Journey of Western Europe
Episode 1 Portugal Part 1 Lisbon Sintra
สำหรับตอนที่ 2 เชิญที่นี่เลยนะครับ http://blog.one22.com/archives/13151
ก่อนอื่นต้องขอกล่าวสวัสดี เพื่อนๆที่ติดตาม Web One 22 แห่งนี้ด้วยครับ
ผมขอแนะนำตัวก่อน ผม เอ๋อ้อย จากเพจ Travel Planet by vichie81
https://www.facebook.com/Travel.Planet.By.Vichie81
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปผมจะขอเข้าประจำการ เป็นหนึ่งใน Blogger ของบ้านหลังนี้ครับ
โดยจะเน้นข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่างประเทศครับ
โดยสำหรับตอนแรกนี้ผมจะพาเพื่อนๆทุกคนไปเที่ยวทางยุโรปตะวันตก
ซึ่งประกอบไปด้วย โปรตุเกส สเปน และ ฝรั่งเศสครับ
ประเทศเหล่านี้ยกเว้นฝรั่งเศสอาจจะเป็นประเทศที่ยังไม่เป็นที่นิยม ในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยมากนัก
แต่จากการที่ผมได้ไปสัมผัสทริปนี้มากว่า 32 วัน ต้องบอกเลยว่าประเทศเหล่านี้มีของครับ
หลายๆสิ่งล้วนชวนน่าหลงใหลให้กลับไปเยี่ยมเยียนอีกครั้งครับ
This is Road Trip
สำหรับทริปนี้การเดินทางหลักๆของผมคือการเช่นรถยนต์เที่ยวครับ
จริงๆแล้วต้องบอกว่าเมืองในยุโรปนั้น เหมาะแก่การเที่ยวด้วยรถไฟมากกว่านะครับ
เพราะว่าแต่ละเมือง ล้วนมีรถไฟที่วิ่งถึงกันได้ และต้องบอกว่าอาจจะเร็วกว่า การขับรถเสียด้วยซ้ำครับ
แต่ของผมด้วยความที่ว่าไปหน้าร้อนซึ่ง พระอาทิตย์จะตกดึกมาก คือราว 3-5 ทุ่ม แล้วแต่เมืองครับ
ซึ่งมีสถานที่เที่ยวนอกเมืองหลายๆที่ที่ผมต้องใช้รถขับไป เนื่องจากรถสาธารณะหมดนั่นเองครับ
ในทริปนี้ผมจึงตัดสินในในการเช่ารถขับครับ
ซึ่งแน่นอนการขับรถใน EU เป็นรถยนต์พวกมาลัยซ้ายนะครับ (แต่ถ้าไปอังกฤษจะเป็นพวงมาลัยขวา)
ทั้งนี้เรื่องของการขับรถข้ามประเทศก็ไม่ต้องห่วงครับ มันเป็น Borderless ครับ
ไม่ต้องมีการเช็คอะไรใดๆทั้งสิ้น แค่ขับผ่านไปเฉยๆได้เลยครับ
แต่ที่นี้อาจจะมีบ้างเรื่องของกฎหมายของแต่ละประเทศที่แตกต่างกันไปครับ
เช่นเรื่องการจำกัดความเร็วคือ โปรตุเกส 110 สเปน 120 ฝรั่งเศส 130 อะไรอย่างนั้นครับ
สำหรับการเช่ารถ รอบนี้ผมเช่ารถแยกเป็น 2 ช่วงครับ คือที่โปรตุเกส และสเปน
โดยรถที่เช่าจากสเปน ผมเอาไปคืนที่ฝรั่งเศสเลย
แต่การคืนรถต่างสถานที่โดยเฉพาะ คนละประเทศนั้นจะค่อนนข้างแพงครับ โดยเราจะถูกชาร์จค่า One Way Fee
ซึ่งแพงมากครับ อย่างตอนเช่ารถสเปน คืนฝรั่งเศษ เช่ารถประมาณ 20 วัน
ค่าเช่ารถ 200 EUR แต่เจอค่า One Way Fee ไป 400 EUR ครับ
แต่ตอนนั้นผมดูแล้วว่าถ้าเปลี่ยนเป็นนั่งรถไฟข้ามประเทศแทน
ค่าตั๋วรถไฟมันแพงกว่าครับ
แต่ช่วงโปรตุเกสไปสเปน ผมได้ตั๋วรถไฟถูกมาก (มีโปรพอดี)
อันนั้นเลยคืนรถแล้วนั่งรถไฟข้ามประเทศแทนครับ
ซึ่งอันนี้ต้องลองดูกันเองครับ เพราะโปรมันจะมีมาเรื่อยๆครับ
สำหรับการจองรถ ถ้าจองแบบไม่ได้ข้ามประเทศ ผมชอบจองผ่านเจ้านี้ครับ http://www.erentals.co.uk
เป็นเว็บของอังกฤษ เป็น Agency ที่ให้ราคาถูกมากครับ แต่ถ้าข้ามประเทศเจ้านี้ไม่มีนะครับ
แต่ข้อเสียคือตอนจองเราจะไม่รู้ว่าเราจะได้รถจากเจ้าไหน
ซึ่งครั้งนี้ที่โปรตุเกสผมได้เจ้าที่เป็น Local ของโปรตุเกส ชื่อ Go Rent ราคาถูก รถดี
แต่ Office อยู่นอกสนามบินครับ เสียเวลาในการโทรเรียกเล็กน้อยครับ
แต่อย่างตอนผมไปอังกฤษจองผ่านเจ้านี้ ผมได้ของ Enterprise ซึ่งก็ถือว่าเป็นเจ้าใหญ่นะครับ
แต่เจ้านี้มีข้อเสียนิดนึงคือเป็นแบบ Pre Paid คือจ่ายเงินก่อน แล้วเอา Voucher ไปเอารถครับ
ซึ่งผมมีปัญหานิดนึงตอนไปอเมริกา เพราะผมจองไป 2 คัน แต่ไปถึงแล้วจริงๆ มีรถที่ใหญ่ขึ้นสามารถใช้คันเดียวได้
จึง Refund ไปใบนึงซึ่งขั้นตอนการ Refund ยุ่งยากมากๆ แล้วระบบเค้าดูงงๆครับ จนเกือบจะไม่ได้เงินคืนครับ
