๆกัน หรือจะสั่งมาทานกับแกงต่างๆก็ไม่ผิดแต่อย่างใด ทั้งสองเมนูคือของกินเช้าที่นิยมที่สุด และหากคุณไม่ได้อยู่กินในโรงแรมจะหาอย่างอื่นกินนอกจาก2อย่างนี้ยากมากครับ เพราะเค้ากินกันแค่นี้จริงๆ สำหรับเมนูอื่นๆ เค้าจะเสริฟหลัง 11 โมงเท่านั้น
หากใครไม่ได้อยู่ในโรงแรมแต่อยากเดินตะเวณเที่ยวหาของกินพื้นบ้านต้องลองแวะชิมกันดู อย่างร้านนี้ถือเป็นร้านอร่อยแน่ๆวัดจากปริมาณคนเข้าคิว ผมกับเพื่อนเลยไปเข้าคิวมั่งรออยู่นานเลยอดกินไปแต่ก็เห็นว่าเวลาคนอินเดีย ใช้มือเปิบกันนี้ดูเค้าอร่อยมากๆเลยนะครับ
เดินไปในตลาดทั่วไปคุณจะเจอ 2 เมนูนี้ตลอดครับนอกจากเมนูทั้งสองที่คนอินเดียใต้ชอบทานยังมี ปูรี (Purim) โรตีขนาดเล็ก ทอดในน้ำมันดูคล้ายๆเวลาทอดก็เหมือนทอดซาลาเปาปาท่องโก๋บ้านเรา แต่เค้าจะกินกับแกงเผ็ด หรือแกงต่างๆมากกว่าจะมาจิ้มนมอย่างปาท่องโก๋บ้านเรานะ
พูดถึงปาท่องโก๋ของไทย แน่นอนจะให้อร่อยต้องลองคู่กับกาแฟครับ กาแฟอินเดียขึ้นชื่อลือชามานานแล้ว ใครมาต้องลองแวะชิมดู อย่างพวกเราจะได้อารมณ์ต้องกินในตลาดเลย เราเจอร้านคุณลุงคนนี้แกยิ้มแย้มกวักมือเรียกให้ชิมกาแฟของแกดู ชิมกันแล้วก็ต้องบอกว่ารสชาติต่างจากสภาพแวดล้อมเลย มันหวานมันกว่ากาแฟบ้านเรา
แถมลีลาออกไปทางกาแฟชาชักทางใต้บ้านเราซะด้วยสิ ยิ่งเห็นเราถ่ายภาพก็ยิ่งโชวลีลาน่าดูครับ
เมนูถัดมาที่สัมผัสว่ามันอร่อย อันนี้พบเจอที่โรงแรมคืนที่สองที่เราพัก เมนู ไก่แทนดอรี (Chicken Tandoori)
อันนี้สุดยอดเลยหน้าตาก็พอจะบอกถึงความอร่อยได้ระดับนึง รสชาติจัดจ้าน หอมเครื่องเทศที่เค้าปรุงมาคลุกเคล้า เมนูฯนี้กินกันหมดในเวลารวดเร็วหลังจากที่กลับจากทริบมาจะเพราะหิวก็ใช่แต่ของเค้าอร่อยจริงๆครับ
ถัดมาเป็นเมนูไก่เช่นกันเป็นไก่ผัดกับกระเทียมผมจำชื่อไม่ได้แล้วรู้แต่อร่อยพอๆกับเมนูไก่แทนดอรี แต่ไม่รสจัดเท่าจะเค้็มๆกินกับข้าวอร่อยดีครับ
มาถึงเมนูทางทะเลบ้างนะครับ มาเมืองริมทะเลทั้งนั้นไม่ชิมอาหารทะเลเค้าก็ออกจะแปลกอยู่ โดยเฉพาะตอนเราไปที่เมืองมหาพาลีปุรัม มาที่นี่ขอให้ลองกิน Lobster อินเดียดูครับรสชาติเค้าจะปรุงมาจัดจ้านเนื้อจะเด้งงกรอบมากๆ ไม่รู้ทำยังไงแต่ก็คือว่าใช้ได้เลย รสจัดนี้ผสมอยู่ในเมนูหลักๆ แทบทั้งนั้น
