รีวิว 12 ที่กินเที่ยวเซี่ยงไฮ้ สไตล์ครอบครัว รีวิวนี้จะเปลี่ยนความคิดคุณไปตลอดกาล จริงๆ เชื่อเราสิ บ้านเราเพิ่งไปมา 4 วัน 4 คืน ก่อนไปนี่อคติเพียบ (แต่ก็อยากลองดูไง) และเห็นข่าวสารพัดเกี่ยวกับเซี่ยงไฮ้(Shanghai) ว่ามันเจริญมากมายมหาศาล มีรถไฟเร็วสุดในโลกเลยน้าาา มี Starbuck (เคย)ใหญ่สุดในโลกด้วย ดีสนีย์แลนด์เค้าว่าเจ๋งสุดในโลกด้วย โห้ยยย เอาๆๆ งั้นทั้งความเชื่อแบบเดิมๆที่เรามี กับความท้าทายอยากลองจากข้อมูลใหม่ๆที่เข้ามา งั้นลองกันดู แต่ถ้าไปเจอห้องน้ำสกปรก นี่เกลียดเลยนะ 555 แต่สุดท้ายเราก็ไปกันจนได้ และกลับมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกบ้านได้ลองตัดสินใจดู เอาล่ะ ไม่ต้องเสียเวลามาเที่ยวเซี่ยงไฮ้ หนึ่งใน 10 เมืองที่ร่ำรวย มั่งคั่งที่สุดในโลกกันจ๊ะ
วีซ่าจีนยากไหม
อีกคำถามยอดอิตสำหรับคนที่ยังไม่เคยไปจีน แต่สำหรับผมเคยไปจีนมา 2 ครั้งแล้ว ครั้งแรกตอนไป จางเจียเจี้ย และ เมืองนานกิง รอบนี้คือครั้งที่ 3 แล้ว แต่ก็ยังตื่นเต้นอยู่ดี เอาจริงๆไม่ยากเลยนะ ถ้าเอกสารครบถูกต้องทุกอย่าง ขอให้เตรียมไปเผื่ออีกสักชุดเผื่อเรากรอกอะไรผิดจะได้มีใช้สำลอง ไปถึงเจ้าหน้าที่เค้าจะให้รับบัตรคิวและสามารถให้เจ้าหน้าที่ตรงจุดรับบัตรคิวนั้นละ ช่วยตรวจเอกสารก่อนยื่นจริงได้ ไม่ต้องห่วง
สำหรับทุกครอบครัวที่ต้องการทำวีซ่าไปจีน ปัจจุบันนี้ ปี 2019 ค่าทำวีซ่าท่องเที่ยวชั่วคราว เที่ยวแบบรายครั้ง ราคาปรับขึ้นมาเป็น 1,650 บาทเรียบร้อย และใช้เวลา 4 วันทำการ (จ-ศ ไม่รวมวันหยุดพิเศษทั้งของไทย+จีนเอง และ ส-อา นะ) ง่ายๆ ถ้าคุณไปทำวีซ่าจีนวันจันทร์ ถ้าทุกอย่างไม่มีติดใดๆ จะได้รับเล่มกลับมาวันพฤหัส ก็อยู่ที่ว่าคุณจะไปรับเองหรือให้ใช้วิธีส่งเอกสาร (มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม) แต่หากต้องการด่วนๆ แบบ 2 วันได้ ก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก 1,000 บาทไป เพราะฉะนั้นให้วางแผนล่วงหน้าก่อนยื่นเอกสารต่างๆให้ดี สามารถเข้าไปกรอกจองวันยื่น และอ่านรายละเอียดการเตรียมเอกสารทั้งหมดแบบละเอียดได้ที่นี่เลย https://www.visaforchina.org/BKK_TH/System/278326.shtml
สำหรับเอกสารสำหรับการยื่นของวีซ่าด้วยตัวเองหลักๆ เราสรุปสั้นๆไว้ตรงนี้เลยดีกว่าส่วนอยากอ่านละเอียดแนะนำให้ตาม link ด้านบนไปได้เลย
- แบบฟอร์มที่ได้กรอกไว้ตาม LINK ด้านบนแล้ว ให้กรอกเป็นภาษาอังกฤษให้เรียบร้อย นะครับกรอกเสร็จให้ print ให้เรียบร้อยครับ
- รูปถ่าย 2 ใบขนาด 1 นิ้วหรือคือ 33 mm X 48 mm. พื้นหลังเป็นสีขาวนะ สีฟ้าใช้ไม่ได้จ๊ะ รูปแรกให้แปะเข้าไปที่แบบฟอร์มข้อ 1 เลย ส่วนอีกใบให้ใช้ยื่นตอนไปยื่นเอกสารกับเจ้าหน้าที่ อ่อ กรณีถ้าไปถ่ายรูปตามร้าน ให้แจ้งว่าเอาไปใช้ทำวีซ่าจีนทุกร้านรู้หมด และในรูปต้องเห็นหน้าครบทั้งใบหน้า ตัวอย่างตามรูปนี้เลยครับ
- สำเนาหน้าพาสปอรต์ที่วันหมดอายุขั้นต่ำต้องเกิน 6 เดือนนับจนถึงวันเดินทาง
- passport ตัวจริง ที่วันหมดอายุขั้นต่ำ ต้องเกิน 6 เดือนนับจนถึงวันเดินทาง
- กรณีเคยไปจีนมาก่อนให้ ถ่ายสำเนาหน้าวีซ่าจีนที่เคยได้รับ แนบไปพร้อมกันด้วยเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ
- เงิน 1,650 บาท สำหรับการวีซ่าท่องเที่ยวแบบ ครั้งเดียว กรณี 2 ครั้งจ่ายเพิ่มเป็น 2,650 บาทต่อคน
- สำเนาใบจองที่พักที่เราเข้าพักตามจำนวนวันที่เราอยู่ 1 ชุด (กรณีไปแบบครอบครัวใช้ร่วมกันได้ ไม่ต้องพิมพ์ไปเพิ่ม)
- สำเนาใบ Confirm ตั๋วเครื่องบิน 1 ชุดต่อ 1 คนต้องครบทุกคน
- ระยะเวลาการไปทำวีซ่าตั้งแต่ 9.00-15.00 น. เว้นวันหยุดราชการไทย และ จีน และวันหยุด เสาร์-อาทิตย์
- กรณีไปรับเองที่สำนักงาน ตึกธนภูมิ ชั้น 5 ตรงถนนเพชรบุรีตัดใหม่ หาไม่ยากอยู่ติดๆกันกับตึก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเลย (ททท.) รับได้ตั้งแต่ 13.00น.เป็นต้นไป
- กรณีไปทำแบบครอบครัว สามารถไปคนเดียวแทนทุกคนในครอบครัวได้เลย ไม่ต้องไปกันหมด แต่เอกสารของทุกคนต้องครบและเซ็นสำเนาให้เรียบร้อย กรณีเด็กไม่เป็นไร ไม่ต้องเซ็นเพราะอ้างอิงจากพ่อแม่ที่ไปด้วยกันได้
- กรณีไม่ไปยื่นเองใช้บริการเอเจนฯทั้งหลายไปยื่นให้ ราคาก็จะอยู่ที่ 2,000 บาทโดยประมาณ แทบทั้งนั้นหาได้ใน google เลย แต่เอกสารก็ต้องเตรียมเพิ่มคือใบมอบอำนาจ (ปรกติเอเจนฯทั้งหลายจะมีให้เรากรอกนะลองคุยกันเองได้เลย)ให้เค้าเพื่อใช้ยื่นแทนเราได้นั้นเอง เลือกเอาที่เราสะดวกได้เลย
การเดินทางจากไทย-เซี่ยงไฮ้
เจ้า Prip Proud เราเจอกันอีกแล้วนะจ๊ะ
จากไทยไปเซี่ยงไฮ้ หลังจากตัดสินใจแล้ว เราก็เริ่มมองหาโปรสายการบินดีๆ จนไปเจอโปรเปิดตัวของสายการบิน Nokscoot ราคาดีมาก ไปกลับไม่ถึง 6,000 บาทเลย เจอแล้วก็ไม่ต้องคิดนาน จัดไปได้เลย ราคานี้ แถมเราบิน นกสกู๊ตบ่อยมาก เครื่องลำใหญ่ Boing 777-22 จัดที่นั่งดี 3-4-3 แถมไฟลท์เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อตอนต้นปี 2019 แบบนี้บินสบายแน่ๆ แถมบินกลางคืนไปถึงเช้ามาก็หาที่เที่ยวได้เลย
เราออกเดินทางมา Checkin กันตั้งแต่เย็นเพราะไฟลท์บินจะเป็น 19.30-00.45 น. ใช้เวลาบิน 4.15 ชม. และรอบนี้มาเร็วก็เช็คอินผ่านฉลุยมาก น้องๆพนักงานบริการด้วยดียิ้มแย้มดีครับ ไม่มีบึ้งตึงใดๆ แถมพอไฟลท์ว่าง เราเลยสอบถามขอเปลี่ยนที่นั่ง เป็นตรงกลางจากที่จองมาเป็นริมน้ำต่าง แทนแยกแถวด้วย น้อง Ground ก็จัดให้ อันนี้ได้เฉพาะเวลาไฟลท์ มันว่างและไม่มีคนบุ๊คมานะ ถ้ามีคนจองที่มาก็คงจะทำไม่ได้นะครับ เดี๋ยวอ่านรีวิวนี้แล้วเอาไปบอกตรงนั้นแล้วไม่ได้จะมาโกรธเราไม่ได้นะเออ
เดินมารอที่เกท แป๊บๆก็ขึ้นเครื่อง น้องๆแอร์โฮสเต็จก็ยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าไม่มีตกเลยนะ รอรับพวกเราทุกคน เราเลยขอถ่ายรูปกับเด็กน้อย ก็ยินดีเลยนะ แบบนี้ละบริการแบบไทยๆหาที่ไหนไม่ได้ง่าย
เครื่องโล่งมาก เพราะเป็นไฟล์ทเปิดใหม่ ใครจะไปเซี่ยงไฮ้ ให้จองตรงกลางแบบ 4 ที่นั่งเลยนะ นอนเหยียดยาวได้เลย คือดีจริง
อาหารเค้าก็ดีนะ ไม่ไก่กา ต้องสั่งล่วงหน้าถึงจะดีเพราะได้ราคาถูกลงกว่าสั่งบนเครื่อง และบางเมนูไม่สั่งล่วงหน้าจะไม่มีขายบนเครื่องอีกด้วยนะ
และเช่นเคยเราก็สั่งอาหารมาทานก่อนจะนอน หลับสบายกันไปทั้งบ้านเลย เมนูฮิตบ้านนี้กินกันอยู่อย่างเดียวข้าวไก่ย่างเทอริยากิ ฮ่า ฮ่า