และบริการหลังการขายไม่ดีเท่าไหร่
แต่ถ้าจองคันเดียวอยู่แล้ว และไม่ได้ไปเปลี่ยนรถอะไรมาก เจ้านี้ถือว่าให้ราคาดีมากครับ
ส่วนที่สเปนผมจองผ่าน Expedia ไปครับ ซึ่งของ Expedia นั้นจะ List มาให้เลยว่า
รถเจ้าไหนราคาเท่าไหร่ครับ ซึ่งผมเลือกของ Hertz ไปครับ
GPS
สำหรับการเดินทางโดยใช้รถนั้นผมแนะนำว่าควรที่จะมี GPS เพราะว่าถนนในเมืองใหญ่ๆในยุโรปค่อนข้างที่จะวุ่นวายมากครับ
ถนนเล็กๆ ตรอกซอกซอยเยอะมากครับ หลงได้ง่ายๆเลยครับ ซึ่ง GPS เองผมแนะนำว่าเราสามารถซื้อเครื่องจากเมืองไทย
แล้วหาโหลด แผนที่ฟรีที่เป็นพวก Open Street Map ไปใช้งานได้ครับ
อย่างของผมผมซื้อ GPS ของ Garmin ตัวที่ถูกที่สุดราคาประมาณ 2500 บาท
ซึ่งถูกกว่าการไปเช่า GPS ที่นู่นเสียอีกครับ
โดยเรื่องแผนที่ผมโหลดจากที่นี่ครับ http://mapas.alternativaslibres.es/downloads.php
มีแผนที่แยกประเทศไว้ให้ แต่ถ้าจะเอาแผนที่ทั้งยุโรป
เพื่อเวลาเราข้ามประเทศจะต้องให้มัน Gen Route ระหว่างประเทศได้
เว็บนี้จากขอให้เรา Donate อย่างน้อย 16 Euro ครับ
ซึ่งผมก็ Donate ให้เค้าและโหลดแผนที่ของทั้งยุโรปมาใช้ครับ
และอีกเว็บที่ผมใช้บริการบ่อยคือเว็บนี้ครับ http://www.osmmaps.com
ของที่นี่ผมโหลดแผนที่ตอนไปเที่ยวอเมริกาและแคนาดาครับ
ซึ่งหลังจากได้แผนที่แล้วเราก็ต้องมาใส่พิกัดสถานที่ที่เราจะไปครับ
ซึ่งพวกโรงแรมส่วนมากจะมีพิกัด GPS มาให้อยู่แล้วก็ให้เราบันทึกลงไปได้เลย
พวกสถานที่เที่ยวก็เช่นกันครับ
สำหรับสถานที่บางที่ที่เราไม่ทราบพิกัด GPS แต่รู้ว่าอยู่ตรงไหนใน Google map เราก็สามารถบันทึกได้เช่นกัน
โดยให้เราคลิกขวาที่แผนที่จุดที่เราต้องการไปแล้วเลือก Waht’s Here หรือ ที่นี่คืออะไร
แล้วมันจะขึ้นพิกัดมาให้ครับ แต่ทีนี้พิกัดที่ขึ้นมาอาจจะไม่ตรง format ที่ GPS เราใช้
เราก็สามารถไปแปลงได้ที่เว็บนี้ครับ
http://www.gpsvisualizer.com/calculators
เท่านี้เราก็จะได้ GPS ไว้ใช้งานแล้วครับ
ข้อแนะนำในการใช้ GPS ผมแนะนำให้ใช้ควบคู่กับ Googel Map รวมไปถึงป้ายถนนต่างๆนะครับ
เพราะผมเคยเจอว่าบางครั้ง GPS พาผมไปผิดทาง
เนื่องจากที่ที่ผมจะไปเป็นที่เที่ยวที่อยู่บนเขา ซึ่งกินพื้นที่มาก
ปรากฎว่า GPS มันพาผมไปเข้าด้านหลังซึ่งใกล้กว่า
แต่ถนนนั้นมันปิดให้ใช้ได้เฉพาะเจ้าหน้าที่อะไรอย่างนั้นครับ
หรือบางทีมันจะพาอ้อมทางถนนใหญ่ ซึ่งอาจจะต้องอ้อมไปมากกว่า 200-300 โลก็มีครับ
ดังนั้นผมจึงแนะนำให้ใช้คู่กันทั้ง GPS และ Google map ครับ
การติดต่อสื่อสาร
เนื่องด้วยหลังๆผมนิยมใช้ Google Map ในการพาเที่ยวดังนั้น
ผมจะต้องการอินเตอร์เนตไว้ใช้ในเมืองระหว่างเที่ยวครับ
ซึ่งการเที่ยวใน EU จะลำบากนิดนึงเนื่องจากพอเราเปลี่ยนประเทศ เราก็จะต้องเปลี่ยนซิมไปด้วย
ต่างจากการไปเที่ยวอเมริกาที่ซิมสามารถใช้งานแบบ Nationwide ทั่วประเทศครับ
ก่อนไปผมหาข้อมูลซิมประเทศต่างๆจากเว็บนี้ครับ
http://prepaidwithdata.wikia.com/wiki/Portugal
http://prepaidwithdata.wikia.com/wiki/Spain
http://prepaidwithdata.wikia.com/wiki/France
เป็นเว็บแนววิกิที่คนใช้งานทั่วไปเอาข้อมูลมาอัพเดทให้ครับ
ถ้าเพื่อนไปประเทศอื่นๆ ก็เปลี่ยนชื่อประเทศด้านท้าย Link ได้เลยครับ
ปล. ที่สนามบินลิสบอนโปรตุเกสจะมีบุทของ Vodafone อยู่ครับ
ค่าซิมพร้อมอินเตอร์เนต 1 GB ใช้งานได้ 1 เดือน อยู่ที่ 14 EUR ครับ
การเดินทางในลิสบอน
การเดินทางเที่ยวในลิสบอนปัจจุบันก็ง่ายขึ้นเยอะครับ
เพราะปัจจุบันมีรถไฟใต้ดินไปถึงสนามบินลิสบอนแล้วครับ (ถ้าจำไม่ผิดสายนี้พึ่งเปิดเมื่อปีที่แล้วครับ)
รวมไปถึงสถานีรถไฟ Oriente ที่จะเชื่อมไปยังเมืองต่างๆ และประเทศสเปนด้วยครับ
การใช้ Metro นั้นที่นี่จะมีการคิดค่าตั๋วกินเปล่าก่อน 0.5 EUR ครับ
ซึ่งหลังจากนั้นก็สามารถใช้ตั๋วใบนั้นในการเติมเงิน แบบเดียวกับที่สิงคโปร์ครับ
ซึ่งบัตรดังกล่าวรวมไปถึงการเติมแบบพวก Day Pass ได้ด้วยเช่นกันครับ
อันนี้เป็นแผนที่รถไฟใต้ดินฝั่งเมืองในปัจจุบันครับ
เอาหล่ะครับเกริ่นนำมาเยอะแล้ว…
ได้เวลาพาเพื่อนๆไปชมความงามของเมืองลิสบอนแล้วหล่ะครับ
Lisbon
National Sanctuary of Christ the King (Cristo Rei)
ที่แรกที่ผมไปคือที่นี่ครับ National Sanctuary of Christ the King เป็นที่ตั้งของพระเยซูคริสต์ อยู่บนยอดเขา
เป็นรูปปั้นแบบเดียวกับพระเยซูที่อยู่ที่ ริโอ เดอ จาเนโร ที่บลาซิลครับ แต่ที่นี่รูปปั้นจะเล็กกว่าครับ
และสาเหตุของการปั้นรูปปั้นนี้ขึ้นมาก็เกิดจากแรงบันดาลใจของ Cardinal Patriarch แห่งลิสบอน
ที่ได้ไปเยือยนคร ริโอ เดอ จาเนโร มานั่นเอง
สำหรับสถานที่ตั้งนั้นจะอยู่บนฝั่ง Almada ครับซึ่งตรงจุดนี้จะไม่มีรถไฟใต้ดินไปถึง
โดยทั่วไปแล้วจะต้องนั่งรถเมล์ข้ามไปครับ โดยรถเมล์สายที่ข้ามไปได้คือสาย 753 ครับ
บริเวณโดยรอบที่นี่จะเป็นสวนครับ
25 April Bridge (Ponte 25 de Abril)
ซึ่งจากสวนที่นี่เราสามารถชมสะพานข้ามฝั่งที่ข้ามแม่น้ำทาร์กัส หรือแม่น้ำเทโจ ของลิสบอนได้ครับ
โดยสะพานแห่งนี้มีชื่อว่า Ponte 25 de Abril หรือ 25 April Bridge นั่นเองครับ
ซึ่งสะพานแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1966 ซึ่งแต่เดิมมีแต่ถนน และมีการต่อเติมเพิ่มเป็นสะพานรถไฟในภายหลังครับ
ซึ่งถ้าดูถึงรูปลักษณ์และสีแล้วสะพานนี้จะไปละม้ายคล้ายคลึงกับสะพาน Golden Gate ที่ ซานพรานซิสโกนั่นเองครับ
โดยชื่อของสะพานนั้นหมายความถึงการรัฐประหารทางประเทศที่เรียกว่า Carnation Revolution ที่เกิดขึ้นเมื่อ 25 เมษายน 1974 นั่นเองครับ
แรกทีเดียวผมแพลนว่าจะถ่าย Twilight ที่นี่ครับ
แต่ว่าเกิดปัญหาขึ้น เนื่องจากที่ตรงนี้ปิดตอน 18:30 ครับ
ซึ่งจุดที่ผมจะถ่ายก็ดันอยู่ในพื้นที่ของ National Sanctuary of Christ the King เสียด้วยครับ
ทำให้ผมต้องเปลี่ยนแพลนครับ โดยขับรถลงไปที่ด้านล่างของฝั่ง Almada แล้วถ่ายสะพานจากด้านล่างแทนครับ
ก็ได้ภาพมุมนี้มาแทนครับ
ตรงที่ผมถ่ายเป็นเหมือนโรงงานร้างครับ
มีชาวบ้านแถวนั้นมานั่งตกปลาเต็มไปหมดเลยครับ
แต่พวกชาวบ้านกลับกันตอนพระอาทิตย์ตก แต่พวกผมอยู่ถ่ายรูปต่อแอบเปลี่ยวและน่ากลัวอยู่เหมือนกันครับ
แต่แลกกับการได้รูปสวยๆก็โอเคอยู่ 555
วันแรกของทริปผมก็หมดเพียงเท่านี้ครับ
เพราะกว่าสมาชิคทั้งหมดจะมาถึงสนามบินก็บ่าย 3 แล้ว
เข้าโรงแรมประมาณ 4 โมงวันนี้ก็เลยจัดโปรแกรมสบายๆนิดนึงครับ
Lisbon City Tour
สำหรับวันที่ 2 วันนี้ผมจะเดินเที่ยวในเมืองลิสบอนครับ
ซึ่งวันนี้ผมจอดรถทิ้งไว้ที่โรงแรมเลยครับ แล้วใช้บริการขนส่งสาธารณะเป้นหลักครับ
โดยวันนี้ผมซื้อตั๋ว Day Pass เอาครับ ถ้าจำไม่ผิดราคาจะประมาณ 6 EUR ซึ่งขึ้นรถประมาณ 4 เที่ยวก็คุ้มแล้วครับ
อันนี้คือจุดที่ผมไปเที่ยวครับ ส่วนแรกจะอยู่ในเมืองเก่าครับ
และส่วนนี้จะอยู่โซน Belem ครับ ซึ่งสามารถนั่งรถเมล์ หรือรถรางไปได้ครับ รวมถึงรถไฟด้วย
ผมไม่แน่ใจว่ารถไฟนี่รวมอยู่ใน Day Pass หรือเปล่า
โดยรถเมล์จะไปลงแถวๆ Jerónimos Monastery ครับ
Ferdinand Magellan Statue
ลิสบอนเองนั้นก็มีความคล้ายคลึงกับหลายๆเมืองในยุโรปคือ ตามถนนหนทางจะมีรูปปั้นของบุคคลต่างๆมากมายครับ
รูปปั้นนี้อยู่ตรงถนนแถวๆที่พักตรงสถานีรถไฟสถานี Arroios เป็นรูปปั้นของ Ferdinand Magellan
ซึ่งเป็นผู้สำรวจโลกชื่อดังคนนึงครับ โดยการเดินเรือที่ขึ้นชื่อของ Ferdinand Magellan
