สวัสดีครับ
แล้วเวลาก็วนมาเจอกันอีกครั้ง หนนี้จะชวนทุกคนออกเที่ยวโลกกว้างที่กว้างมากๆอย่างเมืองจีน นับเป็นอีกหนึ่งรีวิว ที่ได้ไปเยือนเมืองโบราณที่มีเสน่ห์ สงบ และสวยงามไม่แพ้เมืองดังๆอื่น นั้นก็คือ เมือง Nanjing (จะเรียกว่า นานจิง,นานกิง,หนานกิง,หนานจิง ก็ได้หมดทั้งนั้นนะครับ)
ทริปนี้ผมพบว่าหลังจากลับมาสิ่งที่ติดใจจริงๆคือความเนิ่บช้า ความสงบและเรียบง่าย ที่พบเจอตลอดการเดินทาง ผิดคาดมากๆ เพราะมันไม่ได้วุ่นวายเหมือนที่กังวลก่อนจะไป และที่สำคัญต้องขอบคุณ ทางสายการบิน NokScoot ที่จัดทริปสื่อพาพวกเราไปกันและมี one22 ติดอยู่ในนั้นด้วย ขอบพระคุณมาก เอาละ ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงไปมาก มาเริ่มต้นทริป SLOWLIFE เบาๆกันดูบ้างว่า ที่นี่เค้ามีไรดีจนอยากหยิบมาแนะนำกัน ตามที่จั่วหัวไว้เลย เรียบ เท่ บ้างไรบ้าง ที่ Nanjing ครับ
เราเริ่มการเดินทางกันที่ดอนเมืองด้วยเที่ยวบิน Nokscoot ปลายฟ้า XW088 ออกเดินทางเวลา 13.40 – 18.50 น. เที่ยวบินไม่ได้มีบริการทุกวัน
ช่วงแรกๆ จะมีแค่ จ-อัง-พฤ-เสาร์
แต่แต่หลังจากวันที่ 26 ตุลาคม 2015 นี้เป็นต้นไป จะเพิ่มวันบินเป็น จ-ส
เพราะงั้นหากใครจะตามรอย ควรเช็ค กันได้ที่ http://www.nokscoot.com/th/schedules-th นะครับ
ก่อนไปขอชักภาพที่ระลึกหน่อย เลขไรมันจะพ้องกันขนาดนั้นเสียดายดันไปยืนหลังเลข 22 แทนที่จะเป็น one22 เลยกลายเป็น 221แทน สังเกตพยายามจะเป็นเลข 1 มากกก ช่วยๆกันดูเป็น เลข 1กลมๆหน่อยแล้วกันนะ 5555
ทริปนี้นั่งเครื่อง Boing 777 ลำใหญ่ทีเดียวนั่งสบายทั้งหน้าและหลังไม่ติด เบาะ 3 แถว แบบ 3-4-3 ตัวที่นั่งสีเหลืองจะเป็นแบบ Super คือมีพื้นที่เหยียดขาได้มากกว่าสีน้ำเงิน ขึ้นไปอีกอันนี้ดีงามมากบอกเลย
และที่สำคัญน้องแอร์ Nokscoot ยิ้มหวานและมารยาทงามมาก สมเป็นหญิงไทยจริงๆ น่ารักครับ เวลากลับจากทริปทางไกลไปต่างประเทศทีไร แล้วได้เจอแอร์ไทยแบบนี้มันชื่นใจมากบอกเลย
ใช้เวลา 5 ชั่วโมงเศษเราก็มายืนกันที่สนามบินนานาชาตินานจิงแล้วละครับหลังจากลงเครื่องปั้บรถมารับคณะของเราไปทานอาหาร ซึ่งก็ขอบอกเลยว่าอร่อยมากกว่าที่คาดไว้เยอะมาก อร่อยดีทีเดียวล่ะ ไม่เลี่ยนอย่างที่กังวล จากนั้นก็มุ่งหน้าเข้าที่พักคืนแรกที่Sofitel Galaxy Nanjing
ที่พักดีมากห้องกว้าง วิวดี แม้ช่วงที่เราไปจะเป็นหน้าฝนที่ฟ้าไม่เป็นใจเอาซะเลย แต่ด้วยความสะดวกสบายของที่พักก็ทำให้เราประทับใจไม่ยากเลยทีเดียว ชอบที่นี่ครับ
วันแรกจบง่ายๆด้วย ชารสแปลกที่อ่านไม่ออก สอยมาจาก ร้านสะดวกซื้อ จะด้วยแรงยุหรือความอยากลองก็ไม่แน่ใจ ผมซื้อกลับมาและพบว่ามันอร่อยแปลกๆกว่าที่คิดไว้เยอะ
อู่เจิ้น(Wuzhen) เมืองแห่งความ Slowlife ขนานแท้
ทริปนี้แม้ฟ้าจะไม่เป็นใจส่งความขาวดุจโอโม่มาให้เราทุกวัน แต่ของแบบนี้เมื่อมันสั่งกันไม่ได้ ก็อยู่ที่เราแล้วจะหาความสุขยังไงกับการเดินทางก่อนเข้าเมืองทำความรู้จักเบื้องต้นจะได้เที่ยวกันสนุกขึ้นครับ
อู่เจิ้นเป็นหนึ่งในหกเมืองโบราณหลักแห่งเจียงหนาน เป็นชื่อเรียกดินแดนที่อยู่ตอนใต้ของแม่น้ำแยงซี ซึ่งก็คือถึงตอนใต้ของมณฑลเจียงซู ตอนเหนือของมณฑลเจ้อเจียง และหกเมืองโบราณดังกล่าว ได้แก่ โจวจวาง, ถงหลี่ , ลู่จื๋อ , ซีถาง , อูเจิ้น และหนานสวิ โดยสามที่แรกอยู่ในมณฑลเจียงซู ส่วนสามที่หลังอยู่ในมณฑลเจ้อเจียง ตำบลอูเจิ้นเป็นท้องถิ่นเก่าแก่ อุดมไปด้วยโบราณสถานและโบราณวัตถุ
ที่ดีงามมากๆ ก็คือ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองอูเจิ้น เมืองที่ได้ชื่อว่า “นครเวนิชแห่งมณฑลเจ๋อเจียง” ตำบลอูเจิ้น มีประวัติอารยธรรมที่ยาวนานถึง 7,000 ปี มีประวัติในการสร้างตำบลที่นานกว่า 1,300 ปี ด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ทางการจึงพยายามอรุรักษ์เมืองโบราณแห่งนี้ ให้นักท่องเที่ยวได้ชมชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านริมน้ำ มีสิ่งที่ติดระดับโลก นั้นก็คือ คลองขุด “ต้ายุ่นเหอ” ซึ่งเป็นคลองขุดที่ยาวที่สุดของโลก ห่างจากนครเซี่ยงไฮ้เพียง 100 กิโลเมตร ห่างจากเมืองหังโจวเมืองท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อเพียง 60 กิโลเมตร สถานที่บ่งบอกความเป็นเจียงหนันซึ่งเป็นบ้านเกิด “เหมาตุ้น” ชมสิ่งก่อสร้างโบราณสมัยราชวงศ์ หมิงและราชวงศ์แมนจู สภาพแวดล้อมภายในเมืองโบราณอูเจิ้นนั้นยังคงความสวยงามน่าอยู่ มีคูคลองไหลผ่านกลางหมู่บ้าน สะพานข้ามคูคลอง โบราณสถานและโบราณวัตถุที่น่าสนใจอีกมากมาย
ทริปนี้ผมพบว่าการมาเที่ยวเมืองโบราณแห่งนี้เหมาะมากที่จะมาละเลียดเวลาใช้ชีวิตช้าๆ Intrend Slowlife กันดูจะเป็นคำจำกัดความที่เหมาะอย่างยิ่ง เพราะเมืองอู่เจิ้นแห่งนี้ ใช้เวลาเดินทางจาก นานกิงร่วม 3-4 ชั่วโมง แต่เมื่อมาถึงแล้ว มันคุ้มแค่ทุกๆวินาทีที่เสียไปทีเดียวละครับ ป่ะ ไปดูข้างในกัน
ธรรมชาติและสายน้ำคือเสน่ห์แห่งเมืองโดยแท้ เราสามารถมาใช้เวลาในเมืองเก่าแห่งนี้ที่รัฐบาลจงใจ จะเก็บรักษาความเก่าแก่เอาไว้เพื่อการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ เดินเข้ามาข้างในนี่มันหลุดเข้ามาในหนังจีนที่เราเคยดูสมัยเด็กๆเลยนี่
มีมุมสงบๆและเก๋ หาได้ดาดเดื่อนไปหมด ในเมืองอู่เจิ้นนี้
ความสงบและสวยงามของที่นี่คือจุดเด่น แม้จะมีนักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่ เราก็ยังหามุมสงบๆสวยๆของเมืองได้อยู่ดี
ย่านถนนในเมืองเราอาจจะหลงได้เพราะตัวตึกรามบ้านช่องที่นี่เหมือนกันไปหมด การบำรุงรักษาถือว่าชั้นยอด ขยะที่พื้นสักนิดหาไม่เจอ เรียกว่าเป็นเมืองที่ลบคำสบประมาทว่า จีนสกปรก ไม่น่าเที่ยวทิ้งไปได้เลย ชื่นชมจริงๆ
ร้านรวงมากมายจึงพร้อมเสริพทั้งอาหารและ บรรยากาศดีๆริมน้ำให้แขกผู้มาเยือนได้ประทับใจกันไม่ยากเลย
มุมแบบนี้ผมจึงหาได้ง่ายมากที่ อู่เจิ้นร้านกาแฟน่ารักๆ มีให้นั่งชิล จิบชายามบ่ายได้สบายๆ
ตามตรอกซอกซอยในถนนเราจึงมักมองลงไปที่ลำน้ำได้ตลอดและความใสของน้ำก็มาจากการดูแลรักษาของคนในเมืองและรัฐบาลจีนเองก็ใส่ใจจริงจังด้วยเช่นกัน
มุมถ่ายภาพจึงหาได้ง่ายมาก ผมประทับใจเมืองนี้ที่สุด มีโอกาสอยากกลับมาเยี่ยมเยือนเมืองอู่เจิ้นนี้อีกครั้ง ในฤดูที่แตกต่างออกไป น่าจะสวยงามแน่นอน
ไหนๆมาแล้วขอมีภาพตัวเองไว้เป็นที่ระทึกบ้างไรบ้าง ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปที่จัดให้ จะได้ถือว่าเป็นทริบ หนีลูกเที่ยว
ระหว่างที่เดินเที่ยวไปมา กิจกรรมล่องเรือไปตามสายน้ำจึงเป็นกิจกรรมที่นิยมและช่วยให้การเดินเล่นในเมืองมีสีสัน และแบบนี้เราจะพลาดได้ไงจริงไหมครับ
ระหว่างเดินชมบ้านเรือนและสายน้ำอยู่สักพัก อยู่เราก็โผ่ลมาในทุ่งดอกไม้ กันได้ โอ้วต้องบอกว่ามหัศจรรย์เกินจินตนาการ คือไม่คิดว่าเดินเล่นเมืองโบราณแล้วชั้นจะวาปล์ ไปฮอกไกโดได้ยังไง ฮ่า ฮ่า Amazing China สุดๆเลยครับ และที่สำคัญมันไม่ธรรมดาไม่ใช่ไก่กาเล็กๆ นะยาวสุดสายตากันเลยทีเดียว และแน่นอนนักท่องเที่ยวทุกคน ก็แวะเวียนมาเก็บภาพกับดอกไม้สีสันม่วงไปเต็มทุ่งแบบนี้
ปิดท้ายกันด้วยภาพยามค่ำที่สวยงามที่สุดที่เก็บมาได้ บรรยากาศกลางวันว่าเด็ดแล้ว กลางคืนยิ่งห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
ร้านนั่งกินดื่มเก๋ๆ เปิดกันริมสองฝั่งน้ำกันไปตลอดแนว ชิลมากๆ เสียอย่างเดียวช่วงที่เราไปเป็นฤดูร้อนของเค้าอากาศจึงร้อนมากไม่แพ้เมืองไทยกันเลย
แต่ยังไงความสวยงามของเมืองก็ยังช่วยให้เราเพลิดเพลินจำเริญตากันถ้วนหน้าครับ บรรยากาศร้านน่ารักๆช่างเหมาะและตอบโจทย์ Slowlife อย่างที่เกริ่นไปแต่แรกไหมละครับ
มาดูที่พักกันนิด ขอแนะนำว่าเข้ามาในเมืองนี้แล้วไม่พักในนี้ถือว่าผิดมาก แม้ราคาอาจจะดูห้าดาว แต่การพักในนี้ ก็ช่วยให้การมาเที่ยวไม่เสียเปล่า เพราะอย่างที่เห็นเราสามารถอยู่จนค่ำมืดเท่าใดก็ได้ และเมืองนี้ก็ควรจะใช้เวลาช้าๆแบบไม่เร่งรีบกันด้วย ที่พักของพวกเราคืนนี้คือ Waterside Resort ชื่อช่างตรงเสียจริง
เพราะงั้นอุตส่าห์มาแล้วก็ขอแนะนำครับ และที่พักที่นี่ก็ให้บรรยากาศจีนผสมกลิ่นอายความเป็นบูติกกิ๊บเก๋เข้าไป ในความ Retro ด้วยอีกช่วยให้ขับให้ได้บรรยากาศเข้าไปอีก วู้วจะเท่ไปไหนเนี่ยอู่เจิ้น
และที่ไม่ธรรมดาก็คือการตกแต่งที่ผสมผสานควางดงามแบบจีนเข้ากับบรรยากาศของสายน้ำได้เข้ากันดีมาก ถือเป็นบูติกโฮเท็ลที่เท่สุดๆเลย ชมภาพห้องอาหารตอนเช้าได้สวยเนอะ
จบชีวิตเท่ เลิศและเรียบง่ายของสายน้ำกันไว้ก่อน ได้เวลากลับเข้ามาในเมืองกันแล้ว มาต่อกันที่ เมืองนานกิงกัน เมืองนี้มีดีไม่แพ้ อู่เจิ้น เพราะถือว่าเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสองของทางตะวันออกของจีนเป็นรองก็แค่เซี่ยงไฮ้เท่านั้น และที่นี่ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่คนนิยมมากันสำคัญ 3 อย่าง ซึ่งก็ตั้งอยู่บนยอดเขาจื่อจิงซาน ชานเมืองด้านตะวันออกของนานกิง และและที่แรกที่ๆเหมาะจะมาชมในวันอากาศดี แม้วันอากาศไม่ดีอย่างวันที่ผมไป ก็ยังถือว่าสวยงาม วิวดี ขอแค่อย่ายอมแพ้ต่อแรงโน้มถ่วงของโลกเป็นพอ ^______^ นั้นก็คือ สุสานของ ดร.ซุนยัดเซ็น นั้นเอง
ทำไมนะเหรอ เพราะตัวสุสานของ ดร.ซุนยัดเซ็น(ซุนจงซาน) Mausoleum of Dr. Sun Yat-Sen หรือ ที่คนจีนพากันเรียกท่านกันว่า จงซานหลิง ถือเป็นบิดาของประเทศในยุคใหม่ของจีน จะอยู่บนเขาสูงแต่ข้อดีที่สุดคือ เข้าได้ฟรี ทุกวัน แต่เฉพาะด้านบนที่เป็นห้องสุสานขอท่านเท่านั้นจะปิดทุกวันจันทร์ เพราะฉะนั้นใครจะมาดูวันกันให้ดีนะครับ
ประวัติการก่อตั้งที่นี่แบบคร่าวๆนะครับ
มีการกล่าวถึงสาเหตุที่การสร้างสุสาน ดร.ซุนยัดเซ็น ณ บริเวณนี้ว่า ครั้งหนึ่ง ดร.ซุน เคยมาเยี่ยมเยือนบริเวณนี้ เมื่อสังเกตเห็นว่า เนินทางทิศใต้ของภูเขาจงซาน มีทัศนียภาพที่งดงาม และชัยภูมิที่ดีจึงเปรยเล่นๆ กับผู้ติดตามว่า เหมาะกับการสร้างสุสานของตน อย่างไรก็ตาม การเปรยเล่นๆ ดังกล่าวกลับมีผู้จดบันทึกเอาไว้
ปัจจุบัน สุสานซุนจงซาน มีขนาดใหญ่โตโดยมีขนาดพื้นที่กว้างขวางถึง 8 หมื่นตารางเมตร ตัวสุสานถูกออกแบบและสร้างให้เป็น ทางเดินบันได ลาดขึ้นไปตามเนินเขาที่ยาวกว่า 323 เมตร กว้าง 70 เมตร และนับขั้นบันได้ได้ 392 ขั้น เพื่อไปห้องสุสานของท่านด้านบนสุด
วิวที่เห็นยิ่งฝ่าแรงโน้มถ่วงของโลกขึ้นไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสวยขึ้นไปเท่านั้น อาจจะขัดกับชีวิต Slowlife แต่เชื่อเหอะว่าคุ้มค่าแก่การเข้าไปชมอย่างมากครับ
เราจึงได้เห็นสาวๆหลายคน selfie กันตลอดแนวบันไดขึ้น
ดูวิวกันดีกว่าเห็นไปทั่วจริงๆ และที่ห้องสุสานของท่าน จะมีรูปปั้นสีขาวขนาดใหญ่หันหน้าออกไปนอนสุสาน เสมือนว่า ตัวท่านยังคงเฝ้ามองลูกหลานชาวจีนอย่าง สม่ำเสมอ
หลังลงมาไปกันต่อที่ สุสานหมิงเสี้ยวหลิงเป็นสุสานของปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง สร้างโดยปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง จูหยวนจาง ที่สร้างเพื่อเป็นสุสานของตัวเองและเสร็จภายใน 2 ปี ในปีค.ศ.1383 และมาได้ใช้งานจริง เมื่อองค์ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิงสวรรคต ในปี ค.ศ.1398
ระหว่างทางเดินไปที่สุสาน เราจะพบทางเดินทอดยาม และจะมีรูปปั้นสัตว์ต่างๆทั้งที่มีอยู่จริงและในตำนานปรัมปราของจีน เช่น อูฐ ช้าง ม้า กิเลน (หรือก็คือสิงโตในความเข้าใจของชาวจีนนั้นเอง)
เป็นรูปปั้นที่สร้างมาพร้อมกันกับตัวสุสาน ทุกตัวจะสร้าง 4 ตัว เป็นยืนและนั่งเป็นคู่ เพื่อเสมือนที่จะให้สัตว์เหล่านี้ปกป้องสุสานได้ตลอดเวลาทั้งตอน นั่ง และ ยืน นั้นเองครับ
และมาถึงการเข้าไปชมในตัวสุสานหงอู๋ หรือ หรือในภาษาจีนว่า “หมิงเสี้ยวหลิง” (Mingxiao Ling) ตัวสุสานถือว่าเป็นอีกที่ๆวางผังไว้อย่าดีเยี่ยมตั้งอยู่ทางใต้ของสุสานดร. ซุนยัดเซ็น เส้นทางเดินสู่ตัวสุสานจะมีรูปสลักหินและทหารขนาบตลอดสองข้างทาง แต่ก็น่าเสียดายที่ถูกทำลายลงไปตั้งแต่ยุคสงคราม และสุสานถูกปล้นในช่วงกบฏไท่ผิงทำให้สมบัติล้ำค่าที่เป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ภายในถูกนำออกไปจนหมดจนเกือบจะดูจะกลายเป็นสุสานร้าง
แอบเก็บภาพคุณปร้ากับตู้ไปรษณีย์ แกคงเดินมาเหนื่อยๆนะครับ
ยิ่งเราเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเหมือนค้นพบและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของจีนตั้งแต่ตั้งราชวงศ์ ที่นานกิง เข้าไปเรื่อยๆ
ผมเดินเรื่อยๆไม่เร่งรีบนัก แม้จะรู้ว่ามีเวลาไม่มาก แต่ไหนๆจะslowlife แล้วขอละเลียดเท่าที่เวลาจะอำนวยไปจนถึงตัวสุสาน
ซึ่งเป็นสุสานของจูหยวนจาง(หมิงไท่จู่) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง ผู้ก่อตั้งรางวงศ์ขึ้นมานั้นเอง แต่ที่ตัวเองสนใจกับเป็นลวดลายของพื้นหินและทางเดินที่บ่งบอกการผ่านกาลเวลามายาวนาน และที่สำคัญสวยงามเข้ากันดีกับบรรยากาศของสุสานครับ
วิวบนนี้งามใช้ได้มองย้อนกลับไปถึงด้านหน้าที่เราเดินเข้ามาได้เลย ร่มรื่นดีมากครับ
เท่าที่ฟังมา จึงได้รู้ว่าตัวสุสานและหลุมฝังพระบรมศพ ได้ถูกฝังกันอยู่หลังกำแพงที่ผมยืนถ่ายรูปไว้ ด้านหลังของอาคารนี้เองละครับ
และมาถึงจุดสุดท้ายบนเขาลูกนี้คือ วัดหลิงกู่ วัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 14 สำหรับสิ่งก่อสร้างสำคัญที่ยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่ได้แก่ “หออู๋เหลียง”
เป็นหอไม่มีคาน ซึ่งสร้างด้วยศิลาทั้งหลัง ที่ด้านหลังวัดมีเจดีย์หลิงกู่ เจดีย์ 9 ชั้น สูง 60.5 เมตร สร้างในปีค.ศ. 1929 เพื่อระลึกถึงเหยื่อสงครามในยุคขุนศึกที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
เข้ามาด้านในจะพบกับหุ่นบุคคลสำคัญผู้พลิกประวัติศาสตร์ของจีนยุคใหม่ เอาไว้ เสมือนบันทึกหน้าประวัติศาสตร์สำคัญๆให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและต่างชาติรู้ว่าการก่อร่างสร้างชาติของจีนวันนี้มีที่มายังไงบ้าง
ภายในให้ความรู้สึกเย็นเพราะตัวด้านในสร้างไว้สูงและโล่งมาก จะด้วยบรรยากาศของตัวหุ่นขี้ผึ้งเหล่านี้ด้วยก็เป็นได้
ผมเดินต่อไปด้านหลังโดยมีเป้าหมายสำคัญคือที่ เจดีย์หลิงกู่ ที่มีความสูง 9 ชั้น อันนี้ก็ท้าทายแรงโน้มถ่วงใช่ย่อยทีเดียว
เดินเข้ามาด้านในจะเจอบันไดวนที่วนจริงๆ แต่เมื่อได้ขึ้นมาที่บนชั้นบนสุด ความเหนื่อยก็หายไปแทบปลิดทิ้ง เพราะวิวก็คุ้มค่าที่ได้ขึ้นมาครับ จะเสียดายก็แค่อากาศที่ไม่เป็นใจฟ้าไม่แจ่มใสเท่านั้น ช่างมันครับเที่ยวทั้งทีอย่าเอาเรื่องนี้มาทำให้หมดสนุกไป ชีวิต slowlife ให้ Take it Easy เข้าไว้อะไรๆก็ชิลได้ทั้งนั้น ^__^
ปิดท้ายที่นี่ด้วยมุมอุโมงค์ต้นไม้ สวยๆผมเก็บภาพได้ระหว่างเดินกลับออกมาสวยงามร่มรื่นมาก
ก่อนจะไปเที่ยวยามราตรีของนานกิงกัน ผมอยากแนะนำร้านอาหารที่ประทับใจที่สุดในแง่การตกแต่ง ดู ชิค และแนวในขณะที่อาหารก็อร่อยดีทีเดียว
ที่ว่าชิคเพราะบรรยากาศแบบจีนจัดเต็มมาก ตั้งแต่การตกแต่งไปจนถึงการเสริพอาหารเอง หน้าตาดีสุดๆ
จริงๆจะว่าเรื่องอาหารจีนกันอย่างจริงจัง ก็ต้องบอกว่าที่นานกิงเอง มีร้านอาหารอร่อยๆเยอะอยู่ มากกว่าที่ตัวเองคิดไว้เยอะเลย
อย่างร้านนี้ ที่ต้องขอขอบคุณทาง Nokscoot เองที่เปลียนแผนกระทันหันพาขบวนสื่อทั้งหมดมาทางสุกี้ร้านดังที่สุดร้านนึงของ นานกิงทีเดียว
ชื่อร้าน Hai dai bao hotpot และขอบคุณสมาชิกในทีมที่ไปด้วยกันไปตามหาจนได้ลายแทงมา ใครอยากไป ตามลายแทงไปครับ http://www.tripadvisor.com/Restaurant_Review-g294220-d3403077-Reviews-Haidilao_Hotpot_Dragon_Park_West_Road-Nanjing_Jiangsu.html
ดังไม่ดังดูที่คิวดีกว่าที่เห็นนี้คือ นั่งรอเรียกนะครับ มีที่เข้าคิวกันด้านหน้าอีกเพียบ
และอาหารเองก็บอกเลยว่าอร่อยจริงๆเป็นสุกี้ที่รสชาติเข้มข้มดีงามมาก ที่สำคัญที่ผมติดใจสุดๆยิ่งกว่าอาหารคือ “พนักงานเสริฟ” ครับ
คือตั้งแต่ท่องเที่ยวมาในโลกนี้ยังไม่เคยเจอที่ไหนตั้งใจบริการสุดๆ แทบจะป้อนเข้าปากได้ก็คงทำไปแล้ว ไม่ว่าเราจะทำอะไรเค้าจะคอยเอาใจใส่ มาก เช่นผมโดนนำซุปสุกี้กระเด็นใสมือ เค้ารีบเอาน้ำแข็งใส่ถุงพลาสติกใส มายื่นให้เราเพือประคบกันเลย หรือจังหวะที่เราจะเอาเนื้อต่างๆใส่หม้อ เค้าก็รีบมาจัดการให้ จนเรียกว่ามือนี้ไม่ต้องใช้กันเลย จนพวกเรากันเองแอบเรียกที่นี่วา Restaurant no hand เกือบแล้วครับ ยกให้เลยสุดยอดจริงๆ น่ารักที่สุด
ไหนๆแล้วผมขอบรวมมิตรอาหารจากทุกมื้อมาให้ชมกันทีเดียว บอกเลยทริปนี้อาหารดีทุกมื้อ กินอร่อย อยู่ดีกินดีตลอด จนไม่รู้จะแยกและจดจำได้หมดรู้อย่างเดียว ทริปนี้ล้างความเชื่อเรื่องอาหารจีนไม่ถูกปากผมไปได้เกิน 80-90%ทีเดียวครับ
และมาถึงจุดที่ถือเป็นประวัติศาสตร์อีกแห่งของเมืองนี้ คือ สะพานข้ามแม่น้ำแยงซีเกียง สะพานสำคัญของที่นี่ มารู้จักกันสักเล็กน้อยครับ
สะพานข้ามแม่น้ำแยงซี ครั้งหนึ่งเคยได้รับการบันทึกในสถิติโลกว่าเป็นสะพานข้ามแม่น้ำสำหรับรถยนต์และรถไฟที่ยาวที่สุดของโลก ตั้งอยู่แถบทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแม่น้ำแยงซีในเมืองนานกิง เป็นสะพานข้ามแม่น้ำแห่งที่ 3 นับจากสะพานข้ามแม่นำที่เมืองอู๋ฮั่น และฉ่งชิ่ง
การก่อสร้างสะพานต้องใช้แรงงานกว่า 9,000 คนงบประมาณกว่า 280 ล้านหยวน และกินเวลายาวนานถึง 8 ปี โดยเริ่มสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1960 แล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1968ใช้เหล็กกว่า 100,000ตัน ปูนซีเมนต์ 1 ล้านตัน เนื่องด้วยก่อนก่อสร้างจีนใช้เทคโนโลยีและเหล็กกล้าของรัสเซีย แต่หลังจากที่จีนมีปัญหากับรัสเซีย รัสเซียก็ยกเลิกความช่วยเหลือทั้งหมด รัฐบาลจีนจึงต้องมาออกแบบและหาวิธีทดลองเหล็กกล้าของจีนเป็นเวลาหลายปี
ดังนั้นสะพานข้ามแม่น้ำที่นานกิงนี้ จีนจึงได้ประสบการณ์อย่างมากทั้งทางด้านเทคโนโลยี ด้านอุปกรณ์และวัตถุดิบ นับตั้งแต่นั้นมาประเทศจีนจึงมีความสามารถสร้างสะพานต่างๆที่สลับซับซ้อนด้วยเทคโนโลยีทุกรูปแบบด้วยตัวเอง
โดยสะพานข้ามแม่น้ำแยงซีเกียงแห่งนี้ถือเป็นสะพานแห่งแรกที่ออกแบบและสร้างโดยเทคนิคของสถาปนิกจีนซึ่งถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของจีนภายใต้สายตาอันกว้างไกลของประธานเหมาเจอตุ๋ง ถือเป็นสถานที่สำคัญเชิงประวัติศาสตร์อีกเช่นกัน
สะพานแห่งนี้ มีอายุกว่า 44 ปีนี้แล้วครับ ตกแต่งด้วยรูปปั้นและสัญลักษณ์ตามลัทธิเหมาเจ๋อตุง อาทิ รูปปั้นผู้ใช้แรงงาน ชาวนา และทหาร ซึ่งถือหนังสือสีแดงเล่มเล็กๆ หัวสะพานทั้งสองด้านยังประดับด้วยธงแดง ในช่วงเทศกาลอีกด้วย
มาถึงอีกที่ๆหยุดให้ผมอึ้งไปนานทีเดียวถือเป็นที่เที่ยวที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ไม่ใช่เพราะสวยงาม ไม่ใช่เพราะ เป็ฯที่ไปยาก แต่เพราะเรื่องราวของ สถานที่แห่งนี้ได้บันทึกประวัติศาสตร์สำคัญของเมืองนานกิงเอาไว้ และถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญระดับโลกทีเดียวนั้นคือ อนุสรณ์สถานการสังหารหมู่นานกิง (Nanjing Massacre Memorial)
อนุสรณ์สถานแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อรำลึกและบันทึก เหตุการณ์สังหารหมู่ในนานจิง ที่เปรียบเสมือนเป็นฝันร้ายที่ไม่มีวันลบเลือนได้ของชนชาวจีน
ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงภาพถ่าย รูปปั้นของชาวจีนที่พยายามหนีเอาชีวิตรอด และหลักฐานแสดงถึงความโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่น ที่กระทำต่อชาวเมืองเมื่อเดือนธันวาคม ปี 1937 ทั้งการทำลายล้างบ้านเรือน การข่มขืนสตรีไม่เลือกหน้าและการสังหารชาวจีนกว่า 300,000 คน
ระหว่างที่ผมเดินเข้าไปด้าน พบและสัมผัสเรื่องราวของชาวจีนจะว่าเศร้าก็ใช่ แต่มันไม่ได้เศร้ารันทดขนาดที่เราจะเบือนหน้าหนี
ผมเองเข้าใจเอาเองว่า เจตนาผู้สร้างสถานที่นี้ต้องการบันทึกหน้าสำคัญในประวัติศาสตร์ไว้ให้คนรุ่นหลังอย่าได้ลืมว่าชาติเรานั้นกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ต้องผ่านเรื่องราวเลวร้ายมาขนาดไหนมากกว่า เพื่อให้คนในชาติได้ซึบซับและก้าวต่อไปอย่างมั่นคง
มาถึงที่สุดท้ายที่ผมประทับใจไม่แพ้เมืองอู่เจิ้น และไปมาง่าย ที่นี่อยู่กลางเมืองนานกิงกันเลย ที่นี่คือ ตลาดฟูจื่อเมี่ยว
ตลาดแห่งนี้ถือว่าเป็นตลาดรวมทุกสิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการ เป็นถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวแวะเวียนกันมาชมแสงสีริมน้ำ หรือมาเดินช้อปปิ้งสินค้าก็เพลินกันจนกระเป๋าเบาไปเยอะได้เลย
สุดฟินกับการล่องเรือแม่น้ำฉิงขวายเหอ ซึ่งถือเป็นแม่น้ำใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองนานกิง แยกย่อยมาจากแม่น้ำแยงซีเกียงอีกที
ความพิเศษ และเป็นกิจกรรมสุดฮิตของที่นี่ก็คือ การได้ล่องเรือชม สายน้ำและส่วนที่เป็นช่วงไฮไลท์จะมีความยาว 4.2 กิโลเมตร และสองข้างทางเป็นบ้านเรือนและร้านค้าต่างๆ ตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม
ผมขอปิดท้ายเรื่องราวของทริปนี้ที่นี่ ถือเป็นประสบการณ์เดินทางที่น่าประทับใจอีกครั้ง และที่มันท้าทายก็คือ การที่เราได้มีโอกาสสำรวจ การเดินทางของตัวเองไปพร้อมๆกัน แม้อะไรอาจจะไม่เป็นใจแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องปล่อยจิตปล่อยใจให้ตัวเองอยู่กับความผิดหวังเสมอไป การเดินทางก็เป็นแบบนี้ละครับ ให้ประสบการณ์ที่แตกต่างเสมอเมื่อคุณได้ก้าวเท้าออกเดินทาง หวังว่าทริปนี้คงสร้างความเพลิดเพลินให้กับทุกคนได้
และแน่นอนเพื่อนร่วมทริปสำคัญเสมอ ทริปนี้ก็เช่นกันครับ
ท้ายนี้ต้องขอขอบคุณสายการบิน Nokscoot ที่พาคณะเราทั้งหมด เหิรฟ้าไปเที่ยวนานกิง และอู่เจิ้น ไม่มีเที่ยวบินนี้พวกเราก็คงไม่ได้ไปเที่ยวสนุกสนานแบบนี้ ขอบคุณคร้าบบ จนกว่าทริปหน้าจะเจอกันที่ไหนสักที่ในโลกสีฟ้าใบนี้ สวัสดีครับ
2 Comments
P's Patchiee
ตามมาเที่ยวด้วยคนค๊าา 😀
one22
ขอบใจจ้า ^_^