ถือว่าเป็นอีกครั้งที่ไฟลท์บินไม่ดีเลย์ ไม่ช้า และบินนิ่มมาก ปันหลับยาวเหยียดถึงเซี่ยงไฮ้เลยกับตันขับดีครับ เราโชคดีมาก ตั้งแต่บินกับ Nokscoot มาเคยเจอเลื่อนไฟลท์ครั้งเดียว รอบนั้นพายุเข้าไฟลท์มันก็ดีเลย์กันหมดทั้งสนามบินล่ะจ๊ะ
การเดินทางเที่ยวในเซี่ยงไฮ้
ว่ากันถึงการเดินทางในเมืองบ้าง ด้วยความที่เค้าเจริญขีดสุด เพราะงั้นเราก็เลยได้เจอรถไฟความเร็วขีดสุดในโลกจากทริปนี้เช่นกัน เราแยกการเดินทางออกเป็นสองระยะก่อนนะ ตามนี้เลยจะได้เข้าใจกันง่ายขึ้น
จาก สนามบินฝู่ตง (Pudong International Airport- Longyang Rd Station) เข้าเมือง
การเข้ามาในตัวเมืองเรามีทางเลือก 2-3 แบบ เราขอแนะนำเฉพาะแบบที่เราใช้แล้วกันนะ แบบอื่นลงเป็นข้อมูลให้ทุกคนหาต่อกันเอง
Shanghai Maglev Train คือรถไฟฟ้าพลังแม่เหล็กความเร็วสูง ที่ตอนนี้ถือเป็นขบวนรถไฟที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก 430 กม./ชม. ด้วยใช้เวลาแค่ 8 นาทีเท่านั้นก็ถึงสถานีปลายทาง Longyang Rd Station เพื่อต่อรถไฟใต้ดินเข้าไปในเมืองต่อได้ และจากสถานีนี้ เราสามารถต่อรถไฟใต้ดินคือสาย 2,สาย 7, สาย 16 เข้าไปในเมืองต่อได้อีกโดยใช้เวลารวมทั้งหมดไม่เกิน 40 นาทีโดยประมาณ ขึ้นอยู่กับปลายทางว่าคุณจะไปลงสถานีไหน ขอยกแบบที่เราเดินทางมาให้เห็นภาพกันมากขึ้นนะ มะ
แบบแรก Shanghai Maglev Train = Pudong Airport Station <ไป-กลับ> Longyang Rd Station <ไป-กลับ> กรณีผมคือ ไปลงที่สถานี East Nangjing Road Station = 40 นาที
ตรงนี้ยังแยกตามความต้องการในการเดินทางเป็นอีก 2 แบบย่อย เอาแบบแรกก่อน
(1) Maglev Train+ Metro ราคาจะอยู่ที่ 40+4 = 44 หยวน ราคานี้จะมีส่วนลดค่าตั๋ว Maglev 10 หยวนนะครับ จากการแสดงหางตั๋วเครื่องบิน(อย่ารีบทิ้งนะมีประโยชน์ตรงนี้) ที่เคาวน์เตอร์ขายตั๋วเท่านั้น หากไม่มี Boarding Pass มาแสดงจะเป็น 50+4= 54 หยวนทันที สำหรับตัว Metro จริงๆ ราคาจะเริ่มต้นตั้งแต่ 2 หยวนขึ้นไปอยู่ที่เราจะลงสถานีอะไร เอาจริงๆถือว่าถูกมากๆ เลยนะ ตีว่า 1 หยวน = 5 บาทก็แค่ 10 บาทเอง ถูกกว่ารถไฟฟ้าบ้านเรา 3 เท่าเลย เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากใช้แค่อย่างละครั้ง ก็จ่ายตามจำนวนที่คุณจะไปลงได้เลย
(2) ปัจจุบันนี้ มีตั๋วรถไฟ Maglev Train+ Metro 1 Day Pass = 55 หยวน สำหรับแบบนี้ ผมอยากแนะนำ เพราะประหยัดคุ้มค่ากว่า ดูที่รูปได้เลย ประหยัดกว่าการซื้อแยกและยังใช้ Metro ได้ 1 วันเต็มอีกต่างหากจะขึ้นกี่เที่ยวกี่ครั้งก็ได้ใน 1 วัน คุ้มกว่ามาก กรณีนี้ ถ้าเราอยากซื้อ Metro เพิ่มอีกเช่น ซื้อแบบ 3 วันอีกใบ ก็ซื้อแยกกันไปได้เลย หรือจะไปซื้อตามสถานีในเมืองก็ได้เช่นกัน ที่ ช่อง Service Center จะมีพนักงานนั่งอยู่ใน Box คุยกันได้อยู่นะ
สำหรับที่สนามบินเจ้าหน้าที่เค้าจะให้มา 2 ใบ 1 คือ ตั๋วสำหรับขึ้นรถไฟ Maglev แบบ 1 ครั้ง และตั๋ว Metro 1 Day Pass 1 ใบ ตอนไปขึ้น Maglev ก็ยื่นให้เค้า ส่วนของ Matro Pass เก็บไว้ใช้ตอนต่อรถไฟใต้ดิน
อ่อสำหรับเด็กที่สูงไม่ถึง 110 ซม. จะไม่เสียค่ารถไฟนะ แต่ถ้าเกินนี้ก็จ่ายเท่าผู้ใหญ่เลยจ้า ปันเกินไปเยอะล่ะ ฮ่า ฮ่า จ่ายเต็มเท่าพ่อแม่เลยจ้า
อีกวิธีจากสนามบิน คือการนั่งรถไฟใต้ดินธรรมดาจากในเมืองเข้าและออกจากสนามบิน ซึ่งก็ทำได้แต่ใช้เวลาเพิ่มอีกราว 20 นาที ขึ้นอยู่กับว่าขึ้นจากสถานีไหนเช่นกัน สำหรับราคาก็จะต่างกันตามนี้เลย
Shanghai Metro Pass (รถไฟใต้ดิน) = Pudong Airport Station <ไป-กลับ> East Nanjing Road Station = 60 นาทีโดยมีแวะเปลี่ยนขบวนกลางทาง 1 ครั้ง แต่ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม ถ้าเราซื้อตั๋วมาจากสถานีต้นทาง และกำหนดปลายทางแล้วก็ใช้ขึ้นจุดที่ลงต่อได้เลย รถไฟมันจะมาจอดตรงหน้าเราเองเลย ให้สังเกตุคนจีนเค้าขึ้นกันก็นั้นล่ะใช่เลยตามไปได้เลย
ราคาตลอดทริปจะอยู่ที่ 7 หยวน ประหยัดกว่าเยอะ แต่ก็เสียเวลามากกว่า และ รถไฟใต้ดินจะไม่ต่างกับในญี่ปุ่นหรือฮ่องกง จะไม่มีที่วางกระเป๋าลากนะครับเราต้องจับไว้เองดีๆ
กรณีของเราเราซื้อแค่ขามาเท่านั้น ส่วนขากลับ เราเลือกใช้นั่ง Metro กลับมาที่สนามบินก็ทำให้ประหยัดกว่าเพราะเราไม่ได้รีบมากแล้วสำหรับขากลับ ก็ยอมเปลี่ยนขบวนกัน 1 ครั้งเท่านั้น
สำหรับคนที่สนใจจะซื้อแบบ 1,3,5 Day Pass สามารถหาซื้อได้จากตามสถานีรถไฟใต้ดินทุกที่ จะมีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ Services Infomation สื่อสารได้ระดับนึง
** แนะนำสำหรับคนที่ยังไม่คุ้นเคยให้โหลด แอฟ Shanghai Metro มาใส่เครื่องไว้เพราะจะช่วยคำนวนราคาและเส้นทาง ระยะเวลาเดินทางได้ มีประโยชน์มากๆ มีทั้ง Ios & Android
กรณีลงเครื่องแล้วจะไปขึ้นรถไฟ Maglev ได้ยังไง
จากสนามบิน หลังออกจาก Gate ให้มุ่งหน้ามองหาป้ายสัญลักษณ์ Train Station / Maglev Station ซึ่งจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ Gate ที่ออกมาเลย เดินตรงยาวๆ ไปสุดทางก็จะเจอกับสถานีรถไฟ Maglev เลยระยะห่างราวๆ 300 เมตรเท่านั้นครับ หาไม่ยากเลย ไม่ต้องกลัวหลง
กรณีลงเครื่องไฟลท์ดึกทำยังไง
ตอนเราไปถึงเป็นไฟลท์ดึกแล้ว เราเลยเลือกใช้วิธีนอน โรงแรมในสนามบิน ซึ่งก็สะดวกมาก เพราะอยู่ในบริเวณสนามบินเลย ราคาราวๆ 2,100 บาท +- 500 บาท ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่จอง อาจจะดูราคาสูงหน่อยแต่สะดวก เพราะเราอยากเที่ยวต่อตอนเช้าแบบไม่เพลียเกินไป ไฟลท์ Nokscoot เรามาถึง 00.45 น. จัดการผ่าน ตม. ลากกระเป๋าเข้าห้องเสร็จทุกอย่างก็ราวๆ 01.30 ได้นอน ตื่นมาราวๆ 7.30-8.00 น. มาขึ้นรถไฟที่สนามบิน Maglev รอบ 9.00 น. เข้าเมืองก็พอดี แถมได้นั่งขบวนที่วิ่งทำความเร็วสูงสุดที่ 430 กม./ชม. ด้วยซึ่งใน 1 วันจะมีแค่ 2 เที่ยวเท่านั้น นั้นแปลว่าได้ลองจริงๆว่าเร็วจริง
สำหรับครอบครัวที่ไม่อยากนอนค้างที่สนามบิน เท่าที่หาข้อมูลมา จะมีรถบัสวิ่งจากสนามบินเข้าเมืองให้บริการตามเวลานี้
สำหรับราคามีแยกเป็นสายรถวิ่ง ถึง 9 สายด้วยกัน กระจายไปตามจุดต่างๆในเซี่ยงไฮ้ เพราะฉะนั้นราคาจะไม่แน่นอนต้องดูปลายทางที่เราจะไปอีกที แต่เริ่มต้นต่ำสุดคือ 3 หยวน แต่ทุกสายเปิดและปิดเวลาเดียวกันหมดดังนี้
PVG → Downtown: 07:00 – 23:00 น.
Downtown → PVG: 06:00 – 21:30 น.
กรณีอยากเข้าเมืองหลัง 23.00 น. จะมี Night Bus บริการ และค่าใช้จ่ายจะอยู่ตามจุดที่ลง แต่สายที่วิ่งเข้าไปจะมีแค่ 1 สายเท่านั้น
Pudong Airport Night Bus Service
บริการตั้งแต่ 23.00 น ไปจนถึงไฟล์ท์สุดท้ายที่ลงสนามบิน +เวลาไปไม่เกิน 45 นาที เช่นไฟลท์สุดท้ายลง 01.45 น ก็จะบวกไปอีก 45 นาที บัสคันสุดท้ายก็จะออกเป็นต้น
ราคา เริ่มที่ 16 หยวน ไปจนถึง 30 หยวน ขึ้นอยู่กับป้ายที่จะลง ตามนี้
T1, T2, Longyang Road Fangdian Road, Century Avenue Metro Station, East Yan’an Road Middle Zhejiang Road, Middle Yan’an Road Huashan Road, West Yan’an Road Hongxu Road
ที่จอดรับส่ง Night Bus
จะจอดให้บริการอยู่ที่ Terminal 1 ชั้นล่างด้านหน้าที่จอดรถบัส เลย และจะแวะมารับผู้โดยสายที่ Terminal 2 ตอน 23.05 น.ออกจาก Gate เดินลงมาชั้นล่างมองหาป้ายรถบัส เดินไปรอได้เลย ไม่ยากครับ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถบัสทั้งหมด อ่านได้ที่นี่เลย
เพราะงั้นทางเลือกอื่นๆ คือก็ต้องหาที่นอนในสนามบินแบบขึ้นไปนอนแถวที่นั่งรอ ก็ต้องหาโรงแรมนอนแบบเราเลย
Taxi
ตัวรถ Taxi เองหาไม่ยาก ออกจาก Gate แล้วเดินลงมาชั้นล่างเดินออกจากประตูเจอคิวรถ Taxi จอดรออยู่เลย ใกล้ๆกับที่จอดรถบัสนั้นเอง
#ตัวช่วยจากเรา ถ้าทุกคนอยากประหยัดค่าที่นอน โรงแรมที่พักในสนามบินใช้ LINK นี้เลยครับ http://bit.ly/2WBUtAS
จะช่วยลดราคาลงได้ 1,000 บาทจากค่าโรงแรมที่จ่ายเกิน 2,000 บาทขึ้นไป ใช้ได้ 1 ครั้งต่อ 1 User เท่านั้น อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
เริ่มเที่ยวกันดีกว่า
1.Nanjing Road ถนนสายช้อปปิ้ง กิน เที่ยว พัก ของเซี่ยงไฮ้
สำหรับที่แรกเราขอเริ่มที่เราพักและช้อปปิ้งใกล้ๆแทบทุกคืนที่เราอยู่เลย ถนนเส้นนี้เปรียบไปก็คล้ายๆ กับสยามสแควร์+ สีลมบ้านเราก็น่าจะได้อยู่ สำหรับทริปเราถือเป็นทั้งที่เที่ยวยามเย็น ช้อปปิ้งได้ดี ร้านที่เป็นแบรนด์ดังๆอยู่ในย่านนี้หมดเลย ทั้งแบรนด์กีฬาต่างๆ แบรนด์เสื้อผ้า น้ำหอม ร้านรวงเปิดสลับกันมากมาย ห้างสรรพสินค้าเยอะมาก เปิดกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ
แถมเค้ามีรถรางวิ่งรับส่ง แต่เสียตังนะ จากต้นถนน East จรด West ยาวหลักขึ้นเป็นหลายกิโลเมตร สำหรับคนที่ชอบเดินช้อปปิ้ง ย่านนี้ละใช่เลย เพราะเราก็พักที่นี่แล้วใช้เป็น Base สำหรับการไปที่อื่นๆ
ตรงถนนเส้นนี้ถ้าเน้นๆกันจริงให้เข้ามาที่ Nanjing Road Pedestrian Street มันสะดวกมาก หาของกินก็ง่าย หาของซื้อก็ใช่ จำได้คืนสุดท้ายหิวๆ กันออกมาตอน 4 ทุ่มร้านรวงต่างๆทยอยปิด แต่ร้านสะดวกซื้อพวก 7-11 , Family Mart ยังเปิดอยู่ และยังมีร้านอาหารที่เปิดขายอยู่ เราก็ยังหากินกันได้ไม่ยากเลย แนะนำสำหรับที่นี่เลยทีเดียว
วิธีเดินทาง นั่งรถไฟใต้ดินสาย 2 สีเขียว มาลงป้าย East Nanjing road เดินขึ้นมา 100 เมตร ถึงเลย หรือจากสนามบิน Pudong Airport Station ก็ลงสถานี Lonyang Road Station แล้วต่อสาย 2 16 นาที ถึง
2.The Bund ย่านตึกยุโรปที่ทำให้ลืมไปชั่วขณะว่านี่คือเมืองจีน
จุดสุดฮิตที่ใครๆที่มาเซี่ยงไฮ้ก็ควรจะได้มาเยือนสักครั้ง ด้วยความที่อาคารบ้านเรือนทั้งสิ้นกว่า 52 อาคาร ที่อยู่ในย่านนี้ ตลอดแนวถนนยาวเกือบ 2 กิโลเมตรถือเป็นย่านสำคัญทางธุรกิจและการเงินสำคัญที่สุดของเมือง แต่ด้วยความที่ทำเลตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำหวงผู่ (Huangpu River)
ตัวอาคารทั้งหมด ก็ทำสวยมากเป็นทรงยุโรปโบราณ ทำให้ย่านนี้จึงกลายเป็นย่านท่องเที่ยวไปในตัว ที่ใครมาเซี่ยงไฮ้อย่าพลาดมาเดินเล่นชมเมืองกันเป็นอันขาด
อย่างที่บอกไปทำเลติดริมน้ำที่อยู่นี้เรียกว่าฝั่ง Puxi (ผูซี) สามารถมองไปอีกฝั่งของแม่น้ำหวงผู่ ที่เราเรียกกันว่าฝั่ง Pudong (ผู่ตง ฝั่งเดียวกันกับสนามบินนั้นเอง) สัญลักษณ์สำคัญๆ ของเซี่ยงไฮ้ได้ เช่น ตึก Shanghai Tower, Oriental Peal Tower เป็นต้น เอาว่ามาตอนไหนก็สวย ยิ่งมืดจะมีการเล่นแสงสีเปิดไฟ สวยงามมาก โดยเฉพาะฝั่ง Skyline ที่ดูแล้วทำให้นึกถึงฮ่องกงยามค่ำกันเลย จะว่าไปทั้งสองฝั่งควรมาถ่ายรูปสวยๆกันนะ
โดยเฉพาะถ้าใครอยากมาแวะถ่ายรูปกับตึกธนาคารกรุงเทพฯสาขาเซี่ยงไฮ้ ก็มาที่นี่ได้เลยหาไม่ยากเลยครับ
นอกจากตึกสวยๆแล้วที่นี่ยังมีสัญลักษณ์ทางการเงินสำคัญที่รับแรงบันดาลใจหรือจะว่ากันจริงๆ ตั้งใจสร้างเลียนแบบเค้าเลยก็ได้นะ เป็นรูปปั้นเจ้าวัวกระทิงที่อยู่ตรงถนน Wallstreet ในอเมริกา เพราะด้วยรูปทรงท่าทางก็ใช่เลย เจ้าวัวตัวนี้อยู่แถวตรงหน้าตึก The Bund Finance Center หาไม่ยากเดินเล่นๆริมแม่น้ำมาเจอแน่นอนไม่ไกลจาก ตึกธนาคารกรุงเทพฯ และแน่นอน ประเภณีนิยมเหมือนกันอีกว่าให้เราไปลูปวัวโดยเฉพาะตรงบันท้ายและตรงไข่ทั้งสองของมันนั้นล่ะ อิอิอิ แล้วหุ้นกับการเงินของเราที่ลงทุนไว้จะพุ่งแน่นอน
อันนี้ความเชื่อล้วนๆ มาถึงเซี่ยงไฮ้ ก็ต้องทำแบบเดียวกันด้วยสิ เราก็เลยไปลูปไปขำกันไปโดยเฉพาะปัน ที่ขำหนักมากสุด เพราะเค้าไม่รู้ว่าไอ้การลูปไข่วัวมันทำกันไปทำไม 555
วิธีเดินทาง นั่งรถไฟสาย2สีเขียวลง East Nanjing Road เดินมาราวๆ 10 นาทีก็ถึงแล้ว
3.The Bund sightseeing tunnel อุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำที่ทันสมัยสุดของจีน
มาถึง The Bund ถ้าอยากข้ามมาเที่ยวยังฝั่ง ผูตง นอกจากการขึ้นรถไฟใต้ดินวิ่งข้ามแม่น้ำมาแล้ว ยังมีอีกวิธีเป็นตัวเลือกทางการท่องเที่ยวที่เราว่าเก๋และเท่มาก สะท้อนความทันสมัยในการพัฒนาเมืองของเซี่ยงไฮ้ได้อย่างดี นั้นคือการนั่ง Cable Car ลอดอุโมงค์ใต้น้ำมาจ้า เท่สุดๆกันไปเลย
เราเดินจากตรงถนนเส้น The Bund ฝั่งตรงข้ามหน้าธนาคาร กรุงเทพฯมาอีกราวๆ 300 เมตรจะเจออุโมงค์ทางลงแบบนี้ ให้เราเดินลงไปเลย
ลงไปไม่ไกลก็จะเจอ จุดขายตั๋ว ตรงนี้จะมีหลายตั๋วมาก ให้ดูตรงที่เป็น Sign Seeing แล้วก็เข้าไปซื้อตั๋วได้เลย สนนราคา ถ้าไปกลับก็แยกเป็นผู้ใหญ่ 70 หยวน เด็ก 50 หยวน ถ้าเที่ยวเดียวก็ครึ่งราคาครับ
จากนั้นเราจะได้ตั๋วมาแล้วเดินลงไปชั้นใต้ดินต่อได้เลยจะเจอ Cable Car แบบนี้
ระหว่างที่เคลื่อนที่ไปจะมีเสียงบรรยายเป็นภาษาจีน เล่าเรื่อง พร้อมๆกับภาพแสงสี ที่ใช้ผนังของอุโมงค์เล่าเรื่องไปด้วย สวยงามมากครับ
เพลินๆ แป๊บๆ เราก็ถึงอีกฝั่งของแม่น้ำเรียบร้อย ตรงฝั่งนี้จะเรียกชื่ออุโมงค์ว่าเป็น Waitan Sightseeing Tunnel
ขึ้นมาเราจะเจอ กับ Submarine แต่เวลาเราน้อยปันเห็นก็ร้องอยากเข้าอยู่นะ แต่ก็ต้องบอกว่าขอผ่านก่อนนะครับผม เราตั้งใจจะไปเที่ยวที่ตึกสูงที่สุดกันก่อน โดยรวมต้องบอกว่า อุโมงค์นี้ดีงามมาก ราคาอาจจะดูสูงสักนิด แต่ส่วนตัวเราแนะนำนะ มันเห็นถึงความยิ่งใหญ่ที่เหนือความคาดหมายกับประเทศนี้ไปอีกระดับเลยทีเดียว
วิธีเดินทาง เหมือนกันกับ The Bund เพราะอยู่บนถนนเส้นเดียวกันแต่ให้เดินมาเรื่อยๆ จะเห็นป้ายบอกทางไป หาไม่ยาก
4.Oriental Pearl Tower หอไข่มุกสัญลักษณ์สำคัญอีกแห่งของเซี่ยงไฮ้
ถ้าจะว่ากันจริงๆ เทียบกับ Shanghai Tower ตึกที่สูงสุดของจีนแล้ว ตึก Oriental Pearl Tower ดูมีความเป็นจีนและเอกลักษณ์น่าจดจำกว่าเยอะเลย ถึงแม้จะไม่สูงสุด แต่ด้วยรูปทรง ก็ดี รายละเอียดต่างๆในตึกที่มีให้จึงทำให้ตึกนี้มีความน่าไปไม่แพ้กัน
เรามาถึงตอนเย็นๆ แล้วเก็บภาพตัวเองกับตึกเรียบร้อย สำหรับคนที่อยากขึ้นไปด้านบนสามารถซื้อบัตรที่หน้าตึกด้านล่างได้
ส่วนตัวเราว่าควรจะลองดูสักครั้งนะครับ รอบนี้ตัวครอบครัวเราขึ้นไม่ทันเหมือนกัน ต้องเลือกเอาสักตึกนึง เราเลยเลือกตึกนู้นก่อน โดยรวมไม่ควรพลาดถ้าได้มากันนะครับ ปันเห็นบอกพ่อๆ เหมือนจานบินเลยอ่ะ ปันอยากขึ้น พร้อมขี้ไม้ชี้มือไปที่ทรงกลมด้านบน
พ่อถอนหายใจเบาๆ คับผม เจอกันรอบหน้านะรอบนี้ไม่ทันแย้วววจ้าคุณลูกกกก
การเดินทาง ถ้ามาจาก Waitan Sightseeing Tunnel ลอดอุโมงค์มาปุ๊บขึ้นมาจะเจอตึกเด่นเป็นสง่าเลยเดินตามทางมา 5 นาทีถึง
กรณีนั่งรถไฟใต้ดินมาลง สถานี Lujiazui Station เดินขึ้นมาก็เจอเลยเช่นกัน
5.Shanghai Tower ตึกสูงที่สุดของจีน มาแล้วจะได้เข้าใจเมืองนี้มากขึ้น
การมาตึกนี้ถือเป็นเป้าหมายสำคัญของบ้านเราเลย เพราะครอบครัวเราชอบขึ้นตึกมากกกกก ถึงมากที่สุด
การเดินทางมาก็ต้องเดินขึ้นจากรถไฟเดียวกันกับ Oriental Pearl Tower นั้นเอง เดินมามจะมีทางเชื่อมกับทางเชื่อมของตึกก็เจอแล้ว แต่เคสเราดันเดินไกลเพราะดันไปขึ้นที่อุโมงค์ที่เล่าไปด้านบน เดินมาก็ห่างอยู่ผ่านวงเวียน Mingzhu ต่อมาอีกราว 10นาทีครับ
เดินทางถึงตึกสำหรับเราที่จองตั๋วซื้อออนไลน์มาจาก KKDAY แล้วก็เดินลงไปชั้นใต้ดินเลย ตรงด้านบนที่เค้าเป็นจุดซื้อขายตรงนั้นเฉพาะกับคนที่ยังไม่มีตั๋วแล้วมาซื้อที่นี่
ลงไปปุ๊บจะเจอจุดขายและรับ ออกตั๋วกรณีจองมาแบบเรา ซึ่งก็สะดวก คิวน้อยกว่าเห็นๆ และที่สำคัญถูกกว่าเยอะเลยด้วย
สนใจก็ไปซื้อกันได้ครับที่นี่เลย http://bit.ly/2QSL6fd รับส่วนลดผ่านเว็บเราได้อีก 5% ไม่จำกัดเวลานะครับ
ก่อนขึ้นมาด้านล่างจะมีบอกเล่าเรื่องราวประวัติของตึกและยังรวมถึงทุกตึกที่เคยถูกจัดอันดับ มาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันด้วย อันนี้ดีมาก ปรกติไปตึกไหนก็มักจะมีแต่เรื่องราวของตึกนั้นเท่านั้น แต่มาที่ Shanghai Tower มันได้ความรู้มากกว่าเยอะเลย ทำให้เรารู้ว่า กว่าจะมาถึงตึกนี้ เค้าศึกษาตึกอื่นๆกันขนาดไหน อย่างครั้งนึงตึกเอ็มไพรส์ทาวน์เวอร์ก็เคยติดอันดับมาแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน
ขึ้นมาแล้วก็ต้องชมเลยว่าเจ้าหน้าที่ทุกอย่างดูแลดี ใช้เวลาขึ้นลิฟท์แค่อึดใจเดียวไม่ถึง 8 วินาทีเลยจ้า เร็วมาก มาที่ชั้น 118 ข้างบนจะแยกเป็น 2 ชั้นอีกทีที่เป็นจุดชมวิวได้ทั้งบนทั้งล่าง
การได้เห็นบ้านเรือนเค้าจากมุมด้านบนก็เหมือนเราได้ทำความเข้าใจ ชีวิตความเป็นอยู่รวมๆจากมุมกว้างๆ
เด็กน้อยสนุกกับการทำท่าแมงมุงเป็น Spider Man ไต่กระจกแบบนี้ละครับ สนุกเค้าเลย และเราก็ชอบมากด้วยที่ลูกเรามาไม่มาเปล่าๆ ยังสนุกไปกับจินตนาการตรงหน้าของตัวเองได้ เราเชื่อของเราว่าจินตนาแบบนี้ล่ะ ที่พาเค้าออกจากกรอบ ข้อจำกัดที่มีและวัยแบบนี้เท่านั้นถึงจะมีได้
วิวบนนี้ถ้ามาก่อน 6 โมงเย็นสักนิด เราจะพอจับจองมุมพระอาทิตย์ตกได้ เพราะคนจะเยอะมากถ้าอยากมาดูพระอาทิตย์ตกตรงหน้าให้มาไวๆเลย
วิวยามค่ำสวยงามมาก มองเห็น The Bund ที่เปิดไฟสีทองอล่ามมากเลย เสียดายมากเรากลับไปตรงนั้นไม่ทันเพราะเด็กน้อยเริ่มเมื่อยแล้ว
โดยรวมแนะนำให้มาเที่ยวกันช่วงเย็นๆจะดีมากครับ วิวสวยเพราะมุมมองจากด้านบน 360 องศามองเห็นเวิ้งริมแม่น้ำหวงผู่จากทุกมุมของที่นี่ได้เลย สวยจริงๆจ้า
การเดินทาง จากสถานี Lujiazui Station ออกมาที่ EXIT 6 เดินต่ออีกราว 12 นาทีถึง หรือถ้าเมื่อยขี้เกียจเดินก็ นั่งแท็กซี่มาก็ได้นะ ไม่ไกลจ๊ะ
6.Shanghai Disneyland สวนสนุกดีสนีย์ที่เดริน์และใหม่สุดกิ๊บๆของโลกแล้ว
ถ้าว่ากันถึงสวนสนุกระดับโลกอย่างดีสนียแลนด์ ไม่มีใครไม่รู้จัก และสาขาเซี่ยงไฮ้คือสาขาที่ใหม่สุดในตอนนี้ เพราะงั้นก่อนมาเราแอบคาดหวังว่าเครื่องเล่นต่างๆต้องดี แต่ก็นะแอบหวั่นใจเรื่องความสะอาดจากข่าวช่วงแรกๆที่ปล่อยมาแบบไม่ดีเท่าไหร่ แต่เอาละ มาแล้วก็ต้องลุยสิ ไม่มาเก็บที่นี่ได้ไง และแน่นอนเราก็ให้เวลา 1 วันเต็มๆกับที่นี่ไปเลย จริงๆอยากอยู่ 2 วันนะแต่วันเราไม่พอเลยต้องลดลง ขอพูดถึงบรรยากาศและแยกรีวิวเป็นเรื่องๆเลยดีกว่า
สะอาดไหม >> สะอาดมากก ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆไม่ว่าจะฮ่องกง ญี่ปุ่นเลย หาขยะเกลื่อนกลาดที่พื้นแทบไม่เจอเลย ไม่สิไม่เจอเลยจริงๆต่างหาก!!!
เครื่องเล่นดีไหม >> ดีแต่วันที่ที่เราไปปิดซะเกือบครึ่งเพราะไปวันจันทร์ เครื่องเล่นหลายตัวเราเดาว่าคงรับศึกมาจากวันเสาร์อาทิตย์ด้วยแน่ๆ แต่รวมๆก็คือเครื่องเล่นส่วนใหญ่มาตรฐานเดียวกันกับที่อื่นนั้นเอง เครื่องเล่นใหม่จริง ปลอดภัย การดูแลมาตรฐานเดียวกันกับอีกสองที่ๆ เราเคยไปมา
เข้าคิวต่อเครื่องเล่นนานไหม>> ที่นี่เป็นทีแรกที่เราไม่ต้องใช้วิธีกดจอง Fast Pass จากตู้แต่เค้าให้เราใช้จาก app แทน ก็ดีนะไม่ต้องวิ่งไปมา ข้อเสียมีอยู่อย่างเลย เด็กๆไม่มีมืถือสิจะจองไงอ่ะจ๊ะ ถามไปก็เงียบเพราะเจ้าหน้าทีก็ให้เรากดที่ตู้สำหรับเด็กอยู่ดี เพราะงั้นให้ดีนะ สำหรับพ่อแม่พาลูกมาดีสนีย์ และไม่อยากเสียเวลากดจอง ให้เอามือถือสมัครให้เรียบร้อยตามจำนวนคนเลย ถึงเวลาก็กดจองให้ครบตามสมาชิกบ้านได้เลย อ่อ พอหลังบ่ายนี้เต็มเลยนะขนาดวันที่เราไปวันจันทร์ App ตายไปเลย ขึ้นไม่ว่างอีกต่อไป อันนี้ไม่ต่างกับที่อื่นๆนะเพราะงั้นมาแล้วให้กดตัวที่เราอยากเล่นที่สุดก่อนเลย เพราะจนกว่าจะถึงคิวเครื่องเล่นที่คุณจองไว้ มันถึงจะกดครั้งต่อไปได้ เอาจริงๆ ได้ซัก 2 เครื่องก็ดีใจแล้วล่ะ แต่ถ้าเทียบกันกับการยืนรอคิวส่วนตัวเราว่าไม่นานนะ บางเครื่อง 10 นาที บางเครื่องเล่น 15 นาที นานสุดช่วงพีคๆ เลยคือตัวเครื่อง Soaring Over the Horizon ตรง Zone Adventure Isle ใช้เวลา 190 นาที!!! หรือ Tron ที่อยู่ตรง Zone Tomorrow Land ก็ปาไป 120 นาทีงี้
อันนี้เป็นเวลาที่เราว่านานสุดแล้วซึ่งถ้าเทียบปริมาณกับสาขาประเทศอื่นๆ ผมว่ายังเล่นได้เยอะกว่าอยู่ดี ทั้งนี้ต้องไปวันธรรมดาด้วยนะ
แซงคิวละมีไหมคนจีนเลยน้าาา >> ตอบตรงๆเลยนะ มีแต่น้อยมาก คนเซี่ยงไฮ้มารยาทดีกว่าเมืองอื่นๆ นะจากที่ไปมา 2 เมืองแล้ว แต่แบบเค้าจะไม่โจ่งแจ้งเท่าไหร่ จะเนียนๆมากกว่า คือเช่น มีเด็กวิ่งนำหน้าคิวเข้าไป แล้วผู้ใหญ่ก็ต้องวิ่งตามไปเรียกลูก แต่ๆ เราไม่เห็นชีจะวิ่งกลับออกมาเลยนะ 5555 อันนี้เคยเจอที่ญี่ปุ่นเหมือนกัน ก็รับได้อยู่ แต่โดยรอบ 90% เข้าคิวกันดีหมดทุกชาติพันธ์ครับ
อาหารเป็นไง อร่อยไหม แพงไหม>> เอาจริงๆ มีสาขาไหนไม่แพงบ้างละจ๊ะ 555 ในดีสนีย์ไม่อนุญาติให้พกของกิน น้ำ เข้ามาได้เว้นแต่ของลูกเล็กๆ เฉพาะจริงๆ ซึ่งเราก็สามารถอธิบายกับเจ้าหน้าที่ด้านหน้าตรงตรวจตั๋วได้เลย โดยรวมเมนูอาหารก็หลากหลาย และมีเมนูเฉพาะแบบจีนเข้ามาด้วย ก็ไม่ต่างกันกับของประเทศอื่นๆ ที่เคยไปนะ ถ้าเทียบสาขาใกล้ๆกันจีนเหมือนกันอย่างฮ่องกง เราว่าของฮ่องกงดูหลากหลายกว่านะ ส่วนราคาก็แพงหมดล่ะ ไหนๆมาแล้วก็ต้องยอมล่ะ คิดบวกๆเราจะได้ลองเมนูแปลกๆที่ยังไม่เคยกินกัน
ในภาพเราสั่งอาหารสไตล์จีนฟิวชั่นมา มีทั้งไก่ เนื้อ ปลาหมึก แยกเป็นเมนูๆ ไปส่วนตัวลองไก่กับปลาหมึกแล้ว อร่อยเลยนะ ปันกินไก่ก็ไม่มีบ่นใดๆให้มาเยอะด้วยกินเกือบไม่หมดเลย ราคาก็ว่ากันที่เริ่มหลัก 70-80หยวนเป็นต้นไป ถ้าสั่งเป็นเซ็ทก็เริ่มที่หลัก 100+หยวนขึ้นไป ได้น้ำและอาหารมาพร้อมๆกัน
ร้านในดีสนีย์มีเยอะนะครับอันนี้เราแวะที่ร้าน กับตัน Barbossa’s Bounty เพื่อนและคู่ปรับของแจ็คสแปโรว์ไง จำกันได้ใช่มะ
ตกแต่งดีมากเนียนสุดๆเลย ชอบบรรยากาศมาก แถมยังมีแจ็คสแปโรว์ มาถ่ายรูปกับแขกด้วยน้าาา ดีจ๊ะ
ขบวนพาเหรดดีไหม>> มาตรฐานดีสนีย์ต้องดีอยู่แล้ว ไม่ดีได้ไง นักแสดงในพาเหรดก็เนียนดีมากเค้าฝึกมาดีจริง
ถ้าเป็นตัวเด่นๆ เค้าใช้ต่างชาติเล่นเช่น เจ้าหญิงเอลซ่า เจ้าหญิงอันนานี้เรียกเสียงกรี๊ดจากเด็กๆ ได้สูงมากกก พลังทำลายล้างแรงจริงจังจ๊ะ พ่อแม่นี่โบกมือส่งต่อให้ลูกตัวเองกันใหญ่เลย มีระเบียบเรียบร้อยกันดีหมดเค้าจัดการได้ดีสมเป็นดีสนีย์เลย
และแน่นอนตอนค่ำกับโชว์พลุสุดท้ายก็งดงามตามท้องเรื่อง ด้วยความที่ปราสาทดีลนีย์ที่นี่คือปราสาทที่ใหญ่สุดในโลกของทุกสาขาแล้ว มันก็จะอลังการหน่อย ใครมาก็ต้องชมเลยนะ
โดยรวมที่คิดออกก็ประมาณนี้เลย ใครมาเที่ยวก็ไม่ต้องกลัวผิดหวัง ในส่วนของเครื่องเล่นคงต้องกลับไปใหม่เพราะหลายๆตัวเราเล่นไมไ่ด้เพราะปิด ตัวฮิตๆ ก็ยังโอเคหมด
แต่ที่เราชอบและเป็นความหวังของปันทริปนี้คือ Mavel Universe อันนี้ถือว่าทำได้ดีระดับนึงนะ
จริงๆอยากเล่นเครื่องเล่นมาร์เวลมากกว่า เพราะในนี้มีเครื่องเล่นแนวๆ VR ซะเยอะอยากเล่น Ironman หรือ Antman แบบสาขาอื่นๆเลยมากกว่า
ไม่เป็นไรเค้ามีเมื่องไหร่เราจะมานะ เราชอบ ตอนนี้กับที่มีในเซี่ยงไฮ้สนุกล่ะ และคิวไม่ยาวด้วย ผ่านๆ ปันชอบพ่อก็ชอบแม่ก็ไม่มีปัญหาจ๊ะ
การเดินทาง นั่งสาย 11 สีน้ำตาล มาลงที่ป้าย Disney Resort เลย สุดป้ายที่นี่ครับ ไกลสุดเพราะอยู่ห่างออกมาจากตัวเมืองหน่อย อ่ออยากลืมดูเวลากันนะ เที่ยวสุดท้ายถ้าจำไม่ผิดจะออกจากสถานีตอน 22.00 น นะครับ อยู่นานๆ เดี๋ยวตกรถไฟที่ต้องต่อเข้าเมืองนะ
8.Starbucks Reserve Roastery Shanghai สาขาใหญ่สุดอันดับสองของโลกปีนี้นะ 2019 (เดี๋ยวก็โดนโค่นไปอยู่อันดับสามแล้วล่ะ)
สำหรับที่นี่ถือเป็นการตามใจพ่อปันสุดล่ะ เพราะพ่อปันเป็นแฟน Starbuck เนื่องจากเป็นคนชอบนั่งทำงานใน Starbucks เกือบทุกวัน ทำให้สนิทชิดเชื้อกันดี และแน่นอนไหนๆมาแล้วจะให้ไม่มาแวะสาขาอดีตแชมป์เปี้ยน ของโลกที่ทุกวันนี้ตกมาอยู่อันดับสองของโลกในเรื่องขนาด จะว่าไปตอนมาเยือนเห็นอาคารข้างนอกครั้งแรกก็เออ จริงแหะ ใหญ่จริง ขนาดภายนอกเห็นแล้วก็ต้องเก็บภาพกันหน่อยแล้ว
เข้ามาด้านในเค้าจะแยกออกมาเป็น 2 ชั้นเลย
เราใช้เวลาวนเวียนอยู่ในร้านนี้กว่า 2 ชม. ด้วยความที่มันใหญ่
และอาหารเยอะมาก กาแฟแปลกๆ ที่มีเฉพาะมีที่นี่ก็มากคือ เมนูหลากหลาย กว่า คาปูร้อน เอสเพรสโซ่เย็น ที่เราสั่งกันบ่อยๆ ไปไกลมากนัก
ด้วยไอเดียบรรเจิดในการตกแต่งภายใน สตาบัคเลยยัดทั้งโรงคั่วกาแฟตั้งอยู่กลางร้าน กลายเป็น Signature ของสาขานี้และอีกหลายสาขาทั่วโลกที่เป็น Roastery แบบเดียวกัน แถมที่นี่ยังเป็น บาร์ของ Starbucks ที่ยาวที่สุดในโลกอยู่ตอนนี้ด้วยนะ
ตัวถังคั่วบดขนาดใหญ่ ที่ลวดลายเป็นภาษาจีน ดูแตกต่างและเฉพาะเจาะจงกับสาขานี้มากๆ อีกอย่างเค้ากันรั้วกระจกรอบมียามเฝ้า คงกลัวลูกค้าอย่างปันจะปีนป่าย
พอกั้นปั้บเราว่า เลยดูคล้ายกับเป็นโชว์การคั่วกาแฟผ่านเครื่องขนาดใหญ่โตไปกลายๆ ดูแล้วเพลินดีมาก
ตัวขนมปังและอาหารทั้งหมด ก็เป็นจุดเด่นที่อบและะทำกันสดๆ ใหม่ๆเสริพร้อนๆ กันตรงนั้นเลย อ่านข้อมูลมาบอกว่าเป็นของแบรนด์เบเกอร์รี่ Princi ของอิตาลี แถมเยอะจนลายตาไปหมด สั่งไม่ถูกกันทีเดียว
ส่วนที่แปลกตาคือ เสื้อผ้าที่ติดแบรนด์สตาร์บัคเอง อันนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน ปรกติจะเจอพวกแก้ว หมวกเคยเห็นครั้งนึงตอนไปญี่ปุ่น แต่ที่นี่อาจจะมี Co Brand กับแบรนด์อื่นๆผลิตให้ แต่ก็ประทับตราเป็น Stabucks ของตัวเองแทบทั้งหมด เว้นแต่ที่เสื้อผ้าที่นำแบรนด์นั้นๆ มาร่วมโปรโมทขายด้วยพร้อมกัน เอาจริงๆ ราคาก็สูงเว่อร์วังสไตล์เค้านั้นล่ะ แพงเลย
เอาว่าผมรีวิวไว้ให้ดูแล้วลองไปกันเองนะ สำหรับสาขาโตเกียวที่ขึ้นแชมป์อยู่ตอนนี้ เดี๋ยวปีนี้ได้ไปจะไปลองมาให้ครับ
ชีวิตวนเวียนนั่งทำงานในร้านนี้ตลอดทำให้รู้สึกว่าสาขานี้ความพิเศษเยอะมาก แต่ที่ขาดไปเลยคือบรรยากาศคนนั่งทำงานในร้าน ที่คุ้นตา กลายเป็นร้านที่นักท่องเที่ยวต้องแวะมา ก็ได้อีกฟิลลิ่งไปจ๊ะ
การเดินทาง นั่งรถไฟสาย2 สีเขียวมาลงป้าย West Nanjing Road ทางออก exit 2 เดินขึ้นมาเลี้ยวขวาจนถึงสี่แยก เจอเลย หาไม่ยากครับ แต่อย่าสับสนกับ Starbuck s อีกสองสาขาที่อยู่ใกล้ๆกัน (บอกแล้วมันเยอะมากที่นี่)
9.Shanghai Natural History Museum พิพิธภัณฑ์สุดอลังการงานสร้าง เหมือนเอา Jurassic Park ย้อนเวลามาให้เด็กดู
มาถึงมิวเซียมอันเดียวที่เราพาปันเค้าเข้าไปดู อันนี้อยากแนะนำมากๆ มันสนุกเพลิดเพลินที่สุด เรียกว่าเหมาะกับทุกเพศวัยทุกครอบครัว เลย เพราะวันที่เราไปเจอวัยรุ่นจีนมากันเยอะมากแสดงว่าเค้าทำดีจริง ไม่ได้เฉพาะเด็กกับผู้ใหญ่ที่มาเท่านั้น
การจัดการต่างๆดีมากส่วนของตัวอาคารก็เท่ ออกแบบมาเป็นทรงโค้งเท่เลย
เข้ามาด้านในต้องเสียตังซื้อตั๋วก่อนนะ สนนราคาก็อยู่ที่ผู้ใหญ่ 30หยวน เด็กก็ ครึ่งราคา 15 หยวน ที่สำคัญวันที่เราไปเค้ามีโปรพอดีลด 50% ค่าตั๋วเข้าลดหมด อ่อเค้ามีตัวหูฟังและเครื่องให้เช่าเป็นภาษาอังกฤษด้วยนะ ถ้าต้องการทราบรายละเอียดแบบฟังเข้าใจก็เช่าได้เลย
ด้านในจะแยกเป็นโซนต่างๆแบ่งกันไปตามชั้นและมีบันไดวนเป็นตัวเชื่อมแต่ละชั้นเค้าด้วยกันแบบเนียนๆ
ไฮไลท์ก็อยู่ตรงโซนสัตว์โลกล้านปีก่อนเลย มากันครบทั้ง ทีเร็กซ์ ทั้งแมมมอธ ทั้งเสือเขี้ยวดาบ ทำมาอลังการมาก โดยเฉพาะ ทีเร็กซ์ที่ทำให้ขยับและส่งเสียงได้ ผมชอบมากปันก็ชอบ เค้าดูสนใจมากๆ
หลักๆ ที่พิพิธภัณฑ์นี้เน้นให้เรารู้จักสัตว์โลกยุคโบราณมาจนถึงปัจจุบัน เพราะงั้นด้วยพื้นที่ทั้งหมดจะเอาให้ทั่วแนะนำครึ่งวันอย่างน้อย หรือก็ต้องมี 1-2 ชม.ทีเดียว
เอาว่ามาแล้วก็ควรต้องมาเที่ยวกันเพราะเที่ยวง่ายและทำถึงมาก สัตว์ที่เป็นแบบย้อนยุคก็ทำได้เนียนมาก
การเดินทาง สะดวกมากเพราะมีรถไฟสาย 1 สีแดงมาถึง Natural History Museum Station เดินขึ้นมาถึงทางเข้าเลยง่ายมาก
10.Haidilao Hotpot สุดยอดชาบูในตำนาน 6 ดาวยกให้เลย
มาถึงเรื่องกินกันบ้าง สำหรับร้านชาบูหมาล่าร้านนี้ คนไทยมากี่คนก็ต้องมาลองและชมกันทั้งนั้น เราก็เช่นกัน ไม่ต่าง แถมพอมาหาข้อมูลกันจริงๆ แล้วเค้าเปิดสาขาทั่วโลกมากกว่า 300 สาขาแล้ว เฉพาะในจีนก็ไปเกิน 200 กว่าแล้วมั้ง สำหรับชาบูเจ้านี้ จุดเด่นนอกจากเรื่องรสชาติ และความหลากหลายของ น้ำชุป ที่เราว่าเออเจ๋งดีจริง เพราะสามารถสั่งได้สูงสุดถึง 4 น้ำซุปกันเลย
อย่างที่เราสั่งมานี่มีหมดทั้งแบบหม่าล่า และแบบน้ำซุปกระดูกหมู แบบหมาล่าเผ็ดธรรมดา แบบเผ็ดสุด และแบบซุปเห็ด จริงๆเค้ามีให้เลือกมากกว่านี้อีกนะแต่สั่งมาได้หม้อนึงแค่ 4 น้ำซุปเท่านั้น
แต่เอาจริงๆ จุดที่เด่นดังที่สุดระดับไม่มาพิสูจน์ด้วยตัวเองไม่ได้เลย คือ การบริการต่างหาก เพราะที่นี่เค้าใส่ใจกับการบริการลูกค้ามากกว่าปรกติ ตั้งแต่ เดินเข้ามาในร้านพนักงานไม่แค่ยิ้มแย้มแจ่มใส่ เอาว่าแทบจะโค้งคำนับกันจนหัวนี้ไม่โงขึ้นมาเลย
จากนั้นเข้ามาถ้าเจอแบบต้องรอคิวเข้ามี ถั่วแบบใส่ถาดเป็นช่องๆ ให้เรานั่งกินเล่นได้ มีอีก อันนี้เอาใจสาวๆ แม่ๆทั้งหลายอย่างดีคือบริการทำเล็บจ้า ฟรีด้วยนะ ทำให้สำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลายที่ต้องเสียเวลารอคิว ยังๆๆไม่หมด มีโซน Kids Club ให้กับเด็กเล็กๆที่อาจจะต้องนั่งรอเบื่อๆ วนเล่นไปลูก
มาถึงการเข้ามานั่งกันบ้างหลังจากนั่งแล้วเรามีกระเป๋าใช่ไหม เค้าจะมีผ้าคลุมกระเป๋าให้ด้วยกันน้ำซุปกระเด็นใส่ เอ้ยอันนี้ไม่เคยเจอเลย
ยังไม่หมด คุณผู้หญิงที่ผมยาว เค้ามีบริการยางรัดผมให้ด้วย เผื่อกินแล้วเหงื่อมันออกเลอะมือเด่วกินไม่ถนัด
ของเด็กก็มีนะ ปันนั่งปุ๊บ ยื่นของเล่นให้เลยจ้า ดูหน้าตาเด็กน้อยสิ ให้ฟรีเลยนะ ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มหรือจริงๆจะอยู่ในราคาของอาหารแล้วก็ไม่รู้ได้
มาถึงตอนสั่งกันบ้าง เค้าจะมีเป็น Ipad ให้เราจิ้มๆได้แม้จะเป็นภาษาจีนก็เข้าใจได้ไม่ยากเพราะมีเป็นภาพให้เราดูเลย เด็กยังสั่งได้เลย
สั่งเสร็จ ยังมีหุ่นยนต์มาเสริพอีกนะเธออออ โอ้วทันสมัยมากด้วยมาเสริพให้ถึงโต๊ะเลยอ่ะ เท่มาก
ยังๆมีอีก หากคุณสั่งเส้นหมี่นะ จะมีบริกรหนุ่มหน้ามนคนหน้าเด้ง มาออกลีลาโยนเส้นหมี่ให้เราดูด้วยก่อนจะ บริการหั่น และตักลงหม้อให้เสร็จเลย เท่มากก สาวๆโต๊ะเรานี่ตาหวานกันเลย 555
และบริการสุดท้ายที่เราไม่คิดว่ามันจะมีได้เลย แต่ร้านนี้มีคือ แกะเปลือกกุ้งให้เราเลย เฮ้ยยย อันนี้งงมาก คือถ้าแฟนคุณยังไม่แกะให้เรียกพนักงานมาแกะให้คุณได้เลยจ้า ทั้งหมดนี้เต็มใจบริการล้วนๆ คือเรานี้เอาใจไปเต็มๆเลย ใครมาแล้วไม่มาลองจะเสียใจนะ
ราคาจะไม่ใช่เป็นบุฟเฟ่ต์นะครับแต่เอาจริงๆ ไม่ได้ถูกมาก เรามากัน 5 คนหารเฉลี่ยก็ตกคนละ 600 กว่าบาทได้อิ่มกันถ้วนหน้าเลย ถือเป็นเซอร์ไพรส์ที่สุดแล้วสำหรับทริปนี้
การเดินทาง สำหรับ Haidilao Hotpot มีกระจายอยู่ทั่วเซี่ยงไฮ้เลย กับสาขาที่เราไปมาได้ด้วยรถไฟใต้ดินสาย1 สีแดง และ สาย 7 สีส้มมาถึงขึ้นมาเจอเลย สถานี Changshou Road Station ได้เลย เดินเลี้ยวมองหาตึกด้านบนนี้เจอก็มีลิฟต์บริการพนักโค้งจากบ้านมาเลยจ้า
11.Zhu jia Jiao Water Town เมืองริมสายน้ำโบราณของเซี่ยงไฮ้
สำหรับที่นี่แล้วเป็นอีกทีๆตั้งใจใส่เข้ามาในโปรแกรมของเราเลย และเป็นแบบค่อนวันด้วยเพราะการเดินทางจะห่างจากตัวเมืองเซี่ยงไฮ้มาพอสมควร ให้นึกถึงอารมณ์ไปตลาดน้ำอัมพวาจากกรุงเทพฯนั้นละ
เรามีเวลาอยู่ 1 วันที่อยากหาที่เที่ยวรอบนอกของเมืองบ้าง เพราะใช้เวลาขึ้นๆลงๆ รถไฟใต้ดินทุกวัน เที่ยวดูความศิวิไลซ์ของมหานครแห่งนี้ จนอยากหาความออริจินอลแบบในหนังจีนที่เราเคยดูกันบ้าง และไม่ผิดหวังเมื่อรู้ว่า
เซี่ยงไฮ้มีเมืองริมน้ำให้เที่ยวกระจายอยู่รอบๆ เต็มไปหมดถึง 8 แห่งกันเลย
เอาละสิพอมีตัวเลือกเยอะแบบนี้เราจะไปไหนกันดีละ หลังหาข้อมูลพักนึง ก็มาจบที่ เมืองโบราณริมน้ำ Zhujiajiao Ancient Water Town หมู่บ้านโบราณริมน้ำ ที่ไม่ไกลจากการเดินทางจากในเมืองนัก
เสน่ห์สำคัญของเมืองนี้คือ
ยังคงอนุรักษ์บ้านเรื่องริมสองฝั่งแม่น้ำไว้สวยงามแบบสภาพเดิมๆ
ที่สำคัญ การเข้ามาเที่ยวในเมืองก็ฟรีด้วย (เมืองริมน้ำในเซี่ยงไฮ้ ส่วนใหญ่จะเก็บตังค่าเดินเล่นตั้งแต่แรก)
ถ้าอยากเข้าจุดสำคัญๆ ที่มีอยู่ทั้งหมด 8 จุด เค้าก็มีพาสขายนะ แถมยังรวมกับการล่องเรือเที่ยวได้อีกด้วย
อีกกิจกรรมที่มีเฉพาะเมืองแห่งนี้คือ การเช่าชุดจีนโบราณแต่งตัวเดินเที่ยวถ่ายรูปได้ด้วย คอสเพลย์นั้นเอง
โดยเฉพาะชุดของสาวๆ สวยมาก หลากหลายเลยทีเดียว มีชุดให้ปัน ให้หนุ่มๆแต่งด้วยแต่อาจจะน้อยกว่าของสาวๆ
เลือกชุดแล้วยังสามารถเอาไปเดินเที่ยวเก็บภาพกันได้ด้วย สนนราคาว่ากันเป็น ชั่วโมงๆไปแต่ละร้านเฉลี่ยใกล้เคียงกัน
ร้านที่เราเลือกจะคิด 50 หยวน/ชั่วโมง ถูกมากนะเพราะก็ตก 200 กว่าบาทเอง ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ แถมยังมีพร็อบอย่างกระบี่ให้ยืมไปถ่ายรูปด้วยกันได้ไม่คิดตังด้วยนะ
เหมาะมากกับการเที่ยวเต็มวันนะครับ แนะนำเลย
อย่างที่บอกเราเลือกจองเป็น รถเช่าแบบทัวร์เดยทริปจาก #KKDAY สนใจเข้าไปดูกันได้ที่นี่เลยครับที่สำคัญลด 5% อีกสำหรับแฟนๆ ของเรา แค่กรอก one22 เข้าไป และ กดlink นี้เลย http://bit.ly/2EuxH87
คนขับเป็นจีนนะครับ แต่ไม่ต้องกลัวเรื่องสื่อสาร เพราะแค่ระบุเส้นทางขาไปรับตรงไหน ส่งตรงไหนตอนกลับแค่นี้ก็ไปได้แล้วคนขับก็ขับดีครับ บริการดี ขากลับนี่หลับกลับมากันทั้งคันเลย
ส่วนตัวประทับใจกับเมืองโบราณนี้มากจนคิดว่าถ้ามีทริปหน้ามาเซี่ยงไฮ้ จะขอไปให้ครบทั้ง 8 ที่เลย
วิธีเดินทาง กรณีไม่ใช้รถเช่านะครับ
ให้นั่งรถไฟใต้ดินสายสีฟ้า สาย 8 มาลงที่สถานี DASHIJIE STATION แล้วเดินไปด้านข้างของ SHANGHAI CONCERN HALL ฝั่งตรงข้ามจะมีป้ายรถบอกมาที่ Zhu Jia Jieo ขึ้นรถบัส Huzhu Express Line [沪朱高速快线 รถจะสีชมพูครับ นั่งมาราวๆ ชม.ครึ่งได้นะ
อีกวิธีคือนั่งรถไฟ metro สายสีน้ำตาล สาย 17 ให้ลงสถานี ZHUJIAJIAO STATION เดินอีกราวๆ 12 นาทีก็ถึงครับ
ที่พักสุดสะดวกใกล้สนามบิน
ขอปิดท้ายกันที่ตรงการพัก แน่นอนมาเซี่ยงไฮ้จะให้ไม่เล่าเลยก็จะแปลกๆ สำหรับการเข้าพักที่นี่นั้นเรามีอยู่สองแห่งโดยแยกออกมาเป็นสำหรับคืนแรกและคืนสุดท้ายในเซี่ยงไฮ้ คือที่ โรงแรมในสนามบินอย่าง โรงแรมต้า จง ผูตง แอร์พอร์ต เซี่ยงไฮ้ (Da Zhong Pudong Airport Hotel Shanghai)
ตัวโรงแรมจะอยู่ในบริเวณสนามบินแบบเดินข้ามฟากออกมาจาก Arrival Gate เดินตรงออกมายาวๆมาทางเดียวกันกับไปขึ้นรถไฟ Maglev และรถไฟใต้ดิน เดินมาเรื่อยๆเจอเลย จะมีลิฟท์อยู่ตรงกลาง และให้เราขึ้นลิฟท์มา เปิดลิฟท์จะมีสองด้านเลือกด้านใดก็ได้นะครับ
ถ้าตามลูกศรก็ไปทาง NORTH ก็ได้ เข้ามาเช็คอินเรียบร้อย เค้าจะแยกออกเป็นฝั่งเช็คอินกับเช็คเอ๊าท์นะ และเค้าจะมีการรูดมัดจำบัตรเครดิตไว้ก่อน ตอนเช็คเอ๊าท์ออกจากยกเลิกให้