คือการล่องเรือไปทวีปเอเชียโดยอ้อมทางอเมริกาครับ ซึ่งการเดินเรือของเค้าก็เป็นหนึ่งในข้อพิสูจน์ว่าโลกนี้เป็นทรงกลมครับ
Rossio Square (Praça de D. Pedro IV)
เป็นจตุรัสกลางเมืองของลิสบอนครับ มีอีกชื่อหนึ่งว่า Pedro IV Square โดยกลางจตุรัสจะมาเสาหินที่มีรูปปั้นของ King Pedra IV อยู่ครับ
ผมชอบที่นี่นะลายที่พื้นมันดูเก๋ดีครับ 555 ซึ่งถ้าสังเกตดูลายพื้นที่นี่จะเหมือนกับหลายๆสถานที่ในมาเก๊า
นั้นก็เพราะมาเก๊าเองเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกสมาก่อนนั่นเองครับ
สำหรับการเดินทางมาที่นี่ก็ไม่ยากเลยครับ นั่งรถใต้ดินมาลงที่สถานี Rossio ได้เลยครับ
Restauradores Square (Praça dos Restauradores)
ถัดจาก Rossio Square มาไม่ไกลจะมีจตุรัสใหญ่อีกอันนึงครับ
ชื่อ Restauradores Square ซึ่งจตุรัสนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1640
หลังจากการประกาศอิสระภาพจากสเปนมาแล้ว 60 ปีครับ (เมื่อก่อนที่แห่งนี้ถูกปกครองโดยสเปนครับ)
ซึ่งที่นี่ลายพื้นก็กิ๊บเก๋อีกแล้วครับ
สำหรับที่นี้ถ้าจะไปควรไปช่วงบ่ายครับ แสงจะสวยในมุมฝั่งตรงข้าม
ซึ่งสวยกว่ามุมนี้ครับ แต่ผมไปเช้าต้องถ่ายมุมนี้แทนครับ
โดยทั้ง 2 ด้านของอนุเสาวรีย์จะมีรูปปั้นอยู่ครับ
ซึ่งรูปปั้นทั้ง 2 นั้นเป็นตัวแทนของ ชัยชนะ และ อิสระภาพครับ
Rua das Portas de Santo Antão
หลังจากเดินเที่ยวจตุรัสเสร็จก็ได้เวลากินข้าวครับ (เที่ยวแปร๊บเดียวกินข้าวซะละ 55)
ทริปนี้ผมจะออกจากโรงแรมค่อนข้างสายครับ
เนื่องจากส่วนมากจะเที่ยวถึงดึกเนื่องจากหน้าร้อนของยุโรปพระอาทิตย์ตกช้านั่นเองครับ
จาก Restauradores Square เดินย้อนกลับมาไม่ไกลครับก็จะเป็นถนนนึงที่เป็นร้านอาหารเต็มไปหมดครับ
ถนน Rua das Portas de Santo Antão ตรงนี้เป็นเหมือนย่าน Hangout ครับ
แต่ตอนกลางวันก็เปิดขายเช่นกันครับ โดยถนนที่นี่จะขึ้นชื่อเรื่องร้านอาหาร Seafood ครับ
โดยผมสั่งเป็นปลาย่างมาทานครับ
ที่โปรตุเกสค่าครองชีพจะค่อนข้างถูกครับ
อาหารโดยมาราคาจะอยู่ราวๆ 5-10 EUR เท่านั้นครับ
แต่ข้อควรระวังคือ ที่โปรตุเกสหลังจากสั่งอาหารเค้าจะยก พวกขนมปัง มะกอกดอง มาตั้งที่โต๊ะครับ
ซึ่งไม่ฟรีนะครับ ดังนั้นถ้าไม่กินอะไรให้คืนเค้าไป ไม่งั้นเค้าจะคิดตังค์เราครับ
Santa Justa Lift (Elevador de Santa Justa)
หลังจากทานมื้อกลางวันเสร็จผมก็ไปเดินเล่นในเมืองต่อครับ
โดยไปที่จุดชมวิวนึงของเมืองคือที่ Santa Justa Lift
ซึ่งตอนเดินมาถึงลิฟท์ปรากฎว่าเจอร้านอาหารจีนครับ ซึ่งจริงๆแล้วทริปนี้
ผมและเพื่อนๆจะเน้นกินอาหารจีนกัน เนื่องจากถูกและใกล้เตียงอาหารไทยครับ
โดยผมใช้ Google Map ช่วยหาโดยการ Search ด้วยคำว่า Chinese Restaurant ครับ
ซึ่งก็ช่วยได้ดีเลยครับ (แต่ผมมาใช้ทริคนี้เป็นตอนอยู่ที่ สเปนแล้วครับ)
กลับมาพูดถึงลิฟท์ต่อ
ลิฟท์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมถนน Lower Baixa กับ Carmo Square ครับ
เพราะที่ลิสบอนเองก็เป็นอีกเมืองนึงที่สภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาครับ
ซึ่งหลังจากการสร้างลิฟท์ที่แห่งนี้ก็กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองไปครับ
โดยการไปเยี่ยมชมที่นี่ ถ้าขึ้นลิฟท์จะเสียค่าขึ้น 5 EUR และเสียค่าขึ้นชมวิวอีก 3 EUR
ซึ่งค่าลิฟท์ 5 EUR เราสามารถเดินขึ้นเขาเองได้ครับ ไม่สูงมากนัก แต่ต้องเดินอ้อมพอเหงื่อออกครับ
อันนี้คือ Santa Justa Lift ที่ผมถ่ายมาจากอีกฝั่งนึงครับ
ซึ่งเมื่อขึ้นไปแล้วเราก็จะเห็นวิวประมาณนี้ครับ
ถ้ามีเวลาผมแนะนำให้ไปชมวิวกันนะครับ
โดยโซนนี้จะเป็นโซนของเมืองเก่าของลิสบอน
ซึ่งมีจุดเด่นของเมืองอยู่ที่ตึกที่มีหลังคาสีแดงอิฐนี่แหละครับ
