Journey of Western Europe
Episode 1 Portugal Part 2 Tomar Porto
ความเดิมตอนที่แล้ว… –> http://blog.one22.com/archives/13085
สวัสดีครับ วันนี้ผมจะพาเพื่อนๆไปเที่ยวที่โปรตุเกสกันต่อครับ โดยตอนนี้จะเล่าถึงอีก 2 เมืองที่ผมได้มีโอกาสไปมาในทริปนี้ครับ นั่นก็คือเมืองโทมาร์ และ เมืองปอร์โต้นั่นเองครับ เพื่อไม่ให้เสียเวลาก็ขอพาเพื่อนๆไปชมความสวยงามของเมืองทั้ง 2 นี้กันเลยครับ
มุ่งหน้าสู่โทมาร์
สำหรับโทมาร์นั้นเป็นเมืองทางตอนกลางของประเทศโปรตุเกส เป็นเมืองเล็กๆที่มีคนอยู่เพียงประมาณ 50,000 คนเท่านั้นครับ โดยอยู่ห่างจากเมืองหลวงลิสบอนไปทางเหนือประมาณ 150 กม. แต่ผมออกเดินทางจากซินทรา ก็ประมาณ 160 กม. ครับ สำหรับถนนหนทางที่โปรตุเกสนั้นเท่าที่ผมขับ มันจะเป็นทางด่วนเชื่อมเมืองเกือบตลอดเส้นทางครับ โดยที่ทางด่วนนั้น เมื่อออกนอกเขตเมืองจะมี Speed Limit ที่ 110 ครับ แต่ในการขับจริงๆ สามารถขับได้ประมาณ 120 ครับ (เหมือนทุกประเทศที่ส่วนใหญ่อนุโลมให้ขับได้ +10 จาก Speed Limit) ซึ่งระหว่างทางนั้นผมเห็นรถหลายคันเลยที่ขับไป 140 ได้มั๊งครับ แต่ผมไม่เอาดีกว่า โดน Ticket ขึ้นมาไม่คุ้มอย่างแรงครับ โดยทางด่วนที่โปรตุเกสนั้นจะมีระบบเหมือน Easy Pass บ้านเราครับ คือมีตัวรับส่งสัญญาณติดอยู่ในรถ แต่ระบบที่นี่ไฮโซกว่าคือ ถ้าเป็นด่าน สามารถใช้ความเร็วได้ถึง 60 ในการเข้าด่าน หรือบางจุดก็ไม่มีด่านเลยมีแค่ตัวอ่านอยู่ด้านบน อันนั้นขับ 120 ระบบก็ตรวจจับได้ครับ ซึ่งตอนเช่ารถ รถผมมันจะมีตัวรับสัญญาณมาในรถเลยครับ
ระยะทางจากซินทราไป โทมาร์นั้น ค่าทางด่วนจะอยู่ราวๆ 15 EUR ครับ ซึ่งตอนที่ผมคืนรถ เค้าบอกว่าเค้าจะ ชาร์จ ค่าทางด่วนมาในบัตรเครดิตเอง แต่จากวันนั้นจนวันนี้ผ่านไป 3 เดือนแล้วก็ไม่มีค่าทางด่วนเรียกเก็บมาแต่อย่างใดครับ (และหวังว่ามันจะไม่เก็บ 55)
อ้อใช่แล้ว ที่โปรตุเกสจะมีสัญลักษณ์ Speed Limit อีกอย่างนึงครับ
แต่อันนี้จะเป็น Speed limit ว่าห้ามขับรถต่ำกว่าเท่าไหร่ ซึ่งสัญลักษณ์นี้จะอยู่บนทางด่วน จะกำกับว่าแต่ละเลนส์ต้องใช้ความเร็วอย่างน้อยเท่าไหน
รถช้าก็อยู่ข ส่วนรถเร็วก็อยู่ซ้าย และเลนส์ซ้ายสุดห้ามรถใหญ่วิ่ง (ตรงข้ามกับบ้านเรา เพราะพวกมาลัยคนละด้านกับบ้านเรานั่นเองครับ)
The Convent of the Order of Christ (Convento de Cristo)
เมืองโทมาร์แรกเริ่มทีเดียวนั้นเกิดขึ้นจากการสร้างป้อมปราการ(ปราสาท) ของอัศวินเทมพลาร์ (Knight Templar) แล้วจึงค่อยๆเกิดเมืองขึ้นมาหลังจากนั้นภายในปราสาท และเมื่อเมืองเจริญขึ้นก็ขยายออกมาภายนอกครับ
ป้อมปราการแห่งนี้ถูกสร้างในสมัยราวปี 1160 และมีบทบาทต่อการใช้เป็นที่ต่อต้านการทำสงครามของชาวมัวร์ด้วยครับ วันที่ไปตอนแรกผมไปช่วงเช้าครับ ปรากฎว่าฟ้าปิด เมฆครึ้มเลยครับ ตอนแรกว่าจะถอดใจ แล้วกลับมาแวะใหม่ในวันกลับจากปอร์โต้ เลยแวะไปหาข้าวทานในเมืองครับ แต่ปรากฎว่าพระเจ้าเป็นใจครับ หลังทานอาหารเสร็จเริ่มมีแดดออกมาบ้าง ผมเลยตัดสินใจวกกลับไปใหม่ แล้วก็คิดถูกครับ เพราะว่าฟ้าค่อยๆเปิด ครับ สำหรับที่นี่ถ้าจำไม่ผิดค่าเข้าจะอยู่ที่ 6 EUR ครับ ตอนเข้าไปเสร็จช่วงแรกผมแทบไม่สนใจภายในเลยครับ เพราะว่าแดดมันออกพอดี เลยรีบวิ่งไปด้านนอกเพื่อเก็บภาพมาครับ แล้วแต่ไปๆมาๆ เมฆครึ้มๆ ก็ค่อยๆหายไปจนหมดครับ แล้วผมจะรีบทำไมเนี่ย 555
สำหรับที่ปราสาทแห่งนี้ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 1983 ครับ อันนี้เป็นภาพสถาปัตยกรรมบริเวณรอบๆปราสาทนะครับ ประตูทางเข้าหลักผมว่าจากการเที่ยวพวกโบสถ์ และบรรดาสิ่งก่อสร้างของทางยุโรปเนี่ย ส่วนนึงที่ผมว่ามันจะอลังมากคือสถาปัตยกรรมบริเวณประตูทางเข้านี่หล่ะครับ
ทางเดินภายใน
และสิ่งที่ทางยุโรปชอบสร้างคือ บันไดเวียนครับ ที่ Convent of Christ นั้นมีที่ให้เดินชมภายในค่อนข้างกว้างครับ อันนี้เป็นกำแพงด้านหลังตัวโบสถ์ครับ
ที่นี่มีหลายห้องให้เดิน แต่ภายในจะไม่ค่อยมีอะไรแสดงมากนัก จะออกแนวว่าห้องนี้คืออะไร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ราวๆนั้นครับ อันนี้ห้องอะไรก็ไม่รู้ผมว่าแสงมันสวยดีเลยถ่ายมา 5555
Round Church of the Convent of Christ
ที่ Convent of Christ นั้นจะมีโบสถ์อยู่ภายในด้วยครับ ซึ่งจุดเด่นของโบสถ์นี้คือ มีการสร้างโบสถ์ให้เป็นรุปทรงกลมครับ ดูจากส่วนเพดานครับ จะเห็นว่าเป็นทรงกลมครับแต่ตัวโครงสร้างนั้นจริงๆแล้วมาจากกำแพงแปดเหลี่ยมนั่นเองครับ โดยกำแพงแต่ละด้านนั้นจะตกแต่งด้วยทั้งภาพวาดและการแกะสลักครับ
รูปปั้นพระเยซูที่อยู่ภายในครับ บริเวณตรงกลางของวงกลมครับ
และภาพนี้เป็นวิวจากทางเดินไปแท่นบูชาครับ
อ้อจุดเด่นอีกอย่างของวัฒนธรรมที่โปรตุเกสที่เห็นได้ชัดคือ การใช้กระเบื้องสีสดใสๆ (ส่วนมากเป็นสีฟ้า) นำมาใช้ตกแต่งทางเดินครับ
ก็ขอลา The Convent of the Order of Christ ไปด้วยภาพนี้ละกันครับ
อย่างที่บอกครับว่าผมตัดสินใจได้ถูกต้องมากที่วกกลับมาที่นี่แทนที่จะมุ่งตรงไปที่ปอร์โต้เลย เมื่อเที่ยง ดูซิครับ เมฆฝนเมื่อเช้าไม่เหลือแล้วกลายเป็นแดดออกฟ้าใสมากๆเลยครับ
ด้วยอากาศค่อนข้างดีผมเลยนั่งเล่นถ่ายภาพที่นี่อยู่อีกพักนึงครับ เพราะตรงที่อยู่นั้นเป็นบริเวณเนินเขาที่จะเห็นเมืองโทมาร์ทั้งเมืองได้แบบ 360 องศาเลยครับ
มุ่งหน้าสู่ปอร์โต้
หลังจากนั่งเล่นชมวิวอยู่พักใหญ่ผมก็ขับรถเข้าไปยังเมืองปอร์โต้ครับ โดยตอนแรกยังหวังว่าจะไปเก็บภาพช่วงแสงเย็นได้ซักจุดนึงก่อน แต่ระหว่างทางไปนั้นปรากฎว่าฝนเริ่มปรอยๆลงมาครับ และเมื่อใกล้ปอร์โต้ฝนก็ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังถือว่าโชคดีว่าตอนที่ผมไปถึง ฝนซาพอดีทำให้ตอนเข้าโรงแรมไม่เปียกฝนครับ อ้อสำหรับจากโทมาร์ไปยังปอร์โต้นั้นระยะทางอยู่ที่ราว 200 กม. ครับ แต่ใช้เวลาขับไม่ถึง 2 ชมนิดๆ เพราะตลอดทางเป็นทางด่วนตลอด ค่าทางด่วนเท่าที่ดูประมาณ 15 EUR ครับ มารถติดหน่อยตรงใกล้ๆปอร์โต้เพราะเป็นช่วงเลิกงานพอดีครับ
สำหรับที่ปอร์โต้นั้นผมเลือกพักอยู่ย่านแถวๆสถานีรถไฟ Campanha ซึ่งอยู่ไปทางด้่านตะวันออกของเมืองครับ ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นจุดร่วมรถไฟฟ้าหลายสายเลยครับ ห่างจากสะพาน Dom Luís ซึ่งเป็นจุดที่ผมจะถ่าย Twilight ประมาณ 3 กม.เท่านั้นครับ (แต่ไม่แนะนำให้เดินนะครับ เพราะที่ปอร์โต้เมืองจะเป็นหน้าผา สูงชันทั้งเมืองครับ เดินๆนี่มีหอบครับ 555) แต่สุดท้ายวันนี้ผมก็ไม่ได้ไปถ่ายภาพช่วงเย็นที่ไหนเพราะฝนตกครับ ก็เลยนอนอยู่โรงแรมและซักผ้าแทนครับ
Porto City Tour
สำหรับวันที่ 6 จะเป็นการเที่ยวในตัวเมืองปอร์โต้ครับ ซึ่งวันนี้ตื่นมาโชคดีมากครับ เพราะฝนที่ตกเมื่อวานหายไปหมดแล้วครับ วันนี้ฟ้าใสแบบสุดๆเลยครับ โดยวันนี้ผมซื้อตั๋ววันของปอร์โต้ครับ ซึ่งจะสามารถใช้ รถไฟ รถใต้ดิน รถเมล์ และ รถรางได้ครับ แต่ไม่สามารถใช้ร่วมกับกระเช้า ได้ครับ อันนี้เป็นแผนที่รถไฟฟ้าใต้ดินครับ จะเห็นว่าที่ปอร์โต้นั้นจะมีการแบ่งเป็นโซนๆครับ โดยตั๋ววันที่ซื้อนั้นจะต้องระบุว่าเราใช้กี่โซนครับ ซึ่งที่เที่ยวที่ผมแพลนไว้นั้นอยู่ในโซน C1 เกือบทั้งหมดมีหลุดไปโซน S8 แค่จุดเดียว ซึ่ง 2 โซนนี้สามารถใช้ตั๋ววันแบบที่ถูกที่สุดได้ครับ รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่นี่เลยครับ http://www.metrodoporto.pt/en/pagegen.aspx เนื่องจากผมมีเวลาเที่ยววันเดียวดังนั้นผมจึงแพลนการเที่ยวเน้นภายในตัวเมืองเป็นหลักครับ โดยยอมที่จะตัดบางจุดทิ้งไปเพื่อให้สามารถใช้เวลาในแต่ละจุดได้นาน (เพราะผมต้องถ่ายรูปและวีดีโอเพื่อเอากลับมาขายตามวัตถุประสงค์ของการเดินทางนั่นเอง) สำหรับ List ที่ผมจะไปมีตามนี้ครับ แต่จะไปได้กี่ที่มาดูกันครับ
- Porto City hall
- Carmo Church and Carmelitas Church (Igreja da Nossa Senhora do Carmo das Carmelitas)
- Clerics Church (Clérigos Church)
- Church of Saint Ildefonso
- Porto Cathedral
- Casa-Museu Guerra Junqueiro
- Bolsa Palace
- Dom Luis Bridge
- Port Wine
รวมระยะทางการเดินทั้งหมดประมาณ 6-7 กม. แต่ว่าในความเป็นจริงมันค่อนข้างโหดร้ายกว่านั้นครับ เพราะว่าตัวเมืองปอร์โต้เป็นเขา โดยมีแม่น้ำผ่ากลาง ดังนั้นการเดินไปจุดต่างๆจึงไม่ได้เป็นทางราบครับ ซึ่งตอนทำการบ้านไปโดย Google map มันก็ไม่บอกซะด้วยซิ 555
Trindade Church (Igreja da Trindade)
แรกที่เดียวผมจะเริ่มจากไปเที่ยวที่ Porto City hall ก่อนครับ ซึ่งผมนั่งรถใต้ดินไปลงที่สถานี Trindade ซึ่งพอขึ้นมาระหว่างทางเดินไป City hall ก็เจอกับ Trindade Church โดยที่ Trindade Church ตั้งอยู่ที่ Trindade Square ครับ แต่ผมไม่ได้แวะเข้าไปครับได้แค่ถ่ายรูปภาพนอกมาเฉยๆครับ สำหรับโบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างในสมัย คริสต์ศตวรรษที่ 19 ครับ และเปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อ มิถุนายน 1841
Porto City Hall (Municipality of Port)
เดินจาก Trindade Church มาไม่ไกลก็จะเจอ City Hall ครับ สำหรับที่ City hall แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อราวๆปี 1920 หรือเกือบๆ 100 ปีที่แล้วครับ
โดย City Hall แห่งนี้ตั้งอยู่บน จตุรัส Aliados โดยปลายสุดติดถนนจะเป็นอีกจตุรัสหนึ่งชื่อ Liberty Square ซึ่งจะมีรูปปั้นของ D. Pedro IV อยู่ครับ ซึ่งเป็นลูกชายคนที่สองของ พระราชา João VI และ พระราชินี Carlota Joaquina แต่พี่ชายของเขากลับเสียชีวิต ทำให้เขาได้รับการสืบทอดบัลลังค์แทนครับ
โดยตรงจตุรัสก็จะมีพวกรูปปั้นต่างๆอยู่
และตึกรอบๆจตุรัสก็ดูเก่าขลังและสวยงามดีครับ
ภาพนี้เป็นภาพจากปลายจตุรัส Liberty Square ครับ จริงๆแล้วจากตรงนี้สามารถเดินไปทาง ทิศตะวันตกเพื่อไปยัง Carm0 Church และ Carmelites Church ต่อได้เลยครับ แต่เนื่องจากผมอยากได้ภาพสะพาน Dom Luis Bridge ช่วงกลางวันด้วย รวมถึงจะไปสำรวจที่ทางที่จะไปถ่ายภาพในช่วงเย็นด้วย เพื่อจะดูว่ามันเข้าได้หรือไม่ได้ยังไงผมจะได้เปลี่ยนแผนทัน ผมเลยนั่งรถไฟใต้ดินจากสถานี Aliados ไปที่สถานี Jardim do Morro ครับ จากนั้นก็เดินย้อนขึ้นเขา (อีกแล้ว) เพื่อไปยังที่จอดรถของ Monastery of Serra do Pilar ซึ่งเป็นจุดที่ผมจะมาถ่ายภาพเย็นนี้ครับ
Porto City – City of Bridges
เมืองปอร์โต้นั้นมีสมยานามอีกอย่างหนึ่งว่าเมืองแห่งสะพานครับ เนื่องจากที่นี่เป็นเมืองท่า ที่มีแม่น้ำ Duoro ผ่ากลางเมืองทำให้มีการสร้างสะพานขึ้นมามากมายครับ จากที่จอดรถของ Monastery of Serra do Pilar เราจะเห็นวิวเมืองเก่าปอร์โต้ที่อยู่ริมโค้งน้ำครับ
โดยสิ่งที่ผมเล็งว่าจะมาถ่ายภาพในเย็นนี้คือสะพานแห่งนี้ครับ สะพาน Dom Luis Bridge
และจุดเด่นของเมืองนี้อีกอย่างหนึ่งคือเรือใบโบราณครับ แล่นผ่านมาพอดีเลยเก็บภาพซักหน่อยครับ
จากนั้นก็แวะทานข้างร้านแถวๆ สถานีรถไฟนั่นหล่ะครับ เป็นร้านประมาณเสต๊คปิ้งย่างครับผมได้จานนี้มาทาน ราคาถูกมากประมาณ 6 EUR เท่านั้น ผมชอบอาหารที่นี่อย่างคือ มันมีเสิร์ฟข้าวมาด้วย แม้ข้าวจะไม่ค่อยอร่อยก็ตาม แต่ก็ทำให้หายอยากข้าวไทยได้ครับ 555 ปล.เหมือนเดิมนะครับ เค้าจะเสิร์ฟพวกเครื่องเคียงมาด้วย แต่ที่นี่หนักกว่าคือเสิร์ฟ ขนมปังที่ใส้คล้ายๆกะหรี่ปั๊บมาด้วย ซึ่งถ้าใครจะไม่เอาอะไรก็แจ้งเค้าตอนมาเสิร์ฟนะครับ ไม่งั้นเค้าคิดเงินเพิ่มนะครับ
Carmo Church and Carmelites Church (Igreja da Nossa Senhora do Carmo das Carmelitas)
หลังจากทานข้าวเสร็จผมก็กลับเข้าแผนเที่ยวต่อคือไปที่ Carmo Church and Carmelites Church ซึ่งที่นี่จัดว่าเป็น Landmark ลำดับต้นๆของเมืองนี้เลยครับ โดยผมนั่งรถไฟใต้ดินกลับไปที่สถานี Sao Bento แล้วเดินย้อนขึ้นไปครับ ซึ่งแน่นอนเป็นทางเดินขึ้นเขา (อีกแล้ว) แต่เมื่อไปถึงผมกลับพบกับความผิดหวังเล็กน้อยครับ เนื่องจากโบสถ์แห่งนี้จุดเด่นคือการใช้กระเบื้องสีฟ้ามาตกแต่งผนังโบสถ์ ซึ่งโดยทั่วไปการถ่ายโบสถ์นั้นจะต้องถ่ายช่วงบ่าย แต่อันนี้ผนังฝั่งที่เป็นจุดขายกลับหันไปทางทิศตะวันออก นั่นแปลว่าตอนผมไปมันย้อนแสงเรียบร้อยครับ แต่ทำยังไงได้ไปแล้วก็ต้องถ่าย 555
ด้านหน้าโบถ์พิ้นที่ก็จะเล็กๆ ไม่มีมุมกว้างๆให้ถ่ายรูปซักเท่าไหร่ครับ
ไม่ซิต้องบอกว่ามีพื้นที่ครับ แต่พอดีว่าตรงนั้นจะมีรถรางวิ่งดังนั้นจะมีสายไฟรถรางเกะกะมากกว่า ดังนั้นก็ขอเอารถรางมาเข้าฉากด้วยซะเลย 555 จากภาพนี้สังเกตุดูดีนะครับ ในภาพจะมีโบสถ์ 2 หลังครับ ทางขวาที่มีผนังสวยๆคือ Carmo Church แลโบสถ์ทางซ้ายที่มีหอระฆังคือ Carmelites Church โดยมีบ้านคั่นตรงกลาง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในบ้านที่แคบที่สุดในโลกขนาดกว้างเพียง 1 เมตรเท่านั้นครับ และบ้านหลังดังกล่าวก็มีคนอยู่อาศัยจริงจนเมื่อราว 20 ปีที่ผ่านมาเลยครับ สำหรับสาเหตุที่มีบ้านมาคั่นกลางนั้นก็เพราะว่า โบสถ์ทางซ้ายคือ Carmelites Church เป็นสำนักแม่ชี และโบสถ์ทางขวาคือ Carmo Church เป็นสำนักสงฆ์นั้น มีกฎหมายของเมืองว่าไม่สามารถใช้กำแพงร่วมกันได้ เพื่อความบริสุทธ์ในพระองค์ อะไรประมาณนั้นนั่นเองครับ ซึ่งโบสถ์ที่สร้างก่อนคือ Carmelites Church สร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ Carmo Church สร้างในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 หรือราวๆปี 1756 และไปสมบูรณ์ประมาณปี 1801 ครับ
Clérigos Church and Tower (Igreja dos Clérigos and Torre dos Clérigos)
จาก Carmo Church เดินตามรถรางลงมาจะเจอกับอีกโบสถ์นึงครับนั่นคือ Clérigos Church ซึ่งที่นี่มีจุดเด่นคือมีหอคอยสูงที่ไว้สำหรับชมวิวเมืองปอร์โต้ได้ครับ (ค่าขึ้น 3 EUR) กับบันไดประมาณ 240 ขั้น ซึ่งในวันที่หอคอยนี้สร้างเสร็จในปี 1763 นั้นถือเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดในโปรตุเกสเลยครับ ปัจจุบันหอคอยที่สูงที่สุดคือ Vasco da Gama Tower ที่ลิสบอนครับ แต่ตอนไปผมไม่ได้เดินขึ้นไปชมวิวนะครับ เพราะดูเวลาแล้วยังเหลืออีกหลายที่เลยครับ
Saint Ildefonso Church (The Igreja de Santo Ildefonso)
วันนี้เที่ยวกันแต่โบสถ์ครับ 555 หลังจากถ่ายรูปหอคอย Clérigos แล้วเดินย้อนลงเขามาที่ Liberty Square ก่อนเดินขึ้นเขา (อีกแล้ว) ไปทางทิศตะวันออกของถนนเดียวกัน ก็จะเจออีกโบสถ์นึงครับคือ Saint Ildefonso Church โบสถ์แห่งนี้สร้างเมื่อปี 1724-1730 ซึ่งจุดเด่นของโบสถ์นี้คือผนังบริเวณทางเข้าจะใช้กระเบื้องสีฟ้าขาวมาตกแต่งครับ จากประวัติแล้วจริงๆที่ตรงนี้ก่อนหน้าที่จะเป็นโบสถ์ ก็เคยเป็น วิหาร (Chapel) ที่บิชอปแห่งปอร์โต้ใช้งานมาก่อนครับ แต่ด้วยความที่มันเก่ามากจนทำให้ทางเมืองตัดสินใจรื้อและสร้างใหม่เป็นโบสถ์แห่งนี้ครับ
Porto Cathedral (Sé do Porto)
สำหรับในยุโรปแล้วแต่ละเมืองจะมีโบสถ์ประจำเมืองอยู่ ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้คำว่า Cathedral ที่ปอร์โต้ก็เช่นกันครับซึ่งโบสถ์ประจำเมืองแห่งนี้สร้างตั้งแต่ราวๆปี 1110 ครับโดยบิชอปฮิวโก้
ซึ่งในช่วงแรกนั้นโบสถ์สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ก่อนที่จะมีการตกแต่งเพิ่มเติมด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาร๊อคในเวลาต่อมา โดยหลงเหลือเพียงส่วนหน้าต่างทรงกลมเท่านั้นที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิคครับ
โบสถ์ประจำเมืองนี้ปัจจุบันถือว่าเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดของเมืองปอร์โต้ครับ แต่จริงๆแล้วมีอีกโบสถ์หนึ่งที่น่าสนใจครับคือ SÃO FRANCISCO CHURCH ซึ่งโบสถ์แห่งนี้มีจุดเด่นอยู่ที่สถาปัตยกรรมภายในครับ แต่โบสถ์นี้ผมไม่มีเวลาที่จะแวะไปครับ ซึ่งจริงๆผมเดินผ่านไปนะครับ แต่ตอนนั้นไม่ทราบว่ามันมีอะไรน่าสนใจ โดย SÃO FRANCISCO CHURCH จะอยู่ติดกับ Bolsa Palace ครับซึ่งติดๆกันจะมีสวนกว้างๆที่มีอนุเสาวรีย์อันนี้อยู่ครับ อ้อลืมบอกไปติดกับ Porto Cathedral จะมี Porto Art Museum อยู่นะครับ แต่ผมไม่ได้แวะครับ
Porto Wine Port
หลังจากค่อยได้ลงเขาลงมาผมก็เดินลงมาสุดที่ริมแม่น้ำครับซึ่งบริเวณนี้ค่อนข้างคึกคักเลยครับ มีร้านอาหารมากมายเต็มไปหมดครับ ตรงแถวๆนี้เป็นมุมสำรองที่ผมเล็งไว้ว่าถ้าตอนหัวค่ำไม่สามารถถ่ายรูปได้จะลงมาถ่ายภาพแถวนี้ครับ แต่หลังจากที่กลางวันไปสำรวจแล้วว่าถ่ายได้ ผมเลยแวะมาที่นี่ช่วงเย็นๆแทนครับ ปล. จากรูปเมื่อกี้ที่เห็นด้านบนนั่นคือจุดที่ผมจะไปถ่ายภาพเย็นนี้ครับ หลังจากเดินเล่นเสร็จผมก็เดินไปจนถึงสะพานครับ แล้วก็ข้ามสะพานไปฝั่งตรงข้าม ซึ่งฝั่งตรงข้ามนั้นจะเต็มไปโดยโรงงานไวน์ครับ ด้วยความที่สภาพอากาศแถวนี้ค่อนข้างดีจึงเหมาะแก่การปลูกและหมักไวน์ครับ และหลังจากหมักกันเสร็จในสมัยก่อนก็สามารถส่งขึ้นเรือออกไปขายต่อได้เลยครับ
อ้อเมืองปอร์โต้นั้นที่ผมบอกว่าแบ่งเป็น 2 ฝั่งด้วยแม่น้ำ Duoro นั้น ทางเหนือที่ผมเที่ยวมาตลอดวันนั้นคือฝั่งปอร์โต้ครับ (อารมณ์อำเภอเมืองบ้านเรานั้นหล่ะครับ) ทางด้านใต้ที่ผมข้ามไปเค้าเรียกกันว่าฝั่ง Gaia หรือชื่อเต็มๆคือ Vila Nova de Gaia โดยฝั่ง Gaia จะเป็นฝั่งที่มีตึกสมัยใหม่สูงๆเต็มไปหมดครับ
ฟ้าใสมาก จนไม่น่าเชื่อว่าเมื่อวานฝนตกหนักสุดๆ
ภาพนี้ถ่ายย้อนกลับไปฝั่งปอร์โต้ครับเห็นทั้งหอคอย Clérigos และโบสถ์ประจำเมืองด้วยครับ
Dom Luis I Bridge (Ponte Luís I)
ที่แห่งสุดท้ายที่ผมจะไปถ่ายแสงเย็นคือสะพาน Dom Luis I ครับ ซึ่งจากที่เห็นการจะขึ้นไปถ่ายภาพด้านบนเนี่ยเดินขึ้นเขากันเหนื่อยแน่ๆครับ ผมเลยยอมจ่ายเงินค่ากระเช้าครับถ้าจำไม่ผิดราคาจะราวๆ 5-8 EUR ครับซึ่งราคานี้จะได้ Free Wine Test Drink แต่ผมไม่ได้ไปชิมครับเพราะเวลาไม่พอแล้วต้องรีบขึ้นไปก่อนแสงหมดครับ
สำหรับสะพานแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นสะพานโครงเหล็กโค้งที่ยาวที่สุดในโลกครับ โดยโค้งที่เป็นโครงสร้างนั้นยาว 172 เมตร ส่วนความยาวของทั้งสะพานคือ 385 เมตรครับ ตัวสะพานมี 2 ชั้น ปัจจุบันชั้นล่างสำหรับรถยนต์ ส่วนชั้นบนสำหรับรถไฟฟ้าสาย D ครับ โดยคนสามารถเดินข้ามได้ทั้งข้างล่างและข้างบนครับ สะพานแห่งนี้เปิดใช้ตั้งแต่ปี 1886 ครับ
ที่ปอร์โต้จะมีสะพานที่เป็นลักษณะคล้ายๆกับอีกแห่งหนึ่งนะครับ ซึ่งบางทีคนจะสับสนกัน สะพานนั้นชื่อ Maria Pia Bridge ซึ่งสร้างก่อนสะพานแห่งนี้ 9 ปีแต่สะพานแห่งนั้นจะมีชั้นบนชั้นเดียวครับ จากรูปข้างล่างคือสะพานที่เห็นอยู่ไกลๆนั่นหล่ะครับ
วันนั้นพระอาทิตย์ตกสวยมากเลยครับก็ถ่ายรูปฟินกันไปครับ
หลังจากถ่ายภาพและวิดีโอจนพอใจพวกผมก็นั่งรถไฟใต้ดินกลับที่พักครับ ก็เป็นอันว่าหมดโปรแกรมสำหรับการเที่ยวโปรตุเกสของผมหล่ะครับ จริงๆแล้วใกล้เมืองปอร์โต้ ยังมีอีกเมืองหนึ่งที่น่าสนใจครับคือเมืองบราก้า ซึ่งห่างจากปอร์โต้ไปทางเหนืออีก 50 กม.โดยประมาณครับ โดยที่บราก้าจะมี Landmark หลักๆเลยคือ Bom Jesus do Monte Monastery
ซึ่งตอนแรกผมก็สองจิตสองใจว่าวันรุ่งขึ้นที่จะต้องขับรถลงไปลิสบอนเพื่อขึ้นรถไฟไปสเปนนั้นจะแวะไปที่นี่ดีมั๊ย เพราะมันต้องขับรถขึ้นเหนือไปอีกครับ แล้วที่ผ่านมาหลายวันก็ไม่ได้พักเท่าไหร่ แถมโปรแกรมที่วางไว้ก็ยังต้องขับรถโหดๆอีกมากกว่าจะได้พัก กลัวว่าร่างกายจะไม่ไหวเสียก่อน สุดท้ายก็เลยตัดสินใจไม่ไปครับ
แต่สุดท้ายกลับมาก็แอบเสียดาย 555
Go to Madrid – Oriente Train Station
สำหรับเช้าวันที่ 7 ผมก็นอนตื่นสายครับพักผ่อนพักร่างกาย แล้วก็เดินเล่นแถวที่พักจนเที่ยงก็ขับรถกลับลิสบอนครับ โดยวันกลับผมแวะกลับไป Belem Tower อีกรอบเพราะเช็คแล้วว่าช่วงที่ผมกลับไปเป็นช่วงน้ำขึ้นครับ จากนั้นก็ไป Drop ของที่สถานีรถไฟ Oriente แล้วก็เอารถไปคืนที่สนามบินครับ แล้วก็นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินกลับมาที่สถานีรถไฟเตรียมขึ้นรถไฟไปสเปนครับ ที่สถานีรถไฟ Oriente ถือว่าเป็นสถานีรถไฟที่สวยงามทีเดียวครับ ถ่ายรุปสนุกเลย 555
สำหรับการจองรถไฟนั้นผมได้จองผ่านเว็บ http://www.raileurope.com ครับ ซึ่งตอนจองก็คิดว่าจะจองดีมั๊ย หรือว่าจะใช้วิธีขับรถยาวไปเลย เนื่องจากผมไปกัน 3 คนบางครั้งตั๋วรถไฟ 3 คนรวมกันอาจจะแพงกว่าค่าคืนรถต่างประเทศเสียอีกครับ แต่ช่วงที่ผมทำรูทอยู่ มันมีโปรค่ารถไฟตกคนละ 1200 บาทเองครับ ราคาปกติจะอยู่ประมาณ 4000 บาทครับ เลยไม่คิดมากจัดไปเลยครับ และรถไฟเป็นแบบ Night Train ไม่ต้องขับรถไปประมาณ 500 กม. และได้นอนพักระหว่างเดินทางอีกตะหากครับ
ทั้งหมดนี้เป็นการเที่ยวโปรตุเกสในช่วง 7 วันแรกจาก 32 วันในทริปนี้ ตอนนี้เหลืออีก 2 ประเทศคือสเปนและฝรั่งเศสครับ เป็นยังไงบ้างครับ ผมหวังว่ารีวิวนี้จะช่วยให้เพื่อนๆเที่ยวโปรตุเกสได้อย่างง่ายขึ้นนะครับ เพราะโปรตุเกสเองเป็นประเทศที่ผมไม่ค่อยเห็นคนมารีวิวซักเท่าไหร่ แต่อย่างที่ผมพูดตั้งแต่ตอนที่แล้วครับ ว่าที่ประเทศนี้มีประวัติศาสตร์ที่อารยธรรมที่น่าสนใจมากครับ
สำหรับค่าใช้จ่ายในการเที่ยวที่โปรตุเกสเป็นไปตามตารางนี้ครับ (ซึ่งจริงๆสามารถถูกได้มากกว่านี้อีก)
ตอนหน้าผมก็จะพาเพื่อนๆเข้าไปที่สเปนซึ่งเป็นไฮไลท์สำคัญของทริปนี้เลยครับ
สำหรับวันนี้ขอบคุณที่ติดตามครับ สวัสดีครับ to be continue…
1 Comments
Pingback: Journey of Western Europe เส้นทางแห่งประวัติศาสตร์และอารยธรรม ตอนที่ 1 โปรตุเกส ลิสบอน ซินทรา | Blogท่องเที่ยว(