เกริ่นนำ…
อะแฮ่ม…สวัสดีครับ พี่ๆ น้าๆ คุณลุง คุณป้า น้า อา อากง อาม่า อาอี๋และสารพัด อาทั้งหลายที่ผมตู่สุดๆของปันปัน ทุกๆคน ( >_< )
ฤกษ์งามยามดี ได้เวลาซักทีแล้วละครับ ที่จะนำเสนอทริบที่เค้า (ฮืมม ใคร ?อ่ะ)
ได้มีโอกาสได้ออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกแบบ Fullboard ฟรีทุกอย่าง(แน่นอนเพราะพ่อแม่จ่ายให้นี่ฮับบ ^ ^)
ได้ออกย่ำด้วยรองเท้าเบอร์ 24 size เด็กของเค้า ไปทั่วมาเลย์เซีย
ได้มีโอกาสสำรวจโลกใบน้อยๆใบนี้ ในวัยที่กำลังขบจุกนมอย่างเอร็ดอร่อยดีเชียวละฮับ อิอิ
ไปครับ ไปกันกับพ่อจ๋าแม่จ๋าและปันปันในการ ทริบชื่อเก๋ๆ ในตอนแรกนี้ว่า “Malaysia ท่อง มะละกาเมืองมรดกโลกกันกับ(เค้า)มั่ง”
หาข้อมูลซักนิดชีวิต(พ่อแม่)จะหมดกังวล
ถูกต้องตามหัวข้อเลยฮับ คนกังวลไม่ใช่ปันเลยละ สุดๆแห่งความกังวลจะเป็นใครไปไม่ได้ก็ต้องเป็นพ่อจ๋าแม่จ๋าอยู่แล้ว จะพาลูกน้อยเดินทางข้ามประเทศครั้งแรกตื่นเต้นกันทั้งบ้านเลย หลังจากรู้แล้วว่าจะไปแน่ๆ
การวางแผนสำหรับทริบพ่อแม่ลูกอ่อนทั้งหลาย จำเป็นทีเดียวที่ต้องมั่นใจที่จะพากันไปได้โดยปลอดภัยไร้กังวล ก่อนนี้เรามีประสบการณ์เดินทางต่างประเทศกันมาแล้วก็จริงแต่นั้นมันสำหรับผู้ใหญ่พอมีเด็กๆเล็กๆไปด้วย
เหมือนต้องวางแผนเพิ่ม X 2 กันทีเดียว หลังจากสรุป Route ได้เป็นที่เรียบร้อย ผลที่ออกมาสำหรับทริบ Malaysia 6 วัน 5 คืนก็ออกมาหน้าตานี่เลยครับ
DAY 1: BKK-KL-MELAKA
DAY 2: MELAKA FULLDAY
DAY 3: MELAKA-PUTRAJAYA-KL
DAY 4: KL-GENTING
DAY 5: GENTING – PENANG
DAY 6: PENANG- BKK
เป็นการเดินทางจากใต้แล้วค่อยๆไต่ขึ้นเหนือของมาเลเซียเค้า เพื่อค่อยๆเข้าใกล้ไทยเรา ย่นระยะเวลาบนเครื่องบินให้น้อยที่สุดในการเดินทางกลับของปันปันนั้นเองและตอนแรกนี้ก็คืออยู่ที่ DAY1-2 ของทริบนี้นั้นเอง
***ถ่ายภาพนี้หลังจากกลับมาแล้วเป็นเดือนละครับยาเอามาใช้กับปันปันตอนไม่สบายต่อจนเหลือเท่าน้ี้เอง
สุขภาพเด็กๆมาก่อนการเดินทางเสมอ
หลังตระเตรียมการเดินทางทุกอย่างของพ่อจ๋าแม่จ๋าหมดสิ้นทั้งอินทรีย์ แล้ว ก็มาถึงปันปันละครับ สำหรับเด็กๆเล็กๆแบบเล็กจริงๆนะครับคือไม่เกิน 3 ขวบสิ่งแรก ที่ต้องคำนึงถึงเลยคือสุขภาพ ของเค้านั้นเอง
ก่อนไปเราพาปันปันไปตรวจกับคุณหมอก่อนเดินทาง 1 วันล่วงหน้าอีกครั้งครับเพื่อความมั่นใจ และแวะไปซื้อยาที่แถวๆเภสัชยาตรงข้ามรพ.ศิริราชนอกจากไม่ไกลบ้านแล้วยังได้ยาครบทุกอย่างในราคาไม่แพง เตรียมไปหมดสำหรับรักษาเบื้องต้น
เช่นเป็นไข้,มีเสมหะ เจ็บคอ,ท้องเสีย,ยาทาแผลภายนอก,แก้แมลงกัดต่อย และอื่นๆอีกเล็กน้อย เท่าที่จะใช้รักษาได้เบื้องต้น ถ้าระหว่างเดินทางเป็นอะไรมากกว่านี้หรือใช้ยาไปครั้งหรือ2ครั้งแล้วไม่ดีขึ้น แนะนำและจำเป็นมากๆครับว่า ควรไปหาหมอณ.ที่นั้น เลยจะดีกว่าจะพยายามรักษาวินิจฉัยงูๆปลาๆด้วยตัวเองนะครับ ไม่งั้นจะยิ่งอันตรายกับเด็กๆไปกันใหญ่ อันนี้ผมนึกเป็นคติเตือนใจไว้สำหรับตัวเองเสมอในฐานะนักเดินทาง(พ่อ,แม่)ลูกอ่อนเช่นกัน
การทำ Passport ของเค้า (อีกล่ะ ใคร ? เนี่ย)
เรามาเริ่มกันที่จะเข้าประเทศมาเลย์เซียกันยังไงก่อนดีกว่า มาเลย์เซียเป็นหนึ่งในประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงของปันปันเลยครับที่ไม่ต้อง ใช้ Visa แต่อย่างใด ใช้แค่ Passport เท่านั้นเองก็เรียบร้อยแล้ว อันนี้ไม่ยากครับ
เด็กผู้ใหญ่ทำ Passport ไปที่เดียวกันหมดครับ สะดวกที่ไหนไปที่นั้นเลยมีให้เลือกตามนี้นะครับ (ในกรุงเทพฯนะครับ)
กรมการกงสุล
123 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210
โทรศัพท์ 0-2981-7171-99 , 0-2981-7257-8
วันจันทร์-ศุกร์ 08.00-15.30 น.
……………………………………………………….
สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ปิ่นเกล้า
อาคารธนาลงกรณ์ทาวเวอร์ (ชั้นใต้ดิน) แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด กทม.10700
โทรศัพท์ 0-2446-8111-2
วันจันทร์-ศุกร์ 08.30-15.30 น.
……………………………………………………..
สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว บางนา
ศูนย์การค้าเซ็ลทรัลซิตี้ บางนา บริเวณลานจอดรถ ชั้น P9
โทรศัพท์ 0-2383-8401-3
วันจันทร์-ศุกร์ 08.30-15.30 น.
……………………………………………………..
สำนักงานหนังสือเดินทาง ศูนย์บริการการไปทำงานต่างประเทศ
อาคารประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ดินแดง กทม.
โทรศัพท์ 0-2245-9439
ส่วนวิธีการทำ Passport ไม่ยากเลย
สำหรับผู้ใหญ่ก็เตรียม แค่บัตรประชาชนไปเท่านั้น แต่ถ้ามีการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลก็ควรนำใบเปลี่ยนชื่อนามสกุลไปด้วย เพื่อยื่นเป็นหลักฐานประกอบ
แต่ถ้าเป็นเด็กอย่างปันปัน ที่อายุต่ำกว่า 15 ปีจำเป็นต้องมีผู้ปกครองไปด้วยกัน เพราะต้องใช้หลักฐานทั้งสูติบัตรของปัน และบัตรประชาชนของพ่อจ๋าแม่จ๋าตัวจริง ไปทำเรื่อง
กรณีขาดของคนใดคนนึงก็ต้องฝากบัตรตัวจริงพร้อมมีใบเซ็นยินยอมให้ปันปันเดินทางออกนอกประเทศได้ไปเพิ่มเติมอีก 1 อย่างหากมีความจำเป็นที่พ่อหรือแม่ไปไม่ได้จริงๆ
อ่ออย่าลืมเสียค่าธรรมเนียม 1,000บาท ทั้ง เด็กหรือผู้ใหญ่ก็ราคาเท่ากันนะครับ ^ ^
รายละเอียดมากกว่านี้ อ่านจากที่นี่เลยครบถัวนทุกอย่าง เลยจ้า
http://www.consular.go.th/main/th/services/21987-หนังสือเดินทางธรรมดา.html
การเดินทางเข้ามาเลเชีย
หัวข้อใหญ่สุดทีเดียวสำหรับทุกๆบ้านในการจะพาเด็กเล็กๆไปเที่ยวมันก็น่าห่วงไม่น้อย บ้านเราเองก็ไม่ต่างเช่นกัน หลังจากหาข้อมูลมาเยอะแยะทั้งจากในหนังสือก็ดี ทั้งจากเว็บก็ด้วย อย่าง ห้อง BluePLanet นี่ใช่เลยจากเพื่อนๆนักเดินทางที่ไปมาแล้วบอกไว้เยอะแยะไปหมด
และที่ช่วยได้มากๆถึงมากที่สุดก็คือ การท่องเที่ยวมาเลย์เซียครับอยู่ที่ ตึก ซิลลิค เฮาส์ ชั้น 3 สีลมไปง่ายๆสถานีรถไฟใต้ดิน MRT สีลม หรือ ขึ้น BTS ไปลงศาลาแดง อยู่ตรงบริเวณหัวมุมถนนตรงสี่แยกเลย
เดินเข้าไปขอคำแนะนำและคู่มือการเดินทางที่นั้นได้มาเยอะแยะเลยทีเดียว
อย่างที่เห็นด้านบนนั้นส่วนเดียวนะครับ เป็นอันที่ใช้จริงส่วนที่ไม่ใช้มีอีก
สำหรับการเดินทางไปมาเลเซียมีได้หลายทางมาก ที่นิยมและรวดเร็วไปง่ายที่สุดก็คือ
ทางเครื่องบิน สายการบินที่บินตรงจากเมืองไทยไปมาเลย์ฯ มีอยู่ เยอะทีเดียวที่บินตรงไปลง KL (กัวลาลัมเปอร์ )เอาเน้นๆเลยก็มี
AirAsia , Malaysia Airline , การบินไทย ,บางกอกแอร์เวย์
จริงๆยังมีอีกแต่คิดว่า 4 สายการบินนี่คุ้นและหาข้อมูลได้ง่ายที่สุดแบ่งเป็นของ มาเลย์ฯ 2 สายการบินและไทยเรา 2 สายการบิน สะดวกอันไหนเลือกได้ตามสะดวกจริงๆครับ อย่างกรณีทริบนี้เนื่องจากวางแผนกันข้ามปีไว้ตั้งแต่โปร 0 บาทของ Airasia ออกมาปีก่อน จึงได้เป็นทริบ 6 วัน 5 คืนที่เราจะตะลุยเมืองลิกอร์กันละครับ จริงๆยังมีการเดินทางเข้ามาเลย์เซียอีก 2 ทางได้อีก ตามนี้นะครับ
ทางรถยนต์
เราสามารถขับรถโดยดิ่งลงใต้ผ่านทางใช้เส้นทางหลักใน 3 จังหวัดภาคใต้ได้แก่
- ด่านตรวจคนเข้าเมือง อ.สะเดา จ.สงขลา
โดยเดินทางไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งห่างจากตัว อ.หาดใหญ่ประมาณ 2 ชั่วโมง
ด่านสะเดาเปิดทำการตั้งแต่เวลา 05.00น-23.00น ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ
- ด่านตรวจคนเข้าเมืองปาดังเปซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา
ด่านปาดังเปซาร์เปิดทำการตั้งแต่เวลา 05.00น-21.00น ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ
- ด่านตรวจคนเข้าเมืองสุไหงโกลก อ.สุไหงโกลก จ. นราธิวาส อยู่ห่างจากสนามบิน จ. นาราธิวาสประมาณ 1 ชม. 30 นาที
ด่านเปิดทำการตั้งแต่เวลา 05.00น-21.00น ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ
- ด่านตรวจคนเข้าเมืองตากใบ อ.ตากใบ จ. นราธิวาส อยู่ห่างจากสนามบิน จ. นาราธิวาสประมาณ 55 นาที
ด่านตากใบเปิดทำการตั้งแต่เวลา 05.00น-18.00น ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ
- ด่านตรวจคนเข้าเมืองเบตง อ.เบตง จ. ยะลา ใช้เวลาเดินทางจากตัวอำเภอเมือง จ. ยะลาประมาณ 1 ชม.
ด่าน เบตงเปิดทำการตั้งแต่เวลา 05.00น-22.00น ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ
ข้อมูลและการเตรียมเอกสารและรายละเอียดสำหรับการเตรียมรถเพื่อเข้าประเทศเข้าไปอ่านที่นี่นะครับเป็นของ Tourlismmalaysia ทำไว้เป็นภาษาไทย ครบถ้วนทุกอย่างเลย
http://www.sawasdeemalaysia.com/gotomalaysia_car.php
อ่อแต่ถ้าคุณจะเที่ยวแบบซื้อทัวร์ทางรถยนต์ หรือมีคนจัดกรุ๊ปรถบัสให้ อันนี้คงไม่ต้องกังวลเพราะทางกรุ๊ปเค้าจัดให้หมดอยู่แล้ว
เตรียมใจกับเตรียมตังให้พร้อมเป็นพอ รายละเอียดขอให้ถามจากทางบริษัททัวร์เองจะดีที่สุดครับ
ทางรถไฟ
นี้ล่ะครับเป็นการเดินทางในฝันของเค้าเลย (อีกล่ะมาอีกล่ะเนี่ยเค้าเนี่ย ???) คือพ่อจ๋าของปันปันโดยเนื้อแท้ชอบการขึ้นรถไฟมากๆครับ จริงๆการเดินทางเส้นทาง bkk-KL ด้วย Eastem & Oriental Express เป็นอะไรที่น่าพิศมัยสุดๆ
แต่ด้วยราคาเกินจะแตะได้ 1,880 us (Exclusive / 3 night) เอ่อ…ก็คงต้องได้แต่มองกันตาปริบๆต่อไป จริงๆยังมีรถไฟธรรมดาอยู่นะครับใช่จะมีแต่ รถไฟสุดไฮโซอย่างของ orient เค้าอย่างเดียว
อย่างเส้นทาง กรุงเทพฯ-บัตเตอร์เวิร์ท ที่ต้องค้างบนรถไฟ 1 คืนราคาก็ 632 บาท
หรือจาก หาดใหญ่-กัวลาลัมเปอร์ ค้างบนรถไฟ 1 คืนราคาก็เริ่มต้นที่ 450 บาทเท่านั้น
ก็มีออกทุกวัน รายละเอียดก็ที่เดียวกับรถยนต์เลย ของเค้าทำไว้ดีลงรายละเอียดของรถไฟไว้ครบ เชิญตาม link ไปได้ครับ
http://www.sawasdeemalaysia.com/gotomalaysia_train.php
จริงๆยังมีทางเรืออีกนะ แต่เห็นจะไม่เกี่ยวกับเมืองที่เราจะไปเที่ยวกันเลยขอผ่านนะครับหาไม่ยากอยู่ที่เดียวกับ link ด้านบนเช่นกัน
การแลกเงิน
มาถึงอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันเลยคือการเตรียมเงินสำหรับการเดินทาง มาเลเซียใช้สกุลเงินเป็นริงกิต (RM) ค่าเงินขอให้คิดเฉลี่ยๆเป็นที่ 9-10 บาทต่อ 1 ริงกิต อย่างวันที่เราเดินทาง จะอยู่ที่ 9 บาทเศษๆ
ขอให้ใกล้ๆวันจะเดินทางค่อยแลกหรือหากรู้แน่ๆว่าจะไปเมื่อไหร่ก็คอยติดตาม Rate ดูวันต่อวันอีกทีก่อนก็ยังได้
