อะแฮ่ม หวัดดีครับ
จั่วหัว ” 13 วัน 5 จังหวัด 1,300 กิโลเมตรขับรถไล่ล่าใบไม้เปลี่ยนสี Japan” ฟังดูเหมือนกับว่าใบไม้เปลี่ยนสี มันเป็น สิงสาราสัตว์พันธ์หายากกันเลย ฮ่า ฮ่า โปรดอย่าใส่ใจเพราะจริงๆแล้วในความคิดผมก่อนและหลังเดินทางมันแตกต่างกันมาก ใบไม้แดงที่ก่อนไปคิดไว้ว่าจะต้องหายากแน่ๆ ปรากฎมันง่ายเหลือเกิน หากคุณไปถูกที่ถูกเวลารับรองเจอแน่ๆ (เออก็ใช่สิไม่เห็นต้องมาบอก) เอาล่ะๆ มาดูกันสิว่าในช่วง Autumn Season มันสวยงามและน่าไปขนาดไหน เชิญ
ก่อนการเดินทางมาถึง
ขอเกริ่นกันตรงนี้ก่อนว่าหากเอาจริงๆแล้วเขียนรีวิวแบบครบถ้วน 13 วันกับการเดินทางจริงๆ บทความนี้คงจะยาวแน่นอน เพราะงั้นสำหรับบทนี้เป็นบทแรกจะเป็นเพียงตอน Prolouge อารัมภบท แบบสั้นๆไม่มีรายละเอียดมากนัก เน้นพร่ำพรรณนาก่อนจะร่ายยาวที่เหลือออกมาให้ทุกคนได้อ่านกันละเอียดอีกทีในตอนถัดไป จะกี่ตอนจากนี้ก็ว่ากันไปอีกทีนะครับ
ทริปนี้ผมมีเวลาคิดหาข้อมูลเยอะ แต่พอเอาจริงๆกับใช้เวลาวางแผนการเดินทางน้อย เรียกว่าก่อนจะเริ่มต้นการเดินทางอีก 3 วันผมยังจองห้องพักอยู่เลย เพราะงั้นขั้นตอนการเดินทางที่สำคัญจริงๆที่หลังจากหมดทริปอยากแนะนำกันดังนี้เลยครับ
จองที่พัก
ผมเลือกจองที่พักครั้งนี้กับ www.expedia.co.th Sponsor ของทริป(แน่นอนละนะ) จะไปใช้เจ้าอื่นๆก็กระไรอยู่จริงไหม
มาพูดถึงสปอนเซอร์อย่างตรงไปตรงมากันหน่อยดีกว่า ข้อดีที่ผมรับงานครั้งนี้แบบไม่ต้องคิดกันนานเพราะ expedia เพียงต้องการให้เราโปรโมทการจองที่พักกับเค้า รวมถึงหากมีบริการใดๆที่ตรงกับเราก็ขอให้เราใช้นะ แต่เรื่องแผนการเดินทาง ระยะเวลา รวมถึงสไตล์งานการเขียน .”อิสระ” โอ้ววประโยคนี้ละครับทำให้รับทันทีเลย ไม่รับก็บ้าแล้วใช่ไหมครับ
ทริปนี้ถูกตั้งต้นแต่แรกว่าเป็นทริปขับรถเที่ยว เพราะฉะนั้นการหยิบ Expedia มาใช้จึงเหมาะและถูกทุกข้อสำหรับผมมาก เพราะเค้ามีหมดทั้งเช่ารถและที่พัก
จริงๆทีแรกก็พยายามจะไปเช่ารถเจ้าอื่นเพราะคิดเอาเองว่าราคาที่นี่น่าจะแพง แต่เอาจริงนะครับสุดท้ายราคามันก็พอๆกันหมด พอลองหาข้อมูลกันจริงๆ สุดท้ายผมเลือกเอาที่ตัวเองสะดวกและติดตามง่ายกว่า หากเรามีปัญหาใดๆเกิดขึ้น ทาง Call center ก็จะช่วยเราได้อันนี้เป็นข้อดีมากๆที่ทำให้เหมาหมดทุกอย่างในการเดินทางไว้เลย ตรงทั้งconcept ตรงทั้งการใช้งานจริงครบ!
สำหรับที่พักที่ผมอยากแนะนำให้ตาม link ไปนะครับ ผมแนะนำละเอียดมากในรีวิว 6 เรียวกัง ห้ามพลาด! จากTohoku ถึง Nikko รวมที่พักแบบเรียวกัง เหมาะแก่การตามรอยไปแช่น้ำพุร้อนกัน เชิญเลย
มีบางคืนที่ผมไปจองกับทางโรงแรมตรงๆเลยเพราะว่าในบริเวณนั้นไม่มีเว็บใดรับจองทั้งนั้นครับ เราไปย่านใบไม้แดงในภาคที่เต็มไปด้วยป่าเขา ยังไงๆก็ต้องลุยเข้าไปให้ถึงที่ไม่งั้นก็เรียกว่ามาไม่ถึงจริงไหม
จองรถเช่า
ผมเลือกจองและรับรถกันที่แรกที่โตเกียวครับ โดยเส้นทางทั้งหมดในทริปนี้แบ่งเป็น 2 Area คือ รอบโตเกียวในช่วงแรก(Nikko) และ 4 จังหวัดตอนบนของภูมิภาคโทโฮคุ Aomori,Iwate,Akita,Miyagi)ทั้งสองช่วงขับรถหมด แต่จุดต่อเชื่อมจากโตเกียวไปเริ่มต้นที่โทโฮคุนั้น ผมนั่งชินคันเซ็นไป และเริ่มขับรถจากทางตอนบนไล่ลงมาจนมาขึ้นชินคันเซ็นกลับโตเกียวที่เซ็นได เส้นทางจึงเป็นวงกลมนั้นเองครับ การจองรถเช่าไม่ได้ยากใดๆ แต่ที่มันจะยุ่งกับเป็นตอนรับรถมากกว่า ผมมีประสบการณ์รับรถอย่างง่ายและยากมาบอก
ที่แรกเริ่มรับรถกันที่โตเกียว จุดรับรถเราเลือกกันตั้งแต่จองจากเว็บได้เลยครับ ตัวเว็บ Expedia เองก็ไม่ได้ยากใดๆอย่างที่เห็นเราจองก็เลือกเมืองต้นทางรับรถ และเมืองปลายทางโดยระบบจะเข้าใจว่าเราจะรับและส่งคืนรถที่เดิมเพราะฉะนั้นหากคุณไม่ได้รับรถและคืนรถที่เดิมอย่าลืมเอา ตรง Default ออกนะครับ
สุดท้ายการไปรับรถจะต้องเตรียมเอกสาร ดังนี้นะครับ
1.ใบจองรถให้พิมพ์ออกมาซึ่งทาง Expedia ได้ส่งเป็นเมล์กลับมาให้เราหลังจากที่การจองและจ่ายตังผ่านบัตรเครดิตรผ่านด้วยดี ระยะเวลาจะไม่ถึง 24 ชม.หลังจากที่ได้จองไปแล้วจะมีเมล์กลับมาครับ
2.ใบขับขี่สากล อันนี้ไม่ยากเลย ให้ไปทำที่กรมการขนส่งกรุงเทพฯ จะที่ไหนก็ได้เช่น จัตุจักรหรือตลิ่งชันสามารถออกใบขับขี่นี้ให้ได้หมด และไม่ต้องกังวลจะยุ่งยาก จะไม่มีการสอบใดๆทั้งนั้นแค่เราไปรับบัตรคิวตรงประชาสัมพันธ์จากนั้นนั่งรอ จ่ายเงิน 510 บาท เป็นอันเสร็จก็จะได้ใบขับขี่สากลมาใช้ในต่างประเทศได้เลย
3.ใบขับขี่แบบบัตรแข็งของไทย จริงๆเอาไปเผื่อครับ ถ้ามีข้อสองแล้วอาจจะไม่ต้องใช้ยังไงพกไปไม่เสียหลายนะ
สำหรับการจองรถเช่าของ Expedia ให้เข้าไปดูรายละเอียดตามนี้ได้เลยจ้า
4.การใช้ทางด่วน กรณีเราเป็นนักท่องเที่ยวการเข้าใช้ช่องทางด่วนเป็นสิ่งที่ต้องรู้ไว้สักนิดนะครับ ช่องทางประเทศนี้มีหลายช่องแต่เอาจริงๆก็คล้ายกันกับบ้านเราที่มีบัตรเบ่ง เช่น easy pass ของเค้าก็มี ETC กับช่องจ่ายเงินธรรมดาที่จะเขียนแบบนี้นะครับ ippan [一般] แปลว่าช่องธรรมดา
กรณีเราเช่ารถแล้วเรายังสามารถแจ้งกับทางเจ้าหน้าทีขอเช่า บัตร ETC ได้โดยหลังจากใช้จนจบทริปก็จ่ายตอนคืนรถได้เลย หรือกรณีไม่เช่าก็สามารถจ่ายแบบธรรมดาคือจ่ายกับเจ้าหน้าที่ในตู้บนทางด่วน หลังจากผ่านจุดรับตั๋วได้เลย พอถึงจุดผ่านต่อไปก็ยื่นตั๋วให้เจ้าหน้าที่แล้วเค้าจะแจ้งยอดก็จ่ายตังกันไป
ทริปนี้ผมเลือกแบบปรกติคือจ่ายตรงที่ตู้ เราก็เตรียมเงินแบ็งค์หรือเหรียญก็ดีไว้จากนั้นเวลาผ่านจุดทางขึ้นทางด่วนก็รับบัตร พอถึงตอนหลงก็ยื่นอย่างบอกจ่ายกันไป อ่อเวลาที่เข้าจุดทางด่วนเข้าอย่าเข้าช่องที่เขียนว่า ETC สีม่วงนะครับช่องนี้สำหรับบัตรเท่านั้น
อีกนิดครับอยากเตือนนิดนึง การใช้รถขับเที่ยวหากมีการเปลี่ยนเมืองการขึ้นทางด่วนเปลืองเงินมากนะครับ อัตราที่มีคนเคยคำนวนไว้อยู่ที่ กม./24 เยน (มีปรับขึ้นตามปี) เพราะงั้นสะดวกแต่ก็แพงถ้าไปกันหลายคนเฉลี่ยถึงจะคุ้มครับ
สำหรับคนที่สนใจจะจองรถขับที่ญี่ปุ่นช่องทางไปก็ทางนี้เลยครับ ====> https://goo.gl/7hr3eI
แหล่งชมใบไม้แด๊งแดงแห่งญี่ปุ่น
1.Nikko (ช่วงเวลาเดินทางที่เหมาะสม กลางเดือน ตุลาคมเป็นต้นไป )
ฤดูที่เหมาะสมท่องเที่ยว: ทุกฤดูที่นี่มีดีทั้งปี ช่วงหน้าหนาวก็มีหิมะปกคลุมสวยงาม หน้าใบไม้ผลิก็มีพันธ์ไม้นานาพันธ์รวมถึงซากุระ ฤดูใบไม้ร่วงก็มีใบไม้แดงไปทั้งหุบเขา อ่อที่นี่มีแหล่งแช่น้ำพุร้อนด้วยเช่นกัน
มาว่ากันถึงแหล่งชมใบไม้แดงของทริปก่อนดีกว่า ผมเริ่มต้นทริปแรกที่ Nikko เมืองท่องเที่ยวป่าเขาสำคัญของโตเกียว เพราะมันอยู่ใกล้กันขับรถ ไม่เกิน 3ชมก็ถึงแล้ว ให้เทียบเป็นเมืองไทยก็ราวๆเขาใหญ่นั้นใช่เลย ข้อดีของเมืองนี้ที่คนเค้านิยมไปเที่ยวกันคือ
1.1.แหล่งมรดกโลก พวกวัดวาสวยงาม หากคุณชอบเที่ยววัดในญี่ปุ่นที่นี่ก็ถือว่าใช่แล้วที่นี่มีวัดอายุนับร้อยๆปีมากมายมากจนยูเนสโก้ยกให้เป็นเมืองมรดกโลกกันเลย
1.2.แหล่งท่องเที่ยวชมใบไม้แดงหรือใบไม้ผลิ ที่นี่อุดมไปด้วยธรรมชาติสวยงาม มีภูเขาและเส้นทางท่องเที่ยวธรรมชาติเยอะมาก ช่วงที่ผมไปนี้ตระการตาสุดๆกับใบไม้แดงแรงสุดฤทธิ์กันทีเดียวครับ
1.3.สวนสนุกก็มีนะเออเอาสิ นั้นคือ เอโดะวันเดอร์แลนด์ (Edo Wonderland) ที่จะให้เรากลายร่างเป็น ซามูไร นินจา จำลองเมืองเอโดะในยุคโบราณมาให้เราได้ท่องเที่ยวกันถือเป็นอีกสถานที่เหมาะกับทุกเพศวัยที่ใจรักญี่ปุ่นอย่างแท้จริงครับ
มาถึงคำถามว่าควรใช้เวลาขนาดไหนสำหรับเมืองนี้ ผมว่าอย่างต่ำต้องมี 3 วัน 2 คืน หากต้องการเก็บสองในสามแลนด์มารค์สำคัญ แต่ถ้าหากจะเอาให้ครบก็ต้องมีอย่างน้อย 4 วันกำลังดีครับไหนๆไปแต่ละจุดแล้วก็ควรใช้เวลาให้คุ้มค่าเพราะมันเยอะมาก สำหรับทริปนี้ผมมีเวลาอยู่ที่นี่ 3วัน ยังเก็บได้แค่ ข้อ 2 เท่านั้นเองเพราะว่าเราเลือกขับรถเที่ยว อ่อ ระยะเวลาก็ต้องบวกเพิ่มเวลาการเดินทางไปกลับโตเกียวไว้ด้วยนะครับ
เสน่ห์ของใบไม้แดงที่นิกโกะ ผมขอยกให้ทะเลสาบชูเซนจิความงดงามของสีฟ้าของน้ำตัดกับใบไม้แดงสร้างความประทับใจให้กับพวกเรามาก
บริเวณโดยรอบทะเลสาบเองก็สวยงามจนแทบหยุดรถกันทุกๆสิบนาที ก็ว่าได้ อันนี้ละคือเสน่ห์ของการขับรถเที่ยวจริงๆ
ใบไม้แดงโดยรอบถือว่าพีคถึงพีคมากที่สุดในช่วงที่เราไปถึงแม้จะแค่ที่จอดรถริมทะเลสาบยังสวยเลย..
สายๆเรามีเวลาออกมาทานข้าวเช้ากันที่ทะลสาบแห่งนี้ ร้านอาหารก็น่านั่งไปหมด เอาแค่วิวข้างร้านยังแบบนี้เลย เอากับเค้าสิ
มองจากร้านออกไปเห็นเรือที่พานักท่องเที่ยวชมรอบทะเลสาบ เสียดายเวลาเรามีน้อยจึงไม่ได้ขึ้นไปล่องเรือตามที่วางแผนไว้แต่แรก แต่แค่ที่เห็นมันก็สร้างความสุขล้นเอ่อ ออกมาจากใจผมได้แล้ว
ยิ่งตกบ่ายไปจนถึงเย็นบรรยากาศยามร้างราผู้คน กลับเป็นใจให้บรรยากาศยิ่งสวยงามขึ้นไปอีก
ผมใช้เวลาเสพบรรยากาศใบไม้แดงเต็มที่กับครอบครัว มากที่สุดก็ที่นี่เลย
แค่วิวข้างทาง… แต่มันกลับมานั่งอยู่ในใจเรา
ความสุขไม่เลือกช่วงเวลาจะเช้าสาย หรือบ่ายค่ำ…
ความรักก็เช่นกัน..
ไม่เลือกกระทั่งเวลาที่เจ็บปวด หรือ เสียใจ…
ขอแค่มีคนที่รักและห่วงใย…
เท่านี้ก็เพียงพอ
เราอาจจะขับรถมาไม่ถึง 200 กิโลเมตรจากโตเกียว หรือจะบินห่างจากบ้านไกลกว่า 4,300 กิโลเมตรเพื่อมาที่นี่..
จะที่ไหนก็สร้างได้.. แค่อยู่พร้อมหน้ากันเท่านั้น
การขับรถเที่ยวนิกโกะเที่ยวนี้ ได้สร้างร่องรอยประทับในใจให้ทุกคนในทริปไปแล้วเรียบร้อย จนอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเมื่อไหร่ทริปหน้ามาถึง
ผมสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า จะมาให้ครบทั้งสามองค์ฯเลยทีเดียว
สำหรับที่พักผมรีวิวไว้แล้วนะครับจาก link ด้านบน หากสนใจก็ไปดูรายละเอียดต่อ เชิญทางนี้เลย ====> annex turtle one22
2.Aomori (ช่วงชมใบไม้แดง กลางเดือนตุลาคมไปจนถึงปลายเดือนเท่านั้น )
ฤดูที่เหมาะสมท่องเที่ยว:ไปได้ทุกฤดูเน้นๆก็ต้องฤดูหนาวและฤดูใบไม้ร่วง
จังหวัดในตำแหน่งบนสุดของภูมิภาคนี้ การเดินทางมาเที่ยวที่สะดวกสุดหากคุณมาจากโตเกียวคือ การนั่งรถไฟสายโทโฮคุชินคันเซ็น หรือโจเอสึชินคันเซ็น จากสถานีรถไฟโตเกียวสเตชั่นได้ ซึ่งมันก็สะดวกทุกอย่างจะนั่งเล่นเกมส์ ดูหนังฟังเพลงหรือจะอาศัยหลับยาวพักกันไม่ถึง 3 ชั่วโมง หรือหากเลือกบินมาด้วยสายการบินในประเทศก็ไม่ถึง 2 ชั่วโมง ก็มาเดินชิวๆรับลมหนาวในช่วงฤดูใบไม้ร่วงกันได้แล้ว
ที่นี่ถือเป็นจุดสตาร์ทของทริปใบไม้แดงโทโฮคุอย่างแท้จริงก็ว่าได้ เพราะผมนั่งมาเริ่มต้นทริปเมืองนี้และรับรถกันที่นี่ก่อนจะค่อยๆดิ่งลงใต้ไปเรื่อยจนไปจบที่เซ็นไดและคืนรถกันที่นั้น
เมืองนี้มีที่สำคัญควรค่าแก่การมาเยือนเพื่อชมธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ในฤดูใบไม้แดงอยู่เยอะมากมาไล่กันดีกว่า
2.1 ทะเลสาบโทวาดะ ( Towada Lake) ทะเลสาบน้ำจืดที่เค้าว่ากันว่าใสที่สุด ลึกที่สุดจนครองแชมป์อันดับ 3 ในระดับประเทศ และกินอาณาบริเวณกันถึงสองจังหวัดคือจังหวัดอาโอโมริและจังหวัดอาคิตะ ในแต่ละฤดูกาลสีน้ำทะเลสาบยังสามารถเปลี่ยนสีสันที่แตกต่างกันได้ เอาว่าจะมาเที่ยวที่นี่มาได้ทุกฤดูให้อารมณ์ที่ต่างกันไป คือมันดีงามมากสำหรับการมานั่งเรือรอบทะเลสาบปล่อยใจปล่อยกายไปตามสายลมแสงแดด
ตอนเราไปถึงมีเวลาขับรถเข้าไปชมกันสั้นถึงสั้นมากแต่ก็ยังติดใจมาถึงตอนที่กำลังเขียนรีวิวนี้ แค่คิดยังฟินจนอยากกลับไปอีกเลย
จุดที่เราแวะชมเป็นเพียงหนึ่งส่วนสิบของทะเลสาบนี้เท่านั้น ด้วยอากาศที่หนาวระดับ 7-8 องศาพวกเราจึงแวะพักกันที่ร้านกาแฟน่ารักแห่งนี้ และที่ทำเอาติดใจนอกจากบรรยากาศชวนฝันกลางวันแล้ว ยังทำขนมพายอร่อยมากก ไม่พอๆถ้าสั่งช็อกโกแลตร้อนมาทานพร้อมกับพายสับปะรดแล้วละก็ จะยกระดับความฟินไปเต็มร้อยกันทีเดียวขอชมจากใจ
แต่..อย่าถามว่าร้านชื่ออะไรเอาว่าแปะภาพให้ดูกันเอานะ หากเห็นร้านนี้คุ้นๆจากที่นี่แวะได้เลยจ้า อยู่ในรอบทะเลสาบนี้ละครับ
เลยขึ้นไปจุดชมใบไม้แดงยังมีเทือกเขาฮาจิมันไต อีกนับสิบลูกที่จะแดงกันจนเลือกชมไม่ถูกกันเลยเศร้าสุดตรงไม่ได้ขึ้นไปชมนะครับใครไปชมแล้วมาบอกกันให้ผมเสียดายๆๆๆ กันด้วยนะ ปีหน้าจะหาเรื่อง เอ้ย หาทางกลับไปใหม่ครับ
2.2 ธารน้ำตกโออิราเสะ (Oirase Stream ) สายน้ำลำธารอันเป็นเหมือนพี่น้องกับ ทะเลสาบโทวาดะก็ว่าได้ เพราะลำธารนี้แยกไหลมาจากทะเลสาบ หากจะให้คะแนนเต็มสิบกับจุดชมใบไม้แดงที่ใดมากที่สุดขอยกให้กับที่นี่เลยครับ เพราะที่นี่สร้างความประหลาดใจให้อย่างมาก วัดกันตั้งแต่ประเภทของต้นไม้เปลี่ยนสีแล้วคงไม่มีที่ไหนจะกินที่นี่ลงได้เลย ทั้ง ใบเมเปิ้ลป่า ต้นบีช ต้นสนสามใบ ต้นแป๊ะก๋วย และอีกสารพัดต้นที่มันจะเปล่งสีเหลือสลับแดงกันไปทั้งบาง ทั้งพุ่มเล็กพุ่มใหญ่ เตี้ยสูงขนาดไหน ที่นี่จัดให้ไม่มีที่ไหนเหมือนอีกแล้ว
ยังไม่พอหากเส้นทางกว่า 5 กิโลเมตรยังไม่ดึงดูดใจให้ลองแวะจอดรถเดินเข้าไปข้างทางกันเลย จะเจอน้ำตกที่มันเห็นกันได้ง่ายสุดๆ ง่ายจนไม่น่าเชื่อ แถมยังมีหลายจุดด้วย
วิวน้ำตกที่มีแดดรำไรปล่อยลำแสงละเลียด ต้นไม้ใบหญ้าในยามเช้าราว 10 โมงมันให้ความรู้สึกเกินบรรยาย ยิ่งมีใบสีเหลืองสดใสเป็นแบ็กกราวน์ข้างหลังด้วย…โอ้ยยย มือนี่ระรัวยิงภาพไม่ยั้งสิครับ รออะไร
ถือว่าเป็นที่ใช้เวลากับการเดินทอดน่องเก็บภาพนานที่สุดในทริปก็ว่าได้นะครับ ใครรักต้นไม้ใบหญ้า สายน้ำลำธาร ขอให้เผื่อเวลาให้ที่นี่ไว้เลยนะ และจะให้ดีมาเช้าๆคนจะได้ไม่แย่งถ่ายรูปครับ เพราะจุดถ่ายรูปมีแค่จุดสองจุดเท่านั้นหากคุณมาเจอนักท่องเที่ยวจำนวนมากจะเสียเวลารอนานนะเออ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน
2.3 สวนฮิโรซากิพาร์ค (Hirosaki Park) สวนขนาดใหญ่ที่มีปราสาทฮิโรซากิตั้งอยู่ภายใน
จังหวัดนี้จังหวัดเดียวให้ความคุ้มค่าเกินคาด เพราะเมืองฮิโรซากิ แห่งนี้เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ และหากมาถูกช่วงเวลาอย่างเราแล้วละก็ที่นี่เป็นคำตอบกันเลย
อ่อด้วยความฟิตระดับสิบ ทำให้ผมเลือกจะปั่นจักรยานจาก เรียวกังที่พักอยู่ซึ่งห่างออกไปไม่ถึง 500 เมตรมา เลยมีมุมเกร่ๆแบบนี้เลย แอ๊คท่าวางจักรยานตัดกับภาพสวนสวยๆได้อย่างนี้ ใครไปโปรดทำตามแล้วจะรู้สึกดูดีมีสุขภาพ ขึ้นมาทันทีเชื่อเหอะ
จุดแรกที่ทำให้ฝันผมเป็นจริงเอาแค่ปากทางก็เลิฟจะแย่แล้วครับ ฝันเล็กของผมคือการได้นั่งชมใบไม้แดงไปพร้อมกันการหม่ำข้าวเบนโตะญี่ปุ่น บัดนี้สมหวังแล้ว
เดินไปทุก5เก้าก็ต้องหยุดถ่ายรูปที เดินหันซ้ายก็มีมุมถ่าย หันขวาก็อดกดภาพไม่ได้ โอ้ยๆ มันจะงดงามไรปานนี้
ผมเดินชมไปเรื่อยๆจนมาถึงตัวปราสาท เป็นที่น่าเสียดายที่ปราสาทเองปิดซ่อมแซมไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นไปชมวิวจากด้านบนได้ เอาวิวประมาณนี้ไปดูกันก่อนนะครับ
สวนแห่งนี้สวยงามราวกับเดินอยู่ในสวนอีเดนก็ไม่ปานทำ ไมถึงเทียบกับสวนสวรรค์ในตำนานสร้างโลกก็เพราะมีผลไม้ที่ขึ้นชื่อที่สุดเหมือนกันที่ทำให้อดัมกับอีพต้องตกสวรรค์ นั้นคือ”แอบเปิ้ล” ที่ส่งออกไปขายทั่วประเทศ สร้างชื่อเสียงให้เมืองๆนี้เป็นที่รู้จัก และไม่ไก่กาเลย ทั้งขนาดและรสชาติความหวานช่ำจนต้องซื้อติดไม้ติดมือ
ดูขนาดกันได้ผมเอามาเทียบกับมือตัวเองให้ดูกันแล้วครับ
เช่นเคย สำหรับที่พักผมรีวิวไว้แล้วนะครับ scrollไปกด link ด้านบน หากสนใจก็ไปดูรายละเอียดต่อ เชิญทางนี้เลย ====> https://goo.gl/4VrGfm
3.AKITA (ช่วงเวลาที่เหมาะสม ปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน)
หนึ่งเดียวที่ทำให้ต้องใส่จังหวัดนี้เข้ามาในแผนการเดินทางแบบรัวๆ ต้องบากบั่นขึ้นเขาลงห้วยเพื่อมายังเมืองออนเซ็นที่ขึ้นชื่อที่สุดแห่งจังหวัด ไม่สิของภูมิภาคนี้ก็ว่าได้นั้นคือหมู่บ้าน “นิวโตะออนเซ็น” (Nyoto onsen) หมู่บ้านบ้าอะไรไม่รู้ที่คนทั่วฟ้ามัวดินแย่งกันมาจับจองที่พักจนคณะกระเหรี่ยงไทยจากแดนไกลไม่สามารถจะแทรกตัวหาที่หลับที่นอนในหมู่บ้านนี้ได้เลย ในระดับว่ากันที่ล่วงหน้าเกินสามเดือนทีเดียว
หมู่บ้านนี้มีอะไรดีจนคนเค้าถึงมากัน ที่นี่เป็นแหล่งแช่นำพุร้อนที่ชึ้นชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในระดับประเทศอายุอานามระดับเกิน 300ปี โดยเฉพาะที่ “ทซึโนยุ ออนเซ็น” อันเป็นเรียวกังที่อายุเก่าแก่ที่สุดใน 8 เรียวกังในหมู่บ้านนี้ และยังคงอนุรักษ์ ทั้งวัฒนธรรมการแช่น้ำร้อน การคงสภาพที่พักและหมั่นคอยปรับปรุงรักษาดูแลให้ดูดี นอนดีสม่ำเสมอ จนใครไปครั้งนึงแล้วก็อยากกลับไปอีก
ไหนๆเราไม่ได้พักเลยหาที่นอนที่มันใกล้สุดซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวังจากการไม่ได้พักในเมืองน้ำพุร้อน ใครอยากทราบรายละเอียดจริงๆแวะไปที่รีวิวที่พักกันได้เลยครับ
สัมผัสแรกก็แทบตกหลุมรักทันที (ใจง่ายเนอะ ฮ่า ฮ่า) แค่ถนนหนทางที่พาไปยังแหล่งออนเซ็นกับต้นไม้สีส้มแดงมันเหมือนเราขับรถอยู่ที่เหนือจินตนาการก็ว่าได้
เป็นอีกที่ๆแวะจอดแวะถ่าย(รูป)กันอยู่นั้นละครับ ไม่ถึงกันง่ายๆเลย ครั้นพอถึงที่เหมือนโดนแกล้งเพราะเจอฝนและมันคือฝนเดียวตลอดทริปนี้ดันมาตกในวันสำคัญที่มาที่นี่
แม้ฟ้าฝนจะไม่เป็นใจแต่ของสวยยังไงก็ยังสวยอยู่วันยังค่ำ
การได้แช่น้ำแร่สีเขียวเทอควอย์ท่ามกลางบรรยากาศใบไม้แดงสร้างความสุขสมให้ความเหนื่อยยากในการขับรถมาไกลของเราหายเป็นปลิดทิ้ง
และอีกเรียวกังที่ทำให้เราประทับใจจนอยากกลับไปนั้นคือ “คุโระยุ ออนเซ็น” เรียวกังที่อยู่ลึกเข้าไปในหุบเขาดูเหมือนจะไปยากสุด ไกลสุดแต่เชื่อไหมที่นี่เป็นอีกทีๆคนไทยไปเยอะที่สุด
เชื่อแล้วใช่ไหมว่าคนไทยหากลองรักชอบสิ่งไหนไม่มีทางจะหยุดหรือยอมให้ตัวเองพลาดจะไปเห็นด้วยตาตัวเอง ไม่เว้นกระทั่งพวกเราเองก็ใช่เลย
ความสวยงามนอกจากการชมใบไม้แดงแล้วผมว่าเสน่ห์สำคัญมันอยู่ตรงวิวครับ วิวบ่อน้ำพุร้อนตามธรรมชาติ และที่พักแบบโบราณดูแล้วมันสวยจนเกินบรรยายทีเดียว
ที่แช่น้ำพุร้อนเองก็สวยงามมาก แถมมีหลายบ่อมาก บางบ่อนี้แช่จนตัวเปื่อยก็ยังไม่อยากลุกออกมาจากบ่อเลยให้ตายสิ ไม่เชื่อก็ดูวิวกันเองเลยดีกว่าครับ
ที่พักเค้าก็สวยงามลองเข้าไปชมกันได้ที่รีวิวอีกเช่นเคยจ๊ะ
4.IWATE (ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือกลางเดือนตุลาคมจนถึงปลายเดือน)
ฤดูที่เหมาะสมท่องเที่ยว:ไปได้ทุกฤดูเน้นๆก็ต้องฤดูหนาว,ฤดูใบไม้ร่วง,ใบไม้ผลิมีแหล่งชมซากุระสวยงามห้ามพลาด
จังหวัดนี้มีของดีในฤดูใบไม้ร่วงเยอะไม่แพ้ อาโอโมริ เริ่มกันเลย
4.1 สวนสาธารณะ ปราสาทโมริโอกะ (สวนสาธารณะอิวาเตะ)
สวนสวยแห่งนี้ก่อนจะไปผมจินตนาการไว้เยอะว่าจะได้เจอปราสาทเช่นเดียวกับที่ฮิโรซากิ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะการหาข้อมูลมาน้อยจนไม่รู้ว่าปราสาทแห่งนี้โดนไฟเผาไปตั้งแต่ปี 1874 ตั้งแต่สมัยโชกุนนู้นเลยครับ
แต่เมื่อเป้าหมายเราคือใบไม้แดงแล้วมันจะผิดหวังได้อย่างไร เพราะเป็นอีกครั้งที่ได้สมหวังกับใบไม้เปลี่ยนสีสวยอีกที่ๆมีสะพายไม้สีแดงอันเป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นที่เห็นได้โดยง่ายทั้งประเทศ
แค่เดินเข้ามาเพียง 10 ก้าวผมก็ทึ่งในวิวต้นไม้สีเหลืองสีทอง สารพัดสีที่ผลัดใบปลิวไสวไปทั่วทั้งสวน ขนาดนี้ ผมมาถึงเย็นจนแสงหมดแล้วแต่ด้วยความงดงามของสวนแห่งนี้ทำเอาผมอยู่เก็บภาพจนค่ำมืดทำให้ได้เห็นความงามในยามค่ำของเมืองไปพร้อมกัน ไม่อยากให้พลาดกับสวนสาธารณะกลางเมืองแห่งนี้เลยจริงๆครับ
อ่อ ด้านข้างของสวนสาธารณะแห่งนี้ยังมีศาลเจ้าให้แวะไปกราบสัการะกันได้นะครับ สวยงามทีเดียวละ
4.2 ล่องเรือชมความงามหุบเขาเกบิเก (Geibikei) ที่สุดแห่งนึงของสายน้ำในทริปนี้ผมคงยกให้ที่นี่เช่นเดียวกันกับที่สุดของแหล่งชมต้นไม้ใบไม้คือ ลำธารโออิราเสะ
ที่นี่เป็นที่ๆควรแวะมาล่องเรืออย่างยิ่ง ความพิเศษที่ทำให้ที่นี่เป็นสุดของสายน้ำจะเป็นตรงไหนไปไม่ได้เลยถ้าไม่ใช่ความใสดุจกระจก และยังปลาคราฟอีกที่หากคุณทราบกันดีว่าปลาชนิดนี้หากน้ำไม่สะอาดแล้วปลามันจะอยู่ไม่ได้เลย นี่นอกจากจะอยู่ได้แล้วยังอยู่ดี ตัวใหญ่โตจนผมนึกถึงปลาคราฟที่เราเห็นกันคุ้นตาที่สวนจตุจักรว่าใหญ่แล้วยังเล็กไปถนัดเลย
ความสวยงามของการชมใบไม้สลับกับสายน้ำสร้างความเพลินตาเพลินใจอย่างที่สุด ไหนจะเป็ดอีกล่ะ คนแจวร้องเพลงขับกล่อมให้ผู้โดยสารได้ฟัง อารมณ์ประมาณขับเสภาแบบไทยๆนั้นละครับ เอาจริงรวมๆกันแล้วก็สร้างความเพลิดเพลินได้ดีทีเดียว
และสุดท้ายปลายทาง เรายังมีกิจกรรมสร้างความสนุกสนาน โดยการปาหินเสี่ยงดวงใส่รูที่ช่องผาให้เข้าอีกด้วยหากปาได้คำอธิฐานก็จะเป็นจริงส่วนตัวคิดว่าเป็นกุศโลบายที่ดีเป็นกิจกรรมสนุกสนานให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมวงด้วย
แปลกๆทั้งนั้นเลยใครมาที่เมืองนี้ไม่แวะมานี่เหมือนมาไม่ถึงกันเลยนะครับขอบอกเลย
อ่อคู่มือการชมทีนี่ดีงามภาษาไทยนะน่าภูมิใจที่คนไทยเป็นคนสำคัญของที่นี่เช่นกัน
4.3แก่งหินเก็นบิเก (Genbikei) อยากบอกว่าเป็นอีกที่ๆบังเอิญที่สุดของทริปนี้ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ที่ไปร่วมทริปด้วยกันเห็นพอดีระหว่างทางขับรถเพื่อไปยังจุดล่องเรือของข้อก่อนหน้านี้
เอาว่าวิวที่หลังจากจอดรถลงไปเห็นนี้มันวิวข้างทางบ้านๆของเค้าชาวบ้านย่านนี้เค้าใช่ไหมเนี่ย อิจฉาสุดๆกันเลยทีเดียว แม้ที่นี่จะเป็นเพียงเกาะแก่งหินในลำธารแต่วิวบ้านๆระดับนี้มันไม่ได้หาได้ง่ายเลยนะหลังจากเหยียบเบรคแทบไม่ทัน แล้วรีบคว้ากล้องแล้วลงไปเห็นวิวตรงหน้า ที่นี่ให้ความฟินระดับสิบเช่นเดียวกันกับทุกที่จริงๆครับ
แม้จะดูเป็นเพียงแก่งหินธรรมดาแต่หลังจากเดินข้ามสะพานไปยืนชมใบไม้แดงสลับกับน้ำสีเทอควอย์ (อีกแล้วบ้านนี้เมืองนี้มีน้ำสีนี้สีเดียวใช่ไหมคร้าบบ) ก็สร้างความประทับใจกันได้ง่ายๆเหมือนกับที่เราเห็นวิวแบบนี้ได้ริมข้างทางเช่นกัน
5.MIYAGI (ช่วงเวลาที่เหมาะสม กลางเดือนตุลาคมไปจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน)
ฤดูที่เหมาะสมท่องเที่ยว:ฤดูใบไม้ผลิเพื่อชมซากุระและฤดูใบไม้ร่วงเพื่อชมใบไม้แดง
มาถึงจังหวัดสุดท้ายของการขับรถเที่ยวภูมิภาคนี้แล้ว ในช่วงท้ายๆของทริปพวกเรามุ่งมายังเมืองนี้และเพื่อเป้าหมายสำคัญที่สุดแห่งเดียวของจังหวัดก็คือ “หุบเขานารุโกะจอร์จ” หนึ่งเดียวสุดท้ายก่อนปิดทริป คือการมาชมภาพหุบเขานารุโกะกับอุโมงค์รถไฟอันเลื่องลือไกลจนเราต้องมาชมให้เห็นกับตา
เอาจริงนะก่อนจะมาที่นี่ ผมดูภาพจากสถานีรถไฟแทบทุกสถานีในทุกเมืองที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่ใช้ภาพนี้เป็นโปสเตอร์โปรโมทใบไม้แดงของภูมิภาคนี้แทบทั้งนั้น ถึงขนาดตามสถานีรถไฟใต้ดินในโตเกียวยังมี เอาสิ! ไม่ให้อยากมาก็แปลกแล้วละ และเมื่อมายืนให้เห็นเองตรงหน้ากับภาพหุบเขาสูงชันที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้สีส้ม สีแดงสลับกันไปมาแบบที่เห็นตรงหน้าแล้วย่ิงทำให้ธรรมชาติที่มันผสมผสานกับสิ่งปลูกสร้างตรงหน้ามันยิ่งใหญ่กว่าที่คาดไว้เยอะมาก
จนกระทั่งวินาทีนั้นมาถึงกับภาพรถไฟที่ค่อยๆเคลื่อนตัวโผ่ลออกมาจากหุบเขาตรงหน้า เสียงรัวของชัตเตอร์จากกล้องน้อยใหญ่ที่รายล้อมอยู่รอบตัว ยิ่งเป็นเสียงที่กระตุ้นให้หัวใจผมระรัวไปตามเสียงปุ่มกดชัตเตอร์ ในมือของตัวเองเช่นกัน
จนกระทั่งรถไฟที่ค่อยๆเคลื่อนตัวช้าแบบอ้อยอิ่งค่อยๆผ่านเข้าอุโมงค์ของสถานี Naruko Rest House ลับตาไป ผมจึงเดินมาที่สถานีเพื่อเก็บภาพสำคัญสุดท้ายนั้นก็คือสะพานที่พึ่งยืนเก็บภาพไปนั้นเอง ภาพสะพาน Ofukazawa ตัดกับหุบเขาใบไม้แดงมันสวยทะลุโปสเตอร์ทุกแผ่นที่เคยเห็นมาจนสิ้น
การชมภาพความงดงามตรงหน้าทำให้ที่นี่จึงเหมือนเป็นจิ๊กซอตัวสุดท้ายที่ผมเฝ้าค้นหามาตลอดทางกว่า 1,800 กิโลเมตร 13 วัน 5 จังหวัดเหมือนภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ผม
วินาทีที่เดินจากสถานีรถไฟกลับมาขึ้นรถและรถค่อยเคลื่อนตัวออกไปยัง ผมคอยเหลือบตามองกระจกและวิวมันก็ค่อยๆถอยเคลื่อนจากมา ทั้งใจหาย ทั้งคิดถึง…
คิดถึงวันเวลาที่ผ่านมา
ทั้งบทสนทนาที่พรรณนาถึงความสวยงามข้างทาง เสียงหัวเราะ รวมถึงเมื่อเวลาที่หลงทิศหลงทางกันจนต้องวนหากันหลายรอบ เส้นทางขับรถเที่ยวในสารทฤดูกำลังจบลงแล้ว…
มาถึงบรรทัดสุดท้ายของผมแล้วขอเก็บความทรงจำดีๆนี้ไว้ในใจ และภาพถ่ายทุกใบจะแทนประสบการณ์สีแดงที่สวยงามเอาไว้ จนกว่าจะพบกันใหม่ในทริปหน้าเราจะพบกันสักที่ในโลกสีฟ้าแห่งนี้ครับ
สวัสดีครับ
1 Comments
Pingback: 6 เรียวกัง ห้ามพลาด! จากTohoku ถึง Nikko