อะแฮ่ม สวัสดีครับทุกคนๆ
บทความวันนี้ อาจจะแตกต่างจากทุกๆงานที่ผมเคยทำมา ทั้งรูปแบบและวิธีการเล่าเรื่อง
ก่อนจะพาทุกๆคนไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน อยากบอกเล่าที่มาที่ไปของกว่าจะมานั่งเขียนเล่า ประสบการณ์ครั้งนี้ของผม และ สต๊อบ ให้คุณๆฟังกัน (อาจจะงงว่าสต๊อบเป็นใคร แล้วเกี่ยวอะไรกับผมและการเดินทางครั้งนี้ เอาว่า เด่วผมจะพาไปรู้จักขึ้นเรื่อยๆครับ )
Project Let’s Sketch Go! คือการรวมนักวาดภาพ นักเขียน ไปทำทริบที่ ญี่ปุ่นและนำประสบการณ์เดินทางนั้นกลับมาเล่าเรื่องราวต่างๆให้ แฟนๆของทุกคนได้สัมผัส
ความสนุกสนานของการเดินทางในทริบของแต่ละคนที่ไปมา จนสุดท้าย ก็มีโอกาสที่จะรวมเล่มจัดทำเป็นหนังสือชื่อ Let’s Sketch Go ที่กำลังขายดี อยู่ในขณะนี้ ฝากอุดหนุนกันด้วยน้าคร้าบบบ (^_____^)
จุดเริ่มต้นของการเดินทาง
หลายคนคงสงสัย โดยเฉพาะหากใครที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วว่ามันเกี่ยวอะไรกับผมละเนี่ย
จริงๆ จะบอกว่า โคตะระเกี่ยวเลย เกี่ยวมาตั้งแต่ต้น 5555 (ตู่ไปไหมครับเนี่ย)
แต่ด้วยความเป็นคนไม่ดีของผมอีกนั้นเอง ทำให้เวลาที่ควรจะทำงานนี้สำเร็จ กลายเป็นไม่สำเร็จตามเป้าหมาย ตัวผมเองไม่สามารถพาตัวเองเข้าไปร่วมใน project ที่ดีๆแบบนั้น(สมน้ำหน้าตัวเอง อยากนิสัยไม่ดีเอง )ในส่วนของหนังสือได้สำเร็จ แต่จริงๆถ้ามีเราอยู่ คงจะดูติ่งๆไงไม่รู้ ว่าไหมครับ ไม่เข้าพวกเท่าไหร่นะ
เพราะงั้นหนังสือเล่มนั้น จึงสมด้วยเหตุและผลทุกอย่างแล้วละครับที่จะไม่มีเรา เอาล่ะมาว่ากันถึงทริบนี้กันดีกว่า
ทริบนี้เป็นอีกช่วงเวลานึงที่ไม่ได้เล่าในหนังสือเล่มนั้น เป็นตอนที่การเดินทางของผมและ เจ้าสต๊อบ ไปด้วยกันในการลงไปยังโซนทางตอนใต้ของ ญี่ปุ่นคือ จาก โอซาก้า- นารา-โกเบ-และจบที่โอโนมิชิ ก่อนจะย้อนกลับมาบินกลับที่โอซาก้ากัน เรื่องของเรื่องทริบนี้ ต้องขอขอบคุณสต๊อบ น้องในออฟฟิศเดียวกัน ที่อยู่ๆในเช้าวันนึงที่แสนร้อนผิดปรกติของ บ้านเรา ระหว่างการประชุมงานกัน สต๊อบก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เฮียๆ (ตั้งแต่เกิดมาก็มีมันคนเดียวเนี่ยละครับที่เรียกผมแบบนี้)” ผมจองโปร ทู้ก ถูก ไปญี่ปุ่นเดือนนึงนะครับ จะขอเที่ยวฉลองจบซักหน่อยนะ
ผมกับเพื่อนร่วมงานอีกคนก็มองหน้ากันแล้วก็ไม่ใส่ใจเท่าไหร่ ก็มีถามไปว่า จะอยู่ จะกิน จะนอนยังไง พองาม (คือที่จริงก็ไม่ได้ห่วงมันนักหรอก เป็นผู้ชายเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว มันอยากไปเองนี่หว่า โฮ่ๆ)
หลังประโยคนี้ เราก็ประชุมงานกันต่อ จนเวลาผ่านไปอีก ราวๆ เกือบ 3 เดือน ระหว่างคุยสายตามงานต่างๆกับสต๊อบ อยู่ๆมันก็เอ่ยออกมาว่า ต๊อบไปเรียนภาษาญี่ปุ่นแล้วนะเฮีย
เฮ้ย! มันเอาจริงเว้ย
จากนั้นผมก็เลยเกริ่นออกไปว่า ไหนๆไปแล้ว น่าจะสร้าง งาน สร้าง project ทำไปเลยดีกว่าไหม มันจะได้คุ้มกับเวลาที่เสียไป ร่วม 1 เดือนนะ
ต๊อบได้ยินดังนั้นก็เลยบอกกลับว่า “ได้เลยเฮีย เด่วผมจะไปคิดดู”
และหลังจากนั้นก็อย่างที่ผมบอกไปตอนต้น Project Let’s Sketch Go! จึงได้เกิดขึ้น ใครอยากรู้เรื่องมากกว่านี้ แนะนำให้ไปซื้อหนังสือซะดีๆนะ ฮี่ๆ ^_^
และแน่นอนเพื่อให้เข้ากับ Concept Let’s Sketch Go! จะรีวิวแบบภาพๆๆอย่างเดียวก็คงไม่ใช่ เพราะงั้นหลังจากนี้คุณๆจะได้เห็นภาพถ่ายจากผม และภาพเขียนจาก สต๊อบ กันนะครับมาดูสิว่านอกจาก ร่วมทางกันแล้ว จะร่วมมือกันได้แค่ไหน โฮะโฮะ ไม่อยากจะคิดเลย
ยังไงก็ตามพวกเรามาเที่ยวญี่ปุ่นกันนะ
เริ่มทริบกันเถอะ
หลังจากจุ๊บลา ปัน กับแม่ปัน เพื่อไปญี่ปุ่นดั่งที่ตั้งใจเอาไว้แล้ว ทริป 7 วันของผมกับสต๊อบก็เริ่มต้นขึ้นที่สนามบิน ดอนเมือง กับเที่ยวบิน ThaiAirAsiX ซึ่งก็เราะโปรนั้นเองทำให้ได้ไป เปิดตัวมาราคาไม่ถึง 4,000บาทต่อเที่ยวนี่มันสวรรค์ชัดๆครับ
เที่ยวบิน XJ 611 ออกจากเมืองไทยตอน 16.25 ไปถึงสนามบินคันไซ ตอน 23.50 น. ตรงจุดนี้หากใครอยากรู้ว่าถ้าไปถึงที่นั้นดึกขนาดนั้นจะเข้าเมือง ต่อรถ กันยังไง ผมเคยเขียนอธิบายแบบละเอียดยิบๆไว้แล้ว ที่นี่เลยครับไปอ่านกันดูนะ http://s.one22.com/102vmLb
บนเครื่อง มีอาหารเสริพได้หากคุณสั่งมา เสมือนจะรู้ว่า เราจะไม่ได้กินอาหารไทยกันอีกหลยวันมื้อนี้จึงได้สั่งล่วงหน้าก่อนจะมาได้ออกมาเป็น ข้าวเหนียวไก่ย่าง กับน้ำจิ้วแจ่ว แสนแซ่บ
ญี่ปุ่นคืนแรก
ถ้าใครที่ได้อ่านในหนังสือจะรู้ว่า นักวาดภาพทุกคนหลังลงเครื่องที่คันไซแล้วสิ่งที่พวกเค้าทำกันเป็นอย่างแรกคือหาที่นอนแถวๆสนามบินนั้นแหล่ะ แต่…
ไม่ใช่ผมครับ นอนสนามบินมันธรรมดาไป ดูซำเหมาไปม้างงง
ไฮโซอย่างเรา นู้นต้องลำบากวิ่งกันป่าราบเพื่อไปให้ทันขึ้นรถเที่ยวสุดท้าย และเดินหา ที่นอนที่จองมาในย่านกลางเมืองโอซาก้า อย่าง Umeda นู้นนน
นอนในหลอดกัน
และที่นอนของเราในคืนแรกก็คือ.. Capsule นั้นเอง ใช่แล้วที่นอนแบบ CAPSULE INN OSAKA ไอเดียดีๆแต่เดินทางลำบากๆ แน่นอนไม่ได้มาจากใครนอกจาก น้องรักของผมเอง สต๊อบ ครับผม
ส่วนตัวรู้สึกตลกกับตัวเองมากเหมือนกันเพราะ ใช่ว่าผมเองจะตัวเล็กซะที่ไหน แต่ไหนๆแล้ว เอาล่ะ สักครั้งในชีวิต ที่เราจะได้ลองนอนในที่ๆเกิ๊บเก๋แบบนี้สักครั้ง จะให้พลาดก็ยังไงอยู่
และตามภาพเลย เห็นแคบๆแบบนี้แต่ครบครันทุกสิ่งอย่างจริงๆครับ
และนี้คือหน้าตาของ Capsule ที่นอนของเรา ภายในไม่ธรรมดาเลยนะคร้าบบ เห็นเล็กๆแบบนี้มันก็เล็กพริกขี้หนูนะ
ย่านที่เราเข้าพักถือเป็นย่านกินดื่มสำคัญของที่นี่ นอนกันตรงแถว UMEDA
อารมณ์ตอนคืนที่เรามาถึง เหมือนเราเดินหาที่นอนย่านพัฒนพงษ์ประมาณนั้นเลย แต่ก็ดีส่วนตัวรู้สึกเหมือนเข้าถึงญี่ปุ่นยังไงไม่รู้ ^_______^
วันที่ 2 นาราสู่ยอดเขา ROKKO ไม่ธรรมดา
หลังตื่นนอน พวกเราทำธุระส่วนตัวกันเสร็จก็ได้เวลาเริ่มต้นทริบอย่างจริงจังแล้ว เป้าหมายแรกของเราคือการ เข้าที่พักแต่เช้าเพื่อเก็บข้าวเก็บของก่อนจะออกเที่ยวต่อ
สำหรับผมแล้วการเดินทางมาญี่ปุ่นหนนี้ไม่ใช่ครั้งแรก หรือจะว่าไปมากี่ครั้งก็ชวนมึนสำหรับเรื่องการขึ้นลงรถไฟในญี่ปุ่น ไหนจะตรงที่พื้นในการยืนเข้าคิวขึ้นรถไฟอีกล่ะ บางจุดยืนเพื่อขึ้นรถแบบนึง บางจุดก็เป็นตัวกำหนดเที่ยวรถไฟที่จะมาเทียบจอดให้เราขึ้น บอกเลยว่างงดีแท้เพราะฉะนั้นเวลามาศึกษาเส้นทางให้ดี ไม่งั้นหลงเสียเวลาเที่ยวกันน่าดูครับ
ผมโชคดีที่มากับเจ้าต๊อบ เพราะภาษาที่พอพูดได้ช่วยไว้ได้อย่างยิ่งเพราะก็อย่างที่เรารู้กัน คนญี่ปุ่นไม่ใช่ภาษาอังกฤษ กันเท่าที่ควรแต่ข้อดีคือเค้าเป็นคนมีน้ำใจอย่างแรงๆเลยทีเดียว บางทีภาษาใจและกายก็พาให้เราเดินทางไปตามเป้าหมายสำเร็จได้ เพราะความใจดีของเค้าที่ช่วยเหลือเต็มที่ เช่นมีครั้งนึง ผมกับต๊อบหาทางไม่เจอในรถไฟ เราเลยเดินเข้าไปสอบถามกับคนญี่ปุ่นวัยรุ่น 2คน เชื่อไหมครับ เค้าจูงมือพวกเราลงมาจากขบวนและพาเราเดินไปจนถึงจุดที่ต้องขึ้นเที่ยวรถไฟที่เราต้องไปกันเลย โห้ยยย ซึ้งงใจสุดๆครับ
หลังจากเดินพร้อมกับอ่านป้ายเรื่อยๆ เป้าหมายแรกเลย ต้องมาเริ่มกันที่ Osaka Station เพื่อมาออกตั๋ว JR PASS OSAKA กันที่นี่ เนื่องจากเราจองตั๋ว JR จากเมืองไทยมาตอนซื้อเราจะได้เป็น Voucher มาก่อนจากนั้นต้องมาออกตั๋วใช้จริงที่สถานีหลักของเค้า ซึ่งก็คือที่นี่นั้นเอง
หลังได้ตั๋วแล้วก็พร้อมเดินทาง ตอนซื้อตั๋ว JR PASS จากเมืองไทยมันจะมีให้ซื้อว่าใช้กี่วัน ก็แจ้งเค้าไปจากนั้นพอมาถึงที่นี่แล้วก็ต้องระบุวันกับทางนี้อีกทีเป็นการเฟริมตามที่เราซื้อมา ทีแรกผมเองก็เข้าใจว่าจะซื้อตั๋วแบบนี้ต้องซื้อจากเมืองไทยเท่านั้น เอาเข้าจริงๆ มาซื้อที่สถานีหลักนี้ก็ได้เหมือนกันราคาก็ไม่ต่างกันเลย ก็ขึ้นอยู่กับค่าเงินมากกว่าครับ
Planของเราวันแรกนี้เป้าหมายคือการขึ้นเขา Rokko ที่โกเบ แต่จะด้วยความซื่อ หรือจะเซ่อซ่าก็ว่าได้ ดันจองที่พักไว้ที่ NARA อือออ ใครนึกภาพไม่ออกขอให้ดูแผนที่นะครับ จะเห็นว่ามันอยู่กันคนละที่เลย 55 ถามว่าทำไม่ต้องไปจองที่นารา ด้วย หึหึหึ เพราะที่ๆเราจองไปพักหนนี้ ไม่ธรรมดานั้นเอง คุณอาจจะสงสัย เดี๋ยวขอผมอุบไว้ก่อนจะมาเฉลยตอนท้ายดีกว่า ไปกันต่อ
หลังจากนั่งรถไฟสองโขยก สามเขยก เราก็มาถึงสถานี OJI อยู่ที่เมือง Nara หลังเก็บข้าวของเข้าที่พักเรียบร้อยก็รีบกุลีกุจอ ออกมาเพื่อมุ่งหน้าไปยัง ROKKO กันเลย ดูเวลาแล้ว มีลุ้นไปถึงน่าจะเกือบเย็นทีเดียว
ร่วมหนึ่งชม.กับการต่อรถไฟไปมา เราก็มาถึงสถานี ROKKOMICHI STATION เพื่อมาเข้าคิวต่อรถบัสขึ้นเขาอีกที ข้อดีคือเราไม่ต้องจ่ายใดๆเพิ่มแล้วนะครับ สำหรับการใช้ ตั๋ว JRPASS รวมหมดทุกอย่าง โฮ่ แฮบปี๊สุดๆตรงนี้ล่ะ
ขึ้นนั่งรถไม่นาน วนทางขึ้นเขาไปๆมาๆ ก็มายืนณ. สถานีรถรางเพื่อขึ้นไปยังยอดเขา ROKKO กันแล้ว ค่าขึ้นคนละ 1,000 เยน ไม่แพงๆเพราะตัวรถรางก็เท่มากก
หน้าตารถราง ดูอนุรักษ์แต่ภายในเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย บางตู้เป็นแอร์ด้วยน้าาา
หลังขึ้นมาอากาศบนนี้หนาว เสื้อกันหนาวที่ผมพกพามาจากบ้านนี้เอาไม่อยู่กันเลย
แต่อะไรที่ทำให้เราอดทนยืนรอคอยสั่งลาดวงตะวันกันได้ ก็ตรงวิวนี้เองละครับ
ข้างบนมีร้านอาหารน่านั่งมาก วิวก็ดี๊ดี แต่อากาศมันหนาวขนาดนี้นั่งไม่ลงกันล่ะ
ขอปล่อยวิวงามขนาดนี้ให้ชมกันยาวๆไปนะครับ เรยกว่าเห็นเมืองโกเบ กันทั้งอ่าวเลย เมฆวันนั้นเองก็สวยมากจริงๆ
หลังจากชื่นชมกันช่ำใจแล้วพวกเราก็ลงมาด้วยรถรางเหมือนเดิม และต่อรถบัสและรถไฟกลับ NARA กันถือเป็นวันที่สมหวังระดับนึงแม้จะเจอกันการเดินทางที่ไม่ได้วางแผนกันมาว่าจะใช้เวลามากขนาดนี้ คุยกันไปมา คิดว่าพรุ่งนี้จะแวะมากันอีกรอบ แต่จะขึ้นไปสูงกว่านี้อีกหน่อย เพราะเขานี้มีจุดให้แวะเที่ยวหลายจุดเลย
ที่พักสุดคลาสิกที่สุดในสามโลก (เว่อร์จริงๆ)
กลับมาถึงที่ว่าจะเล่าให้ฟังก็เป็นเรื่องที่พักละครับ บอกเลยว่าประทับใจเราทั้งคู่มากทีเดียว หนนี้เป็นอีกครั้งที่ได้ใช้ www.airbnb.com เว็บไซต์ที่ให้เราพักที่พักในแบบที่หาไม่ได้จากโรงแรมทั่วไป เพราะ นอกจากโรงแรมทั่วไปแล้ว AIRBNB ยังมีบ้านพักที่เค้าเอามาทำเป็นที่พักได้ ด้วยหนนี้เราเลือกที่นี่เพราะ โดเรมอนเลยครับ (เคยทำแนะนำการใช้งานไว้แล้ว
อ่ะ มันโดเรมอนยังไง อธิบายง่ายๆ คือถ้าใครเคยดูโดเรมอนกันมาก่อน จะรู้ว่า บ้านของโนบิตะ เป็นยังไงการนอนบนเสื่อตาตามิ มันดู ORIGINAL มากถึงมากที่สุด
หลังผมเลือกบ้านมาเยอะแยะก็มาสะดุดตากับที่นี่เลย YAMATO Guesthouse Kotone นี่ละครับคือสาเหตุให้เราต้องมานอนกันถึงที่ NARA บ้านนี้ปัจจุบัน เจ้าของมาทำเป็นโรงแรมขนาดเล็กๆ
บ้านนี้มีอีกจุดที่ชอบคือ ห้องอาบน้ำ สไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ตามบ้านของคนญี่ปุ่นแท้ๆและนี้ก็เป็นเสน่ห์ของ AIRBNB ที่ทำให้เราได้พัก
คือการลงไปแช่ในอ่างอาบน้ำ คลาสิกมากครับ ชอบๆ
ตัวบ้านอายุมากกว่า 150 ปีแล้ว แต่ก็ได้รับการดูมาตลอด ทำให้มีสภาพที่ยังใหม่ดีเชียวละครับ
ที่ติดใจก็ตรง นอนเสื่อ และมุมนี้มันใช่เลย นี่มันที่นอนของ โดเรมอนชัดๆเลยนี่ 555
แสงแดดอ่อนๆในช่วงเช้ายิ่งทำให้บ้านมีเสน่ห์ขึ้นไปอีก
ถือว่าการมาทริบนี้เราใช้ AIRBNB กันทุกที่ๆไป บ้านเก๋ๆ สไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ คือเป้าหมายของเราตลอดทริบ
บ้านนี้น่ารักที่มีคนดูแลพูดอังกฤษได้ดีมากเลย แนะนำการเดินทางให้ตลอดเวลา ปรึกษาเส้นทางได้อย่างดีเยี่ยมเลย
และสำหรับใครที่ยังไม่เคยใช้บริการและสมัครเป็นสมาชิกของ AIRBNB วันนี้ผมมีทางช่วยให้ง่ายขึ้นได้ ตาม link นี้ไปนะครับ http://goo.gl/Qa1V8I
ถ้าสมัครหรือจองผ่าน link นี้ไปคุณจะได้ส่วนลดราวๆ 25$(850 บาท) เลยเพื่อใช้ในการจองที่พักได้ เป็นระบบ invite Friend ที่ดีมาก
ใครที่ชอบและจองผ่านlink ไปก็ได้ส่วนลด และเมื่อคุณสมัครแล้วก็สามารถนำ link ของตัวเองไปสร้างส่วนลดให้คนอื่นต่อผ่าน link ของตัวเองได้เช่นกัน เป็นการส่งต่อให้กันและกันได้ครับ ส่วนเจ้าของ link เองก็จะได้เป็น Money สะสมในระบบสมาชิก เรียกว่า วินกันทุกฝ่ายครับ แค่สมัครก็ได้แล้วว่าง่ายๆ
และสำหรับตอนแรก กับ 2 วันแรกของเราก็จบตรงนี้ ตอนหน้าจะพาทุกคนไปเที่ยวที่ ROKKO และในย่าน โอซาก้ากันต่อ จะเป็นยังไงโปรดติดตามนะครับ