สำหรับที่รับแลกหากเป็นในกรุงเทพฯนอกจากตามธนาคารต่างๆที่เรทก็อย่างที่รู้กันได้เรื่องสะดวกแต่ก็แลกมาด้วยเรทที่แพงกว่าไปด้วย ที่อื่นๆที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดีมีอยู่ 2 เจ้าที่ผมใช้บริการเป็นประจำคือ
ซุปเปอร์ริช 1965(โลโก้สีส้ม) กับ ซุปเปอร์ริชไทยแลนด์(โลโก้สีเขียว)
สองเจ้าที่เป็นบริษัทรับแลกเงินที่มีหน้าร้านอยู่แถวๆตรงถนนราชดำริ ฝั่งตรงข้ามเซ็นทรัลเวิลด์ หาไม่ยากครับ ติดๆกันกับ BicC เลย
เรทของทั้ง 2 เจ้า ใกล้เคียงกันมากต้องเช็คกันแบบวันต่อวันเลยทีเดียว กดที่ชื่อของทั้ง 2 เจ้าได้เลยครับ ทำ Link ให้เข้าไปเช็ค rate กันได้ง่ายๆให้แล้ว
แนะนำเพิ่มเติมอีกนิดเผื่อง่ายขึ้นสำหรับคนที่มี Smartphone ทั้งหลาย ของทั้ง 2 เจ้ามี app ให้ดาวน์โหลดแล้วด้วยนะครับลอง search คำว่า superrich ดูครับผมลองแล้วเจอเลย สะดวกขึ้นไปอีกนิดดีครับ
อ่อเข้าเว็บทั้ง 2 ที่ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกหน่อยนะครับ จะพบสาขาต่างๆของเค้าบางที่ใกล้บ้านเรามากกว่าปิดช้ากว่า ทำให้ไม่ต้องเดินทางไปถึงที่ราชดำริก็ยังได้ครับ
วิธีแลกเงิน
ง่ายมากๆครับ คือแลกมามันทุก ราคา ของสกุลนั้นล่ะครับ อันนี้จริงๆนะครับคือ จากประสบการณ์เดินทางมาหลายๆครั้ง ถ้าแลกแบงค์เล็กๆไปก็สะดวกดีครับ เพราะเวลาซื้อของตามร้านริมทางง่ายไม่ต้องเกรงใจเวลาจ่ายแบงค์ใหญ่
และก็ไม่ต้องกังวลว่าจะโดนมั่วนิ่มไม่มีตังทอนด้วย(อันนี้ไม่ใช่ว่าจะเจอทุกครั้งนะครับ บางครั้งเราก็หยวนๆให้ไปเอง) แต่แบงค์ใหญ่ก็มีข้อดีคือ
ไม่ต้องมาแตกเยอะๆตุงกระเป๋า อย่างครอบครัวเราก็จะใช้วิธีแบ่งเป็นอย่างละครึ่งคือแลกเป็นแบ็งค์ใหญ่ๆไว้ครึ่งนึงคือ แบงค์ 50-100 อีกครึ่งเป็นแบงค์ขนาดเล็กๆครับ
หน่วยเงินธนบัตรริงกิตมีอยู่ทั้งหมดคือ 1,2,5,10,20,50,100 ริงกิต อ่อบางทีช่วงเวลาที่ไปแลกเลือกช่วงเวลาก่อนเที่ยงจะดีกว่านะครับ เงินจะยังมีให้แลกหลากหลายราคา บางทีเราอาจจะไม่ได้แบงค์ที่เราอยากแลกก็ได้เผื่อเวลาและเผื่อใจไว้บ้างครับ
ส่วน เหรียญ หน่วยนับจะเป็น Cent มีตั้งแต่ 5,10,20,50 เซ็น ไม่จำเป็นต้องแลกก็ได้ครับเพราะไปถึงเราเริ่มแตกแบงค์ ยังไงก็ได้อยู่ดี หนักกระเป๋าเปล่าๆ
3G
มา ถึง การประมูลคลื่นความถี่ เอ้ย ไม่ใช่ >_< การหา sim ดีเพื่อใช้ติดต่อหรือใช้ internet ในระหว่างเดินทางอยู่ในประเทศมาเลเซีย เค้านั้นละ
หลังจากค้นๆไปๆมาๆ หาแล้วพบว่า “เยอะมากกก” ครับ ประเทศนี้มี 3 G ใช้ก่อนบ้านเรามานานหลายปีๆแล้วละครับ แถมยังมีให้เลือกใช้หลายเจ้าเหลือเกิน
ผมเองเลือกอยู่นานสุดท้ายเข้ารอบมา อยู่ 3 เจ้านี้ตามภาพเลย แต่ท้ายของท้ายสุดจริงๆ คือที่ได้ใจผมไปและเลือกใช้จริงๆคือ DIGI ครับ ต้องบอกกันก่อนว่าผมไม่ได้เลือกที่ค่ายไหนใหญ่กว่าใคร
(เพราะไม่รู้ เลยจริงๆ) แต่เลือกจาก Package และความสะดวกในการเดินทางเป็นที่ตั้ง เพราะต้องย้ายสถานที่แทบตลอดเวลา ทำให้เราต้องเลือกที่พร้อมจะเติมเงินได้ง่าย และราคาไม่แพง ซึ่งก็ใช้ได้ราคากลางๆไม่แพงเกินไป
แถมเติมง่ายผ่านเว็บได้โดยที่เราไม่ต้องสมัครใดๆเลย ไม่จำเป็นต้องใช้บัตรหรือเลขบัตรใดๆทั้งนั้น กรอกแล้วใส่จำนวนเงินที่ต้องการก็ใช้ได้แล้ว
อ่อ แต่นั้นหมายถึงตอนเฉพาะเติมเงินนะครับ แต่ตอนเปิดซิมที่ซื้อครั้งแรกทุกเจ้าเหมือนกันหมด คือต้องใช้ passport ในการลงทะเบียนก่อนอยู่ดี ไม่ยากครับก็ยื่นให้พนักงานจัดการให้เลย
กรณีที่ไม่ไว้ใจพนักงานแนะนำให้ยืนดูเค้ากรอกก็ได้ไม่มีปัญหาครับ เค้าก็กรอกตรงนั้นให้เราเห็นเลยไม่มีลับลมคมในใดๆร้านไหนต้องเดินเอา ไปทำที่อื่น ก็อย่าทำต่อครับ
ส่วน MAXIS ได้ลองใช้วันแรกๆที่อยู่ มะละกาก็ใช้ได้นะครับ แต่ประทับใจเจ้าสีเหลืองเค้ามากกว่า ยังไงลองเลือกกันเองดีที่สุดจ้า
เริ่มกันละน่ะปันปัน พาเที่ยวแล้วจ้า
ร่ายมายาวเลยสำหรับการเตรียมพร้อมตอนนี้น่าจะพร้อมในระดับ 80 % แล้วละครับ เอ๊ะทำไมถึงบอกว่าพร้อม แค่ 80 % เอง จริงๆผมยังไม่ได้บอกวิธีเข้าเมืองจากสนามบินและการเดินทางท่องเที่ยวในมาเลเซียทริบ หนนี้เลยละครับ
แต่ถ้าร่ายกันต่อคาดว่าจะเปลี่ยนจาก New World with Pun Pun เป็น (คู่มือเตรียม) New Worldฯลฯ แทนเป็นแน่ๆครับ ^ ^ ” เอาว่าเดี๋ยวจะยกไปเล่าต่อเป็นช่วงๆในการเดินทางระหว่างเมืองให้อ่านกันดีกว่านะครับ ^ ^
อย่างที่บอกไปเราวางแผนสำหรับทริบนี้ข้ามปีกันเลยเพราะจองตั๋วโปร Airasia ไว้ระดับนั้น เรามาถึง KL ด้วย ไฟล์กลางวัน ออกจากสุวรรณภูมิตอน 12.05 มาถึง KL ตอน 15.05 ลงที่สนามบิน LCCT Airport เป็นสนามบิน Low Cost ของมาเลเซียเค้า คือเปรียบไปก็เหมือน ดอนเมืองแบบนั้นเลยครับ ที่ว่าเป็นสนามบิน Low Cost ก็เพราะที่นี่ถูกกำหนดขึ้นให้รองรับทุกไฟท์ของ Airasia นั้นเองและชื่อเต็มๆก็มาจากคำว่า Low Cost Carrier Terminal และตอนนี้ก็เป็นที่รองรับสายการบินราคาประหยัดอื่นๆเพิ่มเติม
ขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองของที่นี่ถ้าใครๆบ่นว่าบ้านเราช้าแล้วสำหรับทีี่สุวรรณภูมิ ที่มาเลฯ ก็ไม่ต่างกันเลยครับ ยิ่งเป็นแบบ Low Cost ด้วยแล้ว คิวยาวมากๆ กว่าเราจะผ่านได้ใช้เวลาเกือบ 40 นาทีเชียวละของวันที่เดินทางไปถึง
และหลังจากผ่านแล้วเดินลงมารับกระเป๋า ก็เจอกระเป๋าที่เจ้าหน้าที่แต่ละเที่ยวบินเค้าขนออกจากรางเลื่อน มาจอดรอเราหยิบไปแบบนี้แล้วละครับ ส่วนเที่ยวบินไหนอยู่รางไหนก็สังเกตุเอาจากป้ายกระดาษขาวๆตรงผนัง
นั้นเลย ประหยัดไฟจริงๆสมกับ Low Cost มากๆครับ ^ ^”
และสำหรับการเดินทางระหว่างเมืองต่างๆ หลังจากเลือกไปเลือกมาสุดท้ายก็มาลงเอยกันที่ “รถเช่า” นั้นเอง ทริบนี้ ไม่ได้อยากติดหรูอะไรนะครับ แต่เนื่องจาก Plan สำหรับการเดินทางค่อนข้างจะหลายที่เหมือนกัน และเราเป็น ทริบ พ่อแม่ลูกอ่อน
ไม่อยากจะเสียเวลาหลงทางกันนัก บวกกับ ทริบนี้เป็นทริบแรกชองปันปันด้วย ประหยัดส่วนอื่นๆมาลงที่การเดินทางน่าจะช่วยให้เราสบายใจมากกว่า และที่ทำให้ตัดสินใจได้ง่ายมากๆสำหรับการเลือกรถเช่าครั้งนี้ ต้องขอบคุณการท่องเที่ยวมาเลเซียอีกครั้งที่ช่วยให้เบอร์ติดต่อ พี่ “บำเพ็ญ” ชาวสยามในมาเลเซีย ที่พูดไทยได้ปร๋อเลย เอาว่าหายห่วงไปในทันทีสำหรับการเดินทางครั้งนี้ และมีเรื่องเล่าสนุกๆจากพี่บำเพ็ญมาเล่าให้ฟังด้วยนะครับเดี๋ยวเที่ยวกันไปเรื่อยๆจะบอกเป็นระยะๆ
แผนที่น่ารักๆเน้นไปที่เมืองมะละกาก่อนนะครับ บอกแหล่งที่เที่ยวสำคัญของเมืองไว้หมดในแผนที่แล้ว จัดทำโดย การท่องเที่ยวมาเลเซีย ดูรูปขยายกดที่รูปได้เลยครับ
หลังจากออกจากสนามบิน LCCT ก็มุ่งตรงไปยังเมืองที่ทำให้เกิดทริบนี้ขึ้นมา นั้นก็คือ MELAKA (มะละกา) เมืองที่ขึ้นทะเบียนมรดกโลกกับยูเนสโก้ เดี๋ยวจะค่อยๆพาเที่ยวไปเล่าไปนะครับ
ทิวทัศน์ระหว่างทางเป็นอย่างแรกที่เราประทับใจกันทั้งบ้านครับ ร่มรื่นและเขียวสวยดีตลอดเส้นทางเลยเชียว แบบนี้เลย
และอาหารจานแรกสำหรับเราก็คือจานนี้เลย เป็นของกินเล่นๆที่มีขายทั่วไปเราได้ทานกันตอนแวะพักรถที่จุดแวะก่อนเข้าเมืองมะละกา รสชาติดูเหมือนจะจัดจ้านนะครับแต่จริงๆ เค็มๆมันๆ อมหวานเผ็ดนิดหน่อยกินเล่นๆคู่กับไมโล ดูจะเป็นของคู่กันของที่นี่เค้าเลย อร่อยดีครับ จำชื่อไม่ได้แล้วเสียดายมากๆไม่งั้นจะแนะนำให้สั่งมาชิมกันดู
เย็นซัก 5โมงกว่าๆ หลังจากนั่งรถมาราวๆ ชั่วโมงเศษๆก็ถึงแล้วครับ มาถึงเข้าที่พักกันก่อนเลย
เราโชคดีมากที่หาที่พักราคาไม่แพงและอยู่ใกล้ๆกับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆของมะละกาได้อย่าง “Hatten Hotel” เป็นโรงแรมที่ใหม่มากอยู่ติดถนนเส้นหลักเข้าเมือง
ใหม่ขนาดว่ายังสร้างและต่อเติมบางส่วนอยู่ด่วยซ้ำไปอย่าง Lobby ต้อนรับที่เห็นนี่ก็ชั่วคราวเท่านั้น ด้านในยังทำไม่เสร็จเลย แต่ก็ตกแต่งใช้ได้นะครับ
ข้อดีที่สำคัญมากๆคืออยู่ติดกับห้างใหญ่มากของ มะละกามีทางเดินข้ามไปหากันได้เลยนับว่าสะดวกสบายมากๆครับ
มาดูห้องพักกันหน่อย สำหรับ Haten Hotel เองจะว่าไปถือเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวและเพราะยังอยู่ในช่วงเปิดใหม่ และยังทำบางส่วนไม่เสร็จดีทำให้ราคาไม่แพงเลย ดูเรทได้พันกว่าๆไปจนถึง 2 พันปลายๆเท่านั้นเอง
วิวมีให้เลือก 2 แบบครับ คือ เป็น City Viewหรืิอ อยากได้เป็น Sea View ราคาไม่ต่างกัน แล้วแต่ชอบ เพราะตัวโรงแรมไม่ได้ติดทะเลแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้ห่างทะเลจนเกินไปนัก อย่างผมเลือกเป็น City View ครับ อยากเห็นเมืองมะละกาแบบเต็มๆมากกว่า
ห้องเราเป็น Type Deluxe Suite King เตียงเป็น King Size นอนกัน 3 คนพ่อแม่ลูก หลับสบายมี LCD TV ให้ 2 จุด คือที่เตียงนอนเราและก็ที่นั่งรับแขก
ส่วนห้องน้ำก็ขนาดพอเหมาะกับห้องไม่ใหญ่ไม่เล็ก แต่มีทุกอย่างครบถ้วน ใหม่และสะอาดสะอ้านดีมากๆ
นี่ละครับวิวจากในห้องเราจะว่าไปก็เห็นทะเลอยู่เหมือนกันนะครับแต่ไกลหน่อย ใครอยากมาพักบ้างก็เลือกเอาตามสะดวกได้เลย ก่อนจะพาเที่ยวมารู้จักเมืองนี้กันซักหน่อยนะครับ
ประวัติความเป็นมาสั้นๆ
เมื่อราวปีพ.ศ. 1800 มะละกาถูกค้นพบโดยเจ้าชายนามว่า Parameswara ในขณะที่พระองค์ทรงเดินทางลี้ภัย จากนั้นก็เติบโตจนกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ระหว่างตะวันตก และตะวันออก
สินค้าสำคัญเป็นต้นว่า เครื่องเทศ ทองคำ ผ้าไหม ชา ฝิ่น ยาสูบ และน้ำหอม กลายเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจบรรดานักล่าอาณานิคมชาวตะวันตก
ใน ๕๐๐ ปีให้หลังมานี่ ก็ถูกชนชาติตะวันตกเข้ามาครอบครองเป็นเมืองขึ้น เริ่มจากโปรตุเกส ฮอลันดา(ดัทช์) และอังกฤษ และสุดท้ายก่อนจะมีการประกาศเอกราชขึ้นที่เมืองๆนี้
แต่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2ก็โดน ญี่ปุ่นเข้ายึดครองเสียอีก ๓ ปี สถานที่ทางประวัติศาสตร์จึงเกี่ยวข้องกับ ๓ ชาติตะวันตก นี้เป็นหลัก
ในบางส่วนของเมืองยังคงทิ้งหลักฐานแห่งวันวานในอดีตผ่านอาคารเก่าแก่ และสถาปัตยกรรมอื่นๆ ซึ่งบรรดาผู้ที่เคยครอบครองแผ่นดินแห่งนี้ ได้ทอดทิ้งไว้ให้เป็นอนุสรณ์ของเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเมื่อนานมา แล้ว
ตกเย็นเราออกไปหาข้าวเย็นเป็นอาหารท้องถิ่นกัน พี่บำเพ็ญพาเราไปหาอาหารทะเลอร่อยๆ กินตรงย่านที่ชาวท้องถิ่นที่เป็นชาวโปรตุกิสอาศัยกันเยอะ เรากำลังพูดถึงแถวๆ “จตุรัสปอร์ตุเกส” ย่านที่ และก็เปิดร้านอาหารริมทะเลกันเต็มไปหมดเลย
อาหารทะเลที่นี่รสชาติไม่เลวทีเดียว ที่สำคัญราคาไม่แพง ผมเห็นคนมะละกามานั่งกินกันพาสมควรรวมๆกันกับนักท่องเที่ยว ใครอยากทานอะไรร้านไหนเดินไปนั่งแล้ว
เลือกเดินไปสั่งได้เลย จะนั่งตรงไหนก็ได้สั่งร้านไหนก็ได้ มีเด็กเชียร์แขกอยู่บ้างแต่ก็ไม่เสียมารยาท จนเราต้องกังวลรวมๆ อาหารอร่อยแต่แพ้อาหารทะเลบ้านเรานะครับ
ปันปันก็หม่ำอาหารชาวโปรตุเกสไปด้วยพร้อมกัน ดูจะอร่อยใช้ได้เห็นหม่ำใหญ่เลยเชียว
บริเวณแหลมยามค่ำบรรยากาศดูสงบเงียบมากๆครับ ที่นี่เราจึงจะเจอหนุ่มๆสาวๆเค้ามานั่งเล่นกันเยอะ ถ้ามาเย็นๆพี่บำเพ็ญบอกว่าจะได้เห็นพระอาทิตย์ตกด้วยนะ เสียดายเรามาไม่ทัน
ทางเดินที่ยื่นออกไปเห็นอาคารก่อสร้างด้านขวานั้นเป็นของเจ้าของเดียวกันกับโรงแรมที่เราพัก ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นคอนโดหรูใหม่ที่เห็นจากในโรงแรมครับ
หลังจากอิ่มดีแล้ว พี่บำเพ็ญก็พาเราก็กลับไปพักผ่อนพรุ่งนี้เรามีนัดกันแต่เช้าครับ ผมเองก็ตั้งใจจะตื่นเช้าๆมาสำรวจเมืองเก่าแห่งนี้เช่นกัน
6.00 น.
เช้าวันที่ 2 แล้วผมตื่นแต่เช้าออกมาเดินสะพายกล้องท่องเมืองเก่าแต่เช้าพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลย
ออกมาเจอห้างใหญ่กลางเมืองที่เชื่อมกันกับโรงแรม Hatten Hotel อันเป็นย่านช้อปปิ้งสำคัญของย่านเมืองใหม่ที่เรียกขานกันว่าห้าง ” Dhataran Pahlawan” ใหญ่ดีครับ
ย่านนี้ถือเป็นศูนย์รวมแห่งช้อปปิ้ง โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า โรงแรมใหม่ๆ เดินไปไหนมาไหนง่ายและก็อยู่ใกล้ๆกับย่านท่องเที่ยวสำคัญ Old Town ของเมืองในระดับเดินกันไม่เกิน 10 นาที แถวๆนี้จึงถูกเรียกเป็นภาษามาลายูว่า “Melakaraya”
ผมเดินมาเรื่อยๆมองกลับไปที่โรงแรมและบนท้องถนนรถราก็ว่างมากๆ เช้าจริงๆที่นี่ช่วงเดือนกันยายนที่ผมไปพระอาทิตย์ขึ้นช้ากว่าไทยเร็วมากครับ เดินไปเดินมาจะถึงย่าน Old Town เอาเลยเดินกลับ
มาดีกว่าไว้รอทานอาหารเช้าเสร็จแล้วพาปันปันและแม่จ๋ามาพร้อมๆกันเลยน่าจะดีกว่า ที่นี่เดินเที่ยวได้ง่ายมากๆ
กลับมาถึงปันปันตื่นแล้วครับ แม่เค้าจับอาบน้ำแต่งตัวหล่อ เรียบร้อย ก็เห็นเค้าสนใจเมืองมากๆจนผมต้องเก็บภาพของความอยากรู้อยากเห็นของเด็กชายตัวน้อยๆ คนนึงที่เพิ่งรู้จักโลกนี้มาได้ขวบกว่าๆเท่านั้น
จ้องอยู่นานเลยละครับ เหมือนอยากจะรู้จักเมืองนี้ ให้มากกว่านี้ เดี๋ยวพ่อจะพาไปท่องเมืองเก่า หลังหม่ำข้าวแล้วกันนะปันปัน ^ ^
สำหรับหนูน้อยนักสำรวจดูจะอยากรู้ไปหมดเลยจริงๆนะเนี่ย อย่าขว้างของพ่อนะครับ ^ ^”
ห้องอาหารที่นี่ก็ตกแต่งดีใช้ได้เลย รวมไปถึงตัวอาหารเองก็พอใช้ได้ครับ ไม่ดีมากและก็ไม่แย่อะไร มีให้เลือกพอสมควรทีเดียว แต่รสชาติอาจจะไม่คุ้นคนไทยอย่างเรานัก อันนี้เป็นทุกๆทีี่ๆเราไปพักไม่ใช่เฉพาะที่นี่เท่านั้นนะครับ
หลังหม่ำอาหารเช้ากันเสร็จ ผมสะดุดตากับหน้าลิฟท์นี้ตั้งแต่เข้ามาแล้วเค้าจัดแสงได้สวยงามดีจริงๆเลยเก็บภาพซะหน่อย
ตรงแถวๆหน้าลิฟท์ก็ยังมีจุดเรียกสายตาเด็กๆได้อีกปันปันจะปีนเข้าไปเอามาให้ได้จนผมต้องไปเบรคไว้ได้ทันไม่งั้นอาจจะมีเสียตังกันเพิ่มอีกนอกจากค่าห้องพัก ^_^”
พร้อมกันทั้งบ้านแล้วละฮับ แม่จ๋าจูงหนูดีๆนะฮับบบ ^ ^
พี่บำเพ็ญเดินนำลิ่วแล้วละครับ เห็นแบบนี้พี่เค้าอายุไม่น้อยแล้วน แต่ยังแข็งแรงไม่เหน็ดไม่เหนื่อยเลย เดินพาเราเที่ยวรอบเมืองไม่เหนื่อยง่ายๆกันเลย
จุดแรกที่แวะมาดูกันเห็นแบบนี้เหมือนธรรมดาๆไม่มีอะไรแต่ใครจะรู้ว่าตรงนี้ละครับคือจุดกำเนิดสำคัญของเมืองใหม่และเป็นจุดเชื่อมต่อเมืองเก่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ของเมือง ตัวกางเขนสีดำที่เห็นอยู่นั้นคือจุดปักตำแหน่งในอดีตที่ บอกว่าตรงนี้คือทะเลมาก่อน ใช่แล้วครับ ที่มองเห็นด้านหลังกางเขนไปจนถึงโรงแรมของเราและเลยจนไปสุดริมน้ำนั้นคือแผ่นดินถมใหม่ทั้งหมดของเมืองใหม่มะละกาที่ถมมา20 กว่าปีแล้ว ตัวกางเขนที่ปักอยู่นี้คือที่ๆ นักบวชเซนต์ ฟรานซิส เซเวียร์ ( St. Fancis Xavier ) เป็นผู้นำการเผยแผ่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่มะละกาโดยจุดนี่คือจุดที่มีการตั้งกางเขนขึ้นเป็นครั้งแรกในแผ่นดินแห่งนี้
และหลังจากฟังพี่บำเพ็ญเล่าประวัติ์ความเป็นมาไม่นาน สมาชิกลูกทริบคนสำคัญก็เป็นอันต้องของลาพักกันเลยเชียวล่ะ หลับกับแม่เค้าเลย
และก็มาถึงอีกหนึ่ง Hilight สำคัญของที่นี่ ถือเป็น จุดที่นักท่องเที่ยวมาชมกันมากที่สุดที่นึงของมะละกา ที่นี่ถือเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เกิดประวัติศาสตร์หน้าสำคัญขึ้นมากมาย เอาล่ะมารู้จักเมืองมะละกากันให้มากขึ้นกันดีกว่านะครับ ในภาพเป็น ป้อม เอฟาโมซา( A’Fomosa ) เป็นทางเข้าทางนึงของป้อมคือ ประตู ซานดิเอโก ( Parta De Santiego ) ซึ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ 1511 อยู่ในบริเวณ ดัช สแควร์ สร้างจากศิลาแลงฉาบปูน ด้านบนประตูเหลือลายปูนปั้น เป็นรูปเครื่องหมายการค้า บริษัทสหอินเดียตะวันออก ( United East India Company ) ของพวกฮอลันดา ด้านหน้ามีปืนใหญ่วางตั้งไว้เป็นสัญญลักษณ์ของป้อมปืนไฟในอดีต
มาถึงตรงนี้ปันปันก็ยังคงหลับต่อไปอีกพักใหญ่ๆเลยละครับ แม่จ๋าเลยทำท่าบอกให้เราเดินกันไปก่อน งานนี้แม่จ๋าอาสานั่งกระเตงปันปันไว้เองจ้า
ประตู ซานดิเอโก ที่ยังคงเก็บร่องรอยและเรื่องราวจากวันวานมาให้คนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวได้รู้จักกัน
รอกันอีกไม่ถึง 20 นาทีปันปันก็ตื่นแล้วสังเกตุหน้าเค้าให้อีกเลยอ่ะ ยังงัวเงียอยู่เลย เหมือนโดนแม่จ๋าพ่อจ๋าแกล้งหนูเลยเนอะนี้
ระหว่างทางขึ้นมาที่ โบสถ์ เซ็นต์ปอล ( St. Paul Church )กันเจอพี่นักเป่าแทมโบลีนเป็นวนิพกขั้นเซียนเลยขอact ท่ากันซักหน่อย
ทางเดินขึ้นเนินเขาไปยัง โบสถ์ เซ็นต์ปอล อันเป็นอีก Landmark สำคัญอีกที่ใครมาก็สมควรแก่การเดินขึ้นมาชมอย่างยิ่ง
ขึ้นมาจากด้านป้องปืนมาจนถึง โบสถ์ เซ็นต์ปอล ( St. Paul Church ) จะเป็นลานกว้างและเป็นจุดชมเมืองแบบเห็นได้รอบเมืองเลย ปันปันยังเกาะแม่จ๋าอยู่เลยดูท่าจะงัวเงียไม่หายเลยนะเนี่ย >_<
