ถ้าคุณมีเวลาแค่ 4 วัน แล้วบอกให้ไปต่างประเทศ เราจะไปไหนกันได้บ้างหลายคนจะมี สิงคโปร์ ฮ่องกง ลาว พม่า และอีกมาก หนนี้ผมจะพาเที่ยวยังประเทศที่ไปบ่อยที่สุดประเทศนึงของบ้านนี้ กับ ทริป ” 4 วัน 3 คืน ซันดากัน มาเลเซีย พาลูกเที่ยวเมืองแปลกแห่งเกาะบอร์เนียว ” มาเที่ยวหนึ่งในเมืองแปลกที่สุดที่ผมเคยไปมา ที่สำคัญไม่ได้ไปคนเดียวแต่เอาทั้งครอบครัวไปด้วยกันหมด ตามผมมาเปิดเมืองแปลกไปด้วยกันครับ
มาทำความรู้จัก Sandakan (อ่านเองว่า ซันดากันหรือ ซานดากัน ครับ) เมืองที่หลายคนหากเอ่ยชื่อคงต้องร้อง หือมมม มันคือที่ไหนเหรอ มานั่งค้นหาข้อมูลในเน็ตหาภาษาไทยไม่เจอครับ คนไทยไปที่นี่แบบน้อยถึงน้อยมาก ระดับว่าทริปนี้ผมไปน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวไทยกลุ่มเดียวเท่านั้นที่ไป !!!
เมืองซันดากันเป็นเป็นเมืองท่าทางทะเลที่สำคัญของเกาะบอร์เนียวในพื้นที่ฝั่งของประเทศมาเลเซีย(เกาะนี้แบ่งกันด้วยหลักภูมิศาสตร์ระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย) เกาะที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เป็นเมืองหน้าด่านสำคัญของการท่องเที่ยวในแบบเชิงนิเวศน์วิทยา เพราะเต็มไปด้วยป่าไม้พันธ์ดึกดำบรรพและยังเป็นแหล่งพบสัตว์ที่หายากและใกล้จะสูญพันธ์ที่สุดหลายสายพันธ์ของโลก เช่นแหล่งดูนกเงือก ลิงอุรังอุตังและยังรวมสัตว์ที่สุดในโลกไว้หลายสายพันธ์ุ ทั้งหมีหมาพันธ์เล็กที่สุดในโลก มีช้างแคระบอร์เนียว และมีลิงจมูกยาว ที่มีแค่ที่เกาะนี้เกาะเดียวเท่านั้นในโลกนี้ เห็นไหมครับแค่นี้ก็น่าสนใจแล้ว เอาว่าจากนี้ไปรู้จักซันดากันพร้อมๆกันเลยดีกว่าครับ
เดินทางยังไง
จากเมืองไทยเราสามารถไปได้จากสองสายการบินคือ Airasia และ มาเลเซียแอร์ไลน์ ไปลงกัวลาลัมเปอร์ และต่อเครื่องจากที่นั้นไปลงที่เมืองซาดากันบนเกาะบอร์เนียวอีกที ใช้เวลาบินจากกัวลาลัมเปอร์มา 2 ชั่วโมงเศษ (ขึ้นอยู่กับสายการบิน) เราทั้งสามคนเลือกบินกับ ThaiAirAsia ใช้เวลารวมทั้งหมดจากไทยไปราวๆ5 ชั่วโมงก็มาถึงครับหรือถ้าจะลงที่สนามบินโกตาคินาบาลูห์ แล้วเดินทางมาด้วยรถตู้ก็ใช้เวลากว่า 7 ชม. ซึ่งไม่แนะนำเลยครับมันนานไปไม่หนุกแน่ๆ
เด็กน้อยตื่นเช้ามาก ก็มาหลับต่อกันบนเครื่องยาวไปครับ
ติดเกาะกัน
จากสนามบินรถจากโรงแรมที่เราพักมารอแล้วจากการติดต่อของการท่องเที่ยวมาเลเซียที่สนับสนุนการเดินทางครั้งนี้ประสานงานให้ ไม่นานเราก็มาถึง ที่พักตลอดทริปนี้ “Four Points by Sheraton Sandakan” โรงแรมตั้งอยู่ในมุมที่ดีงามมากครับ อยู่ตรงแหลมติดกับท่าเรือและยังมีตลาดปลาของเมืองใกล้ระดับเดินถึงกันแค่ไม่กี่ก้าว
ตัวห้องพักก็ได้มาตรฐานของ Sheraton ครับห้องสวยและที่ดีมากๆได้ชมวิวท่าเรือจากมุมสูงแบบนี้ด้วยครับ สวยมาก
วันแรกเราหมดเวลาลงกับการเดินทางแล้วครับ อ่อผมโชคดีมากที่ทาง Gm ของโรงแรมนี้เป็นคนไทยครับ ทำให้ได้รับการต้อนรับเป็นภาษาไทยซึ่งเชื่อไหมตั้งแต่ไปพักโรงแรมมาหลายที่แม้แต่ในไทย ยังไม่เคยได้รับการ์ดภาษาไทยต้อนรับแบบเขียนจากมือให้เลยซักครั้ง ถือเป็นความประทับใจที่อยากบันทึกไว้ตรงนี้ครับ
มีความน่ารักอีกอย่างคือเสริพเป็นขนมต้อนรับในห้องแบบนี้ อร่อยมากครับ
คืนนั้นเข้านอนกันเร็วหน่อยเพราะวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันที่เราเริ่มการผจญภัยอย่างแท้จริง
เช้าวันแรกแห่งการผจญภัยของเรามาถึงหลังจากจัดการมื้อเช้าจากโรงแรมแล้ว รถก็พาเราขับเคลื่อนไปยังที่แรกคือที่ หมู่บ้านริมทะเล “Kampung Buli Sim Sim ” หมู่บ้านโบราณที่ถือเป็นที่ตั้งถิ่นฐานที่แรกของคนเมืองนี้ เป็นหมู่บ้านกลางน้ำที่เชื่อมต่อกันด้วยสะพานไม้ ยาวออกไปในทะเล บ้านแต่ละหลังจะอยู่บนเสาสูงและใต้บ้านจะมีเรือจอดกันทุกบ้าน ผมมีโอกาสเดินแค่แป๊บเดียวเพราะไกด์ของเราเค้าบอกว่าตรงที่เราเดินไม่มีอะไรนักหากมีเวลาจะพากลับมาอีกรอบครับ ผมเลยเก็บภาพบ้านกลางน้ำรอบๆ ดูๆไปแถวนี้คล้ายกับทางใต้บ้านเรา เห็นแล้วนึกถึงหมู่บ้านปันหยีครับอารมณ์ใกล้เคียงกัน
หลังขึ้นรถมา ปัน เจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเราดูจะคึกคักกว่าเพื่อน เพราะก่อนมาบอกว่าจะพามาเที่ยวทะเล และคนนี้พอได้ยินว่าทะเลจะโปรดปรานเหลือกัน
นั่งรถกันอีกพักใหญ่ก็มาถึงโบสถ์เก่าแก่ที่สุดของเกาะนี้ โบสถ์ “The Parish of St Michael” โบสถ์ที่เก่าแก่งที่สุดของเมือง เป็นอาคารที่ยังรอดพ้นจากการที่ญี่ปุ่นเข้ามาครอบครองจากยุคสงครามโลกครั้งที่สอง มาจนถึงวันนี้ได้ เป็นโบสถ์ในนิกายโรมันคาทอลิก และได้ชื่อว่ามีศิลปะบนกระจกที่งดงามที่สุดของเมือง
ผมเข้าไปเดินชมด้านในโชคดีมากครับเรามาวันที่เค้ากำลังตกแต่งเพื่อจัดงานแต่งงานพอดี และเค้าก็ใจดีที่จะให้เข้าชมได้ ตัวกระจกสีก็สวยงามดี
ตกแต่งไว้รอบโบสถ์ ถือเป็นโบสถ์เก่าแก่ถ้าคนที่ชอบดูสถาปัตยกรรม แวะมาไม่เสียเที่ยวแน่นอนครับ เวลาในการเข้าชมนะครับตามภาพเลย
ไปกันต่อที่ วัด “Puu Jih Shih Buddhist Temple” วัดพุทธจีนที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูง ซึ่งก็อยู่ในมุมที่ดีมาก เห็นวิวรอบอ่าวได้เลย
มองจากวัดมาเห็นชายฝั่งและบ้านเรือนริมทะเล วิวดีมากครับ
เสียดายแค่ด้านในปิดปรับปรุงอยู่ตอนเราไปเลยไม่ได้เข้าไปด้านในของตัววัด
ตรงด้านหน้ามีรูปปั้นพุทธรูปเรียงรายกันตลอดสองฝั่งดูแล้วก็ให้ความรู้สึกขลังดีมากๆครับ
กองทัพเดินด้วยท้อง เรามาทานข้าวกันที่ร้านอาหารสไตล์อังกฤษแบบดั้งเดิม “English Tea House & Restaurant” น่ารักมาก เดินเข้ามาด้านในร่มรื่น การจัดอาหารก็ดี ผสมความเป็น english style เข้ากับบ้านโบราณแบบชนบทของท้องถิ่น
พาเหรดอาหารก็เสริฟแบบเซ็ทนะครับ คือมีตั้งแต่ออเดริฟไปจนถึงเมนคอร์ส แบบอังกฤษนั้นเลย ซึ่งขอไม่เจาะจง ขอพูดแบบรวมๆว่าอร่อยดี แบบเราไปทานในต่างประเทศและอาหารแบบนี้ที่ไหนๆก็รสชาติคล้ายๆกัน ไมไ่ด้ติดใจอะไรพิเศษ นเพราะมันเป็นมาตรฐานสากลครับ แต่ที่ดีคือเด็กๆไปนั่งทานๆได้แน่นอน เพราะเด็กน้อยของเราก็ทานได้
ตบท้ายจะขาดชาก็ไม่ได้จริงไหมครับ
แถมทานเสร็จทำ แพลงกิ้งอีกต่างหาก ฮ่า ฮ่า
ข้อดีของร้านนี้คือในใกล้ๆกันเป็น พิพิธภันฑ์ที่โด่งดังที่สุดคือ “Agnes Keith House” เป็นบ้านของนักประพันธ์ชาวอเมริกัน ผู้ประพันธ์หนังสือชื่อ Land Below the Wind จากประสบการณ์จริงที่ได้มาใช้ชีวิตบนเกาะบอร์เนียวกับสามี Harry Keith ผู้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลป่าไม้ในช่วงก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ครั้นได้รับการปล่อยตัวจากค่ายกันกันญี่ปุ่นหลังสงครามสงบแล้ว พวกเขาก็กลับมาซ่อมแซมสร้างบ้านบนเขาอีกครั้ง ในปัจจุบันบ้านหลังนี้พร้อมเฟอร์นิเจอร์ยุคเก่า ของย้อนความทรงจำ และรูปภาพต่างๆในบ้านช่วยสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตในเมืองซันดากันในอดีตได้เป็นอย่างดี (ขอบคุณข้อมูลนี้จาก Gm ของ Four Point by Sheraton)
น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถถ่ายภาพด้านในมาให้ชมกันได้นะครับเพราะเค้าห้ามบันทึกภาพ
น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถถ่ายภาพด้านในมาให้ชมกันได้นะครับเพราะเค้าห้ามบันทึกภาพ
และยามบ่ายเรามาปิดทริปกันกับ พระเอก “ตัว” สำคัญของเกาะนี้ นั้นคือ “ลิงจมูกยาว” หรือชื่อเป็นทางการคือ “Proboscis Monkey” ที่ศูนย์อนุรักษ์ลิงจมูกยาวตั้งอยู่ท่ามกลางสวนปาล์ม ” Labuk Bay Proboscis Monkey Sanctuary ” ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 60 ริงกิต สำหรับเด็กจะลดครึ่งราคา 30 ริงกิต ตัวศูนย์ฯ เองไม่ได้เลี้ยงลิงเหล่านี้นะครับเป็นการปล่อยลิงไว้ตามธรรมชาติ การจะมาชมที่นี่ไม่ยากเย็น ที่นี่ตั้งอยู่ห่างจากซันดากัน 38 กิโลเมตร และสามารถเดินทางมาได้โดยรถยนต์ มีทัวร์ครึ่งวันขายจากในตัวเมืองหาซื้อได้จากบริษัททัวร์ได้เลยครับ
การถ่ายภาพลิงจมูกยาวได้ถือเป็นโชคดีมากๆครับ ช่างภาพบางคนก็ถึงขั้นขนอุปกรณ์เรือนแสนมาเพื่อถ่ายเจ้าพวกนี้ อย่างในภาพเลย เด่นมากเลย
มาทำความรู้จักลิงจมูกยาวกันสักนิดนะครับจะได้เข้าใจว่าทำไมเราถึงต้องมาดูเจ้าหนุมานพันธ์นี้ ตัวลิงจมูกยาว มีชื่อเรียกในภาษาถิ่นของชนพื้นเมืองว่า “ออรัง เบลันดา” (Orang Belanda) หมายถึง “ชาวดัตช์ เนื่องจากในอดีตมาเลเซียเคยถูกชาวดัตช์เข้ามาตั้งอาณานิคมที่นี่เลยทำให้ชาวบ้านเรียกลิงพันธ์นี้ตามเพราะมีจมูกที่ดูใหญ่โตคล้ายๆกันนั้นเอง
ตัวลิงจมูกยาว เป็นลิงที่จัดอยู่ในจำพวกค่าง มีรูปร่างอ้วนลงพุงและมี ขนเป็นสีน้ำตาลแดง มีลักษณะเด่นคือ มีจมูกที่ยาวเหมือนงวงช้างห้อยเลยมาจนปิดปากตัวเอง ซึ่งมีเฉพาะในตัวผู้ในวัยที่โตเต็มที่แล้ว ในขณะที่ตัวเมียและลิงตัวผู้วัยอ่อน จะไม่มีจมูกลักษณะดังกล่าวนี้ โดยจมูกของตัวผู้จะโตตามขนาดของร่างกาย อย่างที่เห็นในภาพจะเป็นลิงตัวผู้ที่ยังอายุไม่กี่ขวบเองครับ
การให้อาหารลิงจะง่ายๆคือโยนให้พวกมันในนั่งร้าน จำพวกถั่วหรือแตงกวา ตัวลิงพันธ์ุนี้จะมีความขี้เล่นและดูแล้วก็มีความคุ้นเคยกับคนระดับนึงทีเดียว ผมเองเคยเจอลิงพันธ์นี้มาครั้งนึงเมื่อคราวที่มาเยือน รัฐซาบาห์ครั้งแรก แต่หนนั้นเห็นจากระยะไกลๆถ่ายรูปได้ไม่ชัดเท่าครั้งนี้
หนนี้ถือว่ามาพร้อมโชคจริงๆครับ อย่างที่บอกลิงจมูกยาวหาชมได้แค่ที่นี่เท่านั้นแม้แต่บนเกาะเดียวกันแต่โซนอื่นๆก็ไม่สามารถชมได้เพราะนิสัยของพวกมันไม่ชอบเร่รอนย้ายแหล่งถิ่นฐานไปไกลหากมันรู้สึกว่าตรงนั้นปลอดภัยดีแล้ว
สำหรับผมแล้วการพาเด็กน้อยมาทริปนี้ความตั้งใจคือการมาเรียนรู้ธรรมชาตินอกจากในห้องเรียน นี้คือเป้าประสงค์อยู่แล้วครับ เพราะจะมีอะไรดีไปกว่าการได้รู้จักธรรมชาตินอกห้องเรียนแบบนี้ หลายอย่างในการเดินทางก็สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตเค้าจากวันนี้เลย
แม่เค้าเองก็สนุกที่จะได้ตอบคำถามมากมายจากหนูน้อยช่างสงสัยที่สนใจผมเองก็รู้สึกว่าการเดินทางได้ให้ บทเรียนชีวิตชั้นดีกับลูกไปด้วยเช่นกันครับ
จบวันที่สองด้วยความสนุกสนานและตื่นเต้นกับการเรียนรู้ทำความรู้จักเกาะนี้ ผมเหลือเวลาช่วงค่ำๆอีกนิดหน่อยเลยมาเดินเล่นตรงย่านท่าเรือที่พักของเรา ละแวกนี้ค่อนข้างเงียบเมื่อเลยเวลาประมาณสองทุ่มก็แทบจะไม่มีร้านใดๆเปิดแล้ว ค่อนข้างเป็นเมืองชนบทไม่ต่างจากบ้านเราเวลาไปต่างจังหวัดเหมือนกัน
ห้องเรียนนักถ่ายภาพตัวน้อย
วันที่สามแล้ว เป็นวันสุดท้ายของการเที่ยวแล้วครับ เพราะถัดไปอีกวันเราจะกลับกันแต่เช้าตรู่เลย เพราะต้องกลับไปตั้งต้นที่เมืองหลวงของมาเลเซียนั้นเอง เน้นเข้าป่าเป็นหลักจริงๆครับ ช่วงเช้าเราจะไปทำความรู้จักกับลิงอุรังอุตังกัน ที่ศูนย์ฟื้นฟูสภาพอุรังอุตังเซพิล็อค “sepilok sancutury” ที่นี่ถือเป็นศูนย์ฟื้นฟูและอนุรักษ์พันธ์ลิงอุรังอุตังที่แรกของโลก ตั้งขึ้นตั้งแต่ในปี 1964 โดยตั้งใจให้เป็นสถานที่พักฟื้นของอุรังอุตังกำพร้า หรือถูกรุกรานจากมนุษย์ เพราะการตัดไม้ทำลายป่าหรือถูกล่า ปัจจุบันพื้นที่ขนาด 26881.25 ไร่ ของป่าสงวน Kabili-Sepilok ปัจจุบัน เป็นที่อยู่อาศัยของอุรังอุตังไม่ต่ำกว่า 80 ตัว
มาถึงก็ต้องเก็บภาพกันหน่อยเด็กน้อยพร้อมมากๆกับการเข้าไปชม “sepilok sancutury” อ่อที่นี่เค้าไม่ให้เอากระเป๋าหรือเป้ขนาดใหญ่เข้าไปนะครับ ไม่ใช่อะไรเพราะว่าเค้ากลัวพวกลิงทั้งหลายอาจจะมาเกี่ยวกระเป๋าและนักท่องเที่ยวบางคนก็พกเอาอาหารที่ไม่เหมาะสมเข้าไปให้ลิงและสัตว์ทั้งหลายซึ่งก็จะส่งผลร้ายถึงชีวิตได้ทีเดียวเพราะสัตว์บางประเภทไม่สามารถย่อยสลายอาหารจากคืนเมืองอย่างๆเราได้นั้นเองครับ
วันนี้ผมตั้งใจว่าจะสอนให้เด็กน้อยลองถ่ายรูปดูไปด้วยกันหลังจากเป็นนายแบบมาตลอด แน่นอนหลายๆคนอาจจะไม่กล้าให้เด็กมาแตะต้องกล้องผู้ใหญ่ราคาแพงๆ ของแบบนี้ต้องมีตัวช่วยครับ ก่อนมาทริปนี้ผมลองสั่งซื้อสายคล้องแบบใหม่มา 2 เส้นแบบคล้องมือและคล้องคออย่างในภาพ(ตัวยี่ห้อเดี๋ยวไปเฉลยตอนท้ายแล้วกันเผื่ออยากได้กัน ) เดี๋ยวมาดูกันว่าผมจะสอนเด็กน้อยได้ไหม
ก่อนเข้าจะมีห้องฉายวีดีโอที่มาที่ไปของศูนย์นี้และทำไมถึงต้องจัดตั้งเพื่อการอนุรักษ์เป็นการทำความเข้าใจและปูพรมก่อนจะไปดูในป่าของจริง หลังจากนั้นก็เจ้าหน้าที่ของศูนย์ก็จะเดินพาเราเข้าไปดูตามจุดต่างๆ
เดินมาเรื่อยๆก็ถึงจุดแรก ที่นี่จะปล่อยให้ลิงอุรังอุตัง อยู่ตามธรรมชาติมีเจ้าหน้าเข้าไปบ้างแต่ก็ไม่มาก หลักๆให้เราดูกิจกรรมของพวกมันเล่นไปตามแต่ใจชอบ หลายๆครั้งพฤติกรรมซื่อๆของเจ้าพวกนี้ก็เรียกเสียงหัวเราะได้จากนักท่องเที่ยวที่มาเข้าชม
ผมเห็นจังหวะดีเลยหยิบกล้องในมือพร้อมสายคล้อง มั่นใจมากเพราะสายแข็งแรงทำด้วยวัสดุดีเลยละ เลยกล้าปล่อยให้เค้าได้ลองถ่ายภาพลิงตรงหน้า หนูน้อยก็สนใจเป็นพิเศษเลย
หลังจากสอนการจับการถือให้มั่น (แบบพ่อช่วยประคองด้วยเพราะเลนส์เทเลฯยาวมากนะฮับ) เราก็ได้ภาพสวยๆกลับมานะครับ
หลังจากจุดแรกผมเลยเดินกันต่อเข้าไปด้านในจะเป็นโซนสำหรับอุรังอุตังที่อายุน้อย และเค้าจัดเป็นห้องให้เราได้เข้าชมค่อนข้างดีเลยครับ
แต่ที่ผมว่ามันสนุกไม่แพ้ชมอุรังอุตังก็น่าจะเป็นเด็กๆที่มาชมเนี่ยละครับ ปีนป่ายกันสุดฤทธิ์สุดเดช ปันก็ไปรวมก๊วนกับเค้าด้วยนะ
หลังออกจากศูนย์อนุรักษ์มาเรามาพักทานอาหารกันในศูนย์นั้นล่ะครับ รสชาติก็อร่อยเลยนะ ดูจากภาพเลยดีกว่านะครับ
หลังอิ่มกันดี ทริปยามบ่ายก็ยังคงอยู่ในบริเวณศูนย์อนุรักษ์เดียวกันแต่ทางเข้าคนละทาง เป้าหมายคือ “Bornean Sun Bear Conservation Centre” ศูนย์อนุรักษ์พันธ์ุ หมีหมาพันธุ์แคระ ที่เล็กที่สุดในโลก ซึ่งเดินกันไม่ไกลก็มาถึงครับ
เข้ามาจ่ายเงินค่าตั๋วเข้าเราก็ผ่านเข้ามาด้านในแล้วละครับ เดินตามทางจนสุดทางเราก็จะมาเจอจุดส่อง หรือจะเรียกว่าจุดแอบดูเจ้าหมีน้อย สีดำปุกปุยเหล่านี้
หลังจากส่องกันอยู่นานเราก็เจอแล้ว เจ้าหมีหมาเดินออกมาจากด้านในเผยตัวมาให้เราเห็นแล้วละครับ
ปันเองก็ได้เรียนรู้จักธรรมชาติไปพร้อมกับแม่ที่คอยอธิบายและตอบคำถามของเค้าอยู่ข้างๆ ผมมองภาพนี้แล้วดีใจที่พาเค้ามาเรียนรู้ธรรมชาติจากห้องเรียนจริงๆแบบนี้ หนูน้อยก็ดูสนใจเจ้าหมีและธรรมชาติรอบๆเช่นกัน
ตัวหมีหมาเองถือว่าเป็นหมีที่ใกล้จะสูญพันธ์อีกเช่นกัน เป็นหมีที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกอย่างที่บอกไป ลำตัวยาวประมาณ 1 เมตร ขนตามตัวสั้นสีดำปนสีน้ำตาล พบมากในแถบบ้านเราและโซนประเทศใกล้เคียงอย่างมาเลเซียเองก็ใช่และแทบในทุกประเทศก็ถูกจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองใกล้สูญพันธ์เหมือนๆกัน มีอุปนิสัยโมโหง่าย ชอบนอนบนต้นไม้หรือตามโพรงไม้สูง ๆ ไม่ชอบนอนพื้นดินทั่วไปครับ
เพราะฉะนั้นการมาพบเห็นในสภาวะแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์แบบนี้จึงไม่ง่ายเลย เพราะส่วนใหญ่ จะเจอพวกเค้าได้ก็ในกรงตามสวนสัตว์ซะมากครับ
เสร็จจากการชมสิงสาทั้งหลายแล้ว ผมได้มีโอกาสไปเดินชมธรรมชาติของป่าดิบชื้นแห่งนี้ต่อจาก “canopy walkway”ทางเดินลอยฟ้าที่บ้านเราเองก็เริ่มสร้างตามแบบเค้าแล้วเช่นกัน เป็นทางเดินบนความสูงเทียบเทียมต้นไม้ เส้นทางเดินง่ายเหมาะกับทุกวัย แต่ละจุดให้ความรู้สึกเหมือนเราผจญภัยเล็กๆไปตามยอดไม้สูงใหญ่หลายๆคนโอบที่เค้ารักษาธรรมชาติไว้ดีมาก
ตอนลงมายังมีสะพานเชือกให้ได้ผจญภัยเล็กๆและวิวตรงทะเลสาบเองก็สวยงามมากแม้ตลอดวันนี้จะไม่แสงแดดส่องให้เลยก็ตามก็ยังสวยอยู่ดีครับ
อ่อในบริเวณเดียวกันยังมี โซน Exhibition hall ที่เหมาะกับเด็กๆให้ทำความรู้จักสรพสัตว์ทั้งหลายของที่นี่ และเค้าก็ทำมาได้ดีด้วยนะแวะกันไปเข้าไปดูได้เลย
ชมกันเสร็จวันนี้ได้เวลากลับแล้วละครับ และก็ถือว่าเป็นการปิดทริปไปพร้อมๆกัน วันนี้เราตั้งใจจะกลับมาใช้เวลาเย็นวันสุดท้ายที่โรงแรมด้วยกัน และสระว่ายน้ำของ Four Point เองก็อยู่ในตำแหน่งที่ดีมากๆเหมาะแก่การเล่น้นำชมวิวยามเย็นแบบนี้เลย
พระอาทิตย์ยามเย็นมองจากมุงสูงแบบนี้สวยงามจริงๆครับ
ความสุขเล็กๆน้อยๆของพ่อแม่ก็ตรงนี้มั้งครับ การได้มีเวลาอยู่กับเค้านั้นเองเย็นนั้นเราเล่นน้ำไปชมภาพยามเย็นไปพร้อมๆกับการเอ่ยคำลาในใจกับเมืองแปลกที่อยู่มาตลอดสามวัน ก่อนวันสุดท้ายเรามีไฟลท์กลับแต่เช้า
ทิ้งท้ายด้วยภาพความสวยงามของเมืองนี้ ก่อนคืนนั้นทุกคนจะหลับด้วยความเหนื่อยจากการผจญภัยมาตลอดทั้งวันครับ
สรุปกันหน่อย
เมืองซันดากัน ถือเป็นเมืองที่แปลกเมื่อวันแรกที่มาเยือน ตลอดสามวันแห่งการมาท่องเที่ยวที่นี่ก็ให้ประสบการณ์ที่ดีกับทั้งผมกับภรรยา และสำหรับ ปัน เด็กน้อยที่สนใจอะไรๆตามวัยเค้า โดยเฉพาะกับการตั้งคำถามกับสิงสาราสัตว์ตรงหน้ากับเค้า ผมเชื่อเวลาลูกชายของผมมีความรักสัตว์และเมตตาขึ้นมาก เพราะคำถามต่างๆที่เค้าสงสัย เราทั้งคู่ก็พยายามจะหาคำตอบที่เข้าใจง่าย
ที่สำคัญทุกครั้งผมจะย้ำว่าทำไมเราถึงต้องมาดูพวกเค้ากันที่นี่ เพราะอะไรคนถึงรังแก และอกีคำถามหลายๆแบบที่เราเองก็ไม่คิดว่าเด็กจะถามออกมาได้ ส่วนตัวผมเองถือเป็นประสบการณ์ที่ดีกับการมาเยือนที่นี่จริงๆครับ หลายอย่างเราต้องชมในความใส่ใจและนอกจากอนุรักษ์พันธ์สัตว์หายากเหล่านี้ ทางศูนย์เองก็ยังได้อนุรักษ์พืชพันธ์และธรรมชาติที่อยู่อาศัยของพวกมันไว้อย่างดี
ท้ายนี้ขอมาเฉลยเกี่ยวกับสายที่เราใช้นะครับเหมาะมากกับพ่อแม่ที่คล้องกล้องหรือมือถือก็ตามหากลูกๆเอามาเล่นเราคล้องไว้ก็จะเซพจากมือเด็กๆได้อย่างที่ผมทำ หากสนใจลองค้นหาดูผมใช้ตั้งแต่ทริปนี้มาจนถึงปัจจุบันแล้ว เป็นรุ่น “Slide” สำหรับสายคล้องคอ ที่ใช้ดีมากปรับระดับตามขนาดของร่างกายเราได้ และตัวที่ใช้คลองกล้องเข้ากับข้อมือ ” Cuff ” ตัวนี้เหมาะกับ Mirrorless ดีครับ ทั้งหมดเป็นของ Peak Design Thailand ครับลองไปค้นหากันดูไม่ยาก
หวังว่าจะมีความสุขกับทริปครอบครัว พาลูกเที่ยวรอบนี้นะครับ หนหน้าจะเป็นที่ใด ในโลกสีฟ้าแห่งนี้ โปรดติดตาม
สวัสดีครับ
2 Comments
Luie Saetang
ดีงามจริงๆ น้าไปเที่ยวมาก
one22
ขอบคุณครับเฮีย