ในปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสได้ไปเที่ยวสิงคโปร์ การไปเที่ยวต่างประเทศครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ครั้งแรกผมได้ไปเกาหลีใต้ ตั้งแต่ Skinfoods ยังไม่บูมกันเลยทีเดียว หลังเกาหลียังไม่มีอิทธิพลเหมือนทุก ๆ วันนี้ ก็นานมากเลยทีเดียว ครั้งนี้ผมเก็บเงินไปกันเองครับ ไปกันสองคน ช่วงที่ผมไปอาจจะนานไปนิดนะครับ คือผมไปตั้งแต่ ช่วงต้นเดือน มีนา ปี 56 ถึงมันจะนานพอควรเลย แต่ในรีวิวนี้ ยังมีรายละเอียดที่ผมเชื่อได้ว่าจะไม่ล้าสมัย และน่าจะเป็นประโยชน์กับอีกหลาย ๆ คนครับ
ผมวางแผนเอาไว้ว่าจะไปสิงคโปร์ ตอนแรกจะไปกันแค่ 3 วัน 2 คืน แต่หลังจากที่วางแผนกำหนดที่เที่ยวกันแล้ว ไม่พอครับ เลยเพิ่มเป็น 4 วัน 3 คืน มาดูแผนคร่าว ๆ ของผมกันนะครับ นี่เป็นแพลนตอนก่อนที่จะไปถึงนะครับ
ดูจากแพลนแล้วดูเหมือนจะโอเคนะครับ แต่วันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่อะไรหรอกครับ มันเกิดจากการ ประเมินเวลาระหว่างเดินทางจากสนามบินไปที่พักผิดไป แพลนก็เลยเปลี่ยน แต่ก็ดีแล้วนะครับ เพราะพอมาดูอีกที วันแรก มันแน่นไปจริง ๆ เดี๋ยวผมให้ดูแพลนจริง ๆ ที่ผมใช้ก่อนแล้วกันนะครับ เดี๋ยวจะอธิบายตาม
อย่างที่บอกไว้ตอนต้น คือ ผมแพลนเวลาพลาดไป ไม่นึกว่าจะใช้เวลานาน ร่วมชั่วโมง ในการเดินทางเข้าที่พัก แต่ก็ดีนะครับ นี่เป็นเวลาที่เค้ารับ Check-In โดยปรกติอยู่แล้ว พอดูจากแพลนแรก ถ้าไปตามแพลน ผมจะพลาดช่วงเวลาทองที่จะไปถ่ายรูปที่ Marina Bay และ Merlion เพราะการใช้เวลาใน Garden by the bay นั้น ใช้เวลาประมาณ 2 – 4 ชั่วโมง ซึ่งดูจากเวลาแล้วไม่ทันแน่ ๆ ซึ่งก็ลงตัวดีครับ
เอาหล่ะ ผมจะเริ่มต้นการเดินทางของผมแล้วนะครับ ไปกันสบาย ๆ ไม่ต้องรีบร้อน อยากหาชา กาแฟ ขนม นมเนย มากินไปดูไปได้เลยครับ
Let’s go…
หลังจากที่ผ่านตม. ด้านหน้าเข้ามาข้างในแล้ว ก็จะมาเจอ Duty Free นะครับ ผมมาถึงค่อนข้างเช้า เครื่องขึ้น 9.15 ผมมาถึงตั้งแต่ 7 โมงกว่า ๆ ต้องเผื่อเวลารถติดหน่อย อะไรก็ไม่แน่ไม่นอนครับ ก็เดิน Shopping กันเล็กน้อย (สำหรับแฟนผมนะ) พอเราเสร็จธุระตรงนี้ ก็ไปรอกันที่ Gate ครับ
ผมเลือกเดินทางกับสายการบิน Jetstar Airline เป็นสายการบินสัญชาติ ออสเตรเลีย เป็น Low cost ของ Qantas นะครับ สอยช่วงโปร ไปกลับ ทั้งหมด 8 พันกว่าบาท ก็ดูแล้วไม่ต่างกันมากกับสายการบินอื่น ๆ นะครับ แต่การบริการก็ต่างกันนิดหน่อย แนะนำคนที่จะไปสายการบินนี้นะครับ ว่าควรจะตรงต่อเวลาด้วย Jetstar ขึ้นชื่อเรื่องการตรงเวลาพอสมควร ถ้าช้าไปนิด โดนทิ้งไว้ไม่รู้นะครับ
ขณะที่กำลังจะขึ้นเครื่องก็เหลือบไปเห็น สายการบินไทย แหม ไว้วันหลังจะขอไปใช้บริการนะครับ ยังไงของพี่ไทย ก็ยังสุดยอดในสายตาผม
มาดูกันข้างในตัวเครื่องกันหน่อยนะครับ (แอบ ๆ ถ่าย ไม่อยากรบกวนแขกท่านอื่น) ก็เหมือน ๆ กับสายการบิน Low-cost ทั่วไป แต่สภาพจะค่อนข้างใหม่ และดูแล้ว ค่อนข้างได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี (ส่วนใหญ่ผมจะดูปีกครับ ว่าสกปรกมากแค่ไหน อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่ใช่หลักการจริง ๆ )
เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ก็มาถึง สนามบินชางงี (Changi Airport) ขอเกริ่นหน่อยนะครับว่าสนามบินชางงีนี้มีทั้งหมด 3 Terminal อย่าเดินหลงนะครับ เดี๋ยวจะเสียเวลา ถ้ายังไงก็หาข้อมูลกันก่อนก็ดีครับ เพราะกว่าผมจะเดินไปถึง ตม. ก็ใช้เวลาค่อนข้างนานเลยทีเดียว
หลักฐานว่าคุณได้เดินทางมาถึงแล้ว
หลังจากที่คุณรับกระเป๋ามาแล้วนะครับ มาทางนี้เลยครับ เรากำลังจะนั่งรถไฟ monorial ไปต่อรถไฟฟ้าใต้ดินอีกที สังเกตุป้ายในภาพนะครับ ไปตามป้ายนี้แหล่ะ ไม่พลาดแน่ อ่อ ผมลืมบอกไป ผมออกมาจากทาง Terminal 2 นะครับ
ผมเลือกที่จะเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินเป็นหลักนะครับเพราะดูแล้วสะดวกที่สุด ซึ่งผมขอข้ามกระบวนการตรงจุดจำหน่ายตั๋วนะครับ สำหรับใครที่มีบัตร EZ-Link มาแล้วก็ไปเติมเงินได้เลยนะครับ เค้ามีตู้ให้เติมอยู่ ถ้าไม่มีต้องซื้อใหม่ ราคาบัตร 15 SG$ โดยจะเป็นค่าบัตร 5 SG$ มัดจำ 3 SG$ และเงินสด 7 SG$ เติมเงินขั้นต่ำ 10 SG$ อายุการใช้งานของบัตร 5 ปี แต่ถ้าตอนกลับจะไม่ใช้แล้ว ก็ขอเอาออกได้ แต่บัตรนั้นจะใช้ไม่ได้เลย เติมใหม่ก็ไม่ได้นะครับ (ข้อมูลตรงนี้ หาง่ายครับ หนังสือคู่มือนำเที่ยวก็มี หรือจะหาใน Net ก็เยอะครับ) สภาพภายในรถ ก็ไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไหร่ แต่เค้าจะมีที่นั่งเยอะกว่าหน่อยสังเกตที่นั่งตรงข้างประตูนะครับ ถ้าเป็นบ้านเราจะไม่มี แต่จะมีตัวยึดรถเข็น แต่อยากให้เสาตรงกลางรถบ้านเราเป็นแบบนี้นะครับ จะได้ไม่เสียสัมปทานให้กับคนที่ชอบพิงเสา อย่างน้อย ยังแบ่งก้านอื่นให้คนอื่นเค้าใช้บ้าง
อย่านั่งเพลินนะครับ เพราะเราต้องมาเปลี่ยนขบวนเพื่อเข้าเมืองกันอีกที ที่สถานี Tanah Marah (EW4) สายสีเขียว ปลายทาง Joo Koon (สังเกตป้าย To City นะครับ อย่าขึ้นผิดด้าน)
ก็อย่างที่บอกแหล่ะครับ นั่งกันไป ต่อไป ต่อมา ก็มาถึงที่พักที่จองเอาไว้ ผมพักที่ Porcelain Hotel Singapore ตั้งอยู่ในย่าน China Town ที่ผมเลือกที่นี่ ก็เพราะ แฟนผมเคยมาอบรมที่สิงคโปร์ แล้วพักที่นี่ นั่นเป็นส่วนหนึ่ง แต่อีกเหตุผลนึง คือมันสะดวกต่อการเดินทางครับ ไปต่อที่ไหน ๆ ก็สะดวก ไม่ต้องใช้เวลานาน ของกินก็หาง่าย ราคาอาจจพแพงหน่อย แต่คิดไปคิดมา ไม่ต่างกันมากสำหรับโรงแรมที่เป็นห้องส่วนตัว
จริง ๆ ผมอยากพักรวมนะครับ ประเภท Mix- Dorm คือในหนึ่งห้องมีหลาย ๆ ที่นอน แชร์กับคืนอื่น เอาไว้ถ้าไปกับเพื่อนเป็นกลุ่มจะจองนะครับ ในย่านนี้มีโรงแรมที่เป็นห้องส่วนตัวอีกหลายที่ ขนาดของห้องก็จะไม่ต่างกันมากนัก ซึ่งราคาในบางที่จะแพงกว่าที่นี่เสียอีก ไปดูกันเลยดีกว่าครับว่า ห้องพักเป็นยังไง
เข้ามาจะเจอ Lobby การตกแต่ง ก็อย่างที่เห็นแหล่ะครับ สไตล์ จีน อาจจะดูมืด ๆ นะครับ แต่ดูดีเชียว เดินเข้าไปติดต่อ Counter ได้เลยครับ
ตอนแรกที่ผมจองไว้ ผมจองห้อง Type Superior Queen ไว้นะครับ แต่ผมขอ ทางเค้าว่าขอ ห้องที่ติดหน้าต่าง เพราะรู้มาว่า จะมีพื้นที่เพิ่มขึ้นนิดหน่อย (ห้องที่นี่ค่อนข้างแคบครับ ไม่แนะนำสำหรับคนตัวสูงใหญ่) แต่ทางโรงแรมบอกว่า ห้องที่ต้องการไม่ว่าง เลย Upgrade เป็น Deluxe Queen ให้ครับ
ซึ่งเค้าบอกว่า ข้อดีข้องห้องนี้คือ ติดหน้าต่าง และสวยกว่า แถมยังมี ราวแขวนเสื้อให้ (Superior มีที่แขวนให้อยู่เป็นตะขอแขวนได้แค่เสื้อ 1-2 ตัว) เหมือนจะดีนะครับ แต่มันแคบกว่า เพราะแฟนผมตอนมาพักเค้าได้ห้องที่ request ไป ไปดูกันเลยแล้วกันนะครับว่าภายในห้องเป็นยังไง
รูปที่เห็นคือรูปที่เราเห็นเมื่อเราก้าวเข้าไปนะครับ ห้องน้ำจะอยู่ด้านซ้ายหลังจากเปิดประตู มองตรงไป คือที่นอน ระหว่างที่นอนจะเป็น อ่างล่างหน้า กับที่เก็บของ พวกตู้เย็น ยอมรับเลยครับว่าใช้พื้นที่ได้คุ้มจริง ๆ (เก็บไว้เป็น Idea ตอนทำห้องกันได้นะครับ)
ข้อดีของห้องนี้อย่างนึงคือ ห้องน้ำค่อนข้างกว้าง ไม่อึดอัดนะครับ โดยรวมแล้ว ผมค่อนข้างพอใจนะที่ได้พักที่นี่ คะแนนเต็ม 5 เอาไป 4 ขาดไปหนึ่งคะแนน เรื่องขนาดห้องที่แคบจริง ๆ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ใช้นอนอย่างเดียว ไม่ค่อยได้อยู่ห้องซักเท่าไหร่ ไม่มีอาหารเช้านะครับ (มาที่นี่อย่ากินอาหารเช้าโรงแรมเลย เสียดาย…ข้างนอกอร่อยกว่าเยอะ)
ข้อดีที่นี่มีอีก 2 อย่างนะครับ คือมีน้ำให้ 2 ขวด (บางที่ให้แค่ 2 แก้วพลาสติก น้ำที่นี่แพงมากแพงกว่าโค้กเสียอีก) กับมี Wifi ให้ใช้ฟรีครับ แถมเร็วเสียด้วย (ไม่ค่อยมีที่ไหนที่ให้ใช้ฟรีครับ เสียตังค์ตลอด ช่วยได้มากเลย อย่าหวังพึ่งโทรศัพท์ที่นี่เลย เอาไว้โทรเหอะดีสุดแล้ว เพราะความเร็วต่ำมาก อยากได้ความเร็วสูงต้องเสียแพงครับ สำหรับโทรศัพท์มือถือ)
พอเราเก็บของกันเสร็จแล้ว ก็ไปหาอะไรทานกันเป็นมื้อแรกครับ พร้อมกับไปหาซื้อตั๋วที่เราจะไปเที่ยวที่ Sea Wheel กันครับ ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงตรุษจีนพอดี ย่านนี้ก็เลยตกแต่งเป็นแนวปีมะเส็ง ดูแล้วน่ารักเก๋ไก๋ดีครับ
มื้อแรกที่ผมกิน ก็คือ บะหมี่แห้งไก่ย่างครับ ข้อย้ำนะครับว่าแห้ง แต่แห้งที่นี่ไม่เหมือนเมืองไทยครับ เค้าจะราดน้ำซุปหวาน เรียกได้ว่า “ฉ่ำ” เลยครับ ก็ดีครับ อร่อยดี และราคาไม่แพง
เป้าหมายแรกที่เราตั้งใจจะไปกันคือ “Singapore Flyer” ครับ เรานั่งรถใต้ดินจากสถานี China Town ไปขึ้นที่สถานี Promenade (CC4) ครับ แอบเห็นโฆษณาในรถไฟฟ้า เห็นแล้วก็ปลื้มใจ ว่ากิจการของคนไทย ดังไกลไปเมืองนอก สุดยอดจริง ๆ ครับ
พอขึ้นมาจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ก็ต้องเดินกันอีกสักนิดนะครับ ไม่ไกล ความรู้สึกแรกที่ได้เห็นคือ ต้นไม้ริมถนน ที่นี่สูงใหญ่ดีจัง ไม่เหมือนเดินอยู่ในเมืองเลย น่าจะเป็นเพราะเค้าเอาสายไฟลงดิน ทำให้ ไม่ต้องตัดต้นไม้ ทำให้รู้สึกถนนหนทางน่าเดินขึ้น ไม่มีฝุ่นควัน เพราะต้นไม้รับไปหมด อยากให้บ้านเราเป็นแบบนี้บ้างจัง
พอใกล้ ๆ ถึงจะมีป้ายบอกทางขึ้น Singapore Flyer นะครับ เดินขึ้นไปเลยครับ พอพร้อมแล้วก็เตรียมควักบัตรที่เราไปซื้อมาเตรียมไว้เลย
ระหว่างทางเดินก่อนจะไปขึ้น กระเช้า จะมีข้อมูลเบื้องต้นสำหรับการก่อสร้าง ให้ดูไปพลาง ๆ เหมือนพิพิธภัณฑ์ย่อย ๆ เข้าใจว่า ในกรณีที่มีผู้เข้าใช้บริการเยอะ ๆ จะได้ไม่ต้องเบื่อรอ
อันนี้เป็นรูปทางเดิน ก่อนจะไปขึ้นกระเช้าครับ
กระเช้าที่กำลังจะขึ้น กำลังจะมาแล้วครับ แต่ที่เห็นในรูปไม่ใช่นะครับ อันนี้เป็น กระเช้าสำหรับ Dinner สนนราคาที่ทราบมาคือ คู่ละ $269++ ใครอยากลองเชิญได้ครับ
ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่จะใช้บริการนะครับ ถ้าเป็นไปได้ อย่าขึ้นพร้อมกับ นักท่องเที่ยว “ชาวแขก” นะครับ เพราะกลิ่นตัวค่อนข้างแรง เราต้องใช้เวลาที่ใช้ในกระเช้า ประมาณ 30 นาที คงจะไม่ดีแน่ถ้าต้องใช้เวลานั้น ไปกับกลิ่นที่ไม่ต้องการ แต่เจ้าหน้าที่ก็เหมือนจะรู้นะครับ จัดให้นักท่องเที่ยวเหล่านั้น ไปกันก่อนเลย ผมโดนกันไปกับกลุ่มหลังจากนั้น
ได้ขึ้นแล้วครับ เตรียมไปชมวิวกันข้างบนกันได้เลย รูปออกจะเข้ม ๆ หน่อยนะครับ กระจกตัวกระเช้า เป็นกระจกตัดแสง สีออกฟ้า ๆ ครับ ถ้าใครถ่ายรูปแล้วดูรูปออกมาแปลก ๆ ปรับ White Balance ก่อนจะถ่ายจะช่วยได้นะครับ
วิวที่เห็นไกล ๆ นั่นเป็นย่านที่อยู่ ของคนสิงคโปร์ครับ เค้าแยก zone ค่อนข้างชัดเจนนะครับ ด้านล่างเป็น อัฒจรรย์ตอนที่ปิดถนนใช้แข่ง F1
มุมนี้ตอนกลางคืนน่าจะสวยนะครับ เป็น City View ที่สวยอีกมุมนึง เวลาที่ผมขึ้นประมาณ 3 -4 โมงนะครับ แสงดูอ่อน ๆ ไม่แรงมาก ถ่ายมาก็นับว่าได้อารมณ์ไปอีกแบบนึง
เมฆเยอะไปนิด กระเช้าหมองไปหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับแย่มาก ยังไงซะถ้ามาแล้วไม่ได้ขึ้นหละก็ เสียดายแย่ครับ สำหรับคนที่กลัวความสูง บอกไว้ก่อนเลยนะครับ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะตลอดเวลาที่เราอยู่ในกระเช้า มันเหมือนกับเราอยู่ในห้องของคอนโดสูง ๆ เองครับ
มุมนี้แนะนำ นะครับ เพราะสามารถถ่ายได้ทั้ง Marina Bay Sands ด้วย
Garden by The Bay from top
รูปนี้ผมถ่าย Panorama แล้วเอามารูปมาต่อกันนะครับ speed ของกระเช้า คิดว่าพอจะทำได้ เลยอยากลองทำดู พอใจกับผลที่ได้ครับ
ใกล้จะลงแล้วครับ กับรูปที่ได้มา ผมว่า คุ้มค่ามากครับ เป็นไปได้ อยากจะขึ้นตอนกลางคืนอีกครั้งครับ (แต่ไ่ม่ไหว งบหมดพอดี)
เมื่อกี้ถ่ายจากข้างบน ขอสอยจากข้างล่างดูบ้างครับ
สำหรับผมแล้ว ผมเข้าใจว่า สิงคโปร์เอง ที่เค้าทำ Singapore Flyer ขึ้นมาเป็น Landmark ก็ดูเหมาะสมครับ เพราะบ้านเค้าไม่ได้มีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์ชัดเจนมากนัก ต้องพยายามหาสิ่งดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวกัน แต่ถ้าเป็นบ้านเรา ผมว่า เราเองมีสิ่งดี ๆ เยอะครับ
ต่อไปจะเดินไปที่ Merlion ครับ ไกลหน่อย แต่ถือว่าเดินได้เรื่อย ๆ ไม่ร้อนครับ รูปนี้ถ่ายตรง สี่แยก ตรงเกาะกลาง รถ Taxi คันที่จอดนั่น ตอนแรก ผมนึกว่าเค้าจอดให้ผมเดินข้ามก่อน เปล่านะครับ ทางเลี้ยวเค้าก็มีไฟแดงอยู่ และถึงแม้ ไม่มีไฟแดง ถ้าคนเดินลงมา รถต้องหยุดครับ เป็นกฎของที่นี่ (อยากให้บ้านเราเป็นบ้างจัง) และดูแถวที่เค้าต่อกันครับ ไม่มีมาแทรกกัน ระหว่างกลาง อยากเห็นเมืองไทยเป็นแบบนี้บ้างจัง
มาถึงเราจะเจอ Merlion ตัวเล็ก ซึ่งจริง ๆ แล้วตัวนี้เป็นตัวแรกนะครับ สถานที่ตรงนี้ เราเรียกว่า Merlion Park ซึ่งเป็นที่ ๆ ใครมาก็ต้องไปถ่ายรูปกับเจ้าสิงโตทะเลพ่นน้ำ และในวันที่ผมไปเป็นวันธรรมดา บริเวณนี้จะเต็มไปด้วยคนทำงาน ที่มานั่งพักผ่อนหย่อนใจ กินอะไรชิว ๆ กันหลังเลิกงาน ถือเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอันดับหนึ่งของคนที่นี่เลยทีเดียวครับ
แล้วเราก็เดินเลี้ยวมานิดนึง ก็จะเจอเจ้าตัวใหญ่ ยืนหันหน้าพ่นน้ำ ซึ่งจะตั้งอยู่ด้านหลังเ้จ้าตัวเล็กเมื่อครู่นี้ Merlion ตัวนี้ มีความสูง 120 เมตร สร้างขึ้นมาตอนปี 2002 สำหรับใครที่ต้องการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า มาที่นี่ ก็นั่งมาลงที่สถานี Raffles Place (NS26/EW14) ทางออก H แล้วเดินมาทางโรงแรม Fullerton นะครับ
จริง ๆ แล้วผมมี Mission ที่ต้องการมาทำอยู่อย่างนึงคือ การถ่ายรูปเจ้า Merlion ตัวนี้เก็บไว้เป็นที่ระลึก แต่อยากได้รูปที่สวยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันขึ้นอยู่กับเวลาด้วยครับ เพราะฉะนั้น ตรงนี้ผมก็เลยใช้เวลานานหน่อย เพราะอยากถ่ายในช่วงเวลา Twilight (เป็นเวลาก่อนพระอาทิตย์ ขึ้น หรอ ตก ประมาณ ครึ่งชัวโมง)
เวลาที่สิงคโปร์จะเร็วกว่าเราประมาณ 1 ชั่วโมงนะครับ อย่าลืมตั้งนาฬิกาเอาไว้ด้วย พระอาทิตย์ตกที่นี่ในวันนี้ จากที่เช็คมาประมาณ 1 ทุ่ม อย่างรูปที่เห็นด้านบนผม ผมถ่ายตอนเวลา 17:29 นาที ในเวลาสิงคโปร์ ก็นับว่าพอใช้ได้ แต่ผมก็อยากจะลองอีกหลาย ๆ ช่วงเวลาก็เลยขอถ่ายต่ออีกหน่อย
และในที่สุด ผมก็ได้ภาพ Merlion ในแสงที่ต้องการครับ “Mission Accomplished” ผมขอบอกเคล็ดลับการได้ภาพนี้หน่อยแล้วกันนะครับ เผื่อใครที่ไป จะได้ลองไปใช้ดู
- ต้องมีขาตั้งก่อนนะครับ เพราะการถ่ายแบบนี้ เราต้องใช้เวลาในการเปิดหน้ากล้องนานหน่อย อย่างรูปนี้ ผมเปิดหน้ากล้อง (Shutter speed) 15 วินาที
- ตั้งค่ารูรับแสง (F-stop) ไว้ที่ F22
- ตั้ง ISO ที่ 100
- ตั้ง White balance เป็น Fluorescent เพื่อเพิ่มสีท้องฟ้าให้ดูสีฟ้าให้ฟ้าเข้มขึ้น แต่ถ้าเราเลือก W/B เป็น Tungsten เราจะสูญเสียแสงโทนสีเหลือและสีแดงไป ผมว่าแบบนี้ดูสวยกว่านะ
ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ถ่ายภาพนะครับ ถ้าได้ไปถึงที่แล้ว บางทีเราอาจจะถ่ายรูปที่เราต้องการเสร็จแล้ว แต่เชื่อเถอะครับ การถ่ายมุมเดิมซ้ำอีก อาจจะช่วยคุณได้ เพราะปัจจุบันการถ่ายรูป Digital มันไม่ได้สิ้นเปลืองเหมือนแต่ก่อนที่ใช้ฟิลม์ ผมถ่ายรูปช่วงนี้อีกประมาณ 4 – 5 รูป และก็ช่วยผมได้เยอะ เพราะพอหลังจากนั้นผมมาดูอีกที ในรูปแรก ๆ จะมีเรือจอดอยู่ แบบเห็นได้ชัดเลย ซึ่งผมไม่อยากได้ ยังโชคดีที่รูปหลัง ๆ ซึ่งก็คือรูปนี้ ซึ่งเป็นรูปที่ผมพอใจมาก
อ่อเกือบลืมบอกไป รูปนี้ผมถ่ายหลังจากรูปแรก 10 นาทีนะครับ…แค่ 10 นาที เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น เวลานี้เราเรียกกันว่า เวลาทอง ถ้าเป็นไปได้อย่าพลาดนะครับ
หลังจากเก็บภาพที่ต้องการแล้ว ผมก็โล่งใจ แต่พอได้ลองไปรอบ ๆ แล้ว ก็ยังมีอีกหลาย ๆ มุมนะครับ ที่น่าสนใจ เสียดายคราวนี้ผมพลาดไปนิด ตรงธรรมดา แล้ว ตรง Marina Bay Sand เค้าจะมีการแสดง Light & Sound ด้วย ผมตั้งกล้องไม่ทัน ก็อดไปตามระเบียบ แต่ผมก็พอใจแล้วหล่ะครับ ไว้คราวหน้ามีโอกาสจะมาถ่ายใหม่
โปรแกรมต่อไปที่ผมจะทำ ก็เลยคิดว่าจะไปกินปู เพราะว่า plan วันนี้ ก็หมดแล้ว เลยตกลงกันไว้ว่า ไปกินปูกันดีกว่า เพราะจากมุมนี้ไปไม่ไกล ถ้าจะเดินก็พอเดินได้ แต่เก็บแรงไว้ใช้วันต่อไปดีกว่า
เราเลือกที่จะกิน กันที่ร้าน Jumbo ที่ Clarke Quay ซึ่งจริง ๆ แล้วร้านที่ขึ้นชื่ออีกร้านคือ No Signboard ตรง Merlion ก็มีร้านนี้อยู่นะครับ ผมว่าอร่อยไม่แพ้กัน แต่ผมอยากมาเดินย่านนี้ด้วย ก็เลยเลือกที่นี่ครับ
วันที่ผมมาเป็นวัน ธรรมดา จึงพอมีโต๊ะอยู่บ้าง จากที่เคยรู้มา ถ้ามาผิดเวลา อาจจะต้องมีการโทรจองกันก่อน สำหรับคนที่จะมาที่ร้านนี้ ขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานี Clarke Quay (NE5) ทางออก G แล้วเดินเลาะมาเรื่อย ๆ จะเห็นตรงที่เรียกว่า Riverside Point ร้านหาไม่ยากครับ
เมนูปูศรีลังกาที่นี่ ขึ้นชื่ออยู่ 2 อย่างนะครับ คือปูผัดพริก (Chilli Crab) กับปูผัิดพริกไทดำ (Black Pepper Crab) เราเลือก Chilli Crab ครับ เพราะชอบแบบรสจัดนิดหน่อย บริกรที่นี่ บริการดีครับ เห็นเรามากันแค่ 2 คน ก็จัดมาให้กำลังดี ตัวนึงกินกำลังอิ่ม ขอบอกก่อนนะครับ ว่ากินปูที่นี่อย่าห่วงสวย เพราะมันจะเลอะกันพอสมควร ทางร้านจะมีผ้ากันเปื้อนให้ครับ ใช้ซะ ใครไม่ได้ใช้ ผมขอยกนิ้วให้ครับ
Zoom กันให้เห็นชัด ๆ กันอีกสักรูปครับ
เมนูที่ผมสั่งมากินด้วย ก็คือ หมั่นโถวทอด อร่อยมากครับ จัดไปสองจาน 8 ลูก จิ้มกับน้ำปูผัดพริก อร่อยสุดยอดครับ
ผมขอจบรีวิวสิงคโปร์ในวันแรกของผม ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวจะมาเขียน เรื่องของวันที่สองให้อ่านครับ รอแป็บนึง รับรองเต็มอิ่ม เพราะแทบจะเป็นวันที่ผมใช้เวลาเต็มวันจริง ๆ เล่นเอาผมแทบลากสังขารกลับที่พักเลยครับ (เฮ้อ…คิดแล้วก็เหนื่อย) อดใจรอหน่อยนะครับ
4 Comments
P's Patchiee
ตามมาเที่ยวด้วยคนค่า ถ่ายรูปสวยมากๆ รายละเอียดครบครัน รอชม วันที่สองต่อน้าค้า ^^
NaiSoop
ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวจะรีบทำวันที่ 2 ขึ้นให้อ่านนะครับ วันที่ 2 นี่เยอะเสียด้วย ขาลากกันเลยทีเดียว
Tummeng Choovej
เยี่ยม
Miziki Miziki
รูปสวยงามมากเลยค่ะ ตามมาเที่ยวด้วยคนค๊า