เดินกันจนมาถึงจุดสูงสุดอันเป็นทีตั้งของ โบสถ์เซนต์พอล ( St. Paul Church ) สร้างขึ้นโดยกัปตันคอดร์แด้ โคเอลโฮ ชาวโปรตุเกส แต่ภายหลังสงครามถูกชาวดัทช์เปลี่ยนไปเป็นสถานฝังศพของผู้กล้าหาญและล้มตายในช่วงสงครามแทนและเปลี่ยนชื่อจาก ” เอาเวอร์ เลดี้ ออฟ เดอฮิลล์ “ มาเป็น ” เซนต์พอล เซิรส์” ( St. Paul Church ) มีรูปปั้นของ เซนต์ฟรานซิส เซเวียร์ ( St. Fancis Xavier ) อยู่ด้านบนของสุสาน เดิมที่นี่เป็นที่เก็บศพของนักบุญชั่วคราวเป็นระยะเวลาสั้นๆในปี ค.ศ.1553 ก่อนจะถูกส่งไปเก็บรักษายังเมืองกัว ประเทศอินเดีย ภายในจะมีป้ายจารึกหน้าหลุมศพอายุหลายร้อยปี เป็นภาษาโปรตุเกสและลาติน
ถ้ามาเช้าพอ คุณๆก็ได้จะได้เห็นชาวบ้าน มาใช้เป็นสถานที่ออกกำลังยามเช้าได้อีกวิ่งลงขึ้นเขาดูเหมือนจะเหนื่อยได้อยู่เลย
ในวันที่นักท่องเที่ยวเยอะเราก็อาจจะได้เห็นนักดนตรีวนิพก ขึ้นมาเล่นเปิดหมวกกันบนนี้ได้เลย
และก็ไม่แปลกที่เราจะเห็นเป็นอีกที่ๆมีคนขึ้นมาใช้ถ่ายภาพ Pre Wedding ทั้งสถานที่และบรรยากาศก็ดูคลาสสิกออกขนาดนี้แล้ว
นี้ละครับทีบอกไปในอดีตเป็นที่ตั้งศพในช่วงเวลาสั้นๆของของ เซนต์ฟรานซิส เซเวียร์ เมื่อในอดีต ปัจจุบันยังคงเหลือเพียง ป้ายหน้าหลุมศพเรียงรายอยู่ทั้งสองด้านของผนัง ดูแล้วขลังปนน่ากลัวดีนะครับ
วันที่ผมไปมีนักวาดภาพ นั่งเขียนภาพและ นำภาพเขียนที่เกี่ยวกับมะละกามาวางขายด้วยครับ เป็นงาน Drawing ทั้งหมดก็เท่ดีครับ
มองเลยมาที่คุณลุงคนนี้แกนั่งได่นิ่งมากเหลือเกิน กับแมว 2 ตัว ด้านหลังมีจิตรกรรมฝาผนังแบบไม่ตั้งใจของคนที่นี่หรืออาจจะเป็นนักท่องเที่ยวมือไม่ดีทั้งหลายฝากไว้บ้างก็ไม่รู้นะครับ ^ ^”
เราเดินกันต่ออย่างที่บอกไป เที่ยวมะละกาเดินเที่ยวได้สบายๆ ที่นี่สามารถเดินขึ้นจากด้านนึงเพื่อไปลงอีกด้านของเมืองได้มีการทำทางเชื่อมต่อไว้ให้เดินง่ายมากๆเลย
เดินมาไม่ถึงอึดใจเราก็มาโผล่ตรงด้านหลัง 1 ใน 24 พิพิธภัณฑ์ ของเมืองนี้กัน ที่เห็นเป็นรูปปั้นยืนด้านหลังนี่ก็เป็นวีรบุรุษอีกคนของเมืองนี้ คือ “รูปปั้นแกะสลัก เจิ้งเหอ”
และพิพิธภัณฑ์ที่เรามีโอกาสได้แวะเวียนเข้าชมก็คือ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์วิทยาและวรรณคดี ตั้งอยู่ในอาคาร Stadthays ซึ่งเดิมทีอาคารหลังนี้ใช้เป็นศูนย์บัญชาการ และที่พักอาศัยของคณะผู้ปกครองจากฮอลันดา
น่าเสียดายที่เค้าห้ามบันทึกภาพครับ เลยไม่มีภาพด้านในมาให้ชมนะครับ
ตัวภายในพิพิธภัณฑ์นำเสนอเรื่องราวประวัติ์ศาสคร์ความเป็นมาของมะละกา และประเทศมาเลเซียถึงเรื่องราวของชนชาติที่เริ่มก่อตั้งประเทศนี้ไปจนถึงชนชาติที่เข้ามารุกรานผ่านนิทรรศการ และหุ่นจำลองวิถีชีวิต ทหาร และเหล่าผู้เข้ามาปกครองที่เคยเป็นเจ้าอาณานิคมเมืองมะละกา เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจ ใครที่มาเที่ยวมะละกาไม่ควรพลาดที่จะชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อย่างยิ่ง ผมเองมีโอกาสชมแค่ที่นี้ที่เดียว เที่ยวมะละกาให้สนุกต้องเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ครับเพราะเยอะจริงๆ
เดินต่อกันมาเรื่อยๆจากพิพิธภัณฑ์ ไม่ห่างกันเกินไปนัก เราเดินข้ามฟากมายังหัวใจสำคัญของการเดินทางครั้งนี้ เหตุผลที่ผมอยากพาปันปันและแม่จ๋ามาที่นี่ ก็เพราะเห็นภาพอาคารสีปูนแดงอันนี้ละครับ และที่ีนี้ก็คือ ” จตุรัสแดง “ หรือจะเรียกกันอีกแบบว่า จัตุรัสดัตซ์ หรือ ดัตซ์สแควร์ ก็ได้อยู่บน ถนน Laksamana สถานที่แห่งนี้เคยเป็นย่านที่อยู่ของชาวดัตซ์ หลังจากที่ขับไล่ชาวโปรตุเกสออกไปได้ในสงครามแย่งอาณานิคมกันในปี คศ.1941-1795
บริเวณรอบๆอาคารสีแดงที่มีตัวหนังสือสีขาวเห็นเด่นชัดว่า “CHRIST CHURCH 1753” อันเป็นปีที่ได้ก่อสร้างอาคารแห่งนี้ ในอดีตหลังสงครามที่ชาวดัทช์สามารถมีชัยเหนือ โปรตุเกสได้ ก็สร้างที่นี้ให้เป็นที่อยู่อาศัยและศูนย์กลางกองบัญชาการของชาวตะวันตก
แต่ในปัจจุบันที่นี่คือจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้อยากมายลโฉมกันซักครั้ง และยังเป็นจุดรวม 6 พิพิธภัณฑ์ที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของ มะละกาไว้เลยทีเดียว
ปันปันเองวันนี้ก็มีโอกาสได้มาสัมผัสที่นี่แล้วแต่จะรู้ตัวกะเค้าไหม อันนี้ ผมยืนยัน นอนยันได้ว่าไอ้ที่แม่จ๋าถืออยู่ตรงหน้านั้นน่าสนใจกว่าเย๊อะะ เยยล่ะ 5555
ที่นี่เดินเที่ยวสนุกกว่านั่งรถมากนักโดยเฉพาะบริเวณเมืองเก่าแล้ว เพราะจากจตุรัสแดง เราเดินข้ามสะพานแม่น้ำมะละกา อันเป็นแม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตชาวเมืองมาตั้งแต่อดีต มายัง
ถนนที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกที่ๆ หากใครมาเที่ยวแล้วไม่มาแวะเดินถือว่ายังมาไม่ถึงก็ว่าได้ เพราะถนนที่ผมกำลังพาเข้าไปนี้เป็น ถนน “Jonker “ หรือเรียกกันแบบทางการว่า “Jonker Street “
ถนน Jonker เป็นถนนเส้นเลือดสำคัญของเมืองก็ว่าได้เพราะเป็นถือเป็นย่านการค้าสำคัญของคนจีนมาตั้งแต่อดีตแล้ว ปัจจุบัน ยังเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว
ให้แวะเวียนมาเดินเที่ยวชม อาคารสถาปัตย์กรรม สไตล์ ชิโนโปรตุกีส อันเลื่องชื่อ ที่ผู้คนและนักท่องเที่ยวต่างพากันมาเดินเที่ยว เดินช้อปปิ้ง และแวะถ่ายภาพกันจนเป็นเรื่องชินตา
ในยามค่ำคื่นทุกๆวันศุกร์-อาทิตย์ ยัง ปิดถนนห้ามรถราสัญจรให้เป็นถนนคนเดิน ให้นักท่องเที่ยวและชาวบ้านแวะเวียนมาเที่ยวซื้อสินค้า ของที่ระลึกได้อีกด้วย
หากใครอยากมาเที่ยวถนนเส้นนี้แนะนำให้ดูวันมาให้ดีนะครับ อย่างบ้านเราเองก็พลาดไปหน่อยมาวันอื่นๆ อดช้อปกันไป T__T
เดินกันจนเหนื่อย ก็ต้องแวะหาอาหารเติมพลังกันมาย่านคนจีนไม่ทานอาหารแนะนำที่ใครไปใครมาก็ต่างกล่าวถึง ได้ไงกับ ข้าวมันลูกบอล + ไก่ไหหลำรสเลิศ ที่นี่คือร้าน ” Famosa “
นี่ละครับตำแหน่งของร้านจริงๆในถนนเส้นนี้มีอยู่ 2 ร้านนะครับ แต่ร้านที่เราเลือกนั่งจะอยู่ตรงหัวมุมถนนด้านใน อีกร้านจะอยู่ก่อนถึงเป็นร้านเดียวกันนั่งร้านไหนก็ได้ชิมเหมือนกัน
นี่ละครับ หน้าตาข้าวมันไก่ลูกบอลอันโด่งดังของร้านนี้ ดูๆไปคล้ายลูกชิ้นปลาในถ้วยข้างๆเลยนะครับ แต่ขนาดจะใหญ่กว่านิดหน่อย เค้าเอาข้าวมาปั้นเป็นกลมๆแบบนี้ละครับรสชาติกินแล้วจะว่า
อร่อยมากๆก็ไม่เชิง แต่จะเรียกว่าไม่ชินก็ว่าได้มากกว่า ผมว่าใครมาแล้วยังไงต้องลองกันแน่ๆครับ ไม่งั้นเสียดายแย่เลย เพราะก็มีอยู่แค่ที่นี้ทีเดียวในมะละกาหรืออาจจะทั้งมาเลเซียก็เป็นได้
มีข้าวไม่มีไก่จะเรียกว่าข้าวมันไก่ได้ไงจริงไหมครับ ไก่เค้าจะสับมาใส่จานแบบนี้ รสชาติก็ถือว่าอร่อยดีทีเดียว ไม่มันแบบบ้านเราแต่เค้าต้มและปรุงยังไงไม่รู้ออกมาเหลืองแบบนี้ละครับ รวมๆใช้ได้
แม้ผมจะยังชอบข้าวมันไก่ประตูน้ำบ้านเรามากกว่าก็ตาม >_<
แต่ เป็ดนี่สิเด็ดจริงๆ รสชาติถึงรสถึงชาติ แบบที่เราเคยกินที่เมืองไทยเลย ดูจากหน้าตาน่ากินไหมครับ ของจริงก็อร่อยแบบเดียวกับหน้าตานั้นแหล่ะ
เอาแบบรวมทั้งหมดให้ดูกัน มีหมูแดงอีกอย่างรสชาติโอเคเหมือนกันแต่ส่วนตัวเป็นคนชอบหมูแดงแบบติดมันนิดๆครับ ลืมสั่งเค้าไป
อิ่มกันดีแล้วก็ Act ท่าถ่ายรูปกันหน่อยนึง ปันปันแบบหล่อผุดๆ เยย 555 กะลาสีขึ้นบกจ้า ^ 0 ^
เราเดินกันต่อดีกว่ายังชมเมืองเก่าย่านนี้ไม่ทั่วเลย ความเพลิดเพลินในการเดินเที่ยวย่านนี้ผมให้เต็ม 10 เลยทีเดียว เพราะหลังจากที่UNESCO ได้ประกาศให้ มะละกา เป็นมรดกโลกแห่งใหม่ เมื่อวันที่ 8 กรกฏาคม คศ 2008 ยิ่งทำให้ทางการและรัฐบาลมีการประกาศกฎและระเบียบในการรักษา สิ่งปลูกสร้างต่างๆไว้ให้คงสภาพเดิมมากที่สุดอย่างเข้มงวด เพื่อให้ผู้คนและนักท่องเที่ยวรู้จักมะละกาในแบบที่เคยเป็นเมืองท่าสำคัญและยังเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมและศาสนา จากหลายหลายชนชาติ ที่สามารถมาอยู่รวมกันได้อย่างสันติ ทั้ง จีน ดัทช์ โปรตุเกส และศาสนาทั้ง พุทธ อิสลาม คริสต์ และ ฮินดู เค้าอยู่กันแบบสามัคคีเลยทีเดียว เดี๋ยวมีหลักฐานบางส่วนให้ดูครับ ป่ะไปต่อ
และนี่ก็คืออีกหนึ่งหลักฐานสำคัญที่ผมบอกไปว่าเป็นการหลอมรวมทางวัฒนธรรมและศาสนาที่สำคัญ ทีเห็นเป็นหอคอยขนาดใหญ่ตรงกลางสี่แยกนี้ นั้นไม่ใช่วัดจีนที่ไหนนะครับแต่ที่นี่คือ
” มัสยิดกัมปุงคลิง ” ( Musjid Kampung Kling ) มัสยิดในศิลปะแบบจีนสไตล์ชิโน-โปรตุกีสที่สผสมผสานเข้ากับศิลปะของ อินเดียแบบยุคทมิฬ เห็นไหมว่า mix กันได้ขนาดไหนทีสำคัญสวยงามมากๆเลยทีเดียว
เลยต้อง Act ท่ากันต่ออีกซักหน่อยดูหน้าตาปันปันตอนนี้เหมือนจะง่วงแล้วด้วยต้องเร่งเดินกันแล้วละครับไม่งั้นมีงอแงแน่นอน
เราโชคดีที่ไปช่วงเวลาที่เค้ายังเปิดให้เข้าไปชมด้านในมัสยิดได้แต่ภายในสงวนไว้สำหรับชาวมุสลิมเท่านั้น นะครับ เลยมีโอกาสเก็บภาพมาฝากกันเล็กน้อย
ที่เห็นเป็นน้ำพุที่ใช้สำหรับชำระล้างร่างกายก่อนจะเข้าไปด้านในเพื่อทำพิธีละหมาดครับ
หลังเดินออกมาผมก็ยิ่งชัดเจนถึงการหล่อหลอมรวมกันแบบสันติของชาวมะละกาเพราะจะเจอ ” วัดศรีโพยาธาวินยากรมูรติ “ (Sri Poyyatha Vinayaga Moorthy Temple)
อยู่ติดกันเลยกับมัสยิดที่เราพึ่งเข้าไป
วัดศรีโพยาธาวินยากรมูรติ เป็นหนึ่งในวัดศาสนาฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดในมาเลเซีย สร้างขึ้นตั้งแต่ปีสร้างในปีค.ศ.1781 สมัยฮอลันดาปกครอง เป็นศิลปะแบบชาวอินเดียตอนใต้ มีจุดเด่นที่ลวดลายปูนปั้นบนหน้าบันและเชิงชายเป็นรูปเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ภายในประดิษฐานองค์พระพิฆเนศวร ถือเป็นวัดสำคัญที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวฮินดูในมะละกาิแม่จ๋าเดินมาเมื่อยมากๆแล้วขอพักหอบกันตรงนี้ก่อน เสียดายวัดปิดเลยไม่มีโอกาสเข้าไปชมด้านในครับ
เดินไป Act ท่าถ่ายรูปกันไปปันปันตอนนี้ แบตเตอร์รี่เริ่มมาถึงช่วงสุดท้ายแล้วเลยต้องขอ ชารต์เพิ่มเติมกันสักหน่อย กับแม่จ๋า เลยได้เก็บภาพฮาเฮกันเรื่อยๆระหว่างทาง
เดินมาจนถึงวัดสุดท้ายที่เราได้แวะกันแล้วละครับ เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของชาวจีนที่นี้เลย เป็นไงไปดูกัน
เข้ามาที่ ” วัดเซ็งฮุนเต็ง “ เป็นวัดจีนที่ก่าแกที่สุดในมาเลเซีย สร้างมาตั้งแต่ ค.ศ. 1645 โดยชาวจีนที่เข้ามาค้าขายในมะละกา ตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวจีนในมาเลเซียกันมาก เพราะภายในประดิษฐานเทพเจ้าสามองค์ คือ “เจ้าแม่กวมอิม” เทพธิดาแห่งความเมตตา “เจ้าแม่หม่าโจ” เทพธิดาแห่งท้องทะเล และ “เทพเจ้ากวนอู” เทพเจ้าแห่งสงคราม
…………………………
เข้ามาด้านในสิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ ควันธูปครับ ตลบอบอวลไปหมดนักเดินทางมากมายต่างก็แวะเวียนมากราบไหว้ขอพรกันมากขนาดวันที่เราไปไม่ใช่วันหยุดยังคนเยอะมากๆเลย
เก๋งหรือรถที่ใช้ประกอปทำพิธีจอดอยู่ในวัดมีแผ่นป้ายทั้งภาษามาลายูและอังกฤษไว้บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของที่นี่ผมเห็นคนมาหยุดดูหยุดถ่ายภาพกันเยอะเหมือนกัน
หลังจากออกมาจากวัดแล้วเราก็เดินกลับโรงแรมแล้วละครับตามคำแนะนำของพี่บำเพ็ญเพราะจุดต่อไปที่จะไปถ้าเดินก็พอไหวแต่ปันปัน คงไม่ไหวแน่ๆ ไปรถน่าจะดีกว่าอีกอย่างณ.ตอนนี้ ปันปันแบตหมดแล้วจ้า หลับอยู่ในอ้อมกอดแม่จ๋าไปเรียบร้อยมะละกา
……………..
หลังกลับที่พักและให้ปันปันได้พักหลับยามบ่ายๆ ตก บ่ายแก่ๆ เราก็ออกมาพร้อมกันไปยังที่แวะอีกที่ๆพี่บำเพ็ญบอกว่าถ้าจะมาให้ครบทุกๆศาสนสถานที่สำคัญทุกศาสนายังมีอีกที่ๆยังไม่ได้แวะไปกัน อยู่ในย่านเมืองเก่า ที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวดัทช์มาก่อน และที่ๆเราจะไปนั้นคือ…
” โบสถ์เซนต์ฟรานซิสเซเวียร์ ” (Church of St. Francis Xavier ) เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของนักบุญท่านนี้ที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ นิกายโรมันแคทอลิคถึง 4 ครั้งในยุคสมัยนั้น สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1849 โดยบาทหลวงฟาร์ฟ แห่งคณะฑูตฝรั่งเศส เป็นโบสถ์ที่สร้างโดยรับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมแบบโกธิก
…………………………………………
เสียดายผมไม่ได้เข้าไปชมด้านในเพราะพี่บำเพ็ญหาที่จอดรถยากเลยต้องขับวนเวลาจึงน้อยไปนิด อีกอย่างผมมีเป้าหมายอีกที่ๆอยู่ตรงข้ามกันกับตัวโบสถ์ที่ผมสังเกตุเห็นตั้งแต่วันแรกที่เดินทางมาถึงแล้ว นั้นก็คือ….
….มอเตอร์ไซต์สีทองคันนี้ละครับ ที่ตั้งใจมาถ่า….ย เอ้ย…ไม่ใช่ๆ (ยังแอบมีมุข วัดใจคนอ่านนิดนึงว่ายังไม่เบื่อกันก่อนนะ ^ ^) คือสัญลักลักษณ์อีกที่ๆยืนยัน นั่งยันว่ามะละกาเป็นเมืองที่ขึ้นทะเบียนมรดกโลกแล้วจริงๆ ก็คือตรงตราสัญลักษณ์ ประทับของ Unesco บนอาคารสีแดงของดัทช์หลังนี้ นั้นเอง
มองจากมุมนี้จะเห็นโบสถ์ที่เราพึ่งแวะไปถ่ายรูปกันมา เด่นทั้ง 2 ที่เลยครับ
จริงๆแล้วมะละกายังมีที่เที่ยวอีกหลายๆแห่งที่เรายังไม่ได้แวะนะครับ แต่ด้วยเวลาและการเดินทางมาถึงทำให้เราจำเป็นบอกลามะละกากันก่อน ด้วยความน่าเสียดายจริงๆ
อย่างภาพตึกนี้ผมถ่ายก่อนที่จะออกเดินทางในวันถัดมา มีเสน่ห์เหมือนภาพปริศนาตั้งคำถามดูน่าสนใจมากๆเลย
อีกอย่างผมทำภาพชุดหัวค่ำเสียหายจนยากจะกู้ภาพกลับมาได้ทำให้ภาพชุดนั้นในคืนสุดท้ายขาดไป อันมีHilight หลายๆที่ทั้งที่แวะกิน แวะเที่ยว สุดแสนจะน่าเสียดายจริงๆ
สุดท้ายก่อนลาตอนแรกกันก่อนฮับบ
มะละกาเป็นเมืองน่าเที่ยว น่าไป มีบางอย่างคล้ายๆบ้านเราโดยเฉพาะทางใต้อย่างภูเก็ตโดยเฉพาะอาหารการกินของชาวจีนที่นั้น ศิลปะวัฒนะธรรมแบบผสมผสาน จากหลายชนชาติมารวมกัน
รวมถึงความเป็นเมืองท่าสำคัญ ที่หากใครเคยเรียนประวัติศาสตร์มาก่อนต้องคุ้นๆกับคำว่า ” ช่องแคบมะละกา” เป็นแน่ เมืองนี้ยังมีอะไรๆให้อยากแวะมาค้นหาอีกอย่างน้อยก็อีกซักครั้งโดยเฉพาะกับภาพชุดสุดท้ายที่ผมทำหายไป อยากกลับมาเก็บตก ทั้งถนนคนเดินที่ยังไม่ได้มาเดินจริงๆในวันที่เค้ามีกัน วัด และการล่องเรืองเที่ยว และอีกหลากหลายที่
คิดในแง่ดี ผมว่าก็น่าจะดีเหมือนกันครับที่ภาพชุดสุดท้ายหายไปเหมือนกับว่ามะละกายังอยากให้ผมกลับไปหาอีก กลับไปเก็บภาพปันปันในช่วงที่เค้าหลับและพลาดเที่ยวไปหลายจุด
และในอนาคตผมค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองคงจะได้มีโอกาสกลับไปอีกแน่ๆครับ
……………………………..
ขอลากันด้วยภาพเจ้าตัวน้อยอันเป็นแรงบันดาลใจให้พ่อแม่หาทางพาหนูเที่ยวให้ได้แม้จะยังเด็กอยู่มากและต้องเดรียมนู่นนั้นนี้เยอะเชียวล่ะกว่าจะมากันได้
ลามะละกากันด้วยรอยยิ้มเล็กๆจากหลังของคนที่ผมรักมากที่สุดทั้งคู่ ก่อนนะครับ
ตอนหน้าจะพาเที่ยวเมืองหลวงของมาเลเซียกันแล้ว เป็นไงโปรดรอชมกันต่อได้ ครับ ไม่อยากบอกว่าไม่นานแต่ถึงจะนานก็อยากให้รอ(จริงๆนะ ขอร้อง ) New World with Pun Pun :Malaysia ตอนต่อไปครับ
สวัสดีฮับ ^ ^
1 Comments
Pingback: New World with Pun Pun :เที่ยวชิลล์ สบายๆที่นี่ Kuala Lumpur (KL) | Blogท่องเที่ยว ที่รวม ที่เที่ยว ที่กิน ที่พัก ของเรา