ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค ผู้กำกับที่ผมชื่นชอบในสไตล์การทำหนังที่ไม่เหมือนใคร และหาใครทำได้เหมือน นับตั้งแต่เรื่องแรกกับการสร้างเครดิตให้ตัวเองอย่างมากกับหนัง “รักออกแบบไม่ได้” (เขียนบท)มาจนถึง หนังเรื่องแรกในชีวิตจริงๆที่เหมางานกำกับและเขียนบทเองเมื่อสิบกว่าปีก่อนอย่าง ” มือปืน โลก พระจันทร์ “ ที่สร้างคาแรคเตอร์ฮิตๆให้กับนักแสดงทุกคนในเรื่องนี้ได้เกิดและเ็ป็นที่จดจำในยุคสมัยนั้น จนสามารถนำมาสานต่อความสำเร็จโดยแยกเป็นซีรีย์ของตัวละครต่อมาได้ อย่างเรื่องล่าสุดอย่าง “มือปืนดาวพระเสาร์” และที่กำลังจะออกฉายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้อย่าง “หมาแก่อันตราย เป้ ท่าทราย “(Friday Killer) สิ่งหนึ่งที่ได้จากการชมหนังทุกๆเรื่องของ คุณต้อม ก็คือ เอกลักษณ์ส่วนตัวครับ หรือจะเรียกว่าลายเซ็นก็ได้ ที่มีประทับในหลายๆส่วนของหนังทุกๆเรื่องของแก ผมว่าไม่ง่ายเลยครับ ที่ใครซักคนจะสร้างบุคคลิกของภาพยนต์ที่ตัวเองกำกับ และใส่ไว้ในหนังได้ชัดขนาดนี้ เรียกว่าใครดูก็รู้ได้ทันทีว่านี้คือหนังของ “ต้อม ยุทธเลิศ “ แน่นอน
แต่กับหนังใหม่ในแนวบู๊แอ็คชั่นเอาใจวัยรุ่นสุดๆอย่าง “บางกอกกังฟู” กลับทำให้ผมแปลกใจมากๆ แปลกใจจนถึงขณะที่เขียนบทความนี้อยู่ก็ยังไม่หาย เรียกว่าอึ้งก็เป็นได้ เดี๋ยวว่ากันต่อ กลัวจะกลายเป็น spoil หนังเกินไป แต่บอกไว้ก่อนที่จะอ่านต่อนะครับ ถัดจากบรรทัดนี้เปิดเผยเนื้อเรื่อง ของหนังบางส่วนนะครับ
เรื่องย่อ
โป้ง, ชิ, กา และ นา กลุ่มเด็กน้อย 4 คน ที่ถูกแก๊งค์ค้ามนุษย์ลักพาตัวไปเพื่อบังคับให้เป็นขอทาน พร้อมทั้งถูกทารุณกรรม โป้ง (เป้ อารักษ์) ถูกตัดลิ้นด้วยมีดตัดต้นไม้จนพูดไม่ได้ ชิ (แบงค์ แบล็ควานิลลา) ถูกแทงจนตาบอดทั้งสองข้างด้วยไม้เสียบลูกชิ้น กา (โทโมะ Kotic) ถูกตบบ้องหูจนหนวก และ นา (มาริโอ้ เมาเร่อ) ถูกทุบหัวจนกลายเป็นคนสติเลอะเลือนไม่เต็มเต็ง พวกเขาถูกแกงค์ค้ามนุษย์ร่อนเร่ขอทานไปตามจังหวัดต่าง ๆ จนมาถึงกรุงเทพฯ ที่นั่นพวกเขาได้พบกับชายชราจีนที่มีชื่อว่า อึ้งเสี่ยวหงษ์ อาจารย์ผู้ทรงวิทยายุทธ์ผู้สืบทอดคนสุดท้ายแห่งพรรคจันทรา กับเด็กผู้หญิงชื่อ กอหญ้า (แก้ว เฟยฟางแก้ว) ซึ่งชายชราได้ช่วยเหลือทั้งสี่คนออกมาจากพวกแก๊งค์ค้ามนุษย์ และนั้นคือ วันแรกที่เด็กทั้งสี่ได้รู้ว่า “สุดยอดวิชากำลังภายในนั้นมันมีอยู่จริง”