อ้อช่วงเวลาที่เหมาะที่จะถ่ายรูปตามแสงคือช่วงบ่ายครับ
โดยที่เห็นอยู่ไกลๆนั่นคือ Castle of São Jorge ครับซึ่งจะเป็นจุดที่ผมไปจุดต่อไปครับ
Castle of São Jorge (Castelo de São Jorge)
สำหรับการไปที่ Castle of São Jorge นั้นผมแนะนำให้ขึ้นรถเมล์ไปนะครับสาย 737 ขึ้นได้จากแถวๆ Rossio Square
จะไปถึงทางเข้าปราสาทเลยครับ ตอนผมไปประมาทไปหน่อย
เห็น google map มัน gen ทางมาให้ระหว่างเดินไปกับนั่งรถเมล์ใช้เวลาพอกันผมเลยเดินไปครับ
แต่เดินขึ้นเขาทำเอาเหนื่อย หอบแฮ่กๆ เหมือนกันครับ
ซึ่งที่นี่ในปราเวณปราสาทจะออกแนวเป็นซากปรักหักพัง
และประวัติศาสตร์ต่างๆของปราสาทแห่งนี้ครับ เหมาะแก่การมาเดินเล่นชมวิวเมืองเช่นกันครับ
แต่แนะนำว่าควรมาช่วงเช้าครับ เพราะหันไปทางเมืองจะตามแสงครับ
ผมมาบ่ายก็เดินเล่นชิวๆ ชมเมืองชมปราสาทกันไปครับ
Lisbon Cathedral (Santa Maria Maior de Lisboa or Sé de Lisboa)
โดยทั่วไปแล้วสำหรับการมาเที่ยวยุโรปสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งที่เราไม่ควรพลาด
ในแต่ละเมืองคือ Cathedral ครับซึ่ง Cathedral ก็จะเป็นเสมือนโบสถ์ประจำเมืองนั่นเองครับ
ซึ่ง Lisbon Cathedral นั้นจะตั้งอยู่ใกล้ๆกับ Castle of São Jorge สามารถเดินลงเขามาได้เลยครับ
หรือสามารถนั่งรถรางสาย 28 ลงมาได้ครับ
จริงๆแล้วที่นี่ภายในก็ค่อนข้างสวยนะครับ
เสียดายผมมีเวลาไม่พอที่จะเข้าไปชมครับ ถ้าเพื่อนๆมาเที่ยวยังไงลองเข้าไปชมดูนะครับ
Commerce Square (Praca do comercio)
Commerce Square เป็นอีกจตุรัสสำคัญของเมืองลิสบอนครับ
โดยจตุรัสแห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Tagus ครับ
โดยที่จตุรัสแห่งนี้มีอักชื่อนึงที่คนเรียกกันก็คือ Palace Square ครับ
เนื่องจากจุดนี้เป็นที่ตั้งของ Royal Ribeira Palace
แต่ว่าพระราชวังแห่งนี้ได้ถูกทำลายไปหลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อปี 1755 ครับ
โดยที่กลางจตุรัสนั้นปัจจุบันจะมีรูปปั้นของ King José I อยู่ครับ
น่าเสียดายนิดนึงที่วันที่ผมไปเที่ยวนั้นเป็นวันหลังจาก การแข่งขันฟุตบอล Champion league รอบชิงเสร็จไป 2 วัน
ซึ่งที่นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่จัดงานใหญ่ครับ วันที่ผมไปที่จตุรัสแห่งนี้เลยอยู่ระหว่างการเก็บงานอยู่ครับ และปิดไม่ให้คนเข้าไปเดินได้ครับ
ภาพนี้ผมใช้เลนส์ซูมเข้าไปถ่ายเอาครับ จะเห็นว่าที่พื้นที่พวกของที่เค้ากำลังเก็บงานกันอยู่ครับ
Belem Tower (Torre de Belém)
Belem Tower เป็นสถานที่อีกที่หนึ่งในลิสบอนที่ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกครับ
โดยหอคอยแห่งนี้สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการป้องกันข้าศึกที่เข้ามารุกรานครับ
โดยตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำ Tagus ที่เชื่อมออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติคครับ
ซึ่งหอคอยแห่งนี้มีบทบาทมากในยุคแห่งการเดินเรือครับ
อ้อการเดินทางไปยัง โซน Belem นั้นจะมีรถบัส และรถราง จากแถวๆ Commerce Square ไปได้หลายสายอยู่ครับ
จริงๆแล้วแรกทีเดียวผมตั้งใจว่าจะมาถ่าย Twilight ที่นี่ครับ
แต่ว่าวันที่ผมไปช่วงเย็นของวันซึ่งในวันนั้นเป็นช่วงน้ำลงพอดีครับ ทำให้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่
ทั้งนี้เนื่องจากตัวหอคอยนั้นตั้งอยู่ที่ ปากน้ำติดมหาสมุทรจึงได้รับผลโดยตรงจากปรากฎการณ์น้ำขึ้นน้ำลงครับ
ซึ่งเพื่อนๆสามารถเช็คตารางน้ำขึ้นน้ำลงได้ที่นี่ครับ จะได้ดูว่าวันที่ไปนั้นช่วงไหนน้ำขึ้นน้ำลงยังไงครับ
http://www.windfinder.com/tide/santa_maria_de_belem
ซึ่งผมได้กลับมาแก้ตัววันกลับ ก่อนที่จะคืนรถแล้วข้ามไปสเปนครับ
แต่ไม่สามารถอยู่จนช่วง Twilight ได้ก็น่าเสียดายอยู่เหมือนกันครับ
Monument to the Discoveries (Padrão dos Descobrimentos)
เนื่องด้วยระดับน้ำไม่เป็นใจเท่าไหร่ผมเลยเปลี่ยนแผนครับ
ไปถ่ายภาพช่วง Twilight ที่ Monument to the Discoveries แทนครับ
โดยที่ Monument to the Discoveries นั้นสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการเดินเรือ และเปิดโลกครับ
เพราะอย่างที่ทราบๆกันโปรตุเกสเองเป็นชาติที่ขึ้นชื่อเรื่องการเดินเรือมากๆ
และเป็นชาติที่ไปเดินทางไปยังทวีปต่างๆมากมายครับ
ภาพแบบเต็มๆครับ ด้านหลังจะเห็นสะพาน 25 April Bridge ครับ
ที่อนุเสาวรีย์นั้นที่พื้นที่มีแผนที่โลกที่แสดงให้เห็นถึงประวัติการเดินเรือ
และการล่าอาณานิคมของโปรตุเกสด้วยครับ
จากนั้นผมก็ฝังตัวเองอยู่แถวๆนี้เพื่อรอเก็บแสงเย็นครับ
อันนี้พระอาทิตย์เริ่มตกหล่ะครับ
หลังจากถ่ายภาพเสร็จผมก็นั่งรถรางกลับไปแถว Commerce Square เพื่อต่อ Metro กลับโรงแรมครับ
ก็เป็นอันหมดโปรแกรมในการเที่ยวลิสบอนของผมครับ
จริงๆแล้วในโซน Belem นั้นมีอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวอีกที่ที่น่าสนใจครับ
นั้นก็คือ Jerónimos Monastery ซึ่งที่นี่เป็นที่ฝังศพของ Vasco da Gama
ซึ่งเป็นผู้ที่โด่งดังจากการค้นพบอินเดียทางเรือครับ
ทั้งนี้เนื่อจากโปรตุเกสต้องการติดต่อค้าขายกับอินเดีย
แต่การเดินทาทางบกนั้นจะต้องผ่านดินแดนอาหรับซึ่งค่อนข้างอันตรายนั่นเองครับ
เสียดายที่นี่ผมไม่มีเวลาแวะเที่ยวครับ
อ้ออีกที่นึงในลิสบอนที่คนนิยมแวะก็คือ Parque Eduardo VII
เป็นสวนสาธารณะใหญ่กลางเมืองที่ด้านบนจะมีธงโปรตุเกสผืนยักษ์ครับ
แต่มันอยู่ห่างออกไปจากจุดที่ผมเที่ยวผมเลยไม่ได้ไปที่นี่ครับ
Sintra – The City of Palace
วันที่ 3 ของการเที่ยวผมออกจากลิสบอนเพื่อไปยังเมืองที่อยู่ใกล้ๆครับ
นั่นคือเมืองซินทรา เมืองซินทรานั้นอยู่ห่างจากลิสบอนไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือราวๆ 30 กม. เท่านั้นครับ
ซึ่งสามารถเดินทางจากลิสบอนไปยังเมืองซินทราได้โดยรถไฟครับ
ด้วยความที่ใกล้กับเมืองลิสบอน จึงมีหลานคนที่จัดการเที่ยว ซินทราเป็นแบบ One Day Trip ครับ
แต่ถ้าจะให้ผมแนะนำหากพอมีเวลา ผมแนะนำให้ไปค้างคืนที่ซินทราซัก 2-3 คืนครับ
เพราะที่ศินทรานั้นเป็นอีกหนึ่งเมืองที่ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกครับ
ซึ่งที่นี่เป็นที่ตั้งจองพระราชวังจำนวนมากครับ (ผมเลยแอบเรียกเองว่า City of Palace)
ซึ่งผมว่าที่นี่สามารถอยู่เที่ยวได้เป็นอาทิตย์เลยทีเดียวครับ
สำหรับที่เที่ยวที่ต่างๆนั้น ส่วนมากจะมีรถบัสไปถึงหมดนะครับ
ส่วนคนที่ขับรถเที่ยวนั้น จะต้องขับด้วยความระมัดระวังนิดนึงครับ
เพราะทางแถวนี้จะเป็นภูเขา และถนนค่อนข้างแคบ บางจุดแคบจนไม่สามารถสวนกันได้
แต่แม้ว่าถนนจะแคยขนาดนี้ก็ยังมีรถบัสใหญ่วิ่งนะครับ ซึ่งก็ต้องคอยหลีกทางกันไปครับ
การเที่ยวใน Sintra นั้นเนื่องจากจะมีสถานที่เที่ยวหลายแห่ง
แต่ที่เที่ยวเกือบทั้งหมดปัจจบันนั้นจะขายตั๋วร่วมกันครับ
ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าเราจะเที่ยวที่ไหนบ้าง แล้วซื้อเป้นตั๋วร่วม (เค้าเรียกว่า Conbined Ticket) ซึ่งจะได้ลดราคาครับ
โดยให้เราบอกเจ้าหน้าที่ไปว่าเราต้องการเที่ยวที่ไหนบ้างเค้าจะคิดราคามาให้ครับ
โดยสถานที่เที่ยวที่สามารถซื้อตั๋วร่วมกันได้สามารถดูข้อมูลได้จากที่นี่ครับ
http://www.parquesdesintra.pt/en
ซึ่งถ้าให้ผมแนะนำที่ที่ควรไปคือ
1. Pena Palace
2. Moorish Castle (อยู่ติดกับ Pena สามารถเดินถึงกันได้ครับ)
3. National Palace of Sintra (อันนี้ตอนไปผมทำการบ้านไม่ดีเลยไม่ได้ไปครับ)