มาถึงเมนูในดวงใจผมเลยตลอดการเดินทางนี้คือ ข้าวผัดครับ รสชาติอร่อยมากๆคล้ายคลึงกับข้าวผัดบ้านเราเลย เค้าผัดออกแห้งไม่แฉะเหมือนบางร้านของบ้านเรา ทีีสำคัญข้าวที่เค้าใช้จะคล้ายๆข้าวหอมมะลิบ้านเรานะครับเวลามาผัดจะอร่อยอันนี้ยืนยันได้เพราะไปหลายวัน สั่งมา2ร้านรสชาติอร่อยทั้งคู่
มาที่ปลาบ้าง ปลาที่นี่เค้าจับสดๆมาคลุกกับเครื่องแกง สีแดงๆ ดูคิดได้เลยว่าเผ็ดแน่ๆ ส่วนใหญ่จะนำไปทอดนะครับกินแล้วก็มีรสชาติเครื่งเทศผสมกับเนื้อปลา ทานคู่กับหอมและแตงกว่าก็อร่อยดี เห็นสีตอนแรกเข้าใจว่าเผ็ดสุดๆกินจริงๆไม่เผ็ดมากครับ
มาถึงอินเดียไม่กินอาหารหลักที่เค้ากินกันแทนข้าวได้เป็นที่นิยมทั่วประเทศนั้นคือ แผ่นแป้งดูคล้ายโรตีบ้านเราแต่เค้าเรียกว่า Naan (นัน หรือ นาน) เป็นแป้งหนากำลังดี เวลามาเสริพก็อยู่ที่เราเลยนะ จะกินเปล่าๆหรือใช้กินแทนข้าวหรือ
กินกับแกงต่างๆครับ และเวลากินก็ใช้มือเปิบกันได้เลย แป้งจะมีความหอมและนุ่มดีครับ ผมชอบกินหอมติดเกรียมๆนิดของแป้งมัน น่ากินดีครับ
และในยามค่ำคนอินเดียเองก็ชอบออกมาเดินเล่นไม่แพ้กันเมนูยามค่ำ ที่เค้าชอบทานกันมากเรียกว่า
ในเมือง กาญจีปุรัม คนอินเดียชอบบริโภคผลไม้มากๆครับ ผมสังเกตุดูร้านผลไม้ยามค่ำคนจะแน่นมากๆรุมกันแย่งซื้อยังกับมัน Sale ยังไงยังงั้นเลย และมีผมมีโอกาสได้ชิมและพบว่ามันอร่อยมากๆเลยก็คือ
น้ำผลไม้ปั่น ที่นี่เมืองผลไม้จริงๆเวลาเราสั่งน้ำผลไม้ปั่น 1 แก้วเราจะได้ดื่มผลไม้ปั่นกันเลยแทบจไม่ผสมน้ำหรือน้ำหวานอย่างบ้านเราเลย เนื้อๆเน้นผลไม้ ไม่หวงผลไม้และราคาตกเป็นเงินไทยก็แก้วละ ไม่ถึง 20 บาทเลยครับใครมาเมืองนี้อย่าลืมมาลองกันรับประกันคุณจะรู้สึกไปเองเลยว่า น้ำผลไม้ปั่นบ้านเราแพงมากกก
เก็บตกประสบการณ์ห้ามพลาดในอินเดียใต้
จะตรงนี้ไปเป็น ประสบการณ์ตรงที่ผมไปสัมผัสมาตลอดทริบ การมาสัมผัสอินเดียระยะเวลาสั้นๆอาจจะบอกความเป็นอินเดียได้น้อยมากแต่ก็มาก พอที่จะพิจาณาจากความจริงที่ได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง บอกตรงๆเลยครับก่อนและหลังทริบอินเดียหนนี้เปลี่ยนความคิดบางอย่างของผมไปตลอดกาล