เวลาผ่านไปสิบห้าปี โป้ง ชิ และ กา ได้รับการถ่ายทอดวิทยายุทธ์จากชายจีนแก่ ซึ่งพวกเขาเรียกว่า อาจารย์ พวกเขารวมตัวกันเป็นทีมนักฆ่า รับจ้างฆ่าคน และเพื่อการกลับมาล้างแค้นมาเฟียขอทาน ที่ลักพาตัวพวกเขามา ผ่านช่วงของเวลาล่วงเลยไป ความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ กอหญ้าคิดในใจว่า โป้งชอบตน เนื่องจากกล่องลูกแก้วที่โป้งมอบให้ไว้แทนใจ แต่โป้งมิได้เอ่ยปาก หรือแสดงปฏิกิริยาต่อเธอแต่อย่างใด กอหญ้าไม่สามารถเก็บความในใจไว้ได้อีกต่อไปแล้ว และต้องการรู้ความจริงจากปากของโป้ง แต่โป้งกลับปฏิเสธว่า “กล่องลูกแก้วนั้นไม่ใช่ของตน!”
ในขณะเดียวกันโป้งได้รับว่าจ้างฆ่าน้องชายของพรรคสุริยัน เป็นสาเหตุให้หัวหน้าพรรคโกรธมาก และเมื่อสืบรู้ว่าคนที่ฆ่าน้องชายของตนคือ คนของพรรคจันทรา พรรคคู่อริที่เขาตามหามานานย้ายมาอยู่ที่เมืองไทยนั่นเอง ศึกการล้างแค้นครั้งยิ่งใหญ่จึงเกิดขึ้น แต่แล้วในที่สุด อาจารย์ และนาเพื่อนรักของพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการลอบทำร้ายของพรรคมาร หน้าที่ในการปกป้องอาจารย์ และนา จึงตกเป็นของ โป้ง ชิ กา และกอหญ้า ทุกคนต่อสู้กับพรรคมารสุดชีวิต หมู่บ้านเล็ก ๆ อันแสนสงบกลายเป็นสนามประลองยุทธ์
————————————————————————————
ผู้กำกับดูตั้งใจจะสร้างสไตล์ให้แตกต่างจากแนวแอ็คชั่นเดิมๆของหนังไทยยุคหลังๆที่เน้นฉาก สตันท์ สมจริง และโลดโผน ดุดัน อย่างที่เราเริ่มคุ้นตากันแล้วกับหนังอย่าง องค์บาก,ช็อกโกแลต และอีกหลายๆเรื่องในช่วงหลังๆมานี้ จะว่าไปพล็อตแบบนี้คุ้นๆกันดีในหนังกังฟูกำลังภายในหนังจีนอยู่แล้ว องค์ประกอบหลักๆของหนังจีนกำลังภายในต้องมีคือ มีรักสามเส้า, มีฉากฝึกฝนวิชา, ศัตรูมาฆ่าบุคคลที่เป็นที่รักทำให้แค้น, จนเป็นที่มาของการตามล้างแค้นของฝ่ายพระเอก ฯลฯพล็อตเรื่องอมตะในหนังจีนที่หยิบมาสร้างกันตลอดในหลายทศวรรษที่ผ่าน แม้พล็อคเรื่องจะคุ้นๆ แต่ความน่าสนใจอยู่ที่การวางตัวนักแสดง,นักร้อง ที่กำลังได้รับความนิยมจากต้นสกัดของค่าย เป็นเสมือนแม่เหล็กที่ดึงกลุ่มเป้าหมายของหนังอย่าง กลุ่มวัยรุ่นให้ตีตั๋วเข้าชมได้ไม่ยาก ถ้าดูแบบไม่คิดมากก็ถือเป็นหนังวัยรุ่นอีกเรื่องที่ยิงตรงกลุ่มเป้าหมายชัดเจน แต่ถ้าว่ากันนี้มันคือหนังของ ขวัญใจผมแล้ว ต้องบอกว่าผิดหวังมากกว่าทุกๆเรื่องแม้แต่เรื่องที่เคยผิดหวังมาแล้วอย่าง ครั้งทำ บุปผาราตรี 2 ภาคหลังสุด 3.1-3.2 ซะอีก