มาดูห้องพักกันดีใช้ได้เลย ห้องที่เราเลือกเป็นห้อง แบบ Double Bed Queen size + Single Bed นอนกันสามคนลงตัวมาก
มองวิวกลับไปที่ฝั่งตรงข้ามจะเจอตัวสนามบินที่เราเดินกันมาเรียกว่าใกล้สุดๆเลย
ห้องน้ำก็ใช้ได้สะอาดสะอ้าน อุปกรณ์มาตรฐานครบครับ
น้ำดื่มมีให้ 2 ขวด
มาดูอาหารเช้าบ้าง ก็จะเป็นพวกผักเยอะหน่อย เนื้อสัตว์ก็เป็นประเภทพวกหมู และไก่ผัดสไตล์จีน กินได้ แต่ไม่ได้ถึงกับอร่อยมากนัก
โดยรวมต้องบอกว่าใช้ได้เลย เราพักสองคืนคือ คืนแรกที่มาถึงมันดึกแล้วอยากพักเร็วๆ เช้ามาก็ได้เที่ยวต่อเลย กับคืนสุดท้ายที่บินกลับไฟลท์ดึกหรือจริงๆเรียกว่าเช้ามากก็ได้นะเพราะบินตอน 02.00 น ก็เลยเลือกพักที่นี่เพื่ออาบน้ำอาบท่าจัดกระเป๋าใส่ชุดพร้อมนอนไปเช็คอินกันเลย
#ตัวช่วยจากเรา ถ้าทุกคนอยากประหยัดค่าที่นอน โรงแรมที่พักในสนามบินใช้ LINK นี้เลยครับ http://bit.ly/2WBUtAS
จะช่วยลดราคาลงได้ 1,000 บาทจากค่าโรงแรมที่จ่ายเกิน 2,000 บาทขึ้นไป ใช้ได้ 1 ครั้งต่อ 1 User เท่านั้น อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
ราคาเราจองก็ราวๆ 2,000+บาท ต้องดูช่วงเวลาจองดีๆ เพราะวันกลับเราตัดสินใจช้า จองก่อนแค่ 1 วันเลยเสียเงิน 3,000+บาทแต่ก็โอนะหารกับน้องที่ไปด้วยกัน เพราะอาศัยแค่อาบน้ำแต่งตัวกันอย่างเดียวก็คุ้มละ
ที่พักสุดเร่ิดที่สุดในทริปนี้
มาถึงที่พักที่เราของยกให้ความเริ่ดที่สุดของทริปเลย ” Sofitel Shanghai Hyland ” อยู่บนถนน Nanjing Road เลย ใกล้สถานีรถไฟใต้ดินระดับ 150 เมตร
ตำแหน่งใกล้สะดวกทุกสถานี ทั้ง Nanjing East Road หรือจะ People Square ก็ใกล้หมดเดินกันไม่เยอะแถมอยู่กลางย่านกินเที่ยวช้อปปิ้ง ทั้งหมดอีกต่างหาก
ทีแรกเราหาไม่เจอเพราะเจอป้าย Huawei เด่นมาก ตัวช้อปฯอยู่ด้านหน้าเลย เดินไปด้านหน้าเจอทางเข้าพร้อมชื่อเลย ไม่ยาก
เข้าไปก็ขึ้นลิฟต์ไปเช็คอินชั้นบนได้เลย
อย่างที่บอกที่เลือกที่นี่เลยเพราะสะดวกมากเรายึดที่นี่เป็นที่นอนและไปมาสะดวก ราคาอาจจะสูงหน่อย แต่ถ้าจองล่วงหน้าตั้งแต่รู้ว่าจะไปราคาก็จะดร็อปลงมาให้พร้อมมีโปรส่วนลด
ห้องที่เราพักมารู้ทีหลังว่าเค้าอับเกรดให้ด้วย โห้ยดีใจมาก เพราะเป็นช่วงโปรฯพอดีเริ่ดมาก ทำให้ได้เป็นห้อง Junior Sweet พร้อมเตียงเสริมอีก 1 เตียง แน่นอนเตียงนี้ ของพ่อปันเองจ้า
ดูเด็กน้อยสิมานอนเย้ยเรา ทำตาใสๆ พอถามว่าจะนอนตรงนี้ไหม ส่ายหน้าทันที
ตัวห้องดีมากๆได้ห้องหัวมุมพอดี มีแยกโซนรับแขกให้ น้ำเปล่ามีให้ 4 ขวดวางด้านนอก ทีเด็ดคือ มีน้ำ Evian ให้ด้วยขวดนึง อันนี้ดีมาก
ห้องพอแยกเป็นสองโซนก็กว้างขึ้นมาก
ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำแช่ได้ ปันชอบมากจ้า เป็นเด็กติดอ่างนะคนนี้
ข้อดีอีกอย่างที่เริ่ดมากคือ อับเกรดห้องแล้วสามารถขึ้นไปใช้ Lounge เค้าได้ด้วยนะ ข้อดีตรงมีให้เฉพาะกับแขกที่พักชั้น High Zone ขึ้นไปเท่านั้นสามารถขึ้นมากิน Breakfast, Afternoon tea และตอนเย็นกับ Cocktails Dinner buffet ที่ club Sofitel ได้ด้วยเริ่ดสุดๆ จ่ายแพงมันก็ต้องได้แบบนี้ละ เธอออ
เราขึ้นมาเกือบจะปิดแล้วเค้าปิดตอน 20.00 น.เพราะงั้นใครมาพักที่นี่เผื่อเวลาไว้ด้วย วิวบนนี้แจ่มมาก
อาหารก็ดีมีความหลากหลาย แซลมอนรมควัน ไวน์ เครื่องดื่มทั้ง แอลฯ และ ไม่แอลฯ เสริพตลอดเวลา เลือกทานได้เลย เริ่ดสุดๆ
เช้ามาเจอกับบุเฟ่ต์ อาหารเช้าสุดอลังการเข้าไปอีก ห้องอาหารอยู่ที่ชั้นเดียวกันกับ Lobby ที่เรามา เช็คอินครับ
มีครบหมดทั้ง จีน ทั้งตะวันตก
ขนมก็ครบมาก เรียกว่าคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไปเลยครับ
เอาว่าเราขอยกให้ที่นี่เป็นที่พักสุดกิ๊บ ประจำทริปนี้เลย แนะนำให้จองมาช่วงโปร ทั้งของ Accor ก็ดีหรือโปรของ Booking , Agoda ให้จองมาได้เลย
#ตัวช่วยจากเรา นี้เลยครับ http://bit.ly/2WBUtAS
จะช่วยลดราคาลงได้ 1,000 บาทจากค่าโรงแรมที่จ่ายเกิน 2,000 บาทขึ้นไป ใช้ได้ 1 ครั้งต่อ 1 User เท่านั้น อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
ขากลับแล้วครับ เราก็บินกลับด้วย Nokscoot เช่นขามา เจ้าหน้าที่ฝั่งจีนก็น่ารัก ไม่ได้ดูห้วนๆ คือแบบไม่ได้ไม่ยิ้มแย้ม แบบที่เราคิดไว้ และยังช่วยแยกแถวให้พวกเราเหมือนขามาด้วย นอนกันยาวๆ เลยทีเดียว
เห็นรอยยิ้มจาก น้องแอร์ฯ ก็ชื่นใจแล้ว
ขากลับหลับยาวๆ จนลืมกินอาหารที่สั่งมาเลยกันที่เดียว 55
สรุปกันหน่อย
จบแล้วครับสำหรับ รีวิว 12 ที่กินเที่ยวเซี่ยงไฮ้ สไตล์ครอบครัว รีวิวนี้จะเปลี่ยนความคิดคุณไปตลอดกาล
เป็นอีกทริปที่สวย สะอาด ทันสมัย ไม่น่ารำคาญ อย่างที่ใครๆเค้าบอกกัน หรืออาจะเพราะเรามองบวกๆ ไว้ตั้งแต่ก่อนมา ว่าถ้าจะเจอแซงคิว เจอเสียงดัง เจอนู้นนี่ ชั้นจะทำใจให้ได้และพอมาจริงๆ ดีเกินกว่าที่คิดไว้หลายเท่านัก อาจจะมีบ้าง แต่ก็นะ มันเป็นสิ่งเล็กน้อย ที่เราสามารถเลี่ยงได้
ที่เขียนมาทั้งหมดมาจากประสบการณ์ที่พบเจอจริงไม่มีอวยเว่อร์แต่อย่างใด เซี่ยงไฮ้ ถ้าไม่ต้องขอวีซ่าเสียเงิน เราจะมาให้บ่อยกว่านี้เลย เพราะแค่นี้ยังไม่ครบที่อยากไปจริงๆ ทั้งหมด หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้แต่ละบ้านพาลูกออกไปท่องโลกกว้างกันต่อนะครับ
จนกว่าจะพบกันใหม่ในโลกสีฟ้านี้
สวัสดี
#แค่อยากพารู้จักโลกกว้าง #one22family