และวิธีที่จะทำใหเราเข้าใจเค้าได้ดีที่สุด คือผมคิดเอาเองว่า เราจะรู้จักบ้านเมืองเค้าได้ดีมากน้อยก็ต้องไปที่ๆคนเค้าใช้ชีวิตกันและ ทั้งหมดจากนี้คือการเก็บตกประสบการณ์แปลกๆที่ได้เจอกับตัวนะครับมาลองสัมผัส ไปด้วยกันดีกว่า
ตลาดเช้า
ลองตื่นเช้าๆดูนะครับแล้วแวะเข้าไปตลาดเช้าที่เมืองกาณจีปุรัม จะได้สัมผัสผู้คนอย่างที่เค้าเป็นกัน จะมาถึงไม่ถึงอินเดียก็สำหรับผมอยู่ที่ตลาดนี้ล่ะครับ ถ้าคุณชินตากับเวลาที่เข้าไปในตลาดแล้วเจอหมาแมวมันคุ้ยเขี่ยอาหารกินกันมาอินเดียคุณจะได้รับประสบการณ์เดียวกันแต่ปลี่ยนภาพจากหมาแมวมาเป็นวัวแทน วัวที่นี่กินได้ทุกอย่างจริงๆ มันจะมาคุ้ยเขี่ยกองขยะในตลาดและที่แปลกคือชาวบ้านเค้าก็ไม่ห้ามด้วยสินับเป็นของแปลกที่สุดที่ผมเจอเลย
ในตลาดเช้ามีบรรยากาศแบบพื้นบ้านที่คุณคงหาที่ไหนได้ยาก ผู้คนจะยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายกวักมือเรียกให้ไปถ่ายภาพ
แม่ค้าที่นี่ก็อารมณ์ดีเหลือหลาย เห็นเราถือกล้องเดินดุ่ยๆเข้าไปให้เรากดภาพจนเมื่อยเลย อย่างแม้ค้ากลุ่มนี้แกอยู่คนละฟากถนนกับเรากวักมือเรียกไม่พอตะโกนกันเลย
ในตลาดมีของจิปาถะขาย ที่ผมเห็นคือผงสีที่เวลาคนอินเดียเค้าไว้ทาหน้าหรือตามตรงหน้าผากเวลาไปประกอบพิธีต่างๆ ค้นไปค้นมาจนทราบว่าเค้าเรียกว่า ผง Kum Kum (กุมกุม) หาข้อมูลมาได้ตามนี้เลยครับ
กุมกุม (Kum Kum) คือ ผงแป้งชนิดหนึ่งที่ใช้แต้มในทางศาสนาของชาวฮินดู ส่วนใหญ่ทำจากขมิ้นแห้งป่นเป็นผง เมื่อผสมกับน้ำมะนาวก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดง ผงกุมกุมนั้นแสดงถึงสัญลักษณ์ที่เป็นมงคล
เมื่อสตรีสาวหรือหญิงที่แต่งงานแล้วมาเยี่ยมบ้านก็จะแต้มผงแดง เป็นสัญลักษณ์ของการเคารพ หรืออวยพร หรือเมื่อพวกเขาจากไปก็เช่นกัน อย่างไรก็ตามจะไม่แต้มให้กับหญิงหม้าย ส่วนผู้ชายก็แต้มได้เป็นสัญลักษณ์ของความรอบรู้ทางจิตวิญญาณ รวมถึงยังใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาด้วย
และที่สำคัญยังมีเทศกาลอีกช่วงที่เราอาจจะเคยผ่านตามาแล้วในทีวีนั้นคือเทศกาลสาดสีในเทศกาลปีใหม่ของอินเดียจะจัดขึ้นในช่วง เดือนมีนาคมของทุกปี ซึ่งเป็นรอยต่อจากฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ อากาศกำลังอบอุ่นสบาย โดยเรียกช่วงเวลานี้ว่าเทศกาลโฮลิ