เปิดเรื่องมา 15 นาทีแรกกับการสร้างปมเรื่องที่กระแทกความรู้สึกคนไทยในเมืองหลวง ด้วยฉากทรมานเด็กๆที่ถูกจับมาเป็นขอทาน ภาพเด็กๆเรี่ยรายเงิน ถูกบังคับให้ขอทาน เป็นภาพที่แสนคุ้นชินตาสะท้อนชีวิตคนเมือง จะว่าไป15 นาทีแรกคือส่วนที่ตรึงคนดูและตัวผมให้อินกับหนังได้อย่างรวดเร็ว เิปิดปมแรงๆได้ผลมาก และเป็นปรกติในหนังทุกเรื่องของผู้กำกับ ที่มักจะหยิบจับปมหรือประเด็นของสังคมมาเล่าใหม่ในมุมมองของตนเองเสมอ และนี้ล่ะที่ผมถือว่าเป็น ลายเซ็นเฉพาะตัวของเค้านั้นเอง
บางครั้งหยิกพอขำ บางครั้งก็เล่นแรงๆว่ากันที่ประเด็นใหญ่ๆของสังคมก็มี (มือปืนดาวพระเสาร์) ก่อนจะพาคนดูไปสู่ การเล่าเรื่องตามแกนหลักๆของหนังกันต่อ และใน บางกอกกังฟู ก็เป็นเช่นนั้น เพราะหลัง 15 นาทีผ่านไปประเด็นเรื่องที่ปูมาดีๆตอนต้นก็ถูกกลบไปหมด กับการโชว์ฉากแอ็คชั่นในแนววิทยายุทธ์ ที่พาเหรดมาเป็นระยะๆตลอดทั้งเรื่อง ดูสมจริงบ้าง ไม่สมจริงบ้างก็พอให้อภัยกันได้ไม่ยากเพราะรู้ๆกันดีว่านักแสดงทุกๆคนพยายามที่สุดที่จะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบทของตนเอง
ในกลุ่มนักแสดงทั้งหมด ผมติดใจ มาริโอ้ มากที่สุด บทเด็กพิการทางสมองอันเกิดจากความกระทบกระเทือนในวันเด็ก ดูเนียนมากๆเล่นน้อยได้มาก เรียกว่าศึกษาบุคคลิกของเด็กพิเศษแบบนี้ซะจนเชื่อสนิทใจว่าใช่เลย
แต่กับคนอื่นๆ อย่าง เป้ อารักษ์ เรื่องนี้ในบทมาดเซอร์ๆคุ้นๆตา กับเมื่อถึงเวลาต้องพูดออกมาก็กลายเป็นไอ้ใบ้แบบที่คงเป็นความตั้งใจอยากให้คุณดูได้ขำกับการเห็นพี่เป้ เสลอ พูดแบบลิ้นจุกปากตลอดเวลา ดูไปก็ไปกันได้แบบรอดตัว ดูตลกและขำในความไม่ตั้งใจก็หลายฉาก รวมถึง แบงค์ แบล็กวานิลลา ในบทคนตาบอด ท่วงท่าการแสดงก็ดูทะมัดทะแม่งดีและดูดีในแบบปิดบังสายตาเพราะอยู่ใต้แว่นดำตลอดทั้งเรื่อง หรือ โทโมะ กับการเล่นหนังเรื่องแรกในชีวิตกับบท การ์ เด็กหูหนวก ก็เอาตัวรอดไปได้แม้ในบางฉากที่ต้องใช้อารมณ์ทางสายตาเพื่อบ่งบอกความรู้สึกๆลึกๆในใจที่เก็บไว้ไม่อาจบอกให้ นางเอก ให้รู้ได้ถ้าฝึกฝนวิทยายุทธ์ทางการแสดงให้ดีกว่านี้จะทำให้เห็นพัฒนาการต่อๆไปได้แน่ๆ
แต่กับ น้องแก้ว นางเอกคนเดียวของเรื่อง คงต้องเพิ่มชั่วโมงบินให้มากกว่านี้ถ้าจะเอาจริงเอาจังกับการแสดง เพราะที่เห็น ยังดูแข็งและติดภาพลักษณ์ของความเป็นนักร้องอยู่มาก จะเพราะบทบาทในเรื่องแสดงเป็นคนที่มีวิทยายุทธ์ (ที่ไมไ่ด้ใช้)แต่อยากเป็นนักร้องก็เป็นได้ เพราะบทบาทเป็นนางเอกดีๆพอประกบกับดารากลุ่มใหญ่ก็ถูกกลืนหายไปกลายเป็นตัวประกอบไปซะดื้อๆไนอกจากเป็นตัวละครที่เปิดประเด็นให้เนื้อเรื่องเดินไปต่อก็เท่านั้นจริงๆ
แต่ที่หนักที่สุดที่งานนี้รับไปเต็มๆอย่างที่บอกก็ต้องเป็น ต้อม ยุทธเลิศ ที่เหมาทั้งงานเขียนบท-กำกับไว้ทั้งหมด ที่งานนี้หนักหนาเอาการ หนังไม่ลื่นไหลและทำให้คนดูเชื่อในเหตุการณ์ต่างๆ ที่ดูเหมือนเป็นไปด้วยความง่ายดายและขาดความเป็นเหตุเป็นผลให้ติดตามชมได้สนิทใจ พอมันเป็นแบบนั้นก็เลยเป็นเหมือนจะกันคนดูให้เป็นเพียงผู้ติดตามชม และขาดการชักจูงให้รู้สึกมีส่วนร่วมกับหนังไป อย่างน้อยก็กับคนดูอย่างผมจึงเป็นได้เป็นเพียงผู้สังเกตุการณ์เท่านั้น Charactor หลายๆตัวสร้างมาแบบลอยๆไม่ว่าจะเป็น บทอาจารย์ที่ ไม่รู้ที่มาที่ไปนอกจากคำบอกเล่าของตัวละครที่รู้เลาๆว่าหนีภัยมาจากการรุกรานของพรรคศัตรู มาจนถึงเมืองไทย แต่ก็ไม่ไ่ด้บอกไว้ว่าเก่งขนาดนี้ทำไมถึงต้องหนีมาด้วย และเพราะไม่ผูกพันฉากการสูญเสียจึงไม่สามารถสร้างความสะเทือนใจให้กับคนดูได้เอาใจช่วยต่อได้เลย หรือบทหมอของหัวหน้าพรรคสุริยันที่บทจจะมาก็มา พูดเสร็จอยากไปก็ไปหายไปซะดื้อๆ
จริงๆต้องบอกว่าผู้กำกับพยายามแล้วที่จะแนบประเด็นของการทารุณกรรมเด็กในสังคมไว้เป็นช่วงๆอย่างหลังฉากเปิดแรงๆแล้วก็มีฉากไล่ล่าเอาคืนของกลุ่มพระเอกเมื่อตอนโตให้เห็นถึงผลกรรมที่ตามมาของผู้ร้ายทั้งหลายแต่ก็เล่าออกมาได้ผิวเผิน ผ่านมาและผ่านไปไม่มีอะไรให้จดจำได้ ฉากแอ็กชั่นในเรื่องนี้ก็อดไมไ่ด้ที่ต้องเอาไปเทียบกับหนังกำลังภายในที่เป็นของต้นฉบับ อย่างหนังโจซิงฉือเมื่อหลายปีก่อนอย่าง คนเล็กกังฟูเทวดา หรือ หนังเฉินหลงหงจินเปาเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมาก็คุ้นๆ ของแบบนี้จะไม่ให้เอามาคิดคงไม่ได้เพราะกล้าจะแตะก็ต้องทำออกมาให้ไม่แพ้กันครับ
ในบางฉากการชมหนังก็ทำให้ผมนึกถึง หนังในสมัยแรกๆในเครือ RS อย่าง “อาวอง” ที่ปิดตัวไปนานแล้ว ที่หนังส่วนใหญ่ของค่ายเหมือนจะเป็นการสร้างหนังที่โปรโมทเพลงของศิลปินในค่ายไว้อย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม และหนังเรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงได้ไม่ยาก ในแบบที่ผมไม่อยากเชื่อว่าจะส่งผลให้กับหนังของเค้าได้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการยัดฉากร้องเพลงของนางเอกเข้ามาทำให้อารมณ์ของหนังกระตุกและหยุดซะดื้อๆ บวกกับความใหม่ของนักแสดงที่ไม่สามารถพยุงหนังในฉากที่ต้องโชว์ความรู้สึกที่จำเป็นต้องให้คนดูรู้สึกอินตามก็ทำไปไม่ถึง ทำให้หนังก็เป๋ไปเป่มาเป็นพักๆ และเมื่อฉากจบของหนังที่ไม่เกินคาดเดามาถึง ถ้าใครเป็นแฟนหนังจีนกำลังภายในมาพอสมควรก็คงจะเดากันได้ไม่ยาก ก็ยิ่งทำให้การดูหนังเรื่องนี้จบจบชวนอึดอัดเ้ข้าไปใหญ่
รวมๆหนังเรื่องนี้ไม่เหมาะกับคนคิดมากและช่างคุ้ยและแคะ(แบบผม) แต่เหมาะกับเด็กๆที่มีความชื่นชอบในตัวพลังดารา ที่ขนมาร่วมแสดงในหนังเข้าไปชมไม่หวังอะไรมากมายนักนอกจากเสียงหัวเราะและการได้ชมพลังดาราที่ตนเองชื่ชอบ นั้นน่าจะตอบโจทย์และกลุ่มเป้าหมายของหนังเรื่องนี้ได้ หรือแฟนเพลงที่ชื่นชมในขวัญใจของตน ก็คงตามมาชม และเชียร์กันได้พอสมควร
แต่ถ้าว่ากันที่แฟนประจำเหนียวแน่นผู้กำกับอย่างผมแล้ว คงต้องขอไปตามชมเรื่องหน้าว่าน่าจะดึงให้ คุณต้อม กลับมาท็อบฟอร์มได้อีกครั้งในหนังที่น่าจะถูกแนวถูกที่ๆสุดแล้ว อย่าง “เป้ ท่าทราย” อย่างน้อยก็ให้เท่าเรื่องที่แล้วอย่าง มือปีนดาวพระเสาร์ ก็ยังดีครับ และยังไงก็ตามผมก็ยังคงเป็นแฟนเหนียวแน่นกันต่อ แบบแอบคาดหวังในความเป็นนักสร้างหนังวาไรตี้ ที่ไม่ยึดแนวหนังแบบใดแบบหนึ่งมาตลอด แถมในทุกๆเรื่องก็ฝากลายเซ็นของตัวเองใส่ในหนังไว้ได้เสมอ แม้ว่ากับ “บางกอกกังฟู” เรื่องนี้จะเจือจางซะเหลือเกินก็ตามที
เอาใจช่วยนะครับพี่ต้อม ^__^
trailerหนังบางกอกกังฟู 1
trailerหนังบางกอกกังฟู 2
ชื่ออังกฤษ: Bangkok Kung Fu
ชื่อไทย: บางกอกกังฟู
ค่ายหนัง: ฟิลม์อาร์อัส
ประเภทหนัง : Action/Comedy
ผู้กำกับ : ยุทธเลิศ สิปปภาค
วันที่เข้าฉาย : 01 September 2011
นักแสดง: เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ, โอ้ มาริโอ้ เมาเร่อ, แบงค์ อธิกิตติ์ พริ้งพร้อม, โทโมะ วิศว ไทยานนท์, แก้ว จริญญา ศิริมงคลสกุล
เรทภาพยนตร์: ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป