สวัสดีครับทุกคน วันนี้ผมจะพาไปเที่ยวพังงาในมุมน่ารัก ๆ ที่หลาย ๆ คนไม่เคยเจอกันนะครับ
ธรรมดาแล้วเวลาที่เราพูดถึง “พังงา” หลาย ๆ คน ก็คงจะนึกถึง หมู่เกาะสิมิลัน, เกาะสุรินทร์ หรือไม่ก็เกาะตาชัย ถ้าใกล้ ๆ ฝั่งหน่อยก็คือ เขาหลัก แต่คราวนี้ที่ผมจะพาไปเที่ยวกันคืออีกเส้นทางนึงที่หลาย ๆ คนอาจจะชอบกันนะครับ
ด้วยความกรุณาจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กองตลาดภาคใต้ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา ได้ให้โอกาสทางผม เข้าร่วมกิจกรรม “ชวนกันเที่ยวใต้ หรือ Let’s go South” โดยจังหวัดที่เราไปคือจังหวัดพังงา การท่องเที่ยวคราวนี้เป็นการท่องเที่ยวแนว “Eco Tourism” จะเป็นการท่องเที่ยว แนวศึกษาธรรมชาติ และวิถีชาวบ้าน ได้ทานอาหารจากร้านอาหารท้องถิ่น ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ประสบการณ์หนึ่งของผมเลยครับ เนื้อหาแบ่งเป็น 2 ตอนนะครับ ไม่สามารถจบได้ในตอนนึงจริง ๆ ผมอยากจะถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้สึกที่ผมได้รับครั้งนี้ ให้กับทุกคนให้ได้มากที่สุด อย่างเพิ่งเบื่อกันนะครับ
เราออกเดินทางจากดอนเมืองกันตั้งแต่เช้า มุ่งหน้าสู่สนามบินภูเก็ต ถึงภูเก็ตประมาณ 11.00 น. ที่แรกที่เราจะไปกันคือเกาะยาวน้อย เราจะต้องเดินทางไปลงเรือกันที่ท่าบางโรง อ.ถลาง ใช้เวลาไม่นานครับประมาณ 20 นาที แต่ก่อนที่เราจะไปขึ้นเรือกัน เราไปทานอาหารกลางวันกันก่อนครับ ที่ร้าน “บางแปซีฟู๊ด” (ที่เห็นเป็นรูปดาวในแผนที่นั่นแหล่ะครับ)
ตัวร้านอาหารติดกับป่าโกงกางชายทะเล บรรยกาศดีครับ วันที่เราไปอากาศค่อนข้างร้อน แต่ที่ร้านมีลมพัดเย็นสบาย นั่งได้เพลิน ๆ เลยครับ
จานแรก “กุ้งผัดกระปิสะตอ” เป็นเมนูที่ใครมาใต้ต้องลองครับ รสชาติดีมาก ๆ เลยครับจานนี้ สำหรับใครที่ไม่ชอบกินกระปิ ผมอยากจะบอกกับคุณว่า คุณพลาดซะแล้วหล่ะ เพราะกระปิที่นี่ขึ้นชื่อว่า อร่อยและสะอาด
จานนี้เรียกว่า “ขนมหมี่น้ำยาปู” เส้นหมี่กระเทียมเจียว กับน้ำยาปูที่ไม่ใช่แค่กลิ่นปู แต่เนื้อปูเน้น ๆ เป็นครั้งแรกที่ได้ลอง และจะเป็นเมนูที่จะสั่งถ้ามีโอกาสครับ
“แกงเหลือง” ถ้าได้กินเมนูนี้ถือว่ามาถึงใต้แล้วครับ แกงเหลืองของที่นี่ขอบอกนะครับ ไม่เหมาะสำหรับคนไม่กินเผ็ด รสจัดจ้านมาก เหงื่อตกเม็ดกันเลยทีเดียว ปลาสดมากไม่มีกลิ่นคาวเลย
“ห่อหมก” เหมือนห่อหมกธรรมดาแต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือเนื้อปลาล้วน ๆ ครับไม่เจือแป้งเหมือนกับที่กินในกรุงเทพเลย
“ยำตะไคร้กุ้งเสียบ ใบชะพลู” จะกินกับข้าวหรือกินเป็นเมี่ยงคำก็อร่อยครับ
“กุ้งชุบแป้งทอด” กุ้งเนื้อแน่น ๆ ตัวพอดีคำ ที่เห็นเป็นผักไม่รู้ว่าใบอะไร ไม่รู้ว่าเป็นใบเหมียงชุบแป้งทอดหรือเปล่านะครับ
“ใบเหมียงผัดไข่” อีกเมนูที่ต้องสั่งหากินได้เวลามาเที่ยวใต้ครับ
“กุ้งผัดซอสมะขาม” เป็นเมนูแนะนำของร้านเลยนะครับจานนี้ ข้อดีของการมาเที่ยวใต้คือ อาหารทะเลสด อร่อย กุ้งเนื้อแน่นทุกตัว
ร้านนี้มาไม่ยากครับ จากสนามบินวิ่งไปทางท่าเทียบเรือบางโรง แต่ให้เลยไปก่อนครับ วิ่งไปได้สักระยะจะเจอซอยบางเตยอยู่ทางซ้ายมือ วิ่งเข้าไปสุดซอยก็ถึงร้านแล้วหล่ะครับ หรือ จะไปตามพิกัด GPS : 8.036578, 98.414992 อันนี้ก็ได้เหมือนกันครับ ร้านเปิดบริการ 10:00 – 20:00 น. โทร. 087-8875785 ครับ
หลังจากที่เรากินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เรายังมีเวลาเหลืออยู่อีกสักพักก่อนจะไปขึ้นเรือกัน เลยคุยกันว่าจะไปเยี่ยมชมโครงการคืนชะนีสู่ป่า มูลนิธิช่วยชีวิตสัตว์ป่าแห่งประเทศไทย ตรงน้ำตกบางแป ไม่ไกลจากตรงที่เราอยู่สักเท่าไหร่ โครงการนี้ เป็นองค์กรที่มีวัตถุประสงค์ในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยเหลือชะนีรวมถึงสัตว์ป่าชนิดอื่น ๆ ที่ถูกทารุณกรรมหรือพิการ โดยการนำสัตว์เหล่านั้นมาฝึกให้รู้จักวิธีการดำรงชีวิตในธรรมชาติก่อนปล่อยคืนกลับสู่ป่า
โดยส่วนใหญ่สัตว์ที่นี่จะเป็นชะนีซะเป็นส่วนใหญ่ โดยชะนีเหล่านี้ จะถูกล่าโดยการฆ่าชะนีแม่ลูกอ่อน แล้วเอาตัวลูกมาเลี้ยง โดยบางทีก็ถูกทารุณกรรม ชะนีหลายตัว ไม่สามารถกลับคืนสู่ป่าได้เพราะลืมวิธีใช้ชีวิตในป่าเพราะโดนเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่ยังเล็ก เพราะฉะนั้น การที่คุณไปเจอคนนำสัตว์เลี้ยงมาให้โชว์ตัวถ่ายรูป ตามแหล่งท่องเที่ยว หรือบาร์เบียร์ นั่นถือเป็นการสนับสนุนการทรมานสัตว์นะครับ
คุณสามารถอุปการะชะนีได้โดยบริจาคเงิน เหมือนพ่อ-แม่บุญธรรม ปีละ 1,800 บาท ชะนีเหล่านี้โครงการได้รับมาจากหลาย ๆ ทางบางตัวมากจากการที่เจ้าของเดิมถูกจับ หรือไม่ก็มีฝรั่งซื้อมาจากเจ้าของแล้วนำมาให้โครงการ บางตัวแม่ตายตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ซึ่งชะนีจะถูกเลี้ยงดูจนสามารถหาอาหารกินเองได้ ถึงจะดำเนินการปล่อยกลับคืนสู่ป่าอีกที
อย่างตัวนี้ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามือและเท้าโดนตัดไปอย่างละข้าง และไม่สามารถหากินเองตามธรรมชาติได้อีกแล้ว
สังเกตุได้ว่าผมจะถ่ายได้แค่รอบนอกนะครับ มีแค่เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการอนุญาตที่จะเข้าไปในพื้นที่ด้านในได้ ประกอบกับเจ้าหน้าที่เองก็มีอยู่น้อย ไม่สามารถพาเข้าไปดูด้านในได้
แล้วเราก็ได้เวลาที่จะไปขึ้นเรือกันแล้วครับ เรือที่จะไปที่เกาะยาวน้อยจะมีอยู่ทั้งหมด 3 ท่า แต่จากท่าบางโรงจะมีเที่ยวเรือเยอะสุด คือ 13 เที่ยว จะมีทั้ง speed boat และเรือหางยาว ค่าโดยสาร ก็คนละ 200 สำหรับ speed boar และ 120 บาทสำหรับ เรือหางยาว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที
เวลาสำหรับเรือออก มีเวลา 7.50 น., 8.40 น., 9.20 น., 9.40 น., 10.30 น., 11.30 น., 12.30 น., 13.15 น., 14.30 น., 15.00 น., 16.00 น., 17.00 น. และ 17.30 น. ส่วนขากลับจากเกาะยาวน้อยมีตั้งแต่เวลา 6.30 น. ไปจนถึงรอบ 17.30 น. สามารถติดต่อสอบถามกับทางเรือก่อนได้ที่ 089-4731951, 081-7479025, 081-9692368
เรือออกแล้วครับ… ฟ้าสวย ๆ สีฟ้า น้ำทะเลสีเขียว ฟองคลื่นสีขาว มาทะเลมันต้องบรรยากาศแบบนี้ครับ แอบดีใจนิด ๆ ว่าฟ้าสวยจริง ๆ แต่เห็นเมฆไกล ๆ นั่นแล้วคิดเหมือนกันว่าจะโดนฝนบ้างมั้ยนะ พอเพ่งดูดี ๆ เห็นเครื่องบิน เหมือนจะบินเข้าไปในเมฆเลย
ประมาณครึ่งชั่วโมงครับ ก็มาถึงเกาะยาวน้อยกันแล้ว ถึงท่าเรือปุ๊บก็เห็นชายฝั่งอยู่ลิบ ๆ ทิวมะพร้าว เห็นแล้วคิดถึง มัลดีฟ หาดสวยจริง ๆ
เกาะยาวน้อยเป็นชุนชนมุสลิมเกือบ 90% เป็นวิถีชีวิตชาวบ้านที่น่ารักมาก ๆ การโดยสารสำหรับเกาะนี้ เราจะใช้รถสองแถวครับ รถสองแถวที่เห็นอยู่ในรูปนี้ ทั้งเกาะจะมีอยู่ 2 คันนะครับ แอบคลาดสิกนิด ๆ พร้อมแล้วก็ไปกันเลยครับ
ที่แรกที่เราจะไปกันคือ ดูปลาที่กระชังปลากลางทะเล เราสามารถนั่งเรือไปดูสัตว์ทะเลในกระชังได้ เป็นกิจกรรมที่ทำให้เราได้เรียนรู้ธรรมชาติของท้องทะเล และวิถีชีวิตของชาวประมงของที่นี่
กระชังปลาที่นี่ไม่แตกต่างจากที่เราเคยเห็นกันนะครับ แต่กระชังนี้ จะไม่ได้ทำเป็นฟาร์มเพื่อการส่งร้านอาหาร แต่กระชังนี้จะมีสัตว์ทะเลต่าง ๆ ที่เค้าเลี้ยงไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวชม สัมผัสกันอย่างใกล้ ๆ กันเลยทีเดียว เหมือน อควอเรี่ยมกลางทะเล ยังไงยังงั้นเลย
บังเกษม ผู้ที่เป็น ไกด์ และผุ้ตอบคำถามในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับกระชังปลานี้ บังเกษมบอกว่า ก่อนหน้านี้ชาวบ้านแถว นี้ก็ทำการประมงด้วยกระชังปลาแบบนี้อยู่เยอะ แต่หลังจากซึนามิแล้ว หลาย ๆ กระชังก็เลิกไปบ้างเหมือนกัน เลยมีการเปิดเป็นกระชังเพื่อการศึกษาให้ความรู้แบบนี้ขึ้นมา ก็ดีนะครับ ได้ความรู้เยอะดี ปลาที่มีก็เยอะครับ แต่บางตัวถ่ายไม่ทันจริง ๆ ปลามงนี่เยอะมาก ๆ แต่ถ่ายไม่เคยทันซะที ปลาที่บังเกษม จับอยู่นั่นคือฉลามครับ แต่ไม่ใช่พันธุ์ดุร้ายอะไร (จริง ๆ บังเกษมเค้าบอกแหล่ะว่าพันธุ์อะไร แต่ผมลืมเองแหล่ะ..ขออภัย)
รูปนี้คือฟันของเจ้าฉลามตัวเมื่อกี้ ส่วนที่เห็นเป็นแผงนั่นเป็นไข่ปลาฉลามครับ ที่เห็นเป็นก้อนดำ ๆ ข้างใน นั่นคือตัวอ่อนของฉลามครับ
ปลาปั๊กเป้าครับ พันธุ์นี้จับได้ครับ แต่รู้สึกว่าจะมีอยู่พันธุ์นึงที่จับไม่ได้ รู้สึกว่าจะชื่อปั๊กเป้าหนาม (ตัวที่เห็นในภาพรวมนั่นแหล่ะครับ) เจ้าตัวนี้พอบังเกษมเค้ากดตรงด้านหลัง มันก็พองตัวอยู่พักนึงเลยแหล่ะครับ จับต้องได้ แต่อย่านานนัก..สงสารเค้า
นี่เป็นอีกตัว ปลาปั๊กเป้ากล่อง เป็นอีกสายพันธุ์ ตัวดูแข็ง ๆ เหมือนกล่องตามชื่อเลย พันธุ์นี้ไม่นิยมบริโภคเท่าไหร่ เพราะเนื้อค่อนข้างน้อย
ตัวเอกที่ต้องการนำเสนอเลยครับ “กุ้งมังกร” ตัวที่เห็นในภาพเป็นกุ้งมังกร 7 สี เป็นสัตว์น้ำที่กระชังแถบนี้ เป็นที่เลี้ยงและส่งให้หลาย ๆ จังหวัดแถบนี้ ราคาสูงถึงกิโลละ 2,600 บาทตัวที่เห็นในรูป น่าจะเกือบกิโล ไม่ก็กิโลกว่าเลยครับ
สำหรับใครที่สนใจจะมาทำกิจกรรมดูปลาที่กระชังนี้ คุณสามารถให้อาหารปลาฉลามเสือดาวจากมือของคุณเองเลย สามารถติดต่อบังเกษม ได้ที่โทร. 081-270-7393 คนไทยคนละ 50 บาท ต่างชาติคนละ 150 บาทเองครับ
เสร็จจากดูกระชังแล้ว ก็ได้เวลาใกล้ อาหารเย็นกันแล้วหล่ะครับ เราจะทานข้าวเย็นกันที่ โฮมเสตย์ บ้านแหลมไทร เป็นชุมชนชาวประมง ซึ่งโฮมเสตย์ที่เกาะยาวน้อยนี้มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก มีธรรชาติและวิถีชีวิตชุชมชาวมุสลิมที่สวยงาม ได้รางวัลกินรีจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกันเลยนะครับ ซึ่งคุณสามารถพักค้างคืนได้ มีแพ็คเกจให้เลือก 1 คืน 2 วัน ในราคา 2,500 บาท และ 2 คืน 3 วัน ในราคา 3,500 บาท มีบริการนำเที่ยว อาหารพร้อมครับ
อาหารที่เค้าเตรียมไว้ให้เรา มีอยุ่ทั้งหมด 5 อย่างเติมได้ไม่อั้น ยกเว้นปลา จริง ๆ น่าจะมีหอยชักตีน อาหารขึ้นขื่อของที่นี่ แต่ช่วงที่เราเไปเป็นช่วง “น้ำตาย” คือน้ำไม่ขึ้นสุดลงสุด การหาหอยชักตีนจะทำได้ยาก ไม่เป็นไรครับ แค่ที่เห็นก็สุด ๆ แล้ว แล้วสำหรับใครที่ไม่ได้มาพักค้างคืน เหมือนพวกเรา เค้าคิดราคาสำหรับอาหารเย็นแบบนี้คนละ 300 บาท นะครับ แค่ปูกับกุ้งไม่อั้นก็คุ้มแล้วครับ อ่อแตงโมที่นี่อร่อยมากครับเป็นผลไม้ตบท้ายที่สุดยอดมาก ๆ
พอเราทานอาหารกันได้สักพักนึง พระอาทิตย์ก็เริ่มจะตกแล้วครับ ผมก็เริ่มเดินหามุม เพราะมันเป็นเวลาทองของนักถ่ายภาพ ที่นี่แสงสวยมากครับ อิ่มท้องแล้วยังอิ่มใจอีกต่างหาก
แล้วพระอาทิตย์ก็ลาลับเหลี่ยมเกาะข้างหน้าลงไป แต่ยังมีแสงฟุ้งขึ้นมาจากด้านล่าง ดูแล้วเหมือนภูเขาไฟระเบิดเหมือนกันนะครับ สำหรับใครที่อยากมาสัมผัสบรรยากาศดี ๆ แบบนี้ พร้อมกับอาหารอร่อย ๆ ติดต่อได้ที่ โฮมเสตย์ บ้านแหลมไทร โทร. 089-909-5455
จริง ๆ แล้วโปรแกรมต่อไปที่เราต้องไปคือ ไปกินโรตี 80 หน้า แต่ฝนเจ้ากรรมกำลังก่อตัว ผมเลยพลาดโปรแกรมนี้ไปอย่างเสียดายสุด ๆ แต่ผมบอกไว้ก่อนเลยว่า มาคราวหน้าจะไม่ยอมพลาดอีกแน่นอนครับ ที่พักที่ผมได้พักกันคืนนี้คือที่ The Paradise Koh Yao Boutique Beach Resort & Spa ซึ่งการเดินทางมารีสอร์ทนี้ ต้องมาทางเรือครับ ทางรถมาได้เหมือนกัน แต่เห็นทางแล้ว ต้อง 4WD อย่างเดียวเลย เป็นหาดส่วนตัวมาก ๆ เสียดายที่ไม่มีเวลาที่จะชื่นชมบรรยากาศสักเท่าไหร่ เพราะมาถึงก็ดึกแล้ว ฝนก็ไล่หลังเข้ามา เลยขอถ่ายภาพมาให้ดูกันคร่าว ๆ นะครับ
จริง ๆ แล้วเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันครับ เข้าห้องพักได้ไม่เท่าไหร่ ไฟดับ ครับ ตอนแรกนึกว่าไฟตกเสียอีก โทรไปถามฟร้อนท์ จึงรู้ว่าไฟไม่ได้ตก แต่ดับเลย สาเหตุมาจากการที่พายุฝนเข้ามีไม้ล้มทับสายไฟ แต่ยอมรับครับว่ารีสอร์ทที่นี่เตรียมพร้อมได้ดีมาก มีไฟสำรองให้ แถมไฟพัดลม กับตู้เย็นยังใช้ได้ แต่ก็ไม่ใช่ถึงขนาดเต็มที่ แต่อยู่สบายครับ ตอนแรกทำใจแล้วครับ ว่าจะไม่ได้ถ่ายรูปห้องสวย ๆ มาให้ดูกันซะแล้ว แต่ไม่นานก็แก้ไขให้ไฟกลับมากันได้ ยกนิ้วให้สำหรับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจริง ๆ ครับ
แล้วก็เข้าวันที่ 2 ผมขอต้อนรับ ยามเช้าที่เกาะยาวน้อยด้วย ภาพ Panorama ที่หน้าชายหาดของ Paradise Koh Yao นะครับ ขอแนะนำเวลาที่เราไปเที่ยวตามรีสอร์ทริมทะเล คือ ลองดูว่า สถานที่ ๆ เราไปพักนั้น อยู่ทิศทางไหน ยามเช้าเจอพระอาทิตย์ขึ้นมั้ย หรือเจอพระอาทิตย์ตก ตื่นให้เช้าขึ้นหน่อยเพื่อจะได้พบเจอประสบการณ์ดี ๆ ตั้งแต่เช้า
ตอนเช้าของที่นี่วันนี้ เมฆอาจจะเยอะสักนิดเพราะเมื่อคืนฝนตก พระอาทิตย์ขึ้นอาจจะไม่กลมสวยสักเท่าไหร่ แต่ก็ให้บรรยากาศที่ดูสดชื่นยามเช้านะครับ
ขณะที่เรากำลังจะไปดูวิว ที่ Top Hill ของรีสอร์ทที่นี่ ได้เจอของดีไม่รู้ตัวครับ “นกเงือก” ซึ่งจริง ๆ แล้วเราจะไปดูกันในโปรแกรมวันนี้ช่วงสาย ๆ ลงมาหาอะไรกินที่รีสอร์ทครับ ไม่คิดว่าจะเจอใกล้ ๆ ขนาดนี้ คือเห็นอยู่ตัวเป็น ๆ โดยไม่ต้องใช้กล้องส่องทางไกล ในระยะยอดไม้ประมาณ 5 เมตร เห็นพี่ ๆ บอกว่าถ้าเช้าไหนอากาศดี ๆ จะลงมาเป็นฝูงเลย แต่วันนี้มาเดี่ยว ถือเป็นโชคดีของการตื่นเช้าในครั้งนี้เลยครับ
วิว Top Hill ของที่นี่จะมองเห็นชายหาดทั้งหมดของที่นี่ รวมไปถึงหมู่เกาะที่อยู่รอบนอก เสียดายที่ไม่ได้มาเห็นวิวตรงนี้ก่อน ไม่งั้นจะมาตั้งกล้องถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นตรงนี้แทน
อยู่เก็บบรรยากาศสักพัก ก็ลงมาทานข้าวเช้ากันหล่ะครับ ห้องด้านบนในรูปเป็นห้อง Top Hill เป็นมุมที่เราไปตั้งกล้องถ่ายรูปเมื่อกี้นะครับ
อาหารเช้าของที่นี่มีทั้งแบบของไทย และฝรั่ง อ่อ อย่าลืมสั่ง “กาแฟเย็น” นะครับ หน้าตาดีแล้วยังรสชาติกลมกล่อมดี
พอทุกคนเรียบร้อยกับภารกิจตอนเช้ากันแล้ว โปรแกรมแรกของวันนี้ เราจะไปเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ดูนกที่มีมากกว่า 162 ชนิดที่นี่ และมีนกเงือกมากกว่า 200 ตัว ข้อห้ามของการไปเดินป่าดูนกคือ ห้ามใส่เสื้อสีเหลือง ขาว ฟ้า แดง นะครับ พยายามใส่เสื้อผ้าให้ดูกลมกลืนกับธรรมชาติเข้าไว้
การเดินป่าวันนี้ อาจจะลำบากกันซักหน่อย เส้นทางค่อนข้างลื่นเพราะฝนตกไปเมื่อคืนนี้ การเดินทางในระยะแรก เดินง่ายครับเพราะป่าโปร่ง อาจจะชันนิดหน่อยครับ
เดินมาได้สักระยะ ก็เจอนกเงือกแล้วหล่ะครับ จุดดำ ๆ ตรงกลางนั่นแหล่ะ ถือว่าผมโชคดีที่ได้เจอตัวใกล้ ๆ เมื่อเช้า เพราะที่นี่ต้องให้พี่คนนำทางคนบอกว่าอยู่ตรงจุดไหน และต้องใช้กล้องส่องทางไกลหรือกล้องดูนกดูถึงจะเห็นชัด ๆ ในรูปนี่ผลใช้เลนส์ 55-250 ในระยะ 250mm ยังได้ตัวแค่นี้เอง
ชาวคณะกำลังส่องดูนกเงือกที่เกาะอยู่ตามผาด้านหน้า รูปนี้ ขอขอบคุณน้องหมอแห่ง ChillDTravel ด้วยนะครับที่อุตส่าห์เก็บรูปไว้ให้
พอเดินไปสักพักนึง เราก็เริ่มเข้าสู่ป่ารกทึบแล้วหล่ะครับ อ่อข้อแนะนำอีกอย่างคือเรื่องรองเท้าให้ใช้รองเท้าที่รัดกุมหน่อยนะครับ รองเท้าแตะท่าจะไม่ไหว
พอเดินเข้าป่ามาผมก็ไม่ได้เก็บภาพอะไรมากแล้วหล่ะครับ ต้องคอยระวังเวลาเดิน เพราะทางต่อไปข้างหน้าเป็นทางลงเข้า ขนาดระวัง ๆ ผมยังลื่นไปครั้งนึงเลย ในรูปนี้จะเป็นลูกหวายป่านะครับ รสชาติจะออกฝาด ๆ ตัวเมล็ดจะใหญ่หน่อยเนื้อน้อย เม็ดจะไม่ใหญ่มาก (ขอบคุณรูปนี้จากน้องหมออีกเช่นกันครับ)
แล้วเราก็มาถึงจุดหมายครับ นี่เป็นอีกหนึ่ง ไฮไลท์ของการเดินป่าครั้งนี้ครับ “ต้นโพธิ์ทะเลยักษ์” เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ขนาด 25 คนโอบ อยู่บริเวณทิศเหนือของเกาะยาวน้อยแห่งนี้ ใหญ่ไม่ใหญ่ดูเอาแล้วกันครับ น้องในรูป สูงประมาณ 180 cm กว่า ๆ สูงจนมองไม่เห็นยอดเลยครับ
มาถึงทั้งที ขอเก็บภาพหมู่กันหน่อยครับ
พอพักกันพอหายเหนื่อย เราก็จะไปชมฝูงค้างคาวแม่ไก่กัน ซึ่งเราจะต้องนั่งเรือไปต่อที่เกาะใกล้ ๆ นี้ ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเป็นเกาะโรยนะครับ ที่เกาะโรยนี่จะขึ้นชื่อเรื่องพายคายัคกับการปีนหน้าผา
พอถึงเราก็ลงจากเรือแล้วก็เดินเข้าไปในป่าโกงกางอีกนิดเดียวครับ ก็จะเจอฝูงค้างคาวแม่ไก่ ฝูงใหญ่อยู่ภายใน บริเวณนี้เป็นเหมือนภูเขาล้อมรอบ เหมาะสำหรับเป็นแหล่งอยู่อาศัยของค้างคาว เพราะเหมือนมีปราการธรรมชาติอยู่ในตัว
หลังจากนั้นแล้ว เราก็ลงเรือต่อไป เกาะกูดู โชคดีครับที่เราไม่เจอฝนตอนกลางวันกันเลย ถึงจะเจอตอนกลางคืนไปทีนึงก็ตาม เพราะถ้ามาทะเลแล้วไม่เจอฟ้าแบบนี้เสียดายแย่เลย
ที่เกาะกูดูนี่ เป็นสถานที่ตั้งของโรงภาพยนตร์กลางทะเล (ในรูปกรอบเล็ก) โดยโรงภาพยนตร์กลางทะเลที่ว่านี้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของสถาปนิกชาวเยอรมัน “โอเล่ ชีเรน” (Ole Scheeren) โดยมีจอหนังที่ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างหินผาสูง ตามด้วยการจัดในส่วนของที่นั่งคนดูเป็นแพไม้ขนาดใหญ่ จะมีการฉายภาพยนตร์เฉพาะในตอนกลางคืนเท่านั้น แต่ไม่ได้มีอยู่ตลอดนะครับ ตอนผมไปถึงก็ไม่ได้มีอยู่แล้ว ทำให้ถ่ายออกมาผิดจากตำแหน่งจริง ๆ ไปนิดหน่อย จริง ๆ แล้วที่เกาะกูดูนี้ ชายหาดสามารถว่ายน้ำเล่นได้ และยังมีปะการังน้ำลึกแผ่อยู่รอบ ๆ เกาะนี้อีกด้วย
เมื่อเสร็จแล้ว เราก็ได้เวลากลับแล้วหล่ะครับ เราต้องออกเดินทางไปที่เกาะยาวใหญ่ในช่วงบ่ายนี้กันต่อ รูปนี้เป็นรูปรีสอร์ทที่ถ่ายจากบนเรือ จริง ๆ แล้วรีสอร์ทนี้ตั้งอยุ่ในทำเลที่ดีจริง ๆ นะครับ เสียดายไม่มีเวลาได้อยู่พักที่นี่สักเท่าไหร่
หลังจากนั้นเราก็นั่งเรือออกจากรีสอร์ทแล้วก็ไปนั่งรถสองแถวต่อไปที่ท่าเรือที่เรามาถึงเกาะยาวน้อย เพื่อจะต่อไปเกาะยาวใหญ่ นั่งเรือต่อสักพักก็ถึงแล้วครับ อยู่ไม่ไกลกัน ถ้าดูในแผนที่ ห่างกันแค่พอเห็นเท่านั้นเอง เรืออย่างในรูปคือเรือที่โดยสารจากเกาะยาวน้อยมาเกาะยาวใหญ่นะครับ
นั่งรถสองแถวต่อไปอีกหน่อย จุดแรกที่เราจะไปต่อคือ จุดชมวิวของเกาะยาวใหญ่
เกาะที่เห็นในรูปแรก น่าจะเป็นเกาะยาวน้อยนะครับ ฟ้าสวยทะเลใส ชอบจริง ๆ มุมแบบนี้
จริง ๆ แล้วโปรแกรมที่เราต้องไปต่อคือไปพายคายัค ล่องป่าชายเลนกัน แต่ก่อนจะถึง มีของดีอยากให้ได้ลองก่อนครับ นั่นก็คือ “บ้าบิ่นเกาะยาวใหญ่” เป็นบ้าบิ่นที่ผมว่าอร่อยที่สุดที่เคยได้กินมา เนื้อบ้าบิ่นแบบกรอบนอกนุ่มใน ชิ้นใหญ่ เนื้อมะพร้าวก็หอมแล้วก็อ่อนกำลังดี ซื้อเป็นของฝากได้สบายครับ ถุงนึงก็ 50 บาท ถ้าต้องการสั่งปริมาณมากหรือสอบถามข้อมูลก่อนมา โทร.ได้ที่เบอร์ 086-946-8095, 086-266-7191 นะครับ
โปรแกรมที่เราจะทำต่อไปคือ ไปพายคายัค และไปดูปลาดาวน้ำตี้นกัน แต่เสียดายวันที่เราไป มันอยู่ในช่วงน้ำขึ้นไม่สุดลงไม่สุด แถมเวลาที่เราไปมันเข้าช่วงเย็นแล้ว การไปเดินดูปลาดาวของเราเลยล่มไป เพราะน้ำมันจะค่อนข้างขุ่น ก็เลยได้แต่พายคายัคอย่างเดียว
ป่าชายเลนที่นี่อยู่ในสภาพสมบูรณ์มาก เป็นป่าผืนใหญ่ แล้วไม่มีใครบุกรุกทำลายป่า เห็นแล้วดีใจครับ
หลังจากเสร็จแล้ว เราไปต่อกันที่หาดโล๊ะปาแรด เป็นชายหาดทรายที่ชมพระอาทิตย์ตกดิน ที่สวยที่สุดบนเกาะยาวใหญ่ ยามเย็น ก็เห็นชาวบ้านมาพักผ่อนหย่อนใจที่ชายหาดแถบนี้เหมือนกันครับ
เราใช้เวลาอยู่ที่หาดโล๊ะปาแรด อยู่สักพักนึง ตอนแรกก็อยากอยู่ชมพระอาทิตย์ตกเหมือนกัน แต่เราคงรอไม่ไหว เพราะต้องไปกินข้าวเย็นกันที่ร้าน “ริมเลซีฟู๊ด”
พอไปถึงถือว่าโชคดีมากเลยครับที่นี่ก็มีพระอาทิตย์ตกให้ดูเหมือนกัน รูปนี้ผมถ่าย Panorama แล้วเอามาต่อกันอีกทีนะครับ คือเห็นฟ้า เห็นเรือ เห็นพระอาทิตย์ที่กำลังจะตก แล้วม้นอยากเก็บภาพทั้งหมดเลย เลนส์ที่ผมใช้ เป็นเลนส์ 15-85 จะกว้างแค่ไหนมันก็ไม่พออยู่ดี ทางออกของผมก็ต้องใช้วิธีนี้แหล่ะ โชคดีครับที่ออกมาถือว่าดีใช้ได้อยู่
รูปพระอาทิตย์ตกรูปนี้ คล้ายปลาวาฬพ่นน้ำเลยครับ เสียดายพระอาทิตย์ตกไปทางด้านหลังไปนิด ไม่งั้นพอดีเป๊ะ
แล้วพระอาทิตย์ก็ตกไปเรียบร้อย มากินข้าวกันดีกว่า อาหารมื้อนี้ก็มี ปูนึ่ง ปลาหมึกผัดไข่เค็ม กุ้งผัดซอสมะขาม น้ำพริกกะปิกุ้งสด ปลากะพงนึ่งสมุนไพร แกงส้มชะอมกุ้ง แล้วอย่างสุดท้ายที่ได้กินเสียที คือ หอยชักตีน ครับ
หลังจากที่เรากินข้าวกันเสร็จแล้ว ก็เข้ารีสอร์ทกันเสียที ที่ผมจะพักคืนนี้ คือ Koh Yao Yai Village เป็นรีสอร์ทที่ดูสงบร่มรื่น ตามไปดูห้องกันเลยดีกว่าครับ
ตรงนี้เป็นด้านนอกของห้องพักครับ มีเตียงไว้เอนตัวนอนสบาย ๆ ถ้าเกิดลมดี ๆ ผมว่าเผลอ ๆ หลับเลยนะครับ
ขอจบแค่นี้สำหรับตอนแรกนะครับ ส่วนตอนที่ 2 ผมจะพาไปล่องแก่ง ชิมสาหร่อยเม็ดพริกไท แล้วเราจะไปปล่อยเต่ากัน ต้องขอโทษด้วยนะครับ อาจจะยาวไปสักนิด แต่ผมไม่อยากตัดทอนอะไรออกไปเลย เป็นทริปที่ผมประทับใจกับคนในพื้นที่มาก ๆ นานแล้วครับพี่ผมไปเที่ยวที่ไหน แล้วไม่ได้เจอรอยยิ้มบ่อยครั้งเท่าครั้งนี้ ไว้เจอกันอีกทีตอนที่ 2 นะครับ เร็ว ๆ นี้ ขอบคุณมากครับ