หรืออย่างวัดเองทุกเช้าจะมีคนมานั่งรอให้วัดเปิดอย่างพี่ๆกลุ่มนี้ใส่ชุดขาวเตรียมพร้อมนั่งรอวัดและนักบวชเพื่อจะเข้าไปทำพิธีบูชาเทพเจ้า ผมเดินเข้าไปในด้านในเนื่องจากยังเช้าอยู่มากเราเลยไม่ได้เก็บภาพใดๆนอกจากเจอนักบวชท่านนี้ที่กำลังง่วนกับการเตรียมแต่งตัวเพื่อปฎิบัติกิจทางศาสนาครับ
เมืองนี้มีอีกอย่างที่ไม่คุ้นตาเท่าไหร่นักคือที่นี่นิยมผ้าทอกันทั้งนั้น ผู้ชายจะหาใส่เสื้อยืดได้น้อยมาก นิยมใส่เสื้อเชิรต์กันทั้งนั้น ส่วนผู้หญิงยังไงก็เป็นส่าหรี่อยู่แล้วสีสันก็สวยงามตัดกับสีผิวคล้ำๆของเธอ แต่ที่แปลกและไม่คุ้นตาเลยก็คือช่างเย็บผ้าครับ ที่นี้แทบทุกร้านที่ขายผ้าหรือหมอนมุ้ง ที่เก่งๆก็เป็นผู้ชายทั้งนั้น หาผู้หญิงเย็บผ้าให้เห็นไม่มีเลย ร้านรวงที่ขายที่หลับที่นอน หมอนมุ้งล้วนแต่เป็นชายสูงวัยนั่งถีบจักรกันทุกๆร้านให้เห็นว่าเราทำกันเอง จริงๆนะเนี่ย
ว่ากันด้วยเรื่องรถ
รถในอินเดียมีบริการทั้งรถเมล์ Taxi รถลาก และอีกหลายรถแต่รถที่อยากนำมาเล่าคือ รถตุ๊กตุ๊ก ครับ ที่อินเดียมีรถตุ๊กๆแบบบ้านเราเลย แต่ทีนี่จะเรียกว่า “รถออโต้ริกซอว์” รถสีเหลืองที่ตะเวณวิ่งไปได้ทั้งเมือง สำหรับราคาก็ขึ้นอยู่ที่คุณจะต่อรอง ที่สำคัญเผื่อใจไว้บ้างหากจะเจอการโก่งราคา
ส่วนตัวเท่าที่หาข้อมูลมาก่อนการเดินทาง มีเสียงบอกให้เวลาต่อรองให้ต่อเผื่อเยอะๆไว้ก่อนเพราะเค้าจะโก่งราคาสูงกว่าความจริง สำหรับผมอดเพราะเราเช่ารถมาเลย ไม่ได้ใช้บริการแต่ชอบรถตุ๊กตุ๊กที่นี่ครับ มีความคล้ายคลึงกันกับตุ๊กตุ๊กบ้านเรา หากจะนับญาติกันก็ยังไหวนะครับ เพราะดูๆไปก็แค่สีเท่านั้นที่ต่างกันชัดเจนทีเดียว
เค้าสีเหลืองเราสีน้ำเงิน มีหนนีึงระหว่างเดินเล่นในเมือง ผมเห็นรถตุ๊กตุ๊กผ่านมาพร้อมผู้โดยสารนั่งกันแถวละ 3 คน 3 แถวเสียดายที่ยกกล้องถ่ายไม่ทันจริงๆ เชื่อเลยว่าเค้าเก่งจริงๆนั่งกันได้
รถต่ออีกประเภทครับรถเมล์ที่นี่รถเมล์จะถือเป็นบริการที่นิยมมากที่สุด เพราะวิ่งรับส่งกันทั่วเมืองจุดที่เที่ยวต่างๆหลายๆจุดรถเมล์ก็สามารถเข้าถึงได้นะครับ ระหว่างที่เดินชมตลาดอยู่รถเมล์ผ่านมาเลยได้เก็บภาพรถเมล์แน่นขนัดตั้งแต่ออกจากท่ารถกันเลย
ดูไปก็ไม่ต่างจากบ้านเรานักนะครับ บริการสาธารณะมวลชนที่คนทั่วไปสัมผัสได้แต่ต้องอดทนครับ
ขอทาน
ที่อินเดียขึ้นชื่อว่ามีขอทานเยอะที่สุดในโลก ผมเองก็ได้รับการต้อนรับชุดใหญ่ทีเดียวตั้งแต่วันแรกที่มาเยือน การให้ทานสำหรับคนอินเดียถือเป็นการทำบุญเพื่อให้ตัวเองเจริญขึ้น เราจึงเห็นขอทานอยู่ในทุกๆที่แม้แต่ในวัดที่ผมไป ระหว่างถ่ายภาพเก็บภาพอยู่ในเมืองเชนไนก็มีลุงคนนึงแกบุ๊ยใบ้ระหว่างที่เห็นผมกำลังเก็บภาพวิหารด้านในประมาณว่าไม่ให้ทำนะห้ามถ่ายผมก็ยกกล้องลงแต่ไม่ทันไรแกกวักมือผมให้ไปใกล้ๆ ไอ้เราก็นึกว่าจะให้ถ่ายรูป แต่แกกลับแบมือขอตังเราซะงั้น เกือบไปแล้วละครับ หลังจากปฎิเสธไปหนนี้เลยเสนอขายแทนเลย หนังสือในมือนั้นละครับ ผมละงงมากๆเพราะหนังสือที่เห็นเป็นของในวัดนั้นละครับ เค้าวางไว้ให้คนที่มาได้หยิบสวดกันได้ประมาณหนังสือสวดมนต์บ้านเราที่อยู่ในโบสถ์ อือลุงน้อนลุงทำไปได้
คนจรจัดเราก็เห็นได้ทั่วไปเช่นกันบอกตรงๆผมบางทีก็แยกไม่ออกเลยครับ ว่าคนไหนขอทานคนไหนจรจัดบางทีมาพร้อมๆกันก็มี อย่างลุงคนนี้ก็น่าจะใช่นะครับแกนอนหลับเป็นสุขเชียวละ
ยามเช้าในอินเดีย
หากคุณเป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่ขี้เกียจเกินไปควรตื่นเช้าให้เร็วหน่อยครับ เพราะทุกๆบ้านเมืองยามเช้าเรามักจะได้เห็นการเริ่มต้นวันใหม่ของวัฒนธรรมต่างที่ๆเราอาจจะไม่ได้เห็นอีกเลยตลอดทั้งวัน และประสบการณ์ยามเช้าตลอดทริบนี้ของผมมีเรื่องอยากเล่าอยู่เหมือนกัน
เช่นทุกๆเช้าคนอินเดียใต้ เค้าจะตื่นแต่เช้าและบรรจงใช้ช็อคเขียนเป็นลวดลายที่หน้าบ้านของตนแต่เช้า เค้าเรียกกันว่า Kolum (โกลัม) คือลวดลายมงคล นิยมเขียนกันไว้ที่หน้าวัด หน้าบ้าน ทุกเช้าเราจะเห็นหญิงสาว ออกมาราดน้ำบนพื้นด้านหน้าบ้าน ให้เปียก
เสร็จแล้วก็นั่งลงเอาผงแป้งข้าวเจ้าโรยบนพื้นนั้นขณะยังหมาดๆ หรือบางบ้านก็ใช้ช็อคเขียนประมาณว่าเร็วกว่าโรยแน่ๆ เน้นให้เป็นลวดลายต่างๆ หลักความเชื่อก็คือเป็นการเชื้อเชิญสิ่งมงคล ความเจริญรุ่งเรือง และความอุดมสมบูรณ์เข้าสู่บ้าน พร้อมกับป้องกันสิ่งอัปมงคลไปในตัว พอแห้งแล้วลวดลายก็จะติดทนนานไปจนเย็นค่ำ ทั้งนี้แป้งที่ใช้ยังถือเป็นการทำบุญด้วย อย่างหญิงอินเดียคนนี้ก็ใช้ช็อคทีทำจากผงแป้งที่จับจนแข็งตัวเหมือนๆกับช็อคเขียนกระดานก็ว่าได้ ดูเธอตั้งใจยิ่งเห็นมีหนุ่มๆอย่างเรารุมกันถ่ายภาพก็ยิ่งตั้งใจเขียนสุดฝีมือทีเดียวครับ
และเช้าวันสุดท้ายของเราที่เมืองมหาบาลีปุรัม ผมก็ตื่นแต่เช้าเลยครับ ข้อดีที่ได้เปรียบหากตัวคุณยังไม่ชินกับเวลาเนื่องจากเวลาที่นี่ช้ากว่าเรา 1.30 ครึ่ง
หากเรานอนที่นี่ตอนเที่ยงคืนเท่ากับว่าเรานอนตอนสี่ทุ่มครึ่งของบ้านเราเท่านั้นครับผมก็ใช้เวลานอนตามที่นี้ แต่ด้วยความชินทำให้ผมตื่นเช้าได้เร็วมากๆ ตี5 กว่าๆก็ออกเดินจากที่พักเพื่อมุ่งหน้าไปเก็บภาพริมทะเลตอนเช้าที่อยากได้แล้ว
ยามเช้าริมทะเลเป็นเวลาที่สวยงามที่สุดและผมก็ปล่อยเวลาดังกล่าวไปกับบรรยากาศรอบๆตัว
ยามเช้าที่เมืองริมทะเลไม่ต่างจากบ้านเรานักจะได้เห็นเรือประมงจอรอออกจากฝั่งเรียงรายอยู่ตลอดแนวหาด แต่ที่แปลกตาที่สุดก็ต้องยกให้กับสีสันของบ้านเรือนและลวดลายที่แต้มลงบนเรือหาปลา ให้บรรยากาศสดใสขึ้นมาได้ทันที
ผมเก็บภาพไปเรื่อยๆจนมาเจอกับชาวประมงคนนึงที่กำลังง่วนกับการแกะอวนของแกครับ ภาพธรรมดาที่ชินตาแบบนี้บางทีก็ให้บรรยากาศทะเลที่เมืองไทยเหมือนกันนะครับ
สรุปกันหน่อย
ทริบอินเดียใต้ในเวลาสั้นๆแค่ 4 วันนับเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่และท้าทายความกลัวและคิดไปเองของผมมากเลยทีเดียวเอาเข้าจริงๆถ้าคุณๆมีการเตรียมพร้อมมาระดับนึง หาข้อมูลและเลือกใช้บริการที่เหมาะสมกับสไตล์การเดินทางของตัวคุณเองได้ อะไรๆที่มันน่ากลัวก็มักจะอยู่แต่ในความคิดของเราเท่านั้นเอง อย่างทริบนี้ เราใช้บริการรถเช่าตลอดการเดินทาง และคนขับรถของเราก็เป็นเสมือนทั้งไกด์และสารถีที่จะให้ความรู้และอยู่เป็นเพื่อนกับเราไปตลอด ตอนท้ายนี้ผมของชม Linggum หน่อยนะครับแม้จะรู้ว่าเค้าอาจจะอ่านภาษาไทยไม่ได้ หรืออาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมจะเขียนถึงเค้าก็ตาม แต่อยากบอกว่าเค้าได้สร้างความประทับใจในการบริการที่เป็นกันเอง ภาษาอังกฤษที่ชัดระดับนึงทีเดียว ที่สำคัญความซื่อสัตย์ที่เสมือนเป็นตัวแทนการบริการที่ดีจากประเทศอินเดียส่งให้ผมได้รับความประทับใจแล้ว
บทส่งท้ายนี้ ขอเล่าเรื่องเค้าไว้สักหน่อยครับ ตัวเค้าเป็นพี่ชายคนโตที่หาเลี้ยงน้องและส่งเสียให้เล่าเรียน LingGum มีน้องหลายคนพ่อแม่ไม่มีปัญญาส่งเสียให้เรียนสูงๆได้เค้าจึงออกมาช่วยพ่อแม่ทำงานตั้งแต่เด็กๆ โดยที่คุณอาจจะไม่เชื่อว่าเค้าไม่เคยได้เรียนอะไรมาเลย ภาษาอังกฤษที่ใช้สนทนากันก็หัดเรียนด้วยตัวเองเพราะเค้ารู้ว่า “ภาษา” นั้นจะทำให้เค้ามีเงินเลี้ยงน้องและสุดท้ายการมาทำอาชีพคนขับรถคือใบเบิกทางให้เค้าได้ส่งเสียน้องๆได้ ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันไม่ว่าผมจะชวนเค้ามานั่งกินข้าวด้วยกันแค่ไหน หรือชวนมานั่งดริ๊งกันเล็กๆน้อย เค้าจะปฎิเสธอย่างสุภาพและตอบเราว่าเค้ายังอยู่ในเครื่องแบบพนักงานไม่สมควรนั่งกับแขกแต่อย่างใดถือเป็นกฎกติกาของการทำงาน
ที่สำคัญ LingGum ให้ความเคารพกับบริษัทที่เค้าเป็นลูกจ้างสูงมากอย่างเช่น หากเราจะออกนอกเส้นทางที่กำหนดไว้ทุกครั้ง เค้าจะปรึกษากับทางบริษัทว่าเป็นไปได้หรือไม่เนื่องด้วยเค้าคงถูกกำชับเรื่องเวลาและสถานที่ๆเราแจ้งไว้ เค้าจะกังวลมากหากเค้าจะเป็นคนทำให้เราช้าไป ทุกครั้งเค้าจะถามเราเสมอหาก Late ไปบ้างว่าเราโอเคไหม และด้วยความสุภาพและมีมารยาทของเค้า ทำให้ผมต้องมองคนอินเดียเสียใหม่ และทำให้มองประเทศนี้ใหม่อย่างที่ของทิ้งมุมมองเกาๆแบบที่เราเคยได้ยินมาไว้ข้างหลังครับ
ท้ายนี้ คงต้องกล่าวอำลาทริบอินเดียในที่สุด หากมีโอกาสกลับไปอินเดียอีกครั้ง คงมีเรื่องราวสนุกๆและสาระประโยชน์บางประการมาฝากกันอีกนะครับ
ขอบคุณสำหรับเพื่อนๆ ที่ร่วมเดินทางไปลุยอินเดียด้วยกัน
ครั้งแรกไม่ได้พวกเราอินเดียคงไม่สนุกขนาดนี้ ขอบคุณสายการบินแอร์เอเชีย เจ้าประจำบ้านเราที่ใช้เดินทางไปไหนมาไหนบ่อยๆมาก
และถ้าไม่มีสายการบินนี้เราคงไม่สามารถมารู้จักอินเดียในมุมมองใหม่ๆนี้ได้ อ่อขากลับนั่งดูไรเพลินๆทางแอร์เค้าเข็นรถขายของที่ระลึกมา เลยขอดูว่ามีไรบ้าง ผมเลยได้ Thumb Drive เท่ๆมาครับ
ราคาก็ไม่ได้แพงไรนะครับ ใกล้เคียงกับแบบอื่นๆใรท้องตลาด แต่อันนี้ดูเท่ดีครับ ขนาด 8 GB
ท้ายนี้ขอบคุณผู้อ่าน เพื่อนๆทุกคนที่ติดตามเรามาจนถึงบรรทัดนี้หากไม่มีคุณๆเราก็คงไม่มีวันนี้ครับ
จนกว่าจะมีเส้นทางใหม่แล้วเราจะได้เจอกันอีกนะครับ ขอบคุณมากๆครับ
แผนการเดินทาง
ทริบทำความรู้จักอินเดียใต้ซัก 3 เมืองใช้เวลา 4 วัน 3 คืน กำลังดี
เริ่มต้นที่คืนวันแรกที่เดินทางไปถึง Chennai วันที่2ไปเมือง Kanchipuram และ วันที่ 3 เมือง Mahabalipuram
ก่อนจะกลับมาวันสุดท้ายเที่ยว Chennai และบินกลับเมืองไทย
วันแรก
18.30 นัดเจอที่สนามบิน พร้อมกันทุกคน เพื่อเช็คอิน
19.30 ออกเดินทางไป ไปเมือง chennai
21.30 ถึงประเทศอินเดีย เมือง chennai ทำเรื่องผ่านแดน
22.30 ถึงที่พัก คืนแรก คุยทริปพรุ่งนี้ก่อนเข้านอน แล้วค่อยพักผ่อน
วันที่สอง
8.30 รับประทานข้าวเช้า
9.30 เดินทางไปเมือง Kanchipuram
12.00-12.30 รับประทานอาหาร กลางวัน
13.30 เที่ยวชม เทวสถานเอกัมพเรศวร” เป็นวัดฮินดูใหญ่สุดประจำเมืองนี้
ไปเที่ยวและดู โรงทอผ้าเผื่อซื้อได้ผ้าราคาไม่แพงฝากคนที่บ้าน
14.30 เทวาสถาน วรทราชาเปรุมัล
17.30 เข้าพัก โรงแรม
17.45 ออกไปหา ร้านอาหาร ทาน ถ่ายรูป ชาวบ้านตอนกลางคืน เดินเที่ยวกันรอบๆเมือง
เช้าวันที่สาม
6.00 จากโรงแรมไป shore temple ถ่ายพระอาทิตย์
8.30 กลับไปเมืองท่า Mahabalipuram
10.00 เทวสถานไกรลาสนาถKailasanatha Temple ตามด้วย
10.30 ถึงเมือง Mahabalipuram
11.30 เข้าที่พัก เพื่อ พักผ่อน
14.00 เที่ยวชมโบราณสถานต่างๆรอบๆเมือง ถ้ำเสือ” (Tiger Cave)
จากนั้นแวะชมภาพแกะสลักอรชุนบำเพ็ญตบะ (Arjuna’s Penance)
ที่หน้าผาหินธรรมชาติขนาดใหญ่ ไปต่อที่ ปัญจปาณฑพรถะ Pancha Pandava Rathas หรือที่เรียกว่าปราสาทหินห้าพี่น้อง
หลังจากนั้นไปชมกลุ่มเทวาลัยชายหาด (Shore Temples) หรือ “ราชสิงเหศวร
18.00 ถ่ายแสงตอนเย็นริมทะเล อยู่ประภาคารกลางเมือง ถ่ายภาพที่นั้นเห็นเมืองทั้วเมือง
19.00 รับประทานอาหารเย็น เข้าที่พัก
วันสุดท้าย
6.00 ตื่นมาถ่ายแสงตอนเช้า ที่ริมทะเล
8.00 ออกจากที่นีแต่เช้า
9.00 ถ่ายหมู่บ้านทักศินะจิตรา จำลองวิถีชีวิต ชาวบ้านของแคว้นทมิฬนาดู
11.00 รับประทานอาหาร เตรียมตัวกลับเข้าเมือง เชนไน Channai
14.00 มาถึงเมือง เชนไน โดยประมาณ แวะทานอาหาร
15.30 เที่ยวรอบๆเมือง เรื่อยๆ
20.30 ไปสนามบิน เพื่อ เช็คอิน
22.00 บินกลับเมืองไทย
01.00 ถึงไทยครับ
2 Comments
มาเรีย ณไกลบ้าน
สุดยอดเลยนุ๊ก รีวิวละเอียดมากกกก ^^
Pingback: ที่เที่ยว:มัณฑะเลย์….พม่า เมืองน่ารัก คนยิ่งน่าฮัก(กว่า) | Blogท่องเที่ยว ที่รวม ที่เที่ยว ที่