4. Palace of Monserrate
ซึ่งโดยทั่วไปถ้าผมจำไม่ผิดจากที่ผมหาข้อมูลมา ตั๋วร่วมนั้นสามารถใช้เข้าสถานที่ต่างๆที่เราเลือกไว้ได้ในช่วงวเวลา 30 วันครับ
แต่ที่นี้ก็จะมีบางที่ที่ไม่ร่วมในตั๋วร่วมนี้ เช่น ที่ Quinta da Regaleira วันแรกที่ไปถึงผมเลยแพลนไปเที่ยวที่นี่ก่อนครับ (ซึ่งสุดท้ายแล้วก็รุ้ว่าผมคิดผิด)
Quinta da Regaleira
Quinta da Regaleira เป็นอีกหนึ่งที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมือง Sintra ครับ
ถ้ามาจากตัวเมืองจะอยู่ก่อนถึง National Palace of Sintra และ Palace of Monserrate
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.regaleira.pt ครับ
ภาพนี้เป็นส่วนของคฤหาสน์ ครับ
จากคฤหาสน์สามารถมองไปเห็น Pena Palace และ Moorish Castle ได้ครับ
จุดเด่นของที่นี่อีกอย่างหนึ่งคือ จะมีทางเดินใต้ดินที่เชื่อมไปยังจุดต่างๆได้ครับ
ซึ่งคิดว่าน่าจะใช้สำหรับการหลบภัยต่างๆ ในสมัยก่อนนั่นเองครับ
ถาพนี้ถ่ายจากใต้บ่อน้ำซึ่งมีทางเดินใต้ดินเชื่อมเช่นกันครับ
Cabo Da Roca
Cabo Da Roca เป็นจุดที่เป็นตะวันตกสุดของแผ่นดินยุโรปครับ (แต่ไม่ใช่ตะวันตกสุดของยุโรปนะครับ)
ซึ่งจุดนี้จะอยู่ห่างจากตัวเมืองซินทราไปราวๆ 15 กม. ครับ
โดยแถวนี้ตัวภูมิประเทศไม่มีอะไรมากครับ ส่วนมากจะเป็นหน้าผาครับ
มีทางเดินให้ Trekking ได้ครับ
ปล. การเดินเที่ยวแถวนี้ควรระมัดระวังนะครับ ด้วยความที่เป็นหน้าผาสูงชัน
เมื่อ 2-3 อาทิตย์ก่อนผมพึ่งอ่านข่าวว่ามีฝรั่งคู่หนึ่งถ่าย เซลฟี่ กันแล้วผลัดตกหน้าผาเสียชีวิตมาแล้วครับ
Azenhas do Mar
Azenhas do Mar เป็นหมู่บ้านเล็กอยู่ริมหน้าผาของโปรตุเกสครับ
จริงๆแล้วที่นี่ไม่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอะไรมากมายครับ
แต่ตอนผมหาข้อมูลแล้วเห็นภาพของหมู่บ้านนี้เลยปิ๊งมากครับ
เลยจับใส่โปรแกรมทันทีครับ วันแรกที่ผมไปเจอฝนครับ เลยต้องถอย
และมาแก้ตัวในวันที่สองแทนครับ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเลยครับ
ภาพนี้ถ่ายก่อนพระอาทิตย์ตกเลยเอา Filter ND มาเล่นให้ทะเลฟรุ้งฟริ้งครับ
สำหรับที่ Azenhas do Mar นั้นถูกเว็บไซต์นึงจัดให้เป็นสถานที่ที่อยู่ในหมวด Amazing Place in the World เลยเหมือนกันครับ
โดยแถวๆนี้ของขึ้นชื่อก็คือร้านอาหารซีฟู๊ดครับ
ผมรอจนมืดได้รูปนี้มาก็ฟินล่ะครับ
สำหรับคนที่ต้องการมาที่นี่ ถ้าเป็นรถสาธารณะน่าจะลำบากหน่อยครับ
เท่าที่ผมสังเกตมันจะมีรถบัสจากซินทรามาถึงเมืองที่ก่อนถึงที Azenhas Do Mar ประมาณ 1 กม.ครับ
แต่สำหรับคนที่เช่ารถขับก็จิ้มไปที่พิกัดนี้ได้เลยครับ N38°50.3679 W009°27.7851
ปล. จุดถ่ายรูปตรงนี้เป็นจุดชมวิวที่ส่ามารถจอดรถได้เลยครับ
Pena National Palace (Palácio Nacional da Pena)
เช้าวันที่ 4 ของการเที่ยว วันนี้ผมแพลนไปเที่ยวพระราชวังต่างๆครับ
แต่โชคไม่ดีเลยครับ ตื่นมาแล้วหมอกลงจัดมากครับ ซึ่งก็เพราะเมื่อคืนฝนตกมาทั้งคืนครับ
แต่ทำยังไงได้ มาแล้วยังไงก็ต้องไปเที่ยวจริงมั๊ยครับ
สำหรับที่ Pena Palace นั้นตอนขับรถไปผมเจอปัญหาเล็กน้อย
เนื่องจาก GPS มันพาไปทางลัดซึ่งไป เข้าด้านหลัง ปรากฎว่าทางนั้นเป็นทางเฉพาะสำหรับเจ้าหน้าที่
ทำให้ผมต้องวนกลับเข้าเมืองมาใหม่ครับ
ซึ่งถนนที่ขึ้นที่ Pena Palace นั้นทางจะผ่านทางเข้า Moorish Castle ก่อน
ซึ่งพอเลยตรงนั้นมาจะมีที่จอดรถอยู่ครับให้จอดแถวนั้นเลย เพราะจะใกล้ทั้ง Pena Palace และ Moorish Castle ครับ
แว๊บแรกของ Pena Palace โอวววววว หมอกขนาดนี้… มันจะเห็นอะไรล่ะคร้าบบบบบ
นี่แหละครับที่ผมบอกไว้ข้างบนว่าผมคิดผิด เพราะถ้าผมเที่ยว Pena ตั้งแต่เมื่อวานก็จบเรื่องไปแล้ว….
แต่เอาเถอะมาแล้วยังไงก็ต้องเที่ยว 555
ตามมาเลยคร้าบบบ
Pena Palace เป็นพระราชวังที่อยู่บนเขาสูง ซึ่งในวันที่อากาศดีๆพระราชวังแห่งนี้
จะเห็นพระราชวังนี้ได้จากลิสบอนเลยครับ พระราชวังแห่งนี้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโปรตุเกส ด้วยนะครับ
และแน่นอนพระราชวังก็ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกด้วยเช่นกันครับ
ในอดีตพระราชวังถูกใช้เป็นที่ประทับของกษัตริย์โปรตุเกสมาตั้งแต่ราวคริสต์ศตวรรษที่ 14
ปัจจุบันยังคงมีการใช้งานจากทางรัฐบาลเป็นครั้งคราวครับ
ที่หน้าทางเข้าจะมีรูปปั้นอันนี้อยู่ครับ
เค้าบอกว่ารูปปั้นอันนี้เป็นสัญลักษณ์ของการสร้างโลกใบนี้ครับ
แต่อะไรยังไง ผมก็งงๆเหมือนกัน 555
ตัวพระราชวังจะตกแต่งด้วยกระเบื้องลักษณะนี้ซึ่งเป็น
เอกลักษณ์ของสิ่งปลูกสร้างในโปรตุเกสอย่างหนึ่งครับ
และเหมือนกับปราสาทต่างๆในยุโรป ที่จะต้องมี โบสถ์ หรือ Chapel ประจำปราสาทครับ
ที่ Pena Palace ก็เช่นกันครับ
เราไปดูห้องต่างๆภายใน Pena Palace กันครับ
ปล. เหมือนว่าห้องนอนเค้าจะไม่ให้ถ่ายรูปเลยไม่ได้ถ่ายมาครับ
นอกจากตัวพระราชวังแล้วที่ Pena นั้นมีสวนป่าที่ค่อนข้างกว้างใหญ่น่าดูชมครับ
สามารถมาเดินเล่นได้ แต่แนะนำให้ดูแผนที่และป้ายดีๆนะครับ เพราะเส้นทางเป็นเขา
ผมเดินผิดทางไปทีนึงหลงไปอีกเขานึงเลย… ต้องเดินอ้อมเขาแถบแย่กว่าจะหาทางออกเจอครับ
ซึ่งบริเวณสวนนั้นเมื่อเดินขึ้นเขาไปจะเป็นจุดชมวิวของพระราชวังครับ
แต่อย่างที่บอกครับ น่าเสียดายที่วันนี้หมอกค่อนข้างเยอะ
เลยไม่ได้ฟ้าใสๆสวยๆมาครับ
สำหรับการเดินเล่นที่ Pena นั้นแนะนำว่าควรมีเวลาอย่างน้อย 3 ชม.นะครับจะกำลังดี
แต่ถ้าอยากเดินชมสวนด้วยก็อาจจะต้องเพิ่มเป็น 4 ชม.ครับ
โดยที่นี่ทางเดินเป็นเขาลาดชัน และก็เป็น slope สำหรับผู้ใช้รถเข็นให้สามารถมาได้ครับ
(แต่ในปราสาท หลายๆจุดก็เป็นบันไดนะครับ)
Moorish Castle (Castelo dos Mouros)
สำหรับ Moorish Castle นั้นจะอยู่ใกล้ๆกับ Pena Palace ครับ
โดยให้เดินย้อนจากทางเข้า Pena Palace มาประมาณ 500 เมตร ก็จะถึงทางเข้าครับ
โดยที่ Moorish Castle นั้นถูกสร้างในราวศตวรรษที่ 9 ครับ ซึ่งเดิมเป็นชาวแขกมัวร์เป็นผู้ปกครองครับ
(สมัยก่อนแถบคาบสมุรนี้พวกแขกมัวร์จากทางแอฟริกาเป็นใหญ่ครับ)
จนกระทั่งราวศตวรรษที่ 12 ปราสาทนี้ก็ตกเป็นของชาวคริสต์ครับ
ตัวปราสาทอยู่บนเขาค่อนข้างสูง
จากตัวปราสาทสามารถมองลงไปเห็นเมืองซินทราได้ครับ
และสามารถมองเห็น Pena Palace ได้เช่นกันครับ
ถ้าเป็นวันที่แดดดี คงจะสวยน่าดูเลยครับ
Palace of Monserrate (Palácio de Monserrate)
อีกสถานที่ที่ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมมาคือ Palace of Monserrate
ซึ่งพระราชวังแห่งนี้มีสถาปัตยกรรมแบบอังกฤษครับ
เป็นวังที่ความโรแมนติคมากที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียวครับ
ตัววังนั้นดูแล้วจะเหมือนวิลล่าตากอากาศเสียมากกว่าครับ
จริงๆแล้วตอนผมจะเข้าไปชมนั้น ทางผู้ดูแลเค้าโฆษณาว่าจุดเด่นของพระราชวังนี้อยู่ที่สวนครับ
เค้าบอกว่าสวนของเค้าสวยที่สุดในยุโรปเลยทีเดียว
ซึ่งผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก เพราะตอนที่ผมไปถึงนั้นค่อนข้างเย็นแล้วมีเวลาไม่มาก
ผมจึงไม่ได้เดินเล่นในสวนเลยครับ อีกทั้งดอกไม้ (เท่าที่สังเกตุ) ก็ยังไม่บานเต็มที่ครับ
แต่สาเหตที่ผมเลือกที่จะมาพระราชวังแห่งนี้ เพราะผมชอบในส่วนของสถาปัตยกรรมภายในครับ
ไหนๆก็ชอบเป็นการส่วนตัว ขอหลายรูปหน่อยนะครับ อิอิ
เป็นยังไงบ้างครับ กับตอนที่ 1 ของทริป Journey of Western Europe ครับ
ที่โปรตุเกสอาจจะเป็นเมืองที่คนไทยยังไปเที่ยวไม่มากเท่าไหร่
แต่จริงๆแล้วที่นี่ ด้วยความเก่าแก่ของตัวเมือง
ทำให้ที่นี่ดูมีเสน่ห์น่ามาค้นหามากเลยทีเดียวครับ
สำหรับค่าใช้จ่ายเด๋วผมสรุปในส่วนของช่วงที่อยู่โปรตุเกสให้ดูในกระทู้หน้านะครับ
ซึ่งกระทู้หน้าผมจะพาเพื่อนๆไปชม อีก 2 เมืองที่ผมได้มีโอกาสไปเยือนมาครับ
นั่นก็คือ เมือง Tomar และ Porto นั่นเองครับ
to be continue… วันนี้เอาปกตอนหน้ามาจำนำไว้ก่อน 555|
สำหรับตอนที่ 2 เชิญที่นี่เลยนะครับ http://blog.one22.com/archives/13151
สำหรับวันนี้ขอลาไปแต่เพียงเท่านี้
ขอบคุณ และ สวัสดีครับ
3 Comments
Pingback: Journey of Western Europe เส้นทางแห่งประวัติศาสตร์และอารยธรรม ตอนที่ 2 โปรตุเกส โทมาร์ ปอร์โต้ | Blogท่องเที่ยว
Pingback: Journey of Western Europe เส้นทางแห่งประวัติศาสตร์และอารยธรรม ตอนที่ 5 สเปน มาดริด ซาราโกซา บาเซโลน่า - Blogท่อ
Pingback: Journey of Western Europe เส้นทางแห่งประวัติศาสตร์และอารยธรรม ตอนที่ 4 สเปน คอร์โดบา เซบีย่า - Blogท่องเที่ยว(บ