Let’s Go South : หลงเสน่ห์ ทะเลพังงา…
สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคน เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน ผมได้รับเชิญจากทาง ททท.
ให้ไปร่วมทริปเพื่อไปชมสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดพังงากันครับ
ซึ่งจังหวัดพังงาเอง แม้เป็นจังหวัดเล็กๆ แต่เปี่ยมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวจำนวนมาก
โดยเฉพาะ อุทยานแห่งชาติทางทะเล ทั้ง อช.หมู่เกาะสิมิลัน และ อช.หมู่เกาะสุรินทร์
ซึ่งรวมไปถึง เกาะตาชัย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในยุคนี้ ทั้งหมดล้วนอยู่ในจังหวัดพังงาทั้งสิ้นครับ
สำหรับรีวิวนี้หลักๆผมจะพาเพื่อนๆไปเที่ยวดังนี้ครับ
– เกาะคอเขา
– ดำน้ำที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์
– เที่ยวอ่าวบอนชมวิถีชีวิตมอร์แกน
– ชม“พลับพลึงธาร” หนึ่งเดียวในโลก ณ คลองตาเลื่อน
– หาดอ่าวเคย
– ล่องแพไม้ไผ่ที่คลองลำรู่
ถ้าพร้อมแล้วไป “หลงเสน่ห์ทะเลพังงา” พร้อมๆ กันเลยครับ
มุ่งหน้าสู่พังงา
สำหรับการเดินทางครั้งนี้ทาง ททท. ได้จอง Air Asia ให้พวกเราครับ
โดยเครื่องไปลงที่จังหวัดภูเก็ตแล้วต่อรถตู้อีกทีครับ การไปจังหวัดพังงา
แม้ไม่มีเครื่องบินไปลงที่พังงาโดยตรง แต่จริงๆแล้วมีตัวเลือกในการเดินทางได้หลากหลายครับ
สามารถไปลงได้ทั้งที่ภูเก็ต และ สุราษฎร์ธานี เลยครับ
ปกติแล้วเวลาเดินทางผมมักจะพยายามโหลดของเข้าใต้ท้องเครื่องหมดครับ
เพราะขี้เกียจลากกระเป๋าเดินทางในสนามบินครับ แต่พอดีผมพึ่งได้กระเป๋าใหม่มา
เป็นกระเป๋าของ Caggioni ซึ่งเป็นขนาด Cabin size เป็นรุ่นล้อยาง 4 ล้อ
เลยขอเป็นเด็กขี้เห่อลากกระเป็าใบนี้ขึ้นเครื่องไปด้วยครับ โดยผมยัดอุปกรณ์กล้อง
และ notebook ผมลงไปเพื่อนที่ตอนเดินในสนามบินจะได้ไม่ต้องสะพายเป้กล้องให้หนักไหล่ครับ อิอิ
ไฟลท์ไปภูเก็ต บินราว ชั่วโมงนิดๆก็ถึงสนามบินนานนาชาติภูเก็ตหล่ะครับ
พิงงา
เนื่องด้วยบินกันแต่เช้า และทาง ททท. ไม่ได้ซื้ออาหารตอนบิน Air Asia ไว้ครับ
ทางทีมงานเลยพามาแวะทานข้าวเช้าเบาๆ ที่ร้าน “พิงงา” ครับ
ที่นี่มีทั้งอาหารตามสั่งและติ่มซำให้ทานนะครับ พวกผมสั่งติ่มซำและบะกุ๊ดเต๋มาทานกันครับ
Casa de la Flora
หลังจากทานอาหารรองท้องแล้วเราก็เดินทางต่อไปยังเขาหลักครับ
ซึ่งในวันนี้ผมจะพักที่เขาหลักโดยจะพักที่ La Flora Resort & Spa Khaolak ครับ
ตอนที่ไปยังไม่ได้เข้าที่พักหรอกครับ แต่ผมได้แวะไปอีกรีสอร์ทหนึ่งที่เป็นรีสอร์ทในเครือเดียวกันครับ
นั้นคือ Casa de la Flora ชื่อคล้ายๆกันตอนแรกผมก็แอบสับสนนึกว่าที่เดียวกันเสียอีก 555
โดยที่ทางโรงแรมได้ขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารให้คณะเราครับ (กินอีกแล้ว 555)
แต่เนื่องด้วยพึ่งรองท้องด้วยเข้าเช้ากันมาเมื่อชั่วโมงกว่าๆ เมื่อกี้เลยยังไม่ค่อยหิวครับ
ทางโรงแรมเลยพาเดินชมห้องของโรงแรมเล็กน้อยครับ
อันนี้เป็นทางเดินโดยรอบโรงแรมและสระว่ายน้ำครับ แขกส่วนใหญ่ของที่นี่เป็นต่างชาติครับ
จากที่ได้คุยส่วนใหญ่จะเป็นเยอรมัน และชาวสแกนดิเนเวียครับ พวกรัสเซียมีบ้างแต่ไม่มาก
เพราะเค้าบอกว่าพวกรัสเซียจะชอบไปพักแนวภูเก็ตป่าตองเสียมากกว่าครับ ส่วนทางเอเชียจะเป็นพวกเกาหลี
ส่วนคนไทยมีมาพักที่นี่บ้างแต่ไม่มากครับ
อันนี้เป็นห้องสปาครับ ดูดีน่าทำเชียว 555
ห้องพักที่นี่ส่วนใหญ่จะทำเป็น Duplex หรือแบบ 2 ชั้นครับ
ผมได้แวะดูมา 2 ห้องครับ ที่นี่การตกแต่งจะตกแต่งด้วยไม้ครับ ซึ่งผมว่าทำให้ห้องดูสวยงามมากเลยครับ
เท่าที่ถามเห็นว่าถ้าเป็นส่วนภายนอกจะมีการเปลี่ยนไม้เกือบทุกปี เพราะไม่อย่างนั้นไม้จะโดนแดดเลียจนซีดครับ
หลังจากเดินเล่นในโรงแรมซักพักก็หิวกันพอดี
ก็เลยไปที่ห้องอาหารเพื่อทานอาหารกันครับ…
อาหารเท่าที่ทานใช้วัตถุดิบดีเลยครับ แต่ด้วยความที่ลูกค้าส่วนมากเป็นต่างชาติ
พ้อครัวจึงทำอาหารรสชาติแบบชาวต่างประเทศ เลยไม่ค่อยถูกปากคนไทยอย่างผมเท่าไหร่ 5555
เกาะคอเขา : นิยามแห่งการพักผ่อน
หลังจากทานข้าวที่ Casa De La Flora อิ่มกันเรียบร้อยเราก็เดินทางต่อไปยังเกาะคอเขากันครับ
เกาะคอเขานั้นอาจจะไม่เป็นเกาะที่ดังและคุ้นหูกันเท่าไหร่ครับ แต่ที่เกาะนี้ก็มีอะไรน่าสนใจไม่น้อยเลยครับ
ว่าแล้วก็ไปชมกันครับ… เกาะคอเขาเป็นเกาะใหญ่ที่มีชุมชนอยู่ภายในเกาะ
สามารถเดินทางโดยขึ้นเรือไปจากท่าเรือบ้านน้ำเค็มครับ ซึ่งที่ท่าเรือจะมีเรือเฟอร์รี่บริการ ซึ่งสามารถขนรถข้ามไปได้ด้วยครับ
แต่พวกผมไปลำนี้ครับ เป็นเหมือนเรือหางยาวครับ
ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็ถึงครับ
สำหรับค่าบริการ เรือเล็กแบบที่ผมนั่งมาคนละ 20 บาท หลัง 6 โมงเย็น คิดค่าบริการ 2 เท่า
ถ้าเอารถขึ้นเรือข้ามฟากก็ได้คิดราคาคันละ 150 บาท เรือขนรถยนต์นั้นมีถึงประมาณ 5 โมงครับ
สำหรับเกาะคอเขานั้นเป็นเกาะที่มีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติที่สูงมากครับ
ค่อนข้างเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาพักผ่อนกับธรรมชาติ อย่างสงบๆ โดยบนเกาะมีทั้งบ้านพักแบบรีสอร์ทและบังกะโลครับ
C&N Kho Khao Beach Resort
หนึ่งในที่พักบนเกาะคอเขา คือ C&N Khao Beach Resort รีสอร์ทนี้จะอยู่ใกล้ๆกับท่าเรือครับ
นั่งสองแถวมาประมาณ 5 นาทีก็ถึงครับ
โดยมีพี่รุ่ง เป็นเจ้าของรีสอร์ต ซึ่งเป็นประธานชมรมเกาะคอเขาจะพาพวกเราเที่ยวรอบๆเกาะ
พี่รุ่งเป็นคนที่มีอัธยาศรัยดีมาก และมีความรู้เป็นอย่างดีเกี่ยวกับเกาะคอเขาครับ
อันนี้เป็นชายหาดบริเวณรีสอร์ทครับ
ย้อนประวัติศาสตร์กับ แหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึก
หลังจากนั่งคุยกันซักพักพี่รุ่งก็พาเราไปชมรอบๆเกาะกันครับ
ที่เกาะคอเขาตามที่ผมบอกครับว่ามีความอุดมสมบูรณ์มาก
ทำให้เราเห็นพืชพรรณแปลกๆที่เราไม่สามารถเห็นได้ในหลายๆพื้นที่อาทิ.. ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง
ซึ่งมีทั้งแบบ ขึ้นเป็นเถาวัลย์ และขึ้นจากดินมาเลยครับ
ที่เกาะคอเขาเองจะคล้ายๆ หลายพื้นที่ในภาคใต้คือ เป็นแหล่งสมัยก่อนเป็นเหมืองครับ
ดังนั้นจึงมีหลุมดิน ที่เกิดจากการขุดเหมือง อยู่เต็มไปหมด ซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็นทะเลสาปครับ
มีทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ เลยครับ
แหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึกตั้งชื่อมาจากสถานที่ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ทุ่งตึก” หรือ “เหมืองทอง”
ในบริเวณนี้ยังได้พบฐานเทวรูปเหรียญเงินอินเดีย
เศษทองคำ และผงทรายทอง ซึ่งในสมัยก่อนเคยมีช่องหนึ่งที่ชาวบ้านมาร่อนแร่ทองคำที่นี่ด้วยครับ
ปัจจุบันโบราณสถานดังกล่าวถูกทำลายไป คงเหลือแต่เพียงซากของฐานก่ออิฐเพียงบางส่วนเท่านั้น
แหล่งโบราณคดีเกาะคอเขา หรือเหมืองทองได้มีการสำรวจมาตั้งแต่ปี 2478
โดยพบซากโบราณสถานก่อด้วยอิฐและพบเศษภาชนะดินเผาที่ผลิตในสมัยราชวงศ์ถังของจีน
รวมไปถึงเครื่องแก้วของชาวเปอร์เซียโดย
ว่ากันว่าโบราณวัตถุเหล่านี้มีมาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 13-15
และเชื่อกันว่าที่นี่เคยเป็นแหล่งการค้าที่สำคัญในสมัยก่อนครับ
เนื่องจากที่เกาะแห่งนี้จะมีจุดที่สามารถมาหลบคลื่นลมทางทะเลได้นั่นเองครับ
โดยยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดถึงการล่มสลายไป
แต่คาดว่าอาจจะเกิดจากการเกิดสึนามิในสมัยโบราณก็เป็นไปได้ครับ ซึ่งก็ไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้เช่นกัน
ร่องดินที่เห็นคือร่องดินที่เกิดจากการขุดหาของโปราณของชาวบ้านครับ
ซึ่งว่ากันว่ายังมีพบเจออยู่บ้าง เช่นลุฏปัดโบราณและมีราคาดีด้วยครับ
แต่จริงๆแล้วปัจจุบันที่ดินบริเวณนี้ (ถ้าจำไม่ผิด) เป็นของกรมศิลปากรซึ่งห้ามชาวบ้านมาดำเนินการขุดแล้วครับ
ปูเสฉวนปีนต้นไม้ ณ หาดหาปลา
สิ่งหนึ่งที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของทะเลคือ ปู(หอย)เสฉวนครับ
ที่เกาะคอเขาเราจะพบกับปูเสฉวนเป็นจำนวนมากเลยครับ
แต่ปูเสฉวนที่นี่มีความแปลกอย่างหนึ่งคือมันชอบปีนต้นไม้ครับ
ซึ่งก็ยังไม่มีใครตอบได้ว่าปูเสฉวนแถวนี้มันจะปีนต้นไม้ไปเพื่ออะไรครับ
สนามบินเก่า ณ เกาะคอเขา
ที่เกาะคอเขานั้นเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นเคยมาสร้างสนามบินไว้
เพื่อจะใช้เป็นจุดยุทธศาสตร์จุดหนึ่งในการโจมตีอีกฝั่งหนึ่ง
แต่ยังไม่ทันได้เริ่มใช้ปรากฎว่ามีการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์เสียก่อน
ทำให้สนามบินที่เกาะคอเขากลางเป็นสนามบินร้างไป
ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีการมาสำรวจเพื่อจะนำไปใช้เป็นสนามบินเชิงพาณิชย์
แต่พบว่าไม่คุ้มค่า จึงไม่ได้มีการดำเนินการต่อและปล่อยร้างมาถึงทุกวันนี้ครับ
ปัจจุบันที่สนามบินก็กลายเป็นแหล่งชมนก และควายป่าไปครับ
The Sunset Beach
ที่ทางเหนือสุดของเกาะจะเป็นหาดชายขาวยาวเรียกว่า sunset beach ครับ
เป็นจุดที่ชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างสวยงามครับ เดิมทีเดียวมีการมาลงทุนเพื่อจะสร้างรีสอร์ทบริเวณนี้
แต่ว่าด้วยความที่ว่าเป็นปลายแหลมของเกาะ ที่มีกระแสน้ำพัด
ทำให้พื้นดินบริเวณนี้มีการเปลี่ยรูปไปมาในรอบระยะเวลาต่างๆ
บางช่วงแผ่นดินจะหายไป บางช่วงเวลาแผ่นดินจะกลับมา อะไรอย่างนั้น
เลยทำให้รีสอร์ทที่มาสร้างพังลงจากการที่น้ำทะเลกัดเซาะมาในช่วงเวลานั้นพอดีครับ
Dinner at C&N
หลังจากนั้นทางพี่รุ่งพาพวกเรากลับมาชมพระอาทิตย์ตกที่ชายหาดหน้า C&N กันครับ
วันนั้นถือว่าเป็นอีกวันหนึ่งที่พระอาทิตย์ตกได้สวยงามมากๆๆๆ เลยครับ
ผมนั่งถ่าย Timelapse เพลินเลย ปรากฏว่ากว่าจะถ่ายเสร็จเพื่อนๆเริ่มกินข้าวไปแล้ว 555
กุ้งมังกรอบเนยจานนี้แนะนำเลยนะครับ 500 บาทถูกมากกกก
เนื่องจากตัวเล็กเลยมีการเอากุ้งลายเสื้อมาผสม แต่ราคานี้รสชาติแบบนี้เอาไปเต็มสิบครับ
ส่วนจานอื่นๆถ่ายมาตามสภาพ หลายจานไม่ได้ถ่ายมาเพราะตอนกลับมาแหว่งไปเยอะแล้ว 5555
La flora Resort and Spa Khaolak
หลังจากอิ่มเป็นที่เรียบร้อย คณะเราก็ดลับไปที่เขาหลักอีกครั้งครับ
โดยไปเช็คอินเข้าที่พักที่ La flora Resort and Spa Khaolak ครับ
จากที่ไปพักมา ตัวห้องถือว่าใหญ่มากครับ (รู้สึกว่าใหญ่กว่า Casa ที่ไปดูมาตอนกลางวันด้วยซ้ำ)
แต่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องพักที่ Casa ดีกว่า
ส่วนการบริการของ Casa ดีกว่าที่ La flora ค่อนข้างมากครับ ก็แน่หล่ะ Casa มันแพงกว่าเยอะเหมือนกันครับ
ด้วยความที่ได้รับการบริการเป็นอย่างดีจาก Casa มาก่อนเลยอดเปรียบเทีบไม่ได้
และแอบรู้สึกไม่ประทับใจการบริการของพนักงานที่ La flora Resort and Spa Khaolak
แต่ถ้าไม่ได้ไปที่ Casa มาก่อนอาจจะไม่ได้เกิดการคาดหวังสูงขนาดนั้น 555
ปล. ส่วนตัวผมได้ คอมเม้นท์กับผู้เกี่ยวข้องไปล่ะ
เค้าบอกว่าที่ La Flora อยู่ระหว่างการจัดการอะไรหลายๆอย่าง การบริการเลยยังสู้ทาง Casa ไม่ได้ครับ
มุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์
วันที่สองของการเดินทางเราตื่นกันแต่เช้าเพื่อเดินทางไปยัง ท่าเรือคุระบุรี ซึ่งเป็นท่าเรือที่สามารถเดินทางไปยัง อช.หมู่เกาะสุรินทร์ได้เร็วและใกล้ที่สุดครับ
โดยการเดินทางในครั้งนี้เราได้ใช้บริการของ Green View Tour ครับ ซึ่งจริงๆปีก่อนหน้าผมก็พึ่งได้มีโอกาสมาใช้บริการไปเช่นกันครับ
แต่รอบนั้นเวลาน้อยเลยไปแบบ One Day Trip ซึ่งเอาจริงๆผมว่าไม่จุใจครับ รอบนี้ที่ไปเลยไปแบบค้างคืนบนเกาะเลยครับ
ช่วงที่เราออกเรือตอนเช้า ก็จะเป็นช่วงที่เรือประมงที่ออกไปหาปลากลับมาพอดีครับ
เรือที่ไปจะเป็นเรือ Speed Boat ครับซึ่งมาหลายขนาดแล้วแต่ว่าวันที่เราไปนั้นจะมีคนมากน้อยขนาดไหนครับ
ลำนี้ที่ไปถ้าจำไม่ผิดจะบรรทุกได้ราว 40 คนครับให้เครื่องยนต์ 3 เครื่องยนต์ 600 แรงม้า
การเดินทางจะใช้เวลาราวๅ 1:30 ชม.ครับ ก็จะเดินทางมีถึงช่องเขาขาด ซึ่งเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติครับ
สำหรับคนที่ซื้อตั๋วเรือมาอย่างเดียวก็จะมีเรือหางยาวมารับไปส่งที่เกาะอีกทีครับ
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ สวรรค์ของนักดำน้ำตื้น
ส่วนคนที่ซื้อ One Day Trip มาก็จะเริ่มดำน้ำกันเลยครับ
การดำน้ำตื้นนั้น ในการเลือกเสื้อชูชีพ จุดสำคัญคือ ต้องดูสายรัดให้ดีครับว่าครบถ้วนหรือไม่ โดยเฉพาะสายรัดที่ห้อยคล้ายๆหาง ที่จะรัดเป้าเรา
เพราะจะเป็นตัวที่ทำให้เสื้อชูชีพกระชับ และเมื่อลงน้ำเสื้อชูชีพจะไปลอยไปรั้งไหล่เราครับ เนื่องจากถ้าเสื้อชูชีพไปรั้งไหล่เราแล้ว
เราจะดำน้ำไม่สนุกเนื่องจากมันจะเกะกะ และเคลื่อนตัวลำบากครับครับ และเสื้อชูชีพจะสีกับผิวเราจนแสบได้ครับ
จุดเด่นของ อช.หมู่เกาะสุรินทร์นั้น จะอยู่ที่ความสมบูรณ์ภายใต้ท้องทะเลครับ ถือว่าเป็นจุดที่มี ปาการังใต้น้ำ ที่สมบูรร์มากในประเทศไทยครับ
โดยเฉพาะปะการังแข็งครับ (ปะการังอ่อนมีบ้างแต่ไม่มาก ถ้าอยากดูปะการังอ่อน ต้องไปที่ อช.ตะรุเตา ครับ) และสัตวน์น้ำจำนวนมาก
ซึ่งจะแตกต่างจาก อช.หมู่เกาะสิมิลัน อันนั้นจะมีจุดเด่นที่ Landscpae บนดิน และการดำน้ำแบบดำน้ำลึกครับ
ดังนั้นลองดูนะครับ ว่าอยากไปเที่ยวแนวไหน แบบไหนจะได้เลือกไปได้ถูกที่ครับ
ปล. ผมไม่มีกล้องใต้น้ำเลยได้แค่ถ่ายภาพ น้ำใสๆ ฟ้าสวยๆ จากบนเรือมาฝากกันครับ
โดยช่วงเช้านั้น เค้าจะให้เราดำน้ำ 2 จุดครับ จุดละประมาณ 45 นาทีครับ
หลังจากดำน้ำสองจุดเป็นที่เรียบร้อย เราก็จะขึ้นเกาะเพื่อไปทางอาหารกลางวันกันครับ
ซึ่งสำหรับคนที่ซื้อทัวร์มาจากบนฝั่ง ทัวร์เค้าจะเตรียมอาหารกลางวันมาให้ครับ
แต่ใครที่ซื้อมาแต่ตั๋วเรือก็จะมีส่วนของห้องอาหารในอุทยานฯ ให้ไปทานกันได้ครับ
สำหรับการพักบนเกาะนั้น ถ้าต้องการพักแบบบ้านพัก จะต้องทำการจองล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ของอุทยานแห่งชาติครับ
หรือจะให้ทาง บ.ทัวร์ที่เราซื้อตั๋วเรือจองให้ก็ได้ครับ แต่ว่าที่พักจะค่อนข้างมีจำกัดนะครับ มีน้อยและเต็มเร็วมากครับ
โดยทั่วไปบ้านพักเค้าจะให้เราจองล่วงหน้าได้ 60 วันครับ สามารถจองได้ที่
http://www.dnp.go.th/parkreserve/reservation.asp?lg=1
โดยตัวบ้านพักนั้นจะมีเฉพาะที่อ่าวช่องขาดเท่านั้นครับ
แต่นอกจากบ้านพักแล้วที่อุทยานก็จะมีส่วนของ เต๊นท์ และลานกางเต๊นท์ให้จองด้วยเช่นกันครับ
โดยสามารถจองล่วงหน้าได้ 60 วันเช่นกันครับ
http://www.dnp.go.th/parkreserve/tent_reservation.asp?lg=1
โดยที่ลานกางเต๊นท์นั้นจะมี 2 โซนคือที่ อ่าวช่องขาด ที่เป็นที่ตั้งของบ้านพัก และอีกจุดคือ อ่าวไม้งาม
ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเกาะครับ ส่วนตัวแล้วถ้าต้องการความสงบ ผมแนะนำที่ อ่าวไม้งามครับ (ซึ่งที่บริเวณนี้ก็มีห้องอาหารของอุทยานเช่นกันครับ)
แต่เท่าที่สอบถามมาลานกางเต๊นท์ตรงนี้จะเปิดหลังวันที่ 5 ธค. ในแต่ละปีเป็นต้นไปครับ
ชมพระอาทิตย์ตกที่อ่าวกระทิง
ช่วงบ่ายผมได้ไปดำน้ำอีกจุดหนึ่งครับ ซึ่งสำหรับคนที่ซื้อ One Day Trip
หลังดำน้ำเสร็จเค้าจะพาไปที่ อ่าวบอน เพื่อชมวิถีชีวิตชาวมอร์แกนกันครับ
แต่ผมยังไม่ได้ไปครับ เพราะจะไปในวันกลับแทนครับ จากนั้นผมก็กลับมาเดินเล่นบริเวณที่พักครับ
ก่อนที่จะไปชมพระอาทิตย์ตกบริเวณ อ่าวกระทิงครับ
ที่อ่าวกระทิงนั้นเป็นที่ตั้งของ หน่วยรักษาความปลอดภัยทางทะเล หมู่เกาะสุรินทร์ ด้วยครับ
หลังจากชมพระอาทิตย์ตกแล้วเราก็เดินทางกลับไปที่อ่าวช่องขาดเพื่อทานอาหารเย็นและเข้านอนกันครับ
ปล. อ่าวกระทิงสามารถเดินจากอ่าวช่องขาดได้ครับ แต่ทางเดินค่อนข้างลำบากนิดนึงครับ ถ้าไปชมพระอาทิตย์ตกจำเป็นจะต้องมีไฟฉายนะครับ ก่อนไปยังไงลองสอบถามเจ้าหน้าที่ก่อนครับ เพราะช่วงที่ผมไปทางเดินค่อนข้างรกครับ
เค้ายังไม่ได้จัดการเท่าไหร่ (แต่ตอนไปทาง อช. เค้าพาผมนั่งเรือหางยาวไปแทนครับ –> ซึ่งถ้าเราขี้เกียจเดินสามารถจ้างไปได้ครับจะมีพวกชาวมอร์แกนที่เค้าขับเรือมารับจ้างอยู่ ซึ่งให้ทางอุทยานติดต่อให้ได้ครับ)
อ่าวไม้งาม
สำหรับเช้าวันที่สามนั้น หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จเราก็เดินทางไปยังอ่าวไม้งามกันครับ
แต่ก่อนเดินทางไปนั้นผมมีเวลานั่งเล่นที่หาด ที่อ่าวช่องขาดเล็กน้อยครับ
ผมว่าช่วงเช้าก่อนที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางมาถึง มันเป็นช่วงที่สงบ ซึ่งผมมากๆเลยครับ
การไปอ่าวไม้งามนั้นส่วนมากเรือจะมาส่งอีกฝั่งหนึ่งครับ แล้วเราจะต้องเดินเท้าไปประมาณ 400 เมตรครับ
ตรงจุดที่เรือมาส่งนั้นเป็นป่าโกงกางที่สมบูรณ์ทีเดียวครับ ระหว่างนั่งเรือมา พวกเราเจอ เต่าทะเลกันด้วยครับ.
ว่ายลอดใต้ท้องเรือเราไป เห็นว่าเป็นเต่า แต่อยู่ใต้น้ำนี่เร็วมากนะครับ ผมว่าเหมือนนกร่อนบนท้องฟ้าเลยครับ
อ่าวไม้งามเป็นอ่าวที่มาชายหาดที่ยาวเชียวครับ น้ำแถวนี้ใสมากๆๆๆครับ
ผมถึงแนะนำว่าหากจะมานอนเต๊นท์แล้วผมแนะนำให้มานอนโซนนี้ครับ (แต่อย่างที่บอกครับ ต้องเดินนิดส์นึงนะครับ)
หลังจากเดินเล่นที่อ่าวไม้งามเสร็จเราก็ไปดำน้ำบริเวณ เกาะสุรินทร์ใต้กันครับ
บริเวณนี้จุดเด่นคือจะมีกะละปังหาสีแดงครับ
ชมวิถีชีวิตชาวมอร์แกนที่อ่าวบอน
หลังจากดำน้ำเสร็จเราก็นั่งเรือไปที่อ่าวบอนกันครับ ซึ่งอ่าวบอนเป็นจุดที่ชาวมอร์แกนอาศัยอยู่ครับ
แต่ว่าเดิมทีชาวมอร์แกนไม่ได้อยู่ตรงนี้ครับ แต่หลังจากโดนสึนามิไป ทางการจึงมาสร้างบ้านให้บริเวรนี้แทน
ซึ่งจุดนี้จะหลบมุมออกมานิดนึงครับ
ถ้าจำไม่ผิดสมัยก่อนชาวมอร์แกนจะอยู่แถวๆนี้ครับ (เป็นจุดที่ตรงข้ามกับอ่าวช่องขาดครับ)
ภาพระหว่างทางครับ 🙂
ใกล้ถึงหล่ะครับ
ชาวเลหรือมอแกน ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่ยังคงมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม
สมัยก่อนนั้นชาวมอร์แกนจะกินนอนอยู่ในเรือ
แต่ปัจจุบันทางการได้มาสร้างบ้านให้ชาวมอร์แกนครับซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 40 หลัง
แต่ก็ยังมีชาวมอร์แกนรุ่นเก่าๆที่ยังคงชอบอาศัยบบนเรือมากกว่าครับ
ชาวมอร์แกนนับถือเทวรูปอินเดียนแดง ซึ่งแกะสลักด้วยท่อนไม้ ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวเล
และทางกระทรวงมหาดไทย ก็ได้มอบสิทธิ ออกบัตรประชาชนไทย สัญชาติไทยให้ชาวมอร์แกนด้วยครับ
โดยบนเกาะนั้นจะมีการใช้นามสกุล “กล้าทะเล” กันครับ
บนเกาะปัจจุบันมีทั้ง ศูนย์บริการสุขภาพ และโรงเรียนแล้วนะครับ
โดยครูที่มาอยู่ที่นี่ มาด้วยใจจริงๆครับ เพราะที่นี่แต่เดิมทีไม่ได้มีบ้านพักอะไรให้ครับ ต้องนอนเต๊นท์เอาครับ
แต่พึ่งเห็นว่าพึ่งมีการสร้างห้องพักครูให้พร้อมกับอาคารเรียนหลังใหม่ครับ
อุปกรณ์ทำมาหากินของชาวมอร์แกนครับ นั่นคือเรือ
สมัยก่อนก็ใช้ในการออกหาปลา ปัจจุบันบางส่วนก็จะไปขับเรือพานักท่องเที่ยว เที่ยวแทนก็มีครับ
หลังจากนั้นดราก็กลับไปทานข้าวที่อุทยานกันครับ
แล้วก็ถ่ายรูปหมู่กันเป็นที่ระทึกเล็กน้อย ก่อนที่จะนั่งเรือกลับเข้าฝั่งกันครับ
คุระบุรีกรีนวิวรีสอร์ท
หลังจากกลับเข้าฝั่งเราก็ไปพักกันที่ คุระบุรีกรีนวิวรีสอร์ทครับ
ที่นี่ผมเคยมาพักแล้วครั้งนึงเมื่อปีที่แล้วครับ ถือเป็นรีสอร์ทที่บริการได้ดีที่นึงเลยทีเดียวครับ
ตัวรีสอร์ทจะอยู่ห่างจากท่าเรือมาประมาณ 10 กม. ครับ ซึ่งถือว่าเหมาะสำหรับคนที่มาเที่ยวแบบ One Day Trip เลยครับ
ที่นี่ไม่ได้เป็นโรงแรมหรูหราห้าดาวนะครับ แต่เรื่องที่พักถือว่าครบครันทุกอย่างที่โรงแรมพึงจะมีครับ
จุดเด่นมากๆของโรงแรมนี้คือ อาหารครับ อร่อยมว๊ากกกก…
“พลับพลึงธาร” หนึ่งเดียวในโลก ณ คลองตาเลื่อน
วันสุดท้ายของการเดินทาง ช่วงเช้าเราเดินทางไปยังคลองตาเลื่อนครับ
เพื่อไปชม พลับพลึงธาร ซึ่งเป็นพืชที่ใกล้จะสูญพันธ์
โดย พลับพลึงธาร ถือเป็นพืชเฉพาะถิ่น ซึ่งจะพบเฉพาะแถวๆ ระนองและพังงาเท่านั้นครับ
พลับพลึงธารคนทางใต้จะเรียกว่า หญ้าช้อง มีชื่อฝรั่งๆว่า Water Onion ซึ่งทำให้เราเรียกตามว่าหอมน้ำครับ
ตัวพลับพลึงธารนั้นจะเป็นพืชที่มีหัวคล้ายหอมหัวใหญ่ แต่มีดอกคล่ายพลับพลึง จึงเป็นที่มาของชื่อ พลับพลึงธารนั้นเองครับ
พลับพลึงธารจะขึ้นในน้ำที่ลึกประมาร 2 เมตร
การที่พลับพลึงธารจะขึ้นได้นั้นจะต้องมีน้ำจืดที่ใสและสะอาดมากๆครับ
และจะต้องมีกระแสน้ำไหลผ่านแรงประมาณหนึ่ง ถึงจะโตขึ้นได้ครับ
พลับพลึงธารถือเป็นดรรชนีชี้วัดความสะอาดและความอุดมสมบูรณ์ของน้ำและลำคลอง
เนื่องจากต้นพลับพลึงธารจะขึ้นได้เฉพาะลำคลองที่มีต้นน้ำที่อุดมสมบูรณ์
พลับพลึงธารจะออกดอกบานสะพรั่งในช่วงประมาณปลายเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม
ด้วยเหตุที่ดอกมีความสวยงามประกอบกับความหายาก จึงทำให้พลับพลึงธารได้รับฉายาว่า “ราชินีแห่งสายน้ำ”
ตาเลื่อน เป็นเจ้าของที่ดินในบริเวณ คลองตาเลื่อน
ได้พยายามอนุรักษ์ต้นพลับพลึงธารไม่ให้สูญพันธ์ครับ
ถ้าเราไปที่คลองตาเลื่อนสามารถเรียกหาแกได้เลยครับ
แล้วคุณตาจะพาเดินชมพร้อมทั้งอธิบายให้ฟังด้วย ทุกอย่างฟรีครับ
ตอนตาเลื่อนพาชมนั้นตาแกเป็นประกายมากครับ
แบบว่าภูมิใจและดีใจที่มีคนเห็นความสำคัญของ พลังพลึงธาร ที่แกพยายามจะรักษาเอาไว้ครับ
ถ้าสนใจมาชมพลับพลึงธารที่คลองตาเลื่อน สามารถเดินทางไปได้ที่บริเวณคลองคลองตาเลื่อน
บ้านคุระ หมู่ที่ 7 ต.คุระ อ.คุระบุรี จ.พังงา
หรือสามารถติดได้ที่ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยวจังหวัดพังงา โทร.0-7648-1900-2
หาดอ่าวเคย
หลังจากที่ชม พลับพลึงธาร ที่คลอตาเลื่อนๆแล้ว เราก็เดินทางไปต่อที่ หาดอ่าวเคยครับ
หาดอ่าวเคยเป็นชายหาดยาว เหมาะแก่การมานั่งชมธรรมชาติ และ
บริเวณนี้เหมาะแก่การมานั่งชมพระอาทิตย์ตกมากครับ
ปัจจุบันเริ่มมีเอกชนเข้ามาพัฒนาพื้นที่ทำรีสอร์ทแล้วะครับ
ร้านอาหารโกศักดิ์
ช่วงเที่ยงเราเดินทางกลับไปที่ตลาดคุระบุรีครับ
ไปทานอาหารกลางวันที่ร้าน ข้าวต้มโกศักดิ์ครับ ร้านนี้ Recommended เลยครับอร่อยมว๊ากกก
ล่องแพไม้ไผ่ที่คลองลำรู่
หลังจากทานข้าวอิ่มกันแล้วเราก็นั่งรถย้อนกลับไปทางเขาหลักครับ
และแวะไปที่คลองลำรู่กันครับ ที่คลองลำรู่มีกิจกรรมหนึ่งที่คนไทยไม่ค่อยได้มาเที่ยวกัน
นั่นก็คือการนั่งแพ ชมธรรมชาติในคลองลำรู่ครับ ที่บริเวณนี้จะมีหลายเจ้าให้บริการครับ
ที่ผมไปเป็นของ โกมลคอร์เนอร์ครับ
ค่านั่งแพ คนไทยคิดแพลำละ 400 บาท ชาวต่างชาติแพลำละ 700 บาท นั่งได้ 2 คน/แพ ครับ
เท่าที่คุยๆ เห็นคนถ่อแพบอกว่าวันนึงเค้าจะถ่อแพได้ราวๆ 4-5 รอบครับ
การนั่งแพนั้นจะมีบางช่วงที่เปียกน้ำครับ พวกฝรั่งที่มาเที่ยว 95% จะใส่เป็นบิกินี่มากครับ
ซึ่งโดยทั่วไปในการไปล่องแพ ทางรีสอร์ทจะไม่ให้นำกล้องและมือถือลงไปนะครับ
แต่ถ้าใครเอาลงเค้าจะถือว่าเค้าแจ้งแล้ว และไม่รับผิดชอบหากเกิดความเสียหายเกิดขึ้นนะครับ
ระหว่างทางนั้นสภาพป่าจะสมบูรณ์มากครับ ตรงใกล้ๆจุดขึ้นจะมีจุดที่ให้เราลงไปเล่นน้ำได้ครับ
ใช้เวลาล่องแพทั้งสิ้นประมาณ 1 ชม. ครับ ก็ถือว่าโอเคนะครับ
เหมาะสำหรับคนที่อยากไปชื่นชมธรรมชาติกันครับ
หลังจากล่องแพเสร็จเราก็เดินทางกลับไปยังสนามบินนานาชาติภูเก็ต
เพื่อที่จะเดินทางกลับไปยังกรุงเทพฯ ก็เป็นอันจบทริปครับ
เป็นยังไงบ้างครับ กับสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดเล็กๆ แต่ที่เที่ยวไม่เล็กตาม อย่างจังหวัดพังงา
โดยทั่วไปแล้วคนส่วนมากมักจะมาเที่ยวทะเลกันในหน้าร้อน แต่ถ้าเป็นไปได้
ผมจะแนะนำว่า หน้าหนาวเอง ก็ถือว่าเป้นหน้าที่ ภูมิทัศน์ทางทะเลสวยงามมากๆเลยเช่นกันครับ
ที่สำคัญคนยังไม่เยอะเท่าไหร่ด้วยครับ โดยทั่วไปทะเลอันดามันจะเปิดหน้าท่องเที่ยวช่วงกลางเดือน ตุลาคม ครับ
แต่ว่าช่วงแรกๆนั้นอาจจะมีพายุฝนบ้าง ดังนั้นถ้าเอาชัวร์ ผมแนะนำว่า ตั้งแต่เดือน ธค. เป็นต้นไปครับเป็นช่วงที่เหมาะแก่การเที่ยวเป็นอย่างมากครับ
หากใครเบื่อๆกับการไปแย่งกินแย่งเที่ยวทางภาคเหนือในช่วงหน้าหนาวก็ขอเชิญเพื่อนๆมาเที่ยวทะเลพังงาแทนครับ
สำหรับวันนี้ผมขอลาไปแต่เพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณสำหรับการติดตาม และสวัสดีครับ