สวัสดีครับ เราอยู่ที่สิงคโปร์เป็นวันที่ 3 แล้วนะครับ หลังจากที่ผมสลบไสล หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ วันนี้ก็เป็นอีกวันนึงที่เราตื่นเช้า แต่ไม่เท่าเมื่อวาน โปรแกรมวันนี้ ก็จะมีไปไหว้พระธาตุพระเขี้ยวแก้ว, ไปหาอะไรกินที่ MaxWell, แล้วก็ถึงเวลา Shopping ของฝากกันแหล่ะครับ โปรแกรมวันนี้ค่อนข้างหลวม ๆ นะครับ เพราะไม่รีบร้อนอะไรมากแล้ว ขอสบาย ๆ สักวันนึงแล้วกันครับ ตามไปดูกันเลยครับ
เช้านี้เราออกจากที่พักประมาณเกือบ 7 โมง เราจะไปที่แรกคือ ไปสักการะ พระธาตุพระเขี้ยวแก้ว วันนี้เป็นวันเสาร์ครับ ที่ Ya Kun Kaya Toast จะเปิดสายประมาณ 9.00 ประกอบมันคนละทางกับที่ผมจะเดินทางไป แต่แถว ๆ วัด ก็มีร้านกาแฟ อร่อย ๆ ให้ทานนะครับ แต่ผมก็ยังสั่งเหมือนเดิมนะ รู้สึกติดใจ แต่เปลี่ยนเป็นชาเย็นแทน นึกว่าจะได้กินน้ำแข็งเย็น ๆ ซะหน่อย แต่ที่ไหนได้ มาแบบปั่นซะนี่ แอบเซ็งนิด ๆ แต่ก็อร่อยนะครับร้านนี้ ขอแนะนำ ถ้าจะมาจิบน้ำชาตอนเช้าก็เข้าวัด
นั่ง ๆ กินอยู่ดี ๆ ก็มีรถ Jazz วิ่งมาจากฝั่งตรงข้าม แหม..ยกกล้องถ่ายแทบไม่ทัน สีมันตัดกันแบบลงตัวพอดี เห็นแล้วคิดถึงน้อง Jazz ที่จอดอยู่ที่สุวรรณภูมิเสียจริง
เดินมาจนถึงบริเวณหน้าวัด เหลือบไปเห็นอาคารฝั่งตรงข้ามแล้วรู้สึกแปลกตาดี ชอบมาเลยครับ เหมือนเค้าพยายามคงความเป็นวัฒนธรรมของเค้าเอาไว้
และที่น่ารักอีกอย่าง แม้กระทั่ง 7-11 ของอาคารย่านนี้ เพื่อให้เหมาะกับสถานที่ ประตูยังเป็นประตูไม้เลยครับ
เอาหล่ะครับ เตรียมตัวเข้าไปเยี่ยมชมวัดพระธาตุพระเขี้ยวแก้ว กันเลยครับ
วัดพระธาตุพระเขี้ยวแก้ว ชื่อภาษาอังกฤษว่า “Buddha Tooth Relic Temple and Museum” เป็นวัดพุทธที่มีสถาปัตยกรรมจีนสมัยราชวงศ์ถัง มีอยู่ทั้งหมด 4 ชั้น มีส่วนที่ประดิษฐานรูปปั้นองค์เทพศักดิ์สิทธิ์อยู่หลายองค์
ความรู้สึกที่ผมได้เข้าไปภายในบริเวณวัด คือรู้สึกสงบ และดูศักดิ์สิทธิ์ นับเป็นสถานที่เงียบสงบใจกลางเมืองที่ดีที่หนึ่งเลยครับ ตามไปดูรูปกันเลยดีกว่า ผมเก็บมาอยู่หลายมุมเหมือนกัน
เข้ามาด้านในมี พระศรีอริยะเมตตรัยในอิริยาบทประทับนั่ง ประดิษฐานอยู่เป็นพระประธาน ห้องนี้ เรียกว่า Hundred Dragons Hall หรือห้องโถงมังกรร้อยตัว ขอบผนังด้านบนเป็นศิลปะนูนต่ำรูปมังกร ห้องนี้จะเป็นห้องที่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา อย่างตอนที่ผมไปพอตอนสาย ๆ ก็จะมีพุทธศาสนิกชนเข้ามารวมตัวสวดมนต์หมู่กัน
ตัวกำแพงด้านข้างทั้งสองด้านของห้องนี้ มีพระพุทธรูปแบบจีนอยู่ในซุ้มอยู่โดยรอบ อยู่ในอิริยาบทต่างๆ กัน โดยจะมีพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ อยู่ล้อมรอบอีกชั้นหนึ่งซึ่งพระพุทธรูปแต่ละองค์จะอริยาบทต่างกัน แถมมีหมายเลขสำหรับแต่ละองค์อีกด้วย ตอนแรกผมก็ไม่ทราบว่าตัวเลขเหล่านี้หมายถึงอะไร แต่พอกลับมาหาข้อมูลถึงได้ทราบว่า มันเป็นหลายเลขของผู้บริจาคสร้าง ซึ่งทำให้รู้ว่าพระพุทธรูปที่เราสร้างอยู่ตรงไหน เหมือนกับบ้านเราที่จะใส่ชื่อผู้บริจาคตามซุ้มประตู หรือเสาของวัดในบ้านเรา แต่ของเรานั้นใช่ชื่อกันเต็ม ๆ เลย
กำแพงด้านข้าง แต่อยู่ด้านหลังของพระศรีอริยะเมตตรัย ก่อนจะออกไปยังด้านหลังจะเป็นซุ้มของ พระพุทธรูปปางต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ 8 พระองค์ ซึ่งนิกายมหายานเชื่อว่า ท่านทั้ง 8 เป็นผู้ปกป้องและอำนวยโชคลาภให้แก่คนในราศีต่าง ๆ กัน
เมื่อเดินออกไปก่อนถึงประตูหลัง จะเป็นที่ประดิษฐานของ พระโพธิสัตว์พระอวโลกิเตศวร (กวนอิม) ปาง 6 กรประทับนั่งบนดอกบัว มีองครักษ์ขนาบข้าง ห้องนี้มีชื่อเรียกว่า Universal Wisdom Hall ชื่อไทยไม่แน่ใจ แต่ดูจากคำแปล น่าจะแปลว่าห้องแห่งภูมิปัญญา หรือประมาณว่าผู้ที่ศรัทธาในพระพุทธองค์ จะย่อมเกิดสติปัญญา เพราะจะมีพระโพธิสัตว์ที่แต่ละปกป้องในแต่ละราศี
พระพุทธรูปองค์นี้ น่าจะเป็นเทพองค์ใด องค์หนึ่ง แต่ผมไม่รู้ชื่อนะ นั่งหันหน้าเข้าหาพระโพธิสัตว์กวนอิม ใครรู้ชื่อฝากบอกด้วยครับ
เมื่อเดินเลยออกมาจากตรงพระโพธิสัตว์กวนอิม แล้วจะเป็นประตูด้านหลังที่ออกไป จะเป็นลานจอดรถและอาคารพักอาศัยของประชาชนย่าน China Town
ตัววัดเรียกได้ว่าไม่ได้ใหญ่โตอะไร ถ้าเทียบกับบ้านเรา แต่สำหรับที่พื้นที่ที่แพงอย่างกับทองแล้ว นับว่าอลังการมากแล้วหล่ะครับ
ขออธิบายเกี่ยวกับ วัดพระธาตุพระเขี้ยวแก้วเพิ่มเติมอีกนิดนะครับ คือตัววัดเองจะมีอยู่ทั้งหมด 4 ชั้น และดาดฟ้าอีกหนึ่งชั้น ชั้นที่ 1 เราก็ได้เยี่ยมชมกันไปแล้ว ส่วนชั้นที่ 2 และ 3 เป็นพิพิธภัณฑ์ และส่วนที่นมัสการพระธาตุ เป็นชั้น 4 ซึ่งห้ามถ่ายภาพ ผมเลยไม่ได้มีภาพเก็บมาฝากนะครับ และที่ชั้น 2 และ 3 ดูเหมือนจะปิดเข้าชม หรือว่ายังเช้าเกินไปก็ไม่รู้ หลังจากที่ผมนมัสการพระธาตุแล้ว ก็เลยขึ้นไปชั้นดาดฟ้า พอขึ้นมาจะเจอเป็นสวนกล้วยไม้ และจะมีหอระฆังอยู่ตรงกลาง
ในหอระฆังจะมีระฆังใบใหญ่ ใหญ่แทบจะเต็มหอเลย จะมีราวไม้อยู่กับระฆังให้เราหมุนเป็นรอบ ๆ ถ้าผมจำไม่ผิดหมุนหนึ่งรอบ หมายถึงการสวดมนต์ 1 รอบนะครับ ไม่แน่ใจว่ามีความเชื่ออื่นอีกหรือเปล่า
บริเวณโดยรอบจะมีพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ เรียงรายเต็มไปหมด ส่วนใหญ่จะประดับตามแนวกำแพง บรรยากาศด้านบน เย็นสบาย มีลมพัดเอื่อย ๆ มีที่นั่งให้พอนั่งพักได้ ร่มรื่นดีครับ
พอพักได้หายเหนื่อยผมก็ลงมาชั้นล่าง เพื่อจะไปยังที่ต่อไป สำหรับใครที่ได้มาเที่ยวที่สิงคโปร์นี้ แนะนำให้มานมัสการวัดพระธาตุพระเขี้ยวแก้ว เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตัวเองนะครับ
สถานที่ต่อไป ที่เราจะไปคือ อาคาร Red Dot Design ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ เดินไม่ทันจะเหนื่อยก็ถึงครับ ระหว่างที่กำลังจะเดินข้ามถนนไปอีกฝั่ง เหลือบไปเห็นอาคารนี้ ไม่รู้ว่าชื่ออาคารอะไร แต่สวยครับ ถ่ายออกมาได้มุมพอดีเป๊ะ สวยครับ ใครรู้ช่วยบอกทีแล้วกันนะว่าอาคารอะไร
ถึงแล้วครับ อาคาร Red Dot Design Museum อาคารนี้ แต่ก่อนเคยเป็น สำนักงานควบคุมการจราจรของประเทศสิงคโปร์ ปัจจุบันอาคารนี้ ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์รวบรวมงานออกแบบที่ได้รับรางวัล “Red Dot Design Award” จากสถาบันเรดดอตดีไชน์ ประเทศเยอรมนี แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังเป็นอาคารสำนักงานอยู่
สำหรับนักออกแบบแล้ว ที่นี่เหมาะที่จะมาเดินดูแนวคิดการออกแบบผลิตภัณฑ์ อยากจะเดินดูเหมือนกันนะครับ แต่รู้สึกว่าจะเสียค่าเข้าชม ประกอบกับว่า ยังไม่ได้กินมื้อเช้ากันเลย เลยต้องขอแค่เก็บไว้แต่รูปอาคารด้านนอก กับวิวทางเดิน ที่อยากให้เมืองไทยเป็นแบบนี้ซะที กับทางเดินร่ม ๆ สะอาด ๆ มีต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเงา และไม่มีสายไฟเกะกะ สงสัยคงจะได้แต่ฝันซะหละมั้ง
แล้วผมก็เดินย้อนมาที่ Maxwell Food Centre เป็นศูนย์อาหารราคาประหยัด แต่มีอาหารให้เลือกกินหลากหลาย มีอาหารแทบจะทุกชาติ แม้แต่อาหารไทยก็ยังมีครับ เหมือน Food Court ในห้างใหญ่ ๆ แต่ตรงนี้อยู่ตรงกลางย่านนี้กันเลย โชคดีตอนที่ผมไป Maxwell เค้าเปิดให้บริการ หลังจากปิดปรับปรุงไปซักพักนึง
อาหารดังของที่นี่จากที่เคยได้ยินคนที่ได้มาเที่ยวคือ “ข้าวมันไก่เทียนเทียน” ก็น่าจะดังจริงครับแถวยาวเชียว
ข้าวมันไก่สิงคโปร์ จะอร่อยหรือไม่อร่อยแค่ไหน มาแล้วต้องลองซักครั้งหล่ะครับ แต่ผมไม่ได้กินของเจ้านี้นะ เพราะก่อนผมจะเดินไปซื้อ ผมได้คุยกับพ่อครัวที่เปิดร้านอาหารไทยที่นี่ว่า ตอนนี้พ่อครัวที่เคยทำอยู่ร้านเทียนเทียน ได้ย้ายมาทำที่เจ้านี้ครับ Ah Tai Hainanese Chicken Rice ก็ไม่รู้หรอกนะว่าจริงเท็จแค่ไหน แต่เจ้าถิ่นเค้าบอกมาเราก็ต้องลองเชื่อดูแหล่ะครับ
หน้าตามของข้าวมันไก่ที่นี่ ก็แปลก ๆ แหล่ะครับ ดูไก่ฉ่ำไปด้วยน้ำ เนื่อก็นุ่มดีนะ แต่ก็ไม่นุ่มเท่าข้าวมันไก่อร่อย ๆ บ้านเราหรอก ชอบตรงผักกวางตุ้ง หรือ บ๊อกชอยนี่แหล่ะที่เหมือนผัดน้ำมันมาแล้วโรยด้วยหอมเจียว อร่อยดีครับ ส่วนข้าวก็ไม่ค่อยมันเหมือนบ้านเราหรอกนะ แต่ก็ไม่ถึงกับแห้ง ติดตรงน้ำจิ้มนี่แหล่ะ คิดถึงน้ำจิ้มข้าวมันไก่บ้านเราชะมัด คราวหน้าถ้ามา คงต้องติดมาด้วยแล้วแหล่ะ คงจะดีไม่น้อย
ผมขอเสนอของกินเด็ดของที่นี่อีกอย่างนึง นั้นก็คือ “โจ๊ก” ที่นี่จะมีโจ๊กอร่อยอยู่ 2 เจ้า คือ ร้าน ร้าน Zhen Zhen กับร้าน Ho Kee ข้อแตกต่างของ 2 เจ้านี้ คือ เจ้าแรกโจ๊กเนื้อจะไม่ละเอียดมาก แต่มีเครื่องเยอะ ส่วนเจ้าที่ 2 นี่เรียกกันได้ว่า โจ๊กเนื้อเนียน กันเลย ผมเลือกกินเจ้าที่ 2 นี่แหล่ะ ชอบแบบเนียน ๆ มากกว่า
จริง ๆ แล้วโจ๊กที่ขึ้นชื่อของที่นี่คือโจ๊กกบ แต่ผมไม่กินอ่ะนะ เลยไม่ได้ลอง ก็เลยขอจัดโจ๊กหมูมาแทน และต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วย เพราะลืมถ่ายตอนที่ได้มาตอนแรก กวนเสร็จนึกได้ว่าลืมถ่ายรูปก่อน เลยดูไม่สวยเท่าไหร่ แต่ยอมรับครับว่าเนื้อโจ๊กเนียนมาก ๆ ได้กินกับปาท่องโก๋ ด้วยนะอร่อยสุด ๆ
หลังจากเรากินข้าวกันเสร็จแล้ว ที่ต่อไปที่เราจะไปคือ วัด Sri Mariamman เป็นวัดแขกที่อยู่ด้านหลังของ China Town ที่วัดนี้เราไม่ได้มีโปรแกรมจะเข้าไปสักการะหรือเยี่ยมชมนะครับ แค่จะถ่ายรูปด้านหน้า เพราะรู้สึกว่า ต้องเสียค่าถ่ายรูป ก็เลยถ่ายกันแค่ด้านนอก ประกอบกับว่าวันที่ผมไปรู้สึกว่าจะมีงานกันด้วยแหล่ะครับ รู้สึกวุ่นวายกันพอดู
เสร็จภารกิจสำหรับตอนเช้าแล้วหล่ะครับ ขอกลับไปพักที่โรงแรมก่อน โปรแกรมช่วงบ่ายคือ Shopping ที่ Little India กับ Orchard ครับ
ระหว่างทางเดินกลับ ร้านค้าย่าน China Town ก็เริ่มเปิดแล้วครับ ส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้าขายของที่ระลึก กับของที่หาซื้อได้เฉพาะย่านนี้เท่านั้น พวกสมุนไพร หรือหมูแผ่น คล้าย ๆ เยาวราชบ้านเราแหล่ะครับ ผมเองก็เสียดายเหมือนกัน มาอยู่ตั้ง 3 วันไม่ได้มาเดินเลย คราวหน้าถ้ามาคงต้องใช้เวลากับย่านนี้สักพักหล่ะครับ
ผมออกไป Shopping กันตอนบ่าย ขอบอกก่อนเลยนะว่าวันนี้ไม่ค่อยได้รูปเท่าไหร่ ต้องแบกของไปด้วย ถ่ายรูปไปด้วย ไม่ค่อยถนัดครับ ที่แรกที่ไป คือ Mustafa Centre, Little India การเดินทางมาที่นี่ ให้ขึ้นรถไฟฟ้า มาขึ้นที่สถานี Farrer park (NE8) พอขึ้นมาให้มองไปทางขวา จะเจอห้าง Metro City Square เดินไปที่แยกนั้นครับ พอข้ามแยกให้เดินไปทางขวา ตรงไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอครับ
ที่นี่จะเป็นที่นึงที่เหล่านักช้อป จะมาซื้อของกัน เพราะราคานับว่าถูกถ้าเทียบกับซื้อจากห้าง และยังสามารถทำ Vat Refund ได้อีกด้วย แต่ของส่วนใหญ่จะเป็นของที่ไม่ใช่รุ่นล่าสุดนะครับ ตอนแรกผมก็ว่ามันจะดีเหรอ? แท้แน่หรือเปล่า? แต่พอรู้ว่ามัน Vat Refund ได้ ก็น่าจะเป็นตัวการันตีได้ว่าก็ของแท้นะ Mustafa Centre เปิด 24ชั่วโมงครับ สินค้าที่แนะนำให้ซื้อของที่นี่คือ “น้ำหอม” เพราะราคาถูกถึงถูกมาก แต่ถ้าอยากจะซื้อขนม ขอให้ดูวันหมดอายุให้ดีนะครับ แต่สำหรับผม ผมซื้อที่สนามบินนะ เพราะเกรดค่อนข้างดีกว่า สำหรับที่นี่ผมได้แว่นกันแดด Rayband ไป 3 อัน กับน้ำหอม อีกชุดนึง ของคนอื่นทั้งนั้น… รูปประกอบเอามาจากเว็บ blog.malaysia-asia.my ขอขอบคุณมา ณ ที่นี่ด้วยครับ
หลังจากนั้น เราก็เดินทางไป Shopping ต่อกันที่ Orchard ครับ ซึ่งจะมีห้าง ION อยู่ที่ด้านบนของสถานีรถไฟฟ้าพอดี พอขึ้นมาจากรถไฟฟ้าที่สถานี Orchard เท่านั้นแหล่ะ ฟ้ารั่ว… มาเจอฝนกันวันสุดท้าย ก็ยังโชคดีที่ไม่ได้เจอฝนเมื่อวานนี้นะครับ
ก็เดิน Shop กันไปทั่วนะครับ ที่นี่ห้างจะอยู่ติด ๆ กัน เดินสะดวกครับ ถ้าจำไม่ผิดผมได้ไปเดินที่ห้าง ION Orchard, Wisma Atria, Takashimaya, Tangs ก็เข้าห้างโน้น ออกห้างนี้ แต่ต้องจำให้ดีนะครับ เพราะห้างที่นี่ จะมีชั้นใต้ดินอยู่เยอะ ผมเองต้องคอยจำทางเข้า-ทางออก ก็ได้ของไปหลายอยู่ (กระเป๋าเบาก็วันนี้แหล่ะครับ…)
ก็ได้ของมาเกือบจะครบแล้วหล่ะครับ มีโอกาสได้นั่งพักที่ Takashimaya กำลังเดินไปซื้อ ช็อคโกแลต Royce เป็นของฝาก(มีขายที่นี่นะครับ เห็นหลายคนไปแล้วพลาดไม่ได้ซื้อ) เหลือบไปเห็น “ไอศกรีม ฮอกไกโด” พลาดมาตอนที่เห็นที่ห้าง Central ตรง Clarke Quay มาทีนึงแล้ว ขอจัดซักหน่อย ก็อร่อยนะ แต่รู้สึกเลยว่า ไม่ค่อยมีความมันอร่อยเหมือนที่เคยได้กินในสเวนเซ่น แต่หลายคนที่ชอบแบบ Healthy น่าจะชอบนะครับ
พอผมกับแฟนได้ของครบ เราก็กะจะว่าไปหาของกินที่ Food Republic เป็น Food Court ในห้าง Wisma ออกมางงเลยครับ เพราะผมอยู่แต่ในห้าง ไม่รู้ตัวเลยว่า ออกมาฟ้าก็มืดแล้ว ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันจริง ๆ
เหลือบไปเห็นฝั่งตรงข้าม นึกว่ารถทัวร์มาลง ไม่ใช่ครับ มันคือ รถเมล์ แต่จอดเป็นระเบียบมาก เหมือนเค้าไม่ได้เร่งรีบอะไรเลยนะครับ จอดอยู่อย่างนั้นแหล่ะ พอถึงเวลาคงจะออก ไม่มีการมาแซงจอดปาดหน้า เมืองไทยเมื่อไหร่จะได้อย่างนี้น๊า…
ด้านตรงข้ามคือ Paragon หรูหราอลังการ เห็นแล้ว ไม่กล้าเฉียดเข้าไปใกล้เลย ได้แต่มองอยู่ห่าง ๆ
ในรูปคือ บูทขายตั๋ว แต่ตั๋วอะไรก็ไม่รู้ ดูเก๋ไก๋ดีนะ
วันนี้เราก็เดินแบกของมานั่งกินข้าวเย็นที่ Food Republic แฟนผมเค้าสั่งอะไรมาก็ไม่รู้ เห็นว่า เลือกเส้นแล้วก็เลือกเครื่องได้อีก 7 อย่าง ดูแปลกดีครับ แต่เห็นว่ารสชาติจืด ๆ น่าจะเพราะเครื่องปรุงเค้าไม่เหมือนบ้านเรา พริกป่นนี่หายังไม่ค่อยจะมีเลย กลับมาเลยมาหาข้อมูลเพิ่ม เค้าเรียกเจ้าชามนี้ว่า “Yong Tau Fu” อ่านชื่อแล้วก็ยังงงครับว่ามันคืออะไร แต่พอหาเป็นคำภาษาไทย ถึงบางอ้อกันเลย เห็นว่ามันคือ “เย็นตาโฟ” แต่ของบ้านเราดูแล้วอร่อยกว่าเยอะเลยครับ
แล้วเราก็เสียเวลาหาของฝากสุดฮิตจากที่นี่กันอยู่ตั้งนาน เพราะเนื่องจากตอนที่แฟนผมเคยมาซื้อ เค้าจำไม่ได้ว่าซื้อที่ห้างไหน ไม่ได้หาข้อมูลกันมาก่อนด้วย Internet ก็หมดพอดี (เผลอไม่ได้เข้า package 3G หมด…เศร้า) โชคดีมากที่เดินไปเดินมาแถวนี้ เจอพอดี ร้านอยู่ตรงทางเดินเชื่อมระหว่าง ห้าง Wisma กับรถไฟฟ้าใต้ดิน เกือบพลาดเสียแล้ว ผมถ่ายเอาราคามาให้เห็นเต็ม ๆ กันเลยนะครับ เผื่อใครยังไม่รู้ราคาก็เอาไปดูกันนะครับ ก่อนจะมาเปิดที่พารากอนอย่างเต็มตัว
หลังจากที่ผมได้ของกันครบแล้ว ก็กลับมาพักที่โรงแรม เตรียมจัดกระเป๋า แพ็คของ… คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะอยู่ที่สิงคโปร์นี้แล้ว เร็วจัง ยังมีอีกหลายมุมที่ผมยังไมได้ไปเลย แต่ก็เอาเหอะ ไว้คราวหน้าค่อยมาก็ยังไม่สาย ที่สิงคโปร์ เค้ามีอะไรใหม่ ๆ ให้เราเที่ยวได้เสมอแหล่ะครับ ตอนที่ผมมาตัว Aquarium เปิดแล้วนะครับ แต่เห็นหลาย ๆ คนที่มาเที่ยวว่า ไม่ต่างอะไรจากที่พารากอนเราเท่าไหร่ แล้วโปรแกรมผมก็ค่อนข้างแน่นอยู่ เลยขอผ่านก่อน รูปนี้เป็นบรรยากาศตอนกลางคืน ตรงสีแยกใกล้ ๆ ที่พักของผมแหล่ะครับ
ขอส่งท้าย ด้วยภาพโรงแรม Porcelain Hotel Singapore ในตอนกลางคืนนะครับ ก็สวยไปอีกแบบ
บรรยากาศตอนกลางคืนที่นี่ ตอนแรก ๆ ผมก็หวั่น ๆ นะ เพราะในบางช่วงก็ดูเปลี่ยว แต่ที่นี่แม้จะเปลี่ยวก็ปลอดภัยนะครับ เพราะบทลงโทษรุนแรงมาก ไม่มีใครกล้าจะเสียงทำผิดกัน บ้านเราน่าจะถึงเวลาที่จะเอากฎแบบนี้มาใช้บ้างแล้วนะครับ เพราะเหตุที่เกิดมันรุนแรงขึ้นทุกที ๆ
จริง ๆ แล้วผมน่าจะจบรีวิวของคืนนี้แค่นี้ แต่ อีกวันของผมมันไม่เยอะเลยขอรวบไว้ตรงนี้เลยแล้วกันนะครับ
เช้าของวันที่ 4 ในสิงคโปร์ วันนี้ผมต้องกลับแล้วหละครับ เครื่องออกประมาณ 11.00 น. ผมออกเดินทางกันตั้งแต่ 6 โมงเช้า ก็กลัวว่าจะไม่ทันเพราะไม่รู้ว่าจะมีปัญหาอะไรที่ตม. หรือเปล่า ไหนจะทำเรื่อง Vat Refund อีก เผื่อเวลาไว้ก่อนดีกว่าครับ
เมื่อไปถึงสนามบิน ก่อนจะเข้าไปทำเรื่อง Check In ตั๋วเครื่องบิน ให้ไปทำเรื่องแสดงรายละเอียดของที่เราจะซื้อเพื่อทำ Vat Refund ก่อนนะครับ จะมีเจ้าหน้าที่ยืนคอยให้บริการเราอยู่ เราแค่นำใบเสร็จที่ใช้ในการทำ Refund ไปแสดงเค้าจะคำนวนให้เราว่าเราจะได้ Refund เท่าไหร่ ต้องไปทำตรงนี้ก่อนนะครับ แล้วค่อยเข้าไปทำเรื่อง Refund เป็นเงินกลับมาอีกที ตัว Counter ที่เราจะไปขึ้นเงิน จะอยู่ใกล้ ๆ กับ Shop ของ Charles & Keith นะครับ
หลังจากทำธุระเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลากินข้าวเช้า กันหล่ะครับ มื้อนี้เป็นมื้อสุดท้ายที่สิงคโปร์แล้ว.. แล้วก็ไม่น่าเชื่อ ผมสั่ง “บะหมี่ไก่ย่าง” ตอนแรกไม่รู้ครับว่ามันเป็นเมนูเดียวกันกับที่สั่งกินเป็นมื้อแรกตอนที่มาถึง เพิ่งจะรู้ก็เมื่อมานั่งทำรูปนี่แหล่ะครับ
เห็นแล้วครับ เครื่องบิน JetStar ไม่รู้ว่าเป็นลำที่ผมต้องขึ้นกลับหรือเปล่านะครับ ขอย้ำไว้อีกครั้งนะครับว่า สายการบินนี้ค่อนข้างตรงเวลาเอามาก ๆ รักษาเวลากันหน่อยนะครับ
แล้วก็ถึงเวลากลับกันแล้วครับ มาเที่ยวสิงคโปร์ครั้งนี้ ยอมรับจริง ๆ ครับว่าคุ้มมาก ได้ประสบการณ์ดี ๆ หลายอย่าง รู้สึกว่าเหมือนกับว่าได้เหมือนกับมาปรับจังหวะชีวิต ความรู้สึกก่อนจะมากับหลังจากกลับไป แตกต่างกันนะครับ
ในตอนแรกผมคิดว่าการใช้ชีวิตในเมืองเศรษฐกิจการค้าระดับโลกจะเร่งรีบ เร่งด่วนไปซะหมด แต่เปล่าเลยครับ ผมคิดว่า เค้ามาการปรับจังหวะการใช้ชีวตได้ดีระดับนึงเลย ทำงานก็ส่วนทำงาน เวลาส่วนตัวก็ไม่เอางานมาเกี่ยว หลังเลิกงานสังสรรค์เท่าที่จะได้ ความรับผิดชอบของคนที่นี่ค่อนข้างสูง แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเรื่องเกี่ยวกันสำนึก เพราะถ้าขาดสิ่งนี้สังคมจะไร้ระเบียบครับ
เอาหละครับ เครื่อง Take-Off แล้ว ผมคงต้องจบการรีวิวการเที่ยวสิงคโปร์ของผมไว้แค่นี้นะครับ แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่ เพราะผมยังรู้สึกว่า ยังอยากกลับมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่นี่อีกสักครั้งแน่นอน
ขอขอบคุณทุกคนที่สละเวลาอันมีค่า เข้ามาอ่านรีวิวของผม ผมของฝากเนื้อฝากตัวไว้ด้วยนะครับ แล้วผมจะเอารีวิวอื่น ๆ มาลงเรื่อย ๆ ครับ สัญญาว่าจะไม่ให้เนิ่นนานเกินไปนะครับ
3 Comments
Miziki Miziki
ภาพสวยมากเลยค่ะ น่าตามไปอย่างยิ่ง
Chaisit Sorsakul
อาหารเช้าน่าทานมว้ากก ต้องไปหากาแฟทานแหละ
Luie Saetang
มาเที่ยวด